พักตร์อสูร
ชีวิตปกติสุขของเธอต้องสิ้นสลาย เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองอยู่ในร่างของเด็กหญิงคนหนึ่ง โชคชะตาหรือเวรกรรม ทำให้มาโผล่ในสถานการณ์ผัว1เมีย6 แถมต้องสู้รบเพื่อเอาตัวให้รอดอีก “ขอชีวิตเก่าฉันคืนมาเถิด”
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 23 (2/2)

มาแล้วจ้าาาา

สวัสดีแฟนจ๋าขานิยายพักตร์อสูรทุกท่าน คิดทึ้งคิดถึงงง (ปากหวานมาก่อน อิอิ) รายงานข่าวประจำรอบสัปดาห์ว่าไม่มีความเคลื่อนไหวใดนอกจากกระดึ๊บทำต้นฉบับแบบเร่งที่สุดแต่ก็เหมือนใช้น้ำมันรุ่นหอยทากเป็นตะคริว แง่บๆ แต่ก็พยายามสุดฤทธิ์สุดเดชค่ะ

ขอบอกว่ากรี๊ดกร๊าดกับคอมเม้นท์เพื่อนๆ ทุกท่านมาก ดีใจที่ได้ส่งน้ำตาลเข้าสู่กระแสโลหิตทุกท่านนะคะ อิอิ (คนเขียนฟินนน) วันนี้เลยมาอัพเยอะนิดหนึ่งนะคะ

ขอบพระคุณมากๆ กับทุกความรัก ทุกความห่วงใย ทุกกำลังใจที่ให้มา ขอขอบพระคุณอย่างงามๆ ค่ะ อ้อยเองก็เขียนไปสลับพักผ่อนไปเป็นระยะ โชคดีที่พี่ บก. น่ารักมาก เข้าใจสภาพร่างกาย ให้เกียรติ และให้โอกาสคนเขียนงานตัวเล็กๆ อย่างอ้อยทำงานอย่างเต็มที่ ขอบพระคุณค่ะ

เรื่องฉากบู๊คือ... อ้อยก็ไม่ถนัดเขียนเท่าไหร่ค่ะ แต่ก็มีสอดแทรกบ้าง เอาไว้ติดตามตอนต่อไปนะคะ

มาอัพอีกทีวันศุกร์ค่ะ


รัก...

อ้อย/สุชาคริยา


--------------------------------------------------------------


แสงสว่างลอดผ่านผ้าที่ใช้คลุมศีรษะทำให้รู้ว่าเช้าแล้ว นับว่าตื่นสายกว่าทุกวันที่เคยเป็น ผ้าสีขาวผืนนี้ไม่ได้หลุดออกแต่อย่างใด อุษามันตราเพิ่งรู้ว่าตนเองก็นอนฝันดี เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อคืนยังจดจำได้แม่นยำ พระสุรเสียงแฝงแววหวานนั้นยากจะลืมเลือน อดไม่ได้ที่จะยิ้มกับตัวเองเมื่อระลึกถึงประโยคสุดท้าย แม้ตอนนั้นในใจของเธอกำลังเรียกหาคุณพระคุณเจ้าให้ช่วยเหลือ จนเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบได้

และเมื่อคำพูดบางอย่างของพระจุฑามณีมาศโผล่ขึ้นในความทรงจำ อุษามันตรารีบผุดลุกนั่ง มือจับผ้าที่ใช้คลุมศีรษะไว้แน่น พันผ้าผืนนี้รอบใบหน้าอย่างรวดเร็ว หยิบหมวกมาใส่และผูกเชือกใต้คางทั้งที่ยังไม่ตื่นดี เธอนั่งอยู่กับที่โดยไม่ขยับไปไหน กะพริบตาหลายครั้งจนมองเห็นว่าทุกอย่างเป็นปกติและนิ่งสงบอยู่จึงคลานออกไปอย่างเบามือเบาเท้า ชะโงกหน้าขึ้นมองไปบนเตียง เห็นว่าพระจุฑามณีมาศยังทรงพระบรรทม

อุษามันตรารีบหันหลัง เช็ดหูเช็ดตาพอประมาณ เก็บมุ้งเก็บที่นอนทันที พยายามระมัดระวังให้เสียงให้เงียบที่สุดเพราะคงทำใจลำบากหากทันที่ลืมตาแล้วเจอถ้อยคำจากพระจุฑามณีมาศเช่นเมื่อคืนอีก

เธอรีบหยิบผ้านุ่งผืนใหม่ ย่องปลายเท้าไปเปิดประตู ไม่กล้าส่งเสียง จนเมื่อพ้นธรณีประตูจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก โดยหารู้ไม่ว่าคนที่คิดว่าหลับนั้น แท้จริงได้ยินทุกอย่างผ่านพระกรรณและกำลังแย้มพระโอษฐ์น้อยๆ กับพระองค์เอง

ศีลาเดินเข้ามาหาอุษามันตราตรงหน้าเรือนนอนหลังจากเห็นนายหญิงของตนปิดประตู หล่อนถามว่า “แม่นายอุษาจักไปที่ใดหรือเจ้าข้า”

อุษามันตราหันมาทันทีเพราะตกใจ “อุษาจะไปเรือนอาบน้ำเจ้าข้าพี่ศีลา”

“เหตุใดมิล้างหน้าในเรือนนอนเจ้าข้า ประเดี๋ยวศีลาจักเตรียมเข้าไปให้เจ้าข้า”

อุษามันตราก้มลงกระซิบริมใบหูของศีลาว่า “พี่ปิ่นไม่เคยเห็นใบหน้าของอุษา อุษาไม่อยากให้พี่ปิ่นรู้ความจริงนี้เจ้าข้า”

ศีลาพยักหน้าและส่งยิ้มให้ หล่อนบอกเบาๆ พอให้ได้ยิน “เช่นนั้น อิฉันจักเตรียมเครื่องล้างหน้าไว้ให้ที่หน้าเรือนนอนแม่นายอุษาชุดหนึ่ง แลเตรียมไว้เรือนอาบน้ำชุดหนึ่ง นับแต่วันนี้ แลวันพรุ่งเป็นต้นไปนะเจ้าข้า”

อุษามันตราตลบผ้าขึ้นไว้บนปีกหมวก ดึงผ้าพันหน้าด้านในออก กอดศีลาแน่นแล้วหอมแก้มฟอดหนึ่ง เอาผ้าปิดปากไว้ พูดว่า “รักพี่ศีลาจังเลยเจ้าข้า รู้ใจอุษามากๆ อุษาไปสีฟันก่อน ประเดี๋ยวพี่ศีลาได้กลิ่นปากอุษาแล้วจะพาลเป็นลม” พูดจบก็ส่งยิ้มให้ อุษามันตราตรงไปจัดการทำธุระส่วนตัวที่เรือนอาบน้ำ

ศีลานั้นแทบขมวดคิ้วเข้าหากัน รู้สึกว่านายหญิงของหล่อนดูสดใสไม่น้อยในเช้าวันนี้จนอดยิ้มเอ็นดูมิได้





ความสดชื่นหลังจากได้อาบน้ำแปรงฟันใหม่ช่วยให้รู้สึกดีมากนัก อุษามันตรากลับออกมาจากเรือนอาบน้ำ เดินมาถึงหน้าเรือนนอนของตนเองอีกครั้งก็เห็นข้าวของเครื่องล้างหน้าวางไว้ตรงธรณีประตู ศีลาจัดการให้อย่างรวดเร็วจนอยากกอดหล่อนจริงๆ เธอยกส่วนหนึ่งเข้าไปก่อน

พระจุฑามณีมาศประทับบนพระแท่นบรรทม ทรงเก็บมุ้งและผลักฉากให้เข้าที่ เปิดโล่งจนเห็นตู้เก็บผ้านุ่งกับหีบหลายใบวางซ้อนกันติดกับฝาปะกนจากจุดที่ยืนอยู่ อุษามันตราวางถังน้ำไว้กับพื้นใกล้โต๊ะคันฉ่องเยื้องกับประตูและออกไปหยิบอ่างใบย่อมเข้ามาวางไว้ใกล้กัน ในนั้นมีผ้าผืนบางสำหรับเช็ดหน้าและอุปกรณ์ทำความสะอาดปากที่เตรียมไว้ให้ปิ่น และทันทีที่ประตูปิด

“พี่จักเดินไปเอง อุษามันตราน้องเจ้าอย่าได้ลำบาก” พระจุฑามณีมาศตรัสแผ่วเบา ทรงพระดำเนินมาหาเธออย่างช้าๆ

แต่นั่นกลับทำให้อุษามันตราต้องรีบเดินเข้าไปเพราะรู้ดีว่าพระจุฑามณีมาศไม่อยากให้เธอลำบากมากนัก สิ่งใดทำได้ก็ช่วย แต่เธอยังไม่อยากให้พระองค์ต้องเจ็บซ้ำอีกครั้งหนึ่ง และทันทีที่ถึงตัว พระจุฑามณีมาศทรงก้มพระพักตร์ทอดพระเนตรเธอ ประทานยิ้มหวานแทนคำขอบคุณ

‘นี่จะบริหารเสน่ห์แต่เช้าเลยหรืออย่างไรกัน’ คิดแบบนั้นก็ได้แต่สงบปากสงบคำและก้มหน้าเอาไว้ ดูแลพระจุฑามณีมาศให้พระองค์ประทับหน้าโต๊ะคันฉ่อง เตรียมน้ำใส่อ่างใบย่อม ยื่นผ้าซับพระพักตร์ อุปกรณ์ทำความสะอาดพระทนต์ เช็ดพระวรกาย ทำความสะอาดบาดแผล กระทั่งประคองกลับมายังเตียงอีกครั้งโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา ทว่ารู้สึกเหมือนติดกับดักบางอย่าง

บอกไม่ถูก... ว่าทำไมรู้สึกหวั่นไหวกับแววพระเนตรอ่อนหวานที่ได้สบทุกครั้งไป ใจไม่นิ่งเหมือนเดิมนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้รู้ว่าพระจุฑามณีมาศจับจ้องทุกอิริยาบถไม่ว่าจะขยับเขยื้อนหรือทำสิ่งใด

เสียงเคาะประตูดังมา อุษามันตราลอบถอนหายใจ รีบเดินไปเปิดประตู จึงเห็นท่านโชติระเสยืนอยู่ตรงนี้ คุณพ่อก้าวข้ามธรณีประตู ตรงไปทางปิ่น มือของท่านถือถุงผ้าขนาดเล็กไว้สองใบ

“วันนี้เป็นอย่างใดบ้าง อาการดีขึ้นมากน้อยฤา พ่อปิ่น” ท่านโชติระเสถามพอให้ได้ยินเมื่ออยู่เบื้องพระพักตร์แล้ว

“ดีขึ้นมากนักเจ้าข้า” ตรัสด้วยพระสุรเสียงจับพระอารมณ์ไม่ได้เช่นที่เคยเป็น พระพักตร์นั้นนิ่งสงบ แต่กลับมองมาทางนี้

อุษามันตรารู้สึกร้อนที่ใบหน้าทันทีทันใด แสร้งทำเป็นไม่เห็น เดินไปอยู่ข้างๆ คุณพ่อ

“ท่านพ่อตานั่งตรงนี้เถิดเจ้าข้า” พระจุฑามณีมาศรับสั่ง ทรงขยับให้

ท่านโชติระเสนั่งลงข้างเตียง หันหน้าเข้าหา ยื่นถุงใบเล็กในมือแก่พระจุฑามณีมาศ ทรงรับและเปิดออกมา จึงเห็นว่าในถุงหนึ่งเป็นทับทิมเม็ดขนาดไม่เล็ก อีกถุงหนึ่งคือสร้อยที่รับฝากเอาไว้

พระจุฑามณีมาศผินพระพักตร์มาทางเธอ ยื่นของทั้งสองสิ่งมาให้ รับสั่งว่า “อุษามันตราน้องเจ้า คิดอ่านประการใดฤา”

อุษามันตราเดินเข้าไป ก้มลงนิดหนึ่งเพื่อมองให้ชัด เธอไม่แตะต้อง สังเกตว่าทับทิมเม็ดที่เห็นนี้กับเม็ดที่ร้อยไว้เป็นตุ้มของสร้อยมีลักษณะคล้ายคลึงกัน เธอถามท่านโชติระเสว่า “นี่คือสิ่งใดหรือเจ้าข้าคุณพ่อ”

ท่านโชติระเสตอบโดยมองพระพักตร์พระจุฑามณีมาศ “ทับทิมเม็ดนี้ ข้าพเจ้าได้รับจากพระเจ้าวิเทหะ หลังจากได้ให้คำสัตย์ แลรับหน้าที่อย่างหนึ่งเจ้าข้า”

พระจุฑามณีมาศตรัสว่า “หากท่านพ่อตามิลำบากใจ ข้าพเจ้าจักถาม ว่าหน้าที่นั้น คือการใดฤาเจ้าข้า”

“ข้าพเจ้าได้ให้สัตย์ไว้ ว่าจักมิเปิดเผยให้ผู้ใดรู้นอกจากฝ่าบาท แม้นแต่อุษามันตราก็บอกมิได้ บัดนี้ ข้าพเจ้าอยู่เบื้องหน้าพ่อปิ่น จึ่งบอกความแก่พ่อปิ่นเท่านั้นแล”

“อุษามันตรากับข้าพเจ้าเป็นคู่หมาย อย่างใดก็มิควรปกปิดต่อกันดอกเจ้าข้า”

ท่านโชติระเสหันมาทางเธอ “อุษามันตรา ลูกจักแก้ไขประการใด หากลูกออกไปรอนอกเรือนนอน จักเป็นพิรุธนัก แลพ่อนั้นจักอยู่ในเรือนนอนลูกได้มินานเช่นกัน”

ได้ฟังอย่างนั้นอุษามันตราก็เดินออกไปที่หอตำราทันที ทำไมจะต้องคิดให้มากขนาดนั้น เธอหยิบกระดานชนวนทำจากไม้มาแผ่นหนึ่ง หยิบดินสอเขียนทำจากดินสอพอง รวมทั้งผ้าและขันใส่น้ำเพื่อเช็ดทำความสะอาดติดมือมาด้วย

เมื่อกลับมาถึงเรือนนอน เธอปิดประตูเรือนลั่นดาล บอกทั้งคู่ว่า “นั่งกับพื้นคงสะดวกกว่าเจ้าข้า”

ท่านโชติระเสช่วยประคองพระจุฑามณีมาศให้ประทับโดยง่าย อุษามันตราวางขันใส่น้ำที่มีน้ำอยู่เกือบครึ่งกับผ้าไว้ตรงกลางเมื่อทั้งสองนั่งลงดีแล้ว ยื่นกระดานชนวนให้ท่านโชติระเส จากนั้นจึงขยับมานั่งห่างๆ

อุษามันตราเห็นทั้งสองเขียนอย่างขะมักเขม้น ผลัดกันเขียน ผลัดกันอ่าน ใช้ผ้าชุบน้ำ ลบทำความสะอาด แล้วเขียน แล้วอ่าน สลับกันไปมาแบบนี้นานกว่าครู่หนึ่ง จนท่านโชติระเสถอนหายใจออกมา ท่านลุกขึ้น เดินเข้ามาหาเธอ ก้มกระซิบเพียง

“ดูแลพ่อปิ่นให้ดี ลูกคิดอ่านอย่างใด ขอจงตรองให้ถ้วนถี่ อย่าได้มีอคติเทียว... ลูกรัก” พูดจบก็เดินออกไป

อุษามันตรามองพระจุฑามณีมาศที่กำลังทอดพระเนตรมา ยังประทับในพระอิริยาบถเดิม รับสั่งว่า

“อุษามันตราน้องเจ้า คิดเห็นประการใดฤา” แล้วประทานกระดานชนวนมาให้

อุษามันตราขัดเข่าเข้าไป รับมาไว้ในมือ

‘สละทุกสิ่ง ขอคู่เคียงอุษามันตรา’

เธอนั่งหลังตรงโดยพลัน ลายมือเป็นระเบียบและสวยยิ่งนักแต่กลับไม่คุ้นตา บ่งบอกว่าข้อความที่เห็นในเวลานี้เป็นของผู้ใด อุษามันตรามองพระพักตร์พระจุฑามณีมาศ รู้สึกอารมณ์ของเธอไม่ค่อยเข้ากับสถานการณ์สักเท่าไหร่ โดยเฉพาะหลังจากที่ได้อ่านและทำความเข้าใจในระดับหนึ่ง จึงเฉไฉถาม

“คุณพ่อกล่าวสิ่งใดกับพี่ปิ่นหรือเจ้าข้า”

“มากนักดอกเจ้า แลจบด้วยเหตุนี้”

‘ช่างตอบนักนะ ยียวน’ อุษามันตราคิดในใจ แต่ถามออกไปด้วยน้ำเสียงปกติ “คุณพ่อมีเรื่องใดที่พูดคุยบ้าง และมีเรื่องใดที่พี่ปิ่นอยากบอกเล่าแก่อุษาบ้างหรือไม่เจ้าข้า”

พระจุฑามณีมาศประทานสร้อยและทับทิมแก่เธอ อุษามันตรารับมา

“ท่านพ่อตาแจ้งแก่พี่ ว่าผู้มีอัญมณีเช่นเดียวกับสร้อยเส้นนี้ คือผู้กุมของสำคัญ แลผู้ใดได้รับหน้าที่ จักได้เห็นอัญมณีครบทุกเม็ด”

“ของสำคัญ” อุษามันตราทวนคำ ก้มมองสิ่งที่อยู่ในมือ พลิกไปพลิกมา พยายามคิดไปด้วยว่าควรจะออกมาเป็นรูปแบบใด

“อัญมณีชนิดเดียวกัน รูปทรงเดียวกัน ขนาดเท่ากัน เป็นความหมายให้รู้ ผู้ใดรับหน้าที่ จักมีเก็บเฉพาะตน แลเมื่อใดพบหนึ่ง จะพบอีกสี่”

‘อย่างกับปริศนาลายแทงสมบัติในหนัง แต่ไม่เห็นว่าจะมีคำใบ้ หรือที่จริง...สิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ก็ใช่แล้ว’ อุษามันตราคิดในใจ พูดออกไปว่า “เช่นนั้น สร้อยนี่ก็คือสัญลักษณ์บ่งบอกตัวตนของพี่ปิ่น เพื่อนำหาของบางอย่าง ที่พระเจ้าวิเทหะเตรียมการเอาไว้หรือเจ้าข้า”

ทรงยิ้มเล็กน้อย “อุษามันตราน้องเจ้าเก่งกาจนัก”

‘ก็ในหนังในละคร หรือในนวนิยายก็มีแบบนี้ทั้งนั้นนี่นา ว่าแต่...’ “พระเจ้าวิเทหะเตรียมการสิ่งใดไว้หรือเจ้าข้า” อุษามันตราถามต่อจากที่คิดในใจ

“พี่ทราบเพียงว่า ท่านพ่อตาได้เตรียมสิ่งหนึ่ง แลสัญลักษณ์ที่ท่านได้รับ คือทับทิม”

“ทับทิม...” กำลังถามว่าทับทิมมันควรจะเป็นอะไร “สีแดง... เลือด... สิ่งที่ทำให้นองเลือด ... อาวุธ” อุษามันตราพึมพำกับตนเอง เอ่ยถามพระจุฑามณีมาศว่า “เช่นนั้น... สิ่งที่คุณพ่อเตรียม ก็คืออาวุธใช่หรือไม่เจ้าข้า”

ทรงแย้มพระโอษฐ์และหลับพระเนตรลงเบาๆ ให้รู้ว่าถูกต้องโดยไม่รับสั่งถ้อยคำใด

อุษามันตราจึงพูดตามที่คิดในใจ... “หากตามของอีกสี่อย่าง เราก็จะรู้ว่าพระเจ้าวิเทหะได้เตรียมสิ่งใด คาดว่าน่าจะต้องเป็นสิ่งที่ทำให้พี่ปิ่นกอบกู้บัลลังก์คืน” เธอมองพระจุฑามณีมาศ

ทรงประทับนิ่ง ก่อนจะรับสั่งว่า “พี่มิใคร่ได้สิ่งใด นอกเสียจากสิ่งที่เขียนไว้บนกระดานชนวนนั่นดอกเจ้า”

อุษามันตรามองสิ่งที่อยู่ในมือ ‘สละทุกสิ่ง ขอคู่เคียงอุษามันตรา’ แทบสะดุ้งอีกรอบเมื่ออ่านจบ แต่ก็ทำเป็นเงียบ นั่งหลังตรง ไม่สนใจ เหตุใดพระจุฑามณีมาศจึงมุ่งมั่นในเรื่องนี้นัก พระองค์ไม่ต้องการบัลลังก์พระเจ้าวิเทหะแห่งมิถิลานครจริงๆ หรือ

“ในชีวิตที่เหลือ สิ่งที่พี่ใคร่ได้ ใคร่มี ก็ดั่งข้อความที่เจ้าเห็น อันเป็นคำตอบเดียวกัน เมื่อท่านพ่อตาได้ถามพี่ ว่าต้องการชิงตำแหน่งพระเจ้าวิเทหะคืนฤาไม่”

อุษามันตราไม่พูดอะไรออกไป ในหัวกำลังคิดว่าพระเจ้าวิเทหะมีพระราชประสงค์ใดที่ทรงทำเช่นนี้ และถ้าเดาไม่ผิดตามแบบละครจักรๆ วงศ์ๆ คงมิแคล้วว่าพระเจ้าวิเทหะพระองค์ก่อนต้องการให้พระจุฑามณีมาศครองบัลลังก์ และเมื่อท่านโชติระเสดูแลเรื่องอาวุธ อีกสี่อย่างก็คงไม่พ้นสิ่งที่พระจุฑามณีมาศต้องใช้กอบกู้สิ่งที่ควรเป็นของพระองค์กลับคืนแน่นอน แต่พระจุฑามณีมาศกลับเลือกที่จะเป็นสามัญชนเสียอย่างนั้น แล้วแบบนี้พระเจ้าวิเทหะท่านจะไม่เสียพระทัยหรอกหรือ ที่พระโอรสไม่ได้ต้องการในสิ่งเดียวกันสักนิด

“หากพี่เลือกอำนาจ... เลือกตำแหน่งพระเจ้าวิเทหะ ภยันตรายจักคุกคามอุษามันตราน้องเจ้า ยากจักพ้นได้ แลเสี่ยงมิน้อย สำคัญนักตรงชีวิตของชาวมิถิลานคร จักสูญสิ้นเมื่อมีศึก”

คุณพระ! หมายความว่าพระจุฑามณีมาศทรงไตร่ตรองไว้ถี่ถ้วนแล้ว นั่นจึงเป็นคำตอบว่าเหตุใดจึงมีความประสงค์ตามลายพระราชหัตถ์บนกระดานชนวนในมือของเธอนี้

“ชีวิตพี่เพียงหนึ่ง อย่าได้แลกกับชีวิตชาวมิถิลานับพัน...นับหมื่น พี่สูญสิ้นสิ่งที่รักเกือบทั้งหมด ไยจึงมิรักษาสิ่งที่พี่เหลืออยู่ โดยเฉพาะเจ้า”

ไม่รู้ว่าเหตุใดสิ่งที่ได้ยินจึงทำให้เธอขมขื่นโดยไม่ทราบสาเหตุ พระจุฑามณีมาสกำลังแลกชีวิตของพระองค์เพื่อประชาชนชาวมิถิลาอย่างนั้นหรือ พระองค์เลือกที่จะอยู่กับเธอโดยไม่กอบกู้บัลลังก์ของพระองค์เพียงเพื่อรักษาชีวิตของประชาชนไว้เช่นนั้นหรือ

“อุษาว่า... ตอนนี้พี่ปิ่นอย่าเพิ่งคิดเรื่องนี้เลยเจ้าข้า ขอให้พี่ปิ่นหายดีก่อน เราค่อยปรึกษากันอีกครั้งน่าจะดีกว่าเจ้าข้า”

พูดจบก็วางกระดานชนวนไว้ข้างๆ ขัดเข่าเข้าไปหาพระจุฑามณีมาศ เตรียมประคองพระองค์ให้ลุกขึ้น ทว่าพระวรกายสูงใหญ่นั้นกลับประทับนิ่ง พระพักตร์งดงามมองเธอด้วยความมุ่งมั่น

“พี่จักมิให้ภัยใด กล้ำกรายอุษามันตราน้องเจ้าเป็นอันขาด ฤาหากภัยนั้นจักมาจากตัวพี่ พี่จักมิยกโทษให้ตนเอง”

อุษามันตรามองพระจุฑามณีมาศ ผ้าสีขาวผืนบางติดกับหมวกคอยอำพรางไว้แต่ก็มองเห็นพระพักตร์งดงามได้ชัด เธอจึงพูดในบางสิ่งด้วยน้ำเสียงกึ่งปลอบ

“พี่ปิ่นมั่นใจได้อย่างไรเจ้าข้า ว่าภัยนั้นมาจากพี่ปิ่นเพียงทางเดียว อุษาไม่ได้อยู่ในจุดที่จะหลบพ้นเหตุครั้งนี้โดยง่าย มนสิการล่อตาล่อใจนัก บัดนี้โดยรอบก็ล้วนมีภัย แม้แต่ชาวเมืองมิถิลาเองก็มีภัย ทหารหลวงอยู่ทุกที่ เต็มไปหมด แม้แต่ท่าวัดคุ้งเหนือก็มีการสร้างป้อมค่าย คงไม่พ้นว่าดูความเคลื่อนไหว อุษาคิดว่าพี่ปิ่นอย่าได้กังวล และอย่าคิดโทษตัวเองในตอนนี้ ทั้งที่ยังไม่มีเหตุใดเกิดขึ้นเลยเจ้าข้า”

พูดจบก็รั้งพระพาหาของพระจุฑามณีมาศ ช่วยพยุงให้พระองค์ลุกขึ้น และยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะได้ขยับเขยื้อน เสียงเคาะประตูก็ดังมาพร้อมกับเสียงของจิตรา

“แม่นายอุษาเจ้าข้า มีใบบอกความจากท่านพะลัญจะคหบดีเจ้าข้า”

อุษามันตราปล่อยพระจุฑามณีมาศเอาไว้ รีบมาเปิดประตู จิตรามีสีหน้าไม่ดีนัก มือของหล่อนยื่นกระบอกสาสน์ สั่นจนเห็นได้ อุษามันตรารับมา เธอแกะจุกออก ล้วงกระดาษในนั้นพร้อมกับถามจิตราว่า

“คุณพ่อทราบหรือยังเจ้าข้า”

“มิได้เจ้าข้า”

แต่ถึงจิตราไม่ทันได้บอกและท่านโชติระไม่ได้อ่านก็พอเดาได้ว่าคงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเธอสักเท่าไหร่

‘ขอเยี่ยมเรือนมนสิการ ขึ้นสิบค่ำ เดือนเจ็ด ยามสาย ประสงค์พบแม่หญิงอุษามันตรา’

แทบกุมขมับทันทีที่เห็นข้อความและอ่านจบ พะลัญจะทราบข่าวรวดเร็วเพียงนี้เชียวหรือ และยังไม่ทันจะได้กุมขมับเต็มที่ บ่าวชายของเรือนใหญ่ก็หน้าตาตื่นขึ้นมา รีบรายงานเธอตรงชานหน้าเรือนนอนนี้

“มีคนจากพระราชวังหลวง ขอพบแม่นายอุษามันตรา กับนายท่านเจ้าข้า แจ้งว่า นามสุเมธะ อำมาตย์ฝ่ายซ้าย แห่งมิถิลานครเจ้าข้า”

แทบจะเอาสองมือกุมขมับเลยคราวนี้ รีบบอกบ่าวชายไปว่า “ให้รอที่ท่าน้ำสักครู่ พร้อมแล้วจะให้คนลงไปต้อนรับ”

“เจ้าข้า” บ่าวชายเอ่ยและรีบลงไปจัดการทันที

อุษามันตราบอกจิตราที่ยืนอยู่ตรงนี้ว่า “ป้าจิตรารีบไปเรียนคุณพ่อโดยเร็ว”

“เจ้าข้า” ใบหน้าของจิตราซีดอย่างเห็นได้ชัดเจน หล่อนตรงไปเรือนนอนของท่านโชติระเส

อุษามันตราเรียกศีลามาใกล้ “พี่ศีลาให้บ่าวขึ้นมาเก็บฉากออกให้หมดอย่างเร็วเลยเจ้าข้า”

ศีลาหันหลังออกไปจัดการทันที อุษามันตราปิดประตูเรือนนอนของตนเอง เดินเข้ามาหาปิ่น บอกกับพระองค์ว่า

“มีคนจากพระราชวังหลวงมาที่เรือน ไม่ทราบว่ามีเรื่องใดเจ้าข้า พี่ปิ่นลุกขึ้น นอนบนเตียงก่อนจะดีกว่า หากเกิดเหตุไม่คาดคิด จะได้ห่มผ้าทัน แผลพี่ปิ่นจะได้ไม่กระเทือนด้วยเจ้าข้า”

พระจุพามณีมาศพยักพระพักตร์รับ อุษามันตราช่วยพระองค์ให้ลุกขึ้นและนอนโดยสะดวก รีบเร่งเดินออกไป วันนี้เป็นมหกรรมรับข่าวร้ายระรอกสองของเธอหรืออย่างไรกัน

เมื่อเปิดประตู จึงเห็นว่ารอบหอนั่งโล่งในเวลารวดเร็ว ท่านโชติระเสเองก็เร่งรีบนัก ตรงมาทางเธอขณะมือหนึ่งของท่านลูบเส้นผมด้านหน้าให้เรียบร้อยซึ่งจากที่เห็นก็เรียบอยู่แล้ว สังเกตว่าท่านใส่ครอบผมทองคำประดับอัญมณีและปักปิ่น สวมสังวาลทองคำเส้นงามพาดสะพายแล่ง สวมกำไลเป็นแพหนาที่ข้อมือทั้งสองข้าง เช่นเดียวกับแหวนบนนิ้วทั้งมือซ้ายและขวานับรวมได้สี่วง ท่านเข้ามาหาเธอ สวมสังวาลเส้นหนึ่งให้ทันทันที จากนั้นก็ยื่นแหวนมาให้สามวง

“จงรีบใส่เอาไว้” กระซิบพอได้ยินแล้วยัดใส่มือเธอ

อุษามันตราสวมเข้านิ้วแทบไม่ทัน ด้วยปกติจะไม่ใส่เครื่องประดับติดตัว เธอไม่ชอบใส่ของพวกนี้ให้ดูเหมือนลิเกโดยเฉพาะต้องเดินไปมา ยกเว้นว่ามีคนมาเยี่ยมเรือน จึงใส่แบบพอเป็นพิธี

“ประเดี๋ยวเจรจา จงอย่าให้เป็นพิรุธใด พ่อหวั่นใจนัก เกรงว่าจักมิใช่คุณแก่ลูกเสียมาก” ท่านโชติระเสกล่าว

พร้อมกันนั้นจิตรากับศีลาก็ตรงดิ่งเข้ามาหา จิตรานั้นช่วยสวมสร้อยคอให้เธอสองเส้น สวมสร้อยข้อมือ สวมกำไลข้อเท้า ศีลานั้นเอาเข็มขัดและปั้นเหน่งที่เป็นทองประดับเพชรพลอยมาใส่แทนเข็มขัดเส้นเก่าในเวลารวดเร็วยิ่งนัก

อุษามันตรารู้ดีเรื่องธรรมเนียมการต้อนรับแขก ซึ่งปกติก็ตบแต่งพอให้รู้ว่ามีฐานะบ้าง แต่คราวนี้รู้สึกว่าค่อนข้างจะเต็มที่นิดหนึ่ง อาจเป็นเพราะต้องร้อนรับตัวแทนของวังหลวงก็เป็นได้ ไม่รู้ว่าท่านโชติระเสมีจุดประสงค์ใด เพราะท่านเองก็เรียกได้ว่าทรงเครื่องเกือบเต็มพิธีการ จะขาดก็แต่เสื้อกับเครื่องประดับบางชิ้นเท่านั้น หากเพียงเท่านี้คุณพ่อก็ดูงามสง่ามากแล้ว

บรรดาบ่าวที่ยกสำรับเช้าขึ้นมาต้องรีบนำเข้าไปไว้ที่เรือนนอนของจิตราก่อน และรีบลงไปเตรียมของรับแขกเป็นการเร่งด่วน และหลังจากตรวจดูความเรียบร้อยของอุษามันตราคร่าวๆ ท่านโชติระเสจึงเดินลงไป

อุษามันตราดูความพร้อมของตนเองอีกครั้งแล้วไปรอที่หอนั่ง ไม่รู้ว่าพวกนั้นมาด้วยเรื่องอะไร ส่วนศีลากับจิราคอยอยู่รับใช้ไม่ห่าง

ไม่นานนักท่านโชติระเสก็เดินขึ้นมาบนเรือนก่อน เธอเห็นชายคนหนึ่งแต่งกายอย่างเสนาอำมาตย์ของมิถิลาแบบเต็มยศ อายุน่าจะประมาณสามสิบห้า มีผู้ติดตามเป็นทหารหลวงห้านายและนางกำนัลอีกสอง

“เชิญท่านสุเมธะนั่งก่อนเจ้าข้า” ท่านโชติระเสเชื้อเชิญให้คนที่เป็นอำมาตย์นั่ง

อุษามันตรายกมือขึ้นไว้ ชายคนนี้รับไหว้เธอ เขาแนะนำตัวว่า

“ข้าพเจ้า สุเมธะ อำมาตย์ฝ่ายซ้าย นำของจากสุสุทโธมหาอำมาตย์ ผู้เป็นพี่ชาย นำส่งแก่แม่หญิงอุษามันตราเจ้าข้า”

อุษามันตรามองหน้าท่านโชติระเส แล้วมองข้าวของที่คนกลุ่มนี้นำมา สุเมธะรับผ้ายกเนื้อดีมากในมือของนางกำนัลสองคนมาวางไว้บนโต๊ะกลาง โดยแบ่งผ้าเป็นสองกอง มีผ้าโปร่งเหมือนลูกไม้ห่อไว้อีกชั้นหนึ่ง กะด้วยสายตาน่าจะมีประมาณสิบพับได้ พร้อมกับกำปั่นขนาดเล็กหีบหนึ่งจากมือสองทหารซึ่งกำลังขัดเข่ากลับลงไปนั่งที่ชานเรือน ไม่ห่างจากนางกำนัลเมื่อนำส่งเสร็จ

สิ่งที่เห็นทำให้อุษามันตราชักหวาดหวั่น ความหมายของการส่งของมายังเรือนสตรีที่ไม่มีความเกี่ยวข้องหรือทำความดีความชอบใดแก่ตัวผู้ให้หรือราชสำนักย่อมมีความหมายเดียวคืออยากเกี่ยวดอง สำคัญคือผ้าพวกนี้ก็เป็นของหายาก ราคาสูงลิบลิ่วเพราะทอด้วยแล่งทองแล่งเงินซึ่งเป็นเงินแท้และทองคำแท้ การให้โดยไม่หวังประโยชน์ใดย่อมยากจะเชื่อได้

“ท่านสุสุทโธมีเหตุใดฤาเจ้าข้า จึงได้นำของเหล่านี้มากำนัล” ท่านโชติระเสกล่าว

“มิได้เจ้าข้า ของนี้เป็นน้ำใจจากท่านสุสุทโธมหาอำมาตย์ ด้วยนับถือฝีมือแม่หญิงอุษามันตรายิ่งนัก ข้าพเจ้าเป็นตัวแทนของท่านสุสุทโธ นำความเรียนท่านโชติระเส แลแม่หญิงอุษามันตรา ท่านสุสุทโธหวังมนสิการเห็นน้ำใจ แลอภัยกับสิ่งที่ได้ล่วงเกิน โดยมิทราบความเจ้าข้า”

ท่านโชติระเสตอบไปว่า “ข้าพเจ้าแลบุตรีมิได้ติดใจสิ่งใด น้ำใจย่อมแจ้งชัด ท่านสุเมธะแลท่านสุสุทโธอย่าได้ลำบากเลยเจ้าข้า”

“ท่านโชติระเสอย่าได้เกรงใจ หากข้าพเจ้านำของเหล่านี้กลับแล้วไซร้ เกรงจักกระทบความสัมพันธ์เราสองนักเจ้าข้า แลเหตุท่านสุสุทโธมิได้มาด้วยตนเอง ด้วยติดงานราชการ ข้าพเจ้าจึ่งอาสา ดำเนินการให้แต่ไวเจ้าข้า”

“ท่านสุเมธะอย่าได้เข้าใจผิดเจ้าข้า ข้าพเจ้าเพียงใคร่ทราบเหตุ ด้วยมิเห็นเหตุอันควรใด จักได้รับของกำนัล เป็นน้ำใจจากท่านสุสุทโธมากถึงเพียงนี้”

ท่านโชติระเสพูดไม่ทันจบ สุเมธะก็กล่าวด้วยน้ำเสียงและสีหน้ายิ้มยินดี

“ยินดียิ่งนักเจ้าข้า ที่ท่านโชติระเสแจ้งใจ” แล้วหันหน้ามาหาเธอ “ข้าพเจ้าเพียงรับถ้อยคำ จากท่านสุสุทโธพี่ชาย ถ้อยคำมีว่า หวังใจแม่หญิงอุษามันตราจักอภัย แลรับของกำนัลนี้ไว้ จักขอบคุณยิ่งนัก” พูดแล้วก็ยิ้มให้เล็กน้อย หันไปทางท่านโชติระเส “วันนี้ข้าพเจ้ามาเยือนมนสิการมิถูกจังหวะ แลมิได้แจ้งล่วงหน้า จึ่งขออภัยเจ้าข้า มิทราบว่า หากท่านสุสุทโธจักเยี่ยมเยียนแม่หญิงอุษามันตรา แลท่านโชติระเส จักสะดวกเพลาใด ข้าพเจ้าจักได้แจ้งท่านสุสุทโธได้แม่นยำเจ้าข้า”

ทำไมจึงรู้สึกว่ามีมีดซ่อนเอาไว้ภายใต้คำพูดและรอยยิ้มที่เห็น สุสุทโธส่งชายคนนี้มาเจรจาเพื่อโยนหินถามทางใช่หรือไม่ แต่นั่นทำให้อุษามันตราพอจะรู้ได้ว่าสุสุทโธคงมีอำนาจในพระราชวังหลวงไม่น้อยในตอนนี้ และในเบื้องหน้าหนึ่งในผู้เข้ารอบคัดเลือกนั่งบัลลังก์พระเจ้าวิเทหะคงมีมหาอำมาตย์นามสุสุทโธร่วมด้วยเช่นกัน

ท่านโชติระเสไม่ตอบแต่กลับมองมา อุษามันตราจึงตอบไปว่า “หากการรับของกำนัลนี้ ทำให้ท่านสุเมธะสบายใจ ข้าพเจ้ายินดีรับไว้ โปรดเรียนท่านสุสุทโธ ว่าข้าพเจ้าเข้าใจในเหตุที่เกิดขึ้น มิได้เคืองอย่างใด แต่สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้ายังยากอภัยในเร็ววัน คือเหตุการณ์หลังประมือ คงต้องใช้เพลา ไม่สามารถลืมได้เพียงหนึ่งคืนดอกเจ้าข้า และใช่ว่าข้าพเจ้าดีเลิศกว่าหญิงนางใด จึงอยากให้ผู้คนสนใจ หรือต้องการเรียกร้องสิ่งใดแม้แต่ของกำนัล ขอเรียนท่านสุเมธะว่า สิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าต้องการคือความถูกต้อง และการให้เกียรติ”

สุเมธะหน้าเสีย พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ พูดกลบเกลื่อนว่า “ข้าพเจ้ามิทราบเหตุหลังประมือ มิทราบว่าเหตุเป็นเช่นใดฤาเจ้าข้า แม้ท่านสุสุทโธเป็นพี่ชาย บิดามารดาเดียวกับข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้านั้นมิได้ล่วงรู้เหตุทั้งหมด ข้าพเจ้าทราบเพียงท่านสุสุทโธประ-ทวนกับแม่หญิง พ่ายเสียหมดรูปเท่านั้นแล ข้าพเจ้าจักขอแม่หญิงโปรดสบายใจ จักรีบนำความนี้ไปบอกแก่ท่านสุสุทโธ แลต้องขออภัยแทนพี่ชาย ข้าพเจ้าเสียใจยิ่งนัก หากมีเหตุใดมิงามเกิดขึ้นแก่แม่หญิงเจ้าข้า”

อุษามันตรานึกยิ้มหยัน ส่วนท่านโชติระเสนั้นนั่งหลังตรงทันที สีหน้าแววตาไม่แสดงอารมณ์ใด แต่มือของท่านกำแน่นเพราะยังไม่ทราบเรื่อง แต่เธอจะไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ช่องเป็นอันเด็ดขาด จึงพูดว่า

“มิได้เจ้าข้า ท่านสุเมธะอย่าได้เข้าใจผิด สิ่งที่ข้าพเจ้ากล่าวมา เพียงแต่แจ้งให้ทราบ ว่าข้าพเจ้ามีนิสัยไม่เหมือนสตรีอื่น นิยมความตรงไปตรงมา หาได้นิยมในของกำนัล รู้สึกเช่นใดจึงบอกกล่าวเช่นนั้น จะได้ไม่เข้าใจผิดหรือหมางใจกันผิด ที่ข้าพเจ้าแจ้งแก่ท่านสุเมธะ และฝากต่อยังท่านสุสุทโธ ย่อมมีความหมายว่าข้าพเจ้าอภัยกับทุกเหตุที่เกิดขึ้น แต่ทุกอย่างต้องใช้เพลา ข้าพเจ้าไม่ถนัดการเสแสร้งยิ้มยินดี คำพูดก่อนนี้อาจทำให้ท่านมิแจ้งใจ ข้าพเจ้าต้องขออภัยท่านสุเมธะด้วยเจ้าข้า”

สุเมธะกลืนน้ำลายให้เห็น เขาเข้าใจสิ่งที่เธอบอก และรู้ว่าเธอไม่ปฏิเสธไมตรีที่มอบให้ และไม่ยอมรับไมตรีที่จะเป็นบันไดขั้นต่อไปจากสุสุทโธเช่นกัน

สุเมธะกล่าวด้วยรอยยิ้มที่กลบเกลื่อนความรู้สึก “มิได้ดอกเจ้าข้า ข้าพเจ้ายินดีนักในความตรงไปตรงมาเช่นนี้ แลจักแจ้งความแก่ท่านสุสุทโธมิขาดตก มิให้คลาดเคลื่อนจากความประสงค์ของแม่หญิงเทียวเจ้าข้า เห็นทีว่าข้าพเจ้าต้องขอลา บัดนี้กิจของข้าพเจ้าลุล่วงแล้ว” เขายกมือขึ้นไหว้ท่านโชติระเส “ข้าพเจ้าลาท่านโชติระเสเจ้าข้า”

อุษามันตราไหว้สุเมธะ และพูดว่า “ลาเจ้าข้า”

อีกฝ่ายรับไหว้เธอ พวกเขาไม่นำของกำนัลทั้งหลายกลับไป ท่านโชติระเสเป็นฝ่ายลงไปส่งแขกโดยไม่พูดอะไรสักคำหนึ่ง จนกระทั่งขึ้นมา

“เกิดเหตุใดขึ้น หลังจากลูกประมือหรือ อุษามันตรา” ท่านโชติระเสถาม น้ำเสียงคล้ายข่มอารมณ์ไม่น้อย

“สุสุทโธเข้ามาจับต้นแขนของลูก กล่าวว่าจะไม่ยอมปล่อยลูกให้แก่ผู้อื่นเจ้าข้า คุณพ่อ”

“ให้มันข้ามศพพ่อไปก่อน” ท่านโชติระเสขบกราม สายตาเหม่อมองออกไป ไม่แคล้วว่าคงมีความหมายถึงมหาอำมาตย์คนนั้น ท่านพูดกับเธอว่า “หากพระเจ้าวิเทหะมิใช่สุสุทโธ เราคงหายใจได้สะดวกมิน้อย” แล้วหันไปบอกเสียงดังกับจิตรา “ยกสำรับ” และเดินเข้าไปที่เรือนนอน

“คุณพ่อเจ้าข้า” อุษามันตราเรียกไว้

ท่านโชติระเสหันหลังกลับ

“ท่านพะลัญจะส่งใบบอกความมา แจ้งว่าจะมาถึงเรือนเรา ในอีกสามวันข้างหน้า ยามสายเจ้าข้า”

ท่านโชติระเสนิ่งงัน พึมพำกับตนเองว่า “จักมิปล่อยอุษามันตราจริงหรือ” แล้วถอนหายใจออกมายาวๆ พูดกับเธอว่า “ลูกกินข้าวกินปลาเสียก่อน แล้วค่อยหารือกัน”

“เจ้าข้า” อุษามันตรารับคำ เดินกลับเข้ามาที่เรือนนอนของตนเอง

เธอเปิดและปิดประตูในทันที ถอดแหวนถอดสร้อยและเครื่องประดับทุกชิ้นวางไว้บนโต๊ะคันฉ่อง รู้สึกโล่งที่ไม่ต้องมีของพวกนี้ติดตัวมากนัก

“เกิดเหตุใดฤา...อุษามันตรา” พระสุรเสียงคุ้นเคยดังพอให้ได้ยิน

อุษามันตราหันไปมอง จึงเดินเข้าไปใกล้ พูดกับพระองค์ว่า “ท่านสุสุทโธส่งตัวแทนมา มอบสิ่งของแทนคำขอโทษเจ้าข้า”

“พี่หมายความถึงหลังประมือ”

อุษามันตรามองพระจุฑามณีมาศ ทรงประทับนั่งเรียบร้อย เธอย่อกายลงกับพื้นข้างพระเพลา เงยหน้าขึ้น “หลังจากประมือ สุสุทโธบอกกับอุษาว่า จะไม่ปล่อยอุษาเจ้าข้า”

“เพียงแค่พูด...เท่านั้นฤา”

อุษามันตราแอบถอนหายใจ ดูเหมือนพระจุฑามณีมาศอาจรู้อะไรระแคะระคาย หรือไม่ก็อาจรู้นิสัยของสุสุทโธก็เป็นได้ จึงมีรับสั่งอย่างที่ได้ยิน เธอจึงพูดไปตามจริงว่า “สุสุทโธจับแขนของอุษา กล่าววาจาล่วงเกิน”

“แล้วมันจักลวนลามให้ได้มากน้อย ตามสันดานที่เคยเป็น” ทรงต่อคำให้ทันที

ถ้อยรับสั่งทำให้อุษามันตรารู้ว่าพระจุฑามณีมาศรู้จักสุสุทโธดีไม่น้อย และถ้าจะบอกว่าท่านโชติระเสขบกรามยามโกรธเคืองว่าน่ากลัวแล้ว เห็นทีพระจุฑามณีมาศจะน่ากลัวเสียยิ่งกว่า บอกไม่ถูกว่าทำไมพระสุรเสียงที่ได้ยินจึงทำให้รู้สึกหนาวเยือกเข้าไปถึงหัวใจ แม้สีพระพักตร์ แววพระเนตร หรือพระอิริยาบถนั้นนิ่งสงบ แต่ความรู้สึกของเธอกลับหวาดกลัวขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุจากอายตนะที่สัมผัสได้ จนเริ่มตระหนักว่าบุคคลตรงหน้ามีความน่ากลัวแบบไม่ธรรมดาแฝงอยู่เต็มเปี่ยม

“หากสุสุทโธขึ้นเป็นพระเจ้าวิเทหะ อุษามันตราน้องเจ้าคงยากนัก จักพ้นมือ แลมนสิการจักย่อยยับ ในกาลต่อมา”

สิ่งที่ได้ยินเหมือนมีของแหลมทิ่มเข้าไปในหัวใจอุษามันตราโดยตรง รับสั่งไม่ต่างจากท่านโชติระเส แต่กลับตรงประเด็นยิ่งนัก

“ทำไมพี่ปิ่นถึงคิดเช่นนั้นเจ้าข้า” เธอลองหยั่งเชิงถาม

“ผู้มัวเมาในกิเลสแลตัณหา จักสนใจสิ่งใด...มากกว่าความใคร่ได้ ใคร่มี ของตนเป็นที่ตั้ง”

“พระเจ้าวิเทหะอาจไม่ใช่สุสุทโธก็เป็นได้เจ้าข้า”

ทรงก้มพระพักตร์ ทอดพระเนตรเธอ แววตาของพระองค์ดั่งรู้เท่าทันในบางสิ่ง พระโอษฐ์ได้รูปงามดั่งคันศรนั้นเหมือนจะแย้มยิ้มน้อยๆ

“พี่ยอมพนัน ขอเสียตัวให้อุษามันตราน้องเจ้าทันที หากสิ่งที่พี่ตรองนั้นผิดไป”

อุษามันตรามองพระจุฑามณีมาศอย่างตกตะลึง “ใครเขาพนันอะไรกันแบบนั้นเจ้าข้า”

“พี่จักพนัน เมื่อเห็นว่าได้กินรวบอย่างไรละเจ้า”

อุษามันตราหัวเราะไม่ออก นี่เธอกำลังเจอทางแพร่งตรงปากเหวชัดๆ ไม่มีทางเดินให้เห็น มีแต่ทางที่ก้าวไปเมื่อไหร่ก็ตกลงหลุมลึกมาก ลึกมากๆ และลึกมากที่สุด จนอยากจะถอยหนี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เธอควรรู้ข้อมูลบางอย่างด้วยเช่นกัน

“เหตุใดพี่ปิ่นจึงคาดว่าสุสุทโธจะได้เป็นพระเจ้าวิเทหะหรือเจ้าข้า”

“สุสุทโธเป็นราชวงศ์เก่าสายหนึ่ง เส้นสายใช่น้อย หากพระนางนันทาวิลาศมิได้สิ้นบุญในการณ์นี้ มิแคล้วว่าสิ่งที่พี่ตรอง ย่อมเป็นไปเช่นนั้น”

“แล้วถ้าหากพระนางที่พี่ปิ่นว่า สิ้นบุญไปพร้อมกันล่ะเจ้าข้า”

“อาจมีผู้อื่นเถลิงราชสมบัติเป็นพระเจ้าวิเทหะ แต่ช่างยากนัก อำนาจมากน้อยในพระราชวังหลวง นับจากคุณพ่อของพี่ คุณลุงสิระสา ก็เป็นสายของสุสุทโธ พระนางนันทาวิลาส คงยากนักจักหาผู้อื่นมีอำนาจเหนือสุสุทโธได้”

ได้ฟังเพียงเท่านี้อุษามันตราก็รู้สึกใจหาย สูดลมหายใจไม่ค่อยได้กับสิ่งที่ได้ยิน เธอไม่มีข้อมูลในพระราชวังหลวงเลยสักนิดเดียว แต่พระจุฑามณีมาศรับสั่งออกมาก็ย่อมมีมูลมีความเป็นไปได้เช่นกัน และถ้าหากสิ่งที่พระองค์คาดคะเนไม่ผิดไป ก็เท่ากับว่าเวลาของเธอมีเหลือไม่ถึงห้าเดือน เพราะถ้าหากพระเจ้าวิเทหะพระองค์ใหม่เถลิงราชสมบัติเรียบร้อย โดยเฉพาะมีความเป็นไปได้ว่าสุสุทโธจะเป็นผู้นั่งเหนือบัลลังก์นั้น เธอคงไม่พ้นถูกบังคับให้เป็นบาทบริจาริกาแน่ๆ

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -




สุชาคริยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 มิ.ย. 2556, 12:43:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 มิ.ย. 2556, 13:10:11 น.

จำนวนการเข้าชม : 4896





<< บทที่ 23 (1/2) --- [ลบแล้วจ้า]   บทที่ 24 (1/2) --- [ลบแล้วจ้า] >>
แว่นใส 10 มิ.ย. 2556, 13:14:42 น.
รีบช่วยกันคิดหาทางเร็ว ๆ นะ เราไม่อยากได้คนอย่างนี้มาอยู่ด้วยเลย


imsoul 10 มิ.ย. 2556, 13:51:21 น.
สุดยอดมาก ยิ่งอ่านยิ่งติด เอาใจช่วยพี่ปิ่น น้องอุษาเจ้าขา แล้วก็เป็นกำลังให้คนเขียนด้วยนะเจ้าข้า


คิมหันตุ์ 10 มิ.ย. 2556, 14:37:49 น.
สถานการณ์บังคับแล้วสิ พ่อปิ่น


padeedee 10 มิ.ย. 2556, 15:11:16 น.
มองไม่ออกจะไปทางใดกันเนี่ย


ปอกะเจา 10 มิ.ย. 2556, 15:15:34 น.
โอ๊ยยยย ความวัวยังไม่ทันหายความควายก็เข้ามาแทรก ขอให้หาทางแก้ได้เร็วๆนะ


ทราย 10 มิ.ย. 2556, 18:00:57 น.
การพนันเป็นสิ่งไม่ดีนะเจ้าข้าพี่ปิ่น เพราะพนันอย่างนี้อาจทำให้แม่ยกแถวนี้หัวใจวายได้นะเจ้าข้า คิคิ


แพม 10 มิ.ย. 2556, 18:18:22 น.
เห็นมั้ย. บอกแล้วระวังจะโดนเคลม มัวแต่เล่นตัว รู้จักสถานะของตัวหรือยัง


ariesleo 10 มิ.ย. 2556, 18:38:44 น.
โอ้โห พนันเสียตัว แมนฝุดๆ


mhengjhy 10 มิ.ย. 2556, 18:52:13 น.
โอ๋ย เรื่องแล้วเรื่องเล่า ไม่จบไม่สิ้นทีเดียว


รักเร่ 10 มิ.ย. 2556, 20:51:21 น.
"สละทุกสิ่ง ขอคู่เคียงอุษามันตรา" ตอนอ่านประโยคนี้ครั้งแรกแล้วมันหวิวๆ ปลื้มพี่ปิ่นม้ากมาก


Amarilys 10 มิ.ย. 2556, 21:20:16 น.
อุษาน้องเจ้างานเข้าซ้ำเข้าซ้อน พี่ปิ่นแม้พี่ไม่เลือกบัลลังก์ ภัยก็วิ่งมาหาอุษาอยู่ดี อุษาบอกไปเลยจะไว้ทุกข์ให้คู่หมายสักโกฏ รอได้ก็รอไปทั้งพลัญจะกับสุสุทโธ


kaelek 10 มิ.ย. 2556, 21:42:50 น.
พนันด้วยการเสียตัวให้อุษา คิดได้ไงอ่ะ


Pat 10 มิ.ย. 2556, 22:52:09 น.
เข้าใจพนันนะเจ้าข้าพี่ปิ่น


phugan 11 มิ.ย. 2556, 07:23:14 น.
ถึงจะสละบัลลังก์อุษาก็ไม่รอดอยู่ดี....มีทางเดียวต้องสู้แล้วละพี่ปิ่น....

นิดๆหน่อยๆ พี่ปิ่นท่านก็ไม่ยอมพลาดหยอดน้ำตาลเพิ่มให้อุษาเลยนะคะ....เรียกท่านพ่อตาแต่ละทีเขินแทนอุษาจริงๆ...


nunoi 11 มิ.ย. 2556, 10:22:36 น.
เล่นพนันถึงขั้นยอมเสียตัวให้น้องอุษา ขนาดนี้เลยแปลว่าพี่ปิ่นต้องชนะแน่ๆ อิอิ


ree 12 มิ.ย. 2556, 09:57:13 น.
พนันเยี่ยงนี้ก็ได้ทั้งขึ้นทั้งล่องน่ะสิ


supayalak 12 มิ.ย. 2556, 15:43:26 น.
อุษาของป้ามีสตินะลูกมีสติ หาทางแก้ไขได้ได้น่าลูกน้า ถึงแม้ป้าอยากจะได้พระปิ่นขนาดไหน แต่ป้าก็ยังอดทนรอไหว ขอให้อุษาของป้ารอดปากเหยี่ยวปากกาไปก่อนนะลูกนะ


Okuriumi 13 มิ.ย. 2556, 16:57:23 น.
ถึ่งกับกินรวบ เลยนะ เขาคิดมากนะตาเอง


ณิณ 10 ก.ค. 2556, 20:00:45 น.
อุษาแย่แล้ว อย่างงี้พี่ปิ่นคงต้องสืบราชบัลลังค์ต่อเพื่อปกป้องน้องแน่ๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account