ดวงใจพรต
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอน 1 (ฉบับแก้ไข)
ภาคต่อจากพิศวาสทาสเหมือง ลูกชายคนที่สองของป๊ะเพลิง ในเพลิงพญาล่ารัก
ดวงใจพรต
แก้ไขเนื้อเรื่องค่ะ แนะนำว่าต้องอ่านใหม่ทั้งหมดนะคะ ตอนนี้เขียนและจัดทำเป็นรูปเล่มโดยนักเขียนเอง ...
สนใจสามารถไปลงชื่อจับจองกันได้นะค่ะ ที่แฟนเพจของ PREAM ค่ะ
https://www.facebook.com/pram18pream/photos/a.320065791513309.1073741828.318754998311055/357611447758743/?type=1&theater
ขอบคุณทุกคนที่รอคอยและติดตามผลงานค่ะ และขอโทษที่ให้รอนะคะ
ตอน 1
บนฟ้ากว้างสีคราม เมฆสีขาวลอยล่องไปตามกระแสลม ไปบดบังดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงให้ความอบอุ่นไปทั่วโลก ไกลออกไปบนท้องฟ้าที่สายตาคนมองเห็น เครื่องบินสีขาวลำหนึ่งกำลังลดเพดานบินให้ต่ำลงมาแล้วกางล้อออก ลงจอดบนสนามบินที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ผู้โดยสารที่อยู่บนเครื่องต่างทยอยเดินลงจากเครื่องมายังอาคารผู้โดยสาร
หญิงสาวคนหนึ่ง ใบหน้าสวยเก๋ รวบผมเป็นหางม้าเปิดวงหน้ารูปไข่ ดวงตากลมโตรับกับคิ้วเรียว จมูกโด่งได้รูปสวย พวงแก้มและริมฝีปากสีชมพู รูปร่างงามระหงอยู่ในชุดเดรสสีขาวแขนกุด กระโปรงยาวถึงเข่าแต่ผ่าข้างเกือบถึงโคนขา มีผ้าสีแดงเป็นเข็มขัดคาดไว้ที่เอว อวดผิวสีน้ำผึ้งนวลผ่องที่ใครๆก็อิจฉาอยากมีผิวอย่างเธอ ถือกระเป๋าสะพายสีแดงใบเล็ก เดินอย่างมั่นใจไม่สนใจใครไปที่ประตูทางออก ซึ่งมีรถยนต์คันหรูจอดรอรับอยู่ เมื่อเดินมาถึง คนที่รออยู่ ก็เปิดประตูให้เธอขึ้นไปนั่งที่เบาะหลังของรถ แล้ววิ่งไปทำหน้าที่คนขับ ขับรถออกไปจากสนามบินทันที
อีกด้านหนึ่งของสนามบินเดียวกัน ชายหนุ่มร่างสูง หุ่นสมาร์ท อกผายไหล่ผึ่งในชุดกางเกงยีนกับเสื้อเชิ้ตสีเทาพับแขนขึ้นถึงข้อศอก สวมแว่นตาดำบนใบหน้า เดินมาพร้อมผู้โดยสารคนอื่นๆมายังอาคารที่พักผู้โดยสาร เพียงก้าวเข้ามาภายในอาคาร ความโดดเด่นก็เข้าตาทุกคน โดยเฉพาะสาวๆต่างเหลียวมองเพราะรูปร่างหน้าตานั้นดูดีกว่าพระเอกหนังบางคนที่พวกเธอคลั่งไคล้เสียอีก
ชายหนุ่มชินกับการถูกมองแถมยังส่งยิ้มให้ทุกคนอีกด้วย สาวๆจึงหน้าแดงแก้มแดงไปตามๆกัน บางคนถึงกับเพ้อเดินตามเขามาทีเดียว แต่เพียงเดี๋ยวเดียวก็หยุด เพราะชายหนุ่มเดินหายไปจากสายตาแล้ว ร่างสูงเดินไปยังประตูทางออก ขึ้นรถแท็กซี่ บอกสถานที่ที่จะไป แล้วนั่งมองสองข้างทางที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นสวยงามสมกับเป็นเมืองมิลานประเทศอิตาลี
จากมุมสูงจะเห็นว่ารถยนต์สองคันวิ่งตามกันไปไม่ไกลกันมากนัก ก่อนจะแยกไปคนละทาง หญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านหลังของรถยนต์คันหรู ทอดสายตาออกมองทิวทัศน์นอกกระจกเหมือนจะสนใจ แต่จริงๆ แล้วไม่ได้จดจำปล่อยให้มันผ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง
“คุณหนูจะกลับอัลโตนิโอ...”
“ไปโรงแรม”
เสียงหวานดังขัดคำพูดของซาก้า คนขับรถที่รับใช้กันมานาน ซึ่งตวัดสายตามองด้วยความหวั่นใจ แต่เพียงเดี๋ยวเดียวก็หายไป และดึงสายตากลับไปมองถนนพร้อมทำตามคำสั่งโดยไม่ต้องถามว่าโรงแรมที่พูดถึงนั้นหมายถึงที่ใดเพราะรู้อยู่แก่ใจดีแล้ว รถยนต์วิ่งฉิวทิ้งฝุ่นที่มองแทบไม่เห็นไว้ข้างหลัง ไม่เกินชั่วโมงก็มาจอดเทียบประตูทางเข้าโรงแรมหรู เจ้าหน้าที่ฝ่ายต้อนรับโค้งคำนับให้ก่อนจะเปิดประตูรถออกกว้าง ร่างงามระหงลงมายืนข้างรถ ดวงตาดำขลับมองผ่านประตูกระจกใสเข้าไป มองผู้คนที่เดินขวักไขว่อยู่ แล้วเชิดหน้าขึ้น ก้าวเดินอย่างสง่าเข้าไปในโรงแรม
สายตาหลายคู่มองมาอย่างชื่นชมโดยเฉพาะผู้ชายหนุ่มๆ เพราะนอกจากเธอจะสวยบาดตาแล้ว รูปร่างก็ยังบาดใจ อกเอวสะโพกและเรียวขายามก้าวเดิน ดึงดูดให้ผู้ชายหลายคนเดินเฉียดเข้ามาหา หญิงสาวตวัดสายตามองพลางแย้มยิ้มเหมือนทอดสะพานแต่ไม่มีการหยุดคุยหรือทักทายใครเลย จนเข้าไปยืนอยู่ในลิฟต์ หนุ่มๆ จึงได้แต่เสียดาย
รอยยิ้มเลือนหายไปจากใบหน้า แววตานิ่งลึกลงอย่างเย็นชา สองมือกำเข้าหากันเมื่อคิดถึงสิ่งที่ทำให้เธอต้องมาที่นี่ กระทั่งประตูลิฟต์เปิดออก เธอก็ก้าวออกมาจากลิฟต์ เดินไปบนพรมแดงที่ทอดยาวไปยังจุดหมาย ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ แววตาก็เย็นชามากขึ้น แล้วมาหยุดยืนตรงรูปถ่ายที่สวยงามแต่บาดตาและบาดใจเธอเหลือเกิน โดยเฉพาะรอยยิ้มและแววตาของชายที่อยู่ในรูป ที่ครั้งหนึ่งก็เคยมีให้เธอ
‘สับปลับ’
คำนี้ดังก้องขึ้นมาในใจ แล้วตวัดสายตาไปมองประตูห้องที่ปิดสนิทอยู่ ริมฝีปากเหยียดออกหยัน พลางก้าวเดินไปที่ประตู สองมือยกขึ้นผลักประตูให้เปิดออก ห้องแกรนด์บอลรูมขนาดใหญ่ ตกแต่งอย่างสวยงาม ผู้คนมากมายสะท้อนเข้ามาในโสตประสาทตาเธอ ทั้งสุภาพสตรี สุภาพบุรุษ ทุกคนแต่งตัวดูดี พูดคุยยิ้มแย้มยินดีกับงานใหญ่งานนี้
หญิงสาวตวัดสายตามองไปรอบๆห้อง แล้วหยุดนิ่งอยู่ที่คนสำคัญที่ทำให้เธอมีชีวิตอยู่บนโลกที่กลมๆใบนี้ ซึ่งยังไม่เห็นเธอ แล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะก้าวเดินเข้าไปข้างใน มองตรงไปข้างหน้า คว้าแก้วไวน์จากบริกรที่ยืนให้บริการมาถือไว้พลางก้าวต่อไป จนใครต่อใครต้องเบี่ยงตัวเปิดทางให้เธอเป็นแถว
ด้านหน้าใกล้เวที ท่ามกลางผู้คนที่ยืนกันอยู่ หญิงสาวสวยยืนเด่นอยู่ในเดรสเกาะอกลูกไม้สีขาว กระโปรงยาวกรอมเท้า รวบผมไปไว้ด้านหลังตรึงไว้ด้วยปิ่นเพชร เปิดใบหน้างามให้สวยยิ่งขึ้น ริมฝีปากเปิดยิ้มอยู่ตลอดเวลา ยืนเคียงข้างชายหนุ่มในชุดทักซิโด้สุดหรูสีดำ มือข้างหนึ่งของทั้งคู่จับกันไว้ อีกข้างก็ถือแก้วไวน์ พูดคุยกับทุกคนที่ยืนรายล้อมอย่างถูกคอ เพราะมีเสียงหัวเราะดังแว่วขึ้นเบาๆ ไม่นานคนเหล่านั้นก็ค่อยๆเบี่ยงตัวออกด้านข้าง เพราะรู้สึกว่ามีคนเดินตรงมาหาชายหญิงที่เพิ่งเป็นคู่หมั้นกันหมาดๆในคืนนี้ แต่เป็นการทำให้ทั้งคู่ได้เห็นหญิงสาวที่เดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าพอดี
รอยยิ้มที่อยู่บนหน้าของคู่หมั้นหมาดๆ ค่อยๆจางหาย สีหน้าแววตาดูตระหนก ขณะที่มือที่จับกันอยู่ก็บีบเข้าหากันแน่น เมื่อเห็นหญิงสาวที่ทั้งคู่คิดว่าจะไม่มีวันได้พบเจอกันในวันนี้แน่นอน กลับมายืนอยู่ตรงหน้า แล้วปรับสีหน้าให้นิ่งพลางยิ้มให้ ทั้งๆที่ยากเหลือเกิน
“พี่พรีม”
หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าพี่พรีม หรือพรีมาดา อารยะ เปิดยิ้มให้กับทั้งคู่ สีหน้ากับแววตาบอกความยินดี แต่จิตใจเต็มไปด้วยความหยามเหยียด และทำเป็นมองไม่เห็นสีหน้าของทั้งคู่ที่พยายามบังคับไม่ให้ตื่นตระหนก และไม่สนใจว่าใครจะมองหรือเป็นยังไงกับการปรากฏตัวของเธอ
“พี่มาอวยพรให้เธอ แต่เกือบมาไม่ทัน ว่ามั๊ย” เสียงพูดเป็นภาษาไทย โดยไม่สนใจว่าใครจะเข้าใจหรือไม่ คนตอบจึงต้องตอบกลับด้วยภาษาเดียวกัน
“ทันซิค่ะ แพทยัง...” แพทหรือแพทิเซีย อัลโตนิโอ หญิงสาวที่ใครๆต่างก็อิจฉา เพราะโชคดีได้เป็นคู่หมั้นของทายาทผู้ยิ่งใหญ่และร่ำรวยในเมืองนี้ ต้องกล้ำกลืนความรู้สึกต่างๆไว้ ก่อนจะบอกว่า “แพทหมายถึง งานยังไม่เลิกค่ะ”
“งั้นเหรอ” เสียงตอบรับเหมือนไม่ใส่ใจพลางมองไปรอบๆห้อง ซึ่งก็ได้เห็นหลายคนขยับกับการมาของเธอ แล้วละสายตากลับมามองชายหนุ่ม ซึ่งครั้งหนึ่งเคยขอเธอให้มีวันนี้กับเขา รอยยิ้มหยันปรากฏออกมาทางแววตา ทั้งๆที่สีหน้ายังยิ้มอยู่ ก่อนจะเบนไปสบตากับหญิงสาวที่ยืนเคียงข้างเขา
“ส่งมือมาซิ พี่จะอวยพรให้ อาจจะไม่ถูกหลักสากล เพราะพี่ไม่เคยลืมรากเง้าของตัวเองว่าเป็นใครมาจากไหน งานแบบนี้ ถึงจะคุ้น แต่ทำใจให้ยอมรับไม่ได้เสียที และถึงจะข้ามขั้นตอนไปบ้าง ก็คงไม่ว่ากันใช่ไหม”
แพทิเซียรู้ดีว่าคำพูดนั้นหมายถึงอะไร เธอปรายตาไปมองคู่หมั้น อดัม เด ม็อตต้า ซึ่งไม่แน่ใจว่าเขาจะเข้าใจภาษาที่เธอพูดอยู่หรือเปล่า แต่เธอก็ต้องทำ เพราะคนที่จะอวยพรคือพี่สาว แม้จะต่างพ่อกัน แต่สายเลือดครึ่งหนึ่งก็เหมือนกัน แล้วค่อยๆยื่นมือเธอที่จับมือเขาอยู่ออกไปข้างหน้า และถ้าใครสังเกตให้ดีจะเห็นว่าปลายนิ้วของเธอนั้นสั่นน้อยๆ
พรีมาดาหลุบตามองมือทั้งคู่ แล้วแก้วไวน์ที่อยู่ในมือ ก็กลายเป็นน้ำสังข์หลั่งรดบนมือ หลายคนตกใจกับการกระทำของเธอ เพราะไม่รู้ว่าเป็นประเพณีที่ไหน เมืองใด แต่เธอไม่สนใจใคร นอกจากอวยพรทั้งคู่
“รักกันให้มากๆนะจ๊ะ รักกันให้สมกับที่ได้แอบ...” เสียงเธอหายไป แต่หัวใจของทั้งสามคนนั้นสั่นไหว ทั้งเจ็บปวด หวาดหวั่น และเจ็บใจ “ไม่ใช่ซิต้องบอกว่าให้สมกับที่มีใจให้กันและขอให้ ‘มั่นคง’ ตลอดไปนะ”
น้ำไวน์หยดสุดท้ายหยดลงพร้อมคำพูดที่จบลง และตัวเธอก็ถูกมือใครบางคนดึงออกมา แต่เธอก็ยังหันไปมองน้องสาวต่างพ่อกับผู้ชายที่เคยบอกว่า... ผมชอบคุณ
*****
ร่างงามระหงที่ถูกดึงออกไป มีสายตาของใครหลายคนมองตามไปด้วย หนึ่งในนั้น ก็คืออเลสซานโด เด ม็อตต้า หรือเรียกกันง่ายๆว่าอเล็กซ์ พี่ชายของอดัม เด ม็อตต้า คู่หมั้นหนุ่มของแพทิเซียนั่นเอง สายตาเขามองตามไปจนกระทั่งเธอหายไปจากสายตา ก็เดินมาหาน้อยชาย กระซิบพอให้ได้ยินกันแค่สองคนว่า
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร”
“พี่สาวของแพทครับ เธอชื่อพรีมหรือพรีมาดา”
คำตอบนั้นสร้างความแปลกใจให้กับอเล็กซ์ เพราะทั้งคู่ดูแตกต่างกันนัก แม้จะสวยชนิดหาตัวจับยากเหมือนกัน แต่คนหนึ่งออกเอเชีย อีกคนออกฝรั่ง อดัมเห็นความแปลกใจในแววตาพี่ชายจึงบอกว่า
“คนละพ่อกันครับ”
อเล็กซ์เข้าใจทันที แล้วหันกลับไปมองทางที่หญิงสาวเพิ่งถูกพาตัวออกไปเพราะรู้สึกถูกใจในความสวยที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ แถมสง่างามและมั่นใจในตัวเองอย่างนั้น เหมาะกับ... เขาคิดถึงบางอย่างแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย
ขณะที่หญิงสาวที่ถูกดึงตัวออกมาจากงานหมั้น ยืนอยู่กลางห้องวีไอพี เธอมองหน้าคนที่ลากตัวเธอออกมาอย่างไม่ค่อยพอใจ และไม่ใช่แค่สีหน้าที่แสดงออก ริมฝีปากก็เม้มให้เห็นเช่นกัน
“ทำไมทำแบบนั้น” เสียงห้าวดุนั้นไม่ได้ทำให้หญิงสาวหวั่นแม้แต่น้อย แถมยังตอบกลับแบบไม่เกรงใจด้วย
“แล้วจะให้พรีมทำยังไง หัวเราะ ร้องไห้ หรือตบตียัยแพทดี ที่แย่งคนรักของพรีมไป”
“ไม่มีใครแย่งใครทั้งนั้น”
“หมายความว่าไง หรือมีอะไรที่พรีมยังไม่รู้”
ถามแล้วเธอก็มองหน้าคนที่มีศักดิ์เป็นพี่ ทั้งๆที่ไม่มีสายเลือดใดๆเกี่ยวข้องกัน แต่นับถือเป็นพี่ชายเพราะเขาคือ ลีโอ อัลโตนิโอ ลูกชายของพ่อเลี้ยงกับเมียคนแรกที่หย่าขาดกันไปก่อนจะมาพบรักกับแม่ของเธอ
“ทั้งคู่รักกัน”
พรีมาดาอึ้งเหมือนโดนค้อนทุบหัว สีหน้านัยน์ตาไหวระริกอย่างสับสน พลางถามใจตัวเองว่าเจ็บไหม เจ็บ แต่ไม่รู้ว่าเจ็บเพราะรักหรือเจ็บเพราะเหมือนถูกหักหลังหรือหลอกลวงกันแน่ ที่สำคัญทุกคนทำทุกอย่างลับหลังเธอ ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดสำหรับเธอ
“รักกัน ตลกแล้วลีโอ ก็รู้ทั้งรู้ว่าเขา...” พรีมาดาหยุดคำพูดของตัวเองไว้ เมื่อเจ็บจนแทบจะพูดไม่ออกและพูดไปก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกแล้ว
ลีโอ มองสีหน้าเจ็บปวดอย่างสงสาร แม้ไม่ใช่น้องในสายเลือด แต่ความรู้สึกของเขาที่มีต่อเธอนั้นเกินกว่าคำว่าห่วงใยแบบพี่น้อง เธอเจ็บเขาก็เจ็บ แต่เขาไม่สามารถแสดงมันออกมาได้เหมือนเธอเท่านั้น จึงยกมือขึ้นลูบแขนเรียวเป็นการปลอบใจ แต่พรีมาดาไม่รับรู้ ตอนนี้สิ่งที่เธอต้องการมากที่สุดคือคำตอบที่ยืนยันสิ่งที่ได้ยินมา จึงหมุนตัวเดินไปที่ประตู แต่ประตูถูกเปิดเข้ามาก่อน
เธอนิ่งไปก่อนจะยกมือขึ้นไหว้คนที่เปิดประตูเข้ามา ซึ่งก็เดินผ่านตัวเธอเข้ามานั่งบนโซฟา เรียบร้อยแล้วก็ออกคำสั่ง “ปิดประตู แล้วมานั่งข้างๆ”
ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันเหมือนจะขัดคำสั่ง แต่สุดท้ายก็ทำตาม ปิดประตูเรียบร้อยแล้วก็เดินมานั่งบนโซฟา ส่วนลีโอก้มหน้าทักทายคนที่เพิ่งเข้ามา ตวัดสายตาส่งกำลังใจไปมองน้องต่างสายเลือดเล็กน้อย แล้วเดินออกจากห้องไป เพียงประตูปิดลง เสียงคนที่เพิ่งเข้ามาก็ดังขึ้น
“งานเสร็จแล้วเหรอ ถึงได้กลับมา”
“ค่ะ แต่แม่รู้ได้ไงคะ ว่าหนูกลับมา”
“แกทำงามหน้าอะไรไว้ละ คนถึงได้ซุบซิบกัน”
“ก็แค่การอวยพรตามโคตรเง้าของตัวเองเท่านั้น”
“เท่านั้นเอง” น้ำเสียงเยาะออกมา แล้วคิดว่าพูดไปก็เท่านั้น เพราะรู้นิสัยลูกของตัวเองดี “แล้วงานที่ว่าเสร็จนะ เร็วเกินไปหรือเปล่า การประชุมจะมีขึ้นในอาทิตย์หน้าไม่ใช่เหรอ”
“ค่ะ แต่พอดีเลื่อนประชุมให้เร็วขึ้น เพราะหุ้นส่วนบางคนติดงานสำคัญ จึงได้กลับมาก่อน”
“ไม่ได้จงใจใช่ไหม”
คำถามนี้ก่อให้เกิดรอยยิ้มหยันขึ้นบนใบหน้างาม แต่เศร้าที่ใจนัก “ทำไมถามอย่างนั้นละคะ หรือเพราะ...” เสียงเธอหายไป เมื่อไม่อยากพูดสิ่งที่เป็นคล้ายหนามที่ตำใจออกมา เชิดหน้าขึ้นเก็บกดมันให้จมลึกลงไปในอก ก็พูดต่อว่า “ไม่ได้จงใจหรอกค่ะ เป็นความบังเอิญมากกว่า แต่จะเป็นการจงใจของใครหรือเปล่านั้น หนูไม่รู้แต่อาจจะมีคนอื่นรู้ก็ได้ จริงไหมคะแม่”
คนที่เธอเรียกว่าแม่ ดวงตาขุ่นบอกความไม่พอใจออกมา “หมายความว่าไง หรือคิดว่าฉันรู้เห็นเรื่องนี้ด้วย”
“เปล่าค่ะ แต่ถ้าใครอยากจะกินปูนร้อนท้องรับไป หนูก็ไม่ว่า”
นางพรเพ็ญคอแข็งขึ้นเพราะคำพูดนั้นแทงใจนาง พลางมองลูกที่มีโครงหน้าคล้ายเธอ แต่ไม่เด่นชัดเท่าที่ได้รับมาจากคนเป็นพ่อ ซึ่งก็คืออดีตสามีห่วยๆ ที่ตายจากกันไปแล้วของเธอนั่นเอง
“งานหมั้นที่เกิดขึ้น ไม่มีใครจงใจอะไรทั้งนั้น มันเป็นความยินยอมพร้อมใจของทุกฝ่าย เป็นความรักของอดัมกับลูกแพทที่สุกงอม จึงอยากจะหมั้นกันไว้ก่อน ก่อนจะแต่งงานกันปลายปีนี้ และที่ต้องรีบหมั้นกันเพราะทั้งคู่ไม่อยากจะรอแล้วเท่านั้นเอง”
“ไม่อยากรอ แสดงว่ารักกันมาก นานแค่ไหนแล้วคะ”
“ฉันไม่รู้”
“แปลกนะคะ” เสียงเธอหยันออกมา “ทั้งที่บอกว่าทั้งคู่รักกัน แต่นานแค่ไหนกลับไม่รู้ หรือว่ารู้เห็นเป็นใจกันอยู่”
“ยัยพรีม” เสียงนางกร้าวขึ้น เมื่อรู้สึกว่ากำลังถูกลูกดูถูก “บอกแล้วว่าฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น”
“อย่างนั้นเหรอค่ะ น่าเชื่อจัง ทุกอย่างก็ช่างรวดเร็วและประจวบเหมาะดีเหลือเกิน ที่พอแมวไม่อยู่หนูร่าเริง แถมยังตกถังข้าวสารเบ้อเร่อ”
“ไม่ต้องมาแดกดันฉัน” นางว่า “และจำไว้ว่า น้องกับอดัมรักกัน ไม่ได้แย่งเรามา หรือมีเรื่องอื่นใดทั้งนั้น”
“งั้นเหรอคะ” ปากก็ว่าอย่างนั้น แต่แววตายังหยันอยู่และบอกเหมือนกับยอมรับได้แล้วว่า “เอาเถอะค่ะ เมื่อรักกัน ก็รัก หนูไม่มีอะไรหรอกค่ะ เพราะไม่มีสิทธิอะไรมานานแล้ว และไม่ต้องกลัวว่าหนูจะหันไปมองของที่หนูทิ้งไปแล้ว เพราะหนูรู้ดีว่าของที่ถูกทิ้งมันไร้ค่าแค่ไหน” พูดจบเธอก็ลุกขึ้นยืน “ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหมคะ หนูจะกลับเสียที”
“จะมีประชุมอีกเมื่อไร”
“แล้วจะมีประชุมอีกหรือเปล่า”
“ยังไม่ทราบค่ะ อยู่ที่ใครจะจัดฉากให้ไป ก็จะแจ้งมาอีกที”
แววตาของนางพรเพ็ญไหวไปเล็กน้อย แล้วรีบปรับให้นิ่ง “ตอนนี้คบใครอยู่หรือเปล่า”
คำถามนี้สร้างความแปลกใจให้พรีมาดา แล้วบอกว่า “ถ้าตอบว่าคนที่เพิ่งจะหมั้นไป แม่จะว่ายังไงคะ” แววตาของคนเป็นแม่ฉายความไม่พอใจจนเธอขำ “หนูพูดเล่นนะคะ แต่อยากรู้ว่าแม่จะถามทำไม หรืออยากจะสนใจชีวิตหนูขึ้นมา”
“ฉันแค่อยากรู้เท่านั้น”
“งั้นหนูก็ตอบแม่ไปแล้ว แค่นี้ใช่ไหมคะ ที่แม่จะคุยกับหนู ขอตัวนะคะ” พูดจบเธอก็เดินตรงไปที่ประตูห้องเพื่อเปิด แต่ยังไม่ได้เปิดออกไป เสียงคนเป็นแม่ก็ดังตามหลังมา
“เข้าใจฉันใช่ไหม”
‘ไม่เข้าใจ’
เสียงตอบในใจ แล้วเปิดประตูก้าวออกจากห้องไป โดยมีสายตาคนเป็นแม่มองตามไป ไม่กี่วินาทีก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องวีไอพีเพื่อกลับไปยังห้องจัดเลี้ยง แต่นางไปไม่ถึง เพราะมีใครบางคนมาดักรอขอพบ
*******
อาคารเด ม็อตต้า ตั้งเด่นท้าสายลมและแสงแดดอยู่บนถนนเส้นหนึ่งของเมืองมิลาน ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งแฟชั่นชั้นนำของโลก ชายหนุ่มคนหนึ่งสวมแว่นตาดำไว้บนหน้า เดินทอดน่องมาหยุดยืนอยู่หน้าอาคาร เขามองประตูทางเข้าเพียงชั่วครู่ ก็เดินตรงเข้าไปพบประชาสัมพันธ์สาวสวย ซึ่งกล่าวคำต้อนรับแขกผู้มาเยือนด้วยภาษาสากลแสนไพเราะ
“สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับสู่ เด ม็อตต้าค่ะ มีอะไรให้ช่วยไหมคะ”
“ขอบคุณครับ”
ชายหนุ่มตอบด้วยภาษาเดียวกัน แล้วบอกวัตถุประสงค์พร้อมยื่นนามบัตรเจ้าของอาคารให้ดู เพียงแค่นี้ประชาสัมพันธ์สาวสวย ก็เดินนำไปที่ลิฟต์ผู้บริหารทันที ยิ้มหวานให้แล้วเดินกลับไปทำหน้าที่ตัวเอง ชายหนุ่มมองตามมาเพียงเล็กน้อย ก็ต้องก้าวไปยืนในลิฟต์ที่เปิดออกมา กดชั้นสูงสุดของอาคารแล้วเอนหลังพิงผนัง กระทั่งลิฟต์หยุด ประตูเปิดออก ก็เดินออกมา มองซ้ายมองขวาก่อนเดินตรงไปยังห้องของคนที่มาหา
ทันทีที่เดินมาถึง เขาก็เบรกเท้าตัวเองไว้ เพราะเลขาสาวสุดเฮี้ยบลุกขึ้นเดินออกมาจากโต๊ะ ขวางเขาไว้ไม่ให้เข้าไปในห้อง เขาเปิดยิ้มเป็นใบเบิกทาง แต่เลขาสุดเฮี้ยบไม่สนใจ จึงต้องดึงแว่นตาดำออกจากใบหน้า หน้าเฮี้ยบๆของเลขาก็เหรอหราขึ้นอย่างดีใจเพราะจำได้ทันที ว่าเขาคือเพื่อนของเจ้านายนั่นเอง แม้จะไม่ได้เจอกันมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังจำได้ดีว่าชายหนุ่มคนนี้ นิสัยน่ารักแค่ไหน แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร เขาก็ขยิบตาพลางส่ายนิ้วบอกไม่ให้พูด แต่เลขาหน้าเฮี้ยบก็ยังพูดออกมา
“คุณอเล็กซ์ไม่อยู่ค่ะ แต่สั่งไว้ว่าถ้ามีแขกมาหา ให้เข้าไปรอข้างในได้ค่ะ”
ชายหนุ่มยิ้มขำคำว่าแขก แล้วเดินลอยชายเข้าไปในห้องทำงานของคนที่เขามาหา ความหรูหรานั้นทำให้เขาทึ่งในตัวเจ้าของไม่น้อย เขาเดินไปยืนอยู่ตรงกระจกใส ที่สามารถมองวิวที่สวยงามของเมืองแห่งนี้ ไม่นานก็กลับมานั่งบนโซฟานุ่มที่วางอยู่กลางห้อง เปิดหนังสือพิมพ์ นิตยสารต่างๆที่วางอยู่ ดูฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ เกือบชั่วโมงก็ได้ยินเสียงประตูห้องเปิดเข้ามา เขาหันไปมอง เปิดยิ้มให้คนที่กำลังรออยู่ แต่กลับได้ปากกาที่ขว้างมาทักทายแทน
เขายกมือขึ้นรับไว้อย่างแม่นยำ แล้วหมุนปากกาเล่นพร้อมลุกขึ้นเดินยิ้มไปหาคนที่รออยู่ ซึ่งเดินมาหาเขาเช่นกัน ทั้งคู่ยื่นมือมาจับกระชับความสัมพันธ์ที่มีให้กันอย่างแนบแน่น
“ดีใจที่นายมาได้” เสียงเจ้าของดังขึ้นก่อน
“คนใหญ่คนโตของเมืองนี้เชิญไปทั้งที ไม่มาได้ไง”
“ไม่ต้องมาแขวะฉัน” เจ้าของห้องว่า “แล้วแน่ใจหรือว่าที่มาเพราะฉันหรือสิ่งที่ฉันบอกนายไปกันแน่ ถึงได้ออกจากหุบเขามา” ไม่มีคำตอบจากคนที่มาเยือน นอกจากการยักไหล่เหมือนไม่รู้ไม่ชี้ “นายสบายดีหรือเปล่า”
“ถ้าไม่สบาย ฉันคงมาหานายไม่ได้”
คนตอบกวนจนอเล็กซ์ต้องส่งหมัดไปกระแทกที่ไหล่เบาๆ แต่โดนเอาคืนมาด้วยหมัดที่หนักไม่น้อย เขาจึงโต้กลับไปหนักเท่ากัน แล้วก็โดนซัดกลับมาอีกจนกลายเป็นว่าต้องออกแรงกันพอสมควร แต่คนที่นั่งทำงานอยู่ในห้องสบายๆหรือจะสู้คนที่ทำงานอยู่กลางหุบเขาได้ เจ้าของห้องจึงยกมือขึ้นยอมแพ้ แต่ไม่ทันหมัดสุดท้ายที่กระแทกเข้าที่ท้องอย่างจัง
“ไอ้บ้า ฉันแค่ล้อเล่น เสือกเล่นเสียหนัก” พูดจบอเล็กซ์ก็ขยับเสื้อสูทให้เข้าที่เข้าทาง พลางมองหาสัมภาระของเพื่อน “แล้วกระเป๋าเดินทางนายอยู่ไหน อย่าบอกนะว่า...”
“ไม่มี”
เขาส่ายหน้าอย่างระอาแต่ยิ้มขำ เพราะรู้จักอีกฝ่ายดีว่าชอบอะไรที่ง่ายๆ สบายๆ “นายมาแต่ตัว แต่ไม่มีอะไรมาสักอย่างอีกแล้วเหรอ”
“ใช่”
“ไอ้ผ้าขี้ริ้วห่อทอง” ว่าแล้วอเล็กซ์ก็เดินไปที่โต๊ะทำงาน เปิดลิ้นชักหยิบกุญแจออกมาสองชุด แล้วโยนให้เพื่อนซึ่งก็รับไว้ได้เช่นเคย “รถกับบ้าน นายเอาไปใช้และอยู่ให้สบาย ฉันยกให้”
“สัญญาละ”
คำพูดล้อเล่นนั้นทำให้อเล็กซ์ชี้หน้าอย่างคาดโทษ “ฉันไม่ขาย แต่ถ้านายจะตอบแทน คืนนี้เลี้ยงมือเย็นฉันก็แล้วกัน”
“ไม่มีปัญหา” ชายหนุ่มรับปากแล้วเดินไปที่ประตูห้อง แต่ยังไม่ทันได้เปิดออกไป ก็มีเสียงหยุดเขาไว้
“พรต” เจ้าของชื่อหันมามอง ริมฝีปากหยักสวยยิ้มให้พลางถามด้วยสายตาว่ามีอะไร “นายแต่งงานหรือยัง”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นเพียงนิด ก็ยกมือซ้ายให้ดูแล้วบอกว่า “นิ้วนางข้างซ้ายฉันยังว่าง”
“แต่ของฉันกำลังจะมีคนจอง”
******
รถเฟอร์รารี่สีดำ ยนตรกรรมสุดคลาสสิคของประเทศอิตาลี วิ่งออกจากอาคารเด ม็อตต้า สู่ถนนที่มุ่งไปที่คลอโซ บูโนส เเอเรส (Corso Bueno Aires) แหล่งช้อปปิ้งใหญ่ของเมือง ทายาทเพลิงพญาขับรถยนต์สุดหรูไปตามถนนพลางคิดถึงเรื่องที่เพื่อนได้บอกให้รู้ ซึ่งหมายถึงกำลังจะหมั้นหรือไม่ก็แต่งงาน แรกที่ได้ยิน เขาก็ได้แต่แปลกใจ แต่ไม่ถาม เพราะมองตาก็รู้ว่าเพื่อนยังไม่อยากเล่าให้ฟัง
เขากับอเล็กซ์รู้จักกันหลังจากที่เขากับพี่ชายนายพัชรจัดการเรื่องไอ้คนโกงจบไปเมื่อไม่นานมานี้ ความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนเกิดขึ้นจากปู่ของเขา ชีคอิมาอัลล์ บิล บิลาเราะห์ ได้แบ่งสมบัติที่มีอยู่ในวาระสุดท้ายของชีวิต ให้กับลูกๆหลานๆ ทั้งบ่อน้ำมัน ธุรกิจต่างๆ และได้ยกหุ้นที่มีอยู่ในตระกูลม็อตต้าให้ป๊ะ นั่นคือพ่อของเขา แต่ป๊ะปฏิเสธเพราะไม่ต้องการอะไรอีกแล้วนอกจากชีวิตที่สงบสุขในหุบเขาพญา
พัชรในฐานะลูกชายคนโตจึงต้องรับไว้แทน แต่เขาไม่สามารถที่จะมาดูแลได้ เพราะเพิ่งสืบทอดตำแหน่งป๊ะแทนพ่อดูแลหุบเขาพญาต่อไป และต้องดูแลแม่กระเบื้องเคลือบภรรยาสุดที่รัก ที่ท้องใกล้คลอดแล้ว ส้มจึงหล่นบนหัวเขา ที่ยังลอยชายเร่ไปก็เร่มา แม้จะมีหน้าที่ดูแลคุกทมิฬ แต่หุบเขาพญาที่สงบสุขมานาน ไม่จำเป็นต้องดูแลมากมาย แต่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นบรรดาลุงขวาน ลุงดาบและลุงปืนก็พร้อมที่จะจัดการให้ เขาจึงต้องบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาที่นี่
ครั้งแรกที่มา ก็เจอกับอเล็กซ์ที่มาต้อนรับเขาอย่างดี เพราะรู้ว่าเขาคือเจ้าของหุ้นคนใหม่ แต่เขายังไม่ให้อเล็กซ์บอกใคร เพราะไม่ต้องการเป็นที่จับตามองของใครๆ เขาชอบอยู่อย่างสบายๆง่ายๆ ดีกว่าถูกใครมาคอยตาม เขาจึงรู้จักแค่ครอบครัวม็อตต้า ซึ่งทุกคนก็น่ารักกับเขามาก เพราะปู่ของสองครอบครัวทำธุรกิจกันมานาน
เขากับอเล็กซ์ก็เข้ากันได้ดี ทุกคนจึงรักและเอ็นดูเขาด้วย และมากกว่านั้นคือหุ้นที่ปู่เขามีไม่ได้มีแค่เล็กน้อย แต่ยังมีอีกหลายอย่างที่ร่วมกันทำกับม็อตต้า ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจด้านยานยนต์ เครื่องจักร การก่อสร้าง และที่น่าตกใจคือ ทุกหุ้นที่มี ปู่ยกให้เขาหมดเลย
พรตถอนหายใจออกมายาวๆ เขาไม่ได้ดีใจกับความร่ำรวยที่มากมายนี้ เพราะโชคลาภมักมาคู่กับความเลวร้าย ที่ให้ทั้งความสุขและความทุกข์ ซึ่งเขาก็เคยเห็นมาแล้ว คุกทมิฬมีตัวอย่างของคนที่อยากร่ำรวย จนยอมเป็นแมงเม่าบินเข้ากองไฟมานักต่อนักแล้ว และสุดท้ายที่เพิ่งเกิดขึ้นและจัดการไปมาดๆ ก็คือไอ้พวกคนโกงนั่นเอง
เขาหยุดความคิดไว้ เมื่อพารถเลี้ยวเข้าไปจอดในที่จอดรถ เสร็จแล้วก็ออกเดินทอดน่องไปตามถนนที่รวมทุกอย่างไว้มากมาย ทั้งของใช้ ของกิน รวมถึงเสื้อผ้า เขาเดินมานั่งที่ร้านกาแฟ สั่งมอคค่ามาดื่มพลางมองบรรยากาศรอบๆ ที่กำลังสบาย เพราะพระอาทิตย์กำลังคล้อยต่ำลงลาลับฟ้า
แสงสุดท้ายของวันหายไป เขาก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เดินดูสินค้าที่วางขายไปเรื่อยๆถูกใจชิ้นไหนเขาก็ซื้อ ทั้งเอาไปฝากและใช้ส่วนตัว ส่วนใหญ่เป็นกางเกงยีนกับเสื้อเชิ้ตแบบสบายๆรวมถึงใส่นอนด้วย แต่ระหว่างเลือกซื้อของ หางตาเขามักจะเห็นหญิงสาวคนหนึ่งที่ดึงดูดสายตาเขาให้หันไปมองเสมอ แต่ทุกครั้งที่หันไป ก็จะเห็นแค่ด้านหลังเท่านั้น
มุมปากของพรตหยักขึ้นอย่างขำความรู้สึกตัวเอง แล้วเลิกสนใจ หันหลังเดินกลับไปที่รถ โดยไม่เห็นว่าเพียงเขาหันหลัง หญิงสาวคนนั้นก็หันหน้ามามองที่ๆเขายืนอยู่ สายตาเธอมองไปรอบๆ ก่อนจะหันกลับมามองคนขับรถที่ยืนอยู่ข้างๆ และถามเธอว่า
“คุณหนูจะไปไหนต่อครับ”
หญิงสาวไม่ตอบว่าจะไปไหน แต่กลับบอกว่า “ขอกุญแจรถด้วยค่ะ”
วาเลน ติ ซาก้า คนขับรถวัยห้าสิบ นิ่งไปเพราะพอที่จะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นอยู่บ้าง จึงไม่อยากจะให้กุญแจรถกับหญิงสาวในสภาวะที่จิตใจของเธอไม่นิ่งพอเพราะอาจจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาได้ จึงบอกด้วยความเป็นห่วงว่า “คุณหนูน่าจะกลับอัลโตนิโอ”
“ยังไม่ใช่ตอนนี้” พรีมาดาบอกแล้วยกมือขึ้นขอกุญแจ ซาก้ามีสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ต้องส่งกุญแจให้ เธอรับกุญแจมาพร้อมบอกว่า “กลับไปที่อัลโตนิโอเถอะ ฉันดูแลตัวเองได้”
พูดจบเธอก็หมุนตัวเดินไปที่รถ โดยมีซาก้ามองตามไป ภาพที่เธอก้าวเดินค่อยๆย่อเล็กลงจนกลายเป็นภาพเด็กหญิงในวันวานหน้าตาน่ารัก เส้นผมดำขลับ ดวงตากลมโต ผิวสีน้ำผึ้งเนียนสวย ก้าวเข้ามาในชีวิตเขา พร้อมหญิงสาวอีกคนที่กลายมาเป็นคุณผู้หญิงของอัลโตนิโอ หลังจากนั้นเวลาก็นำพาทุกอย่างให้เกิดขึ้น เปลี่ยนไป จนมาถึงปัจจุบัน
*******
รถยนต์คันหรูเปิดกระจกทั้งสองข้างวิ่งไปบนถนนที่ทอดยาวสุดสายตา สายลมพัดมาปะทะหน้าหญิงสาวที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย ดวงตาทอดมองไปข้างหน้า ขณะสมองครุ่นคิดถึงชีวิตตัวเอง ภาพตั้งแต่เด็กที่ต้องจากแผ่นดินเกิดมาเติบโตในแผ่นดินนี้ ชีวิตที่ทุกคนต่างบอกว่าโชคดีและอวยพรให้มีความสุข ความจริงแล้วมันไม่ใช่เลย!
ผู้คนที่ไม่รู้จัก ภาษาที่พูดไม่ได้ วัฒนธรรมที่ไม่คุ้นเคย ทำให้เธอเหมือนลอยอยู่กลางทะเล มีขอนไม้ให้เกาะพยุงตัว พอที่จะว่ายน้ำไปได้บ้าง แต่ไม่นานขอนไม้ก็ค่อยๆถอยห่างลอยหายออกไป ในที่สุดก็ทิ้งให้เธอเหนื่อยล้าอยู่คนเดียว สุดท้ายก็จบลงด้วยภาพชื่นมื่นของคู่หมั้นวันนี้ มือที่จับพวงมาลัยกำเข้าหากันแน่น ก่อนจะเหยียบคันเร่งจนล้อบดกับถนนดัง...เอี๊ยด!
หญิงสาวกะพริบตาพร้อมกับปลดปล่อยลมหายใจที่เก็บกดทุกสิ่งทุกอย่างไว้ออกมา กระทั่งเป็นปกติก็ขับรถออกไปเรื่อยๆ ไม่นานก็หักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าจอดที่ร้านอาหารริมทะเลสาบ
ดวงอาทิตย์เจ้าแห่งแสงสว่างในเวลากลางวันลับหายไป ดวงจันทร์เจ้าแห่งแสงในเวลากลางคืนก็ลอยเด่นขึ้นมา โดยมีดวงดาราส่องแสงระยิบระยับอยู่เคียงข้าง รถเฟอร์รารี่คันหรูวิ่งมาจอดอีกด้านของผับริมทะเลสาบ พนักงานต้อนรับวิ่งมาเปิดประตูให้ทันที คนขับที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตพับแขนแค่ศอก ปล่อยชายเสื้อไว้นอกกางเกงอย่างสบายๆ ก้าวลงมายืนข้างรถ ยิ้มให้พนักงานที่โค้งต้อนรับเล็กน้อย ก็กวาดตามองไปรอบบริเวณผับ ซึ่งมีที่นั่งทั้งข้างในและข้างนอก จัดไว้ให้ลูกค้าได้เลือกนั่งตามความต้องการ
พรตกดกุญแจล็อกรถแล้วเดินไปหาที่นั่งริมทะเลสาบ เพื่อจะมองแสงสีและบรรยากาศที่งดงามของเมืองแฟชั่น แต่ดูเหมือนทุกที่จะถูกจับจองไว้หมดแล้ว ผู้คนหลายวัยทั้งผมดำผมทอง มาเดี่ยวมาคู่ นั่งกันอยู่เต็มไปหมด แต่เขาก็ยังเดินดู เผื่อจะมีที่วางให้นั่ง กระทั่งไม่มีแล้วจริงๆ จึงหมุนตัวเพื่อเดินไปหาที่นั่งข้างใน แต่ก้าวได้เพียงสองสามก้าว ข้อมือก็ถูกยึดไว้ ทำให้ต้องหลุบตาลงมองคนจับ
“ดื่มด้วยกานหม้ายคะ ฉันเลี้ยงเอง”
เสียงภาษาสากลแบบลิ้นไก่พันกันเล็กน้อยบอกให้เขารู้ว่าเธอเมา เขามองใบหน้าสวยเก๋ ดวงตากลมโตรับกับจมูกโด่งเชิด พวงแก้มนุ่มและริมฝีปากอิ่ม ผิวสีน้ำผึ้งบอกชนชาติเอเชีย แต่แววตาไร้การเชิญชวน คิ้วเข้มก็เลิกขึ้นด้วยความแปลกใจ และอยากจะนั่งลง เพราะไม่งั้นอาจจะเสียเชิงชาย สุภาพสตรีเชิญทั้งที ไม่ตอบรับไมตรีก็กระไรอยู่ แต่...ท่าทางที่ง่ายเกินไป บางทีก็อันตราย ยิ่งไม่ใช่ถิ่นเกิด เขาก็ไม่อยากจะเสี่ยง
“ขอโทษนะคนสวย ผมไม่ว่าง”
“ฉันจ้าง"
มุมปากเขายกขึ้นยิ้ม ที่จู่ๆก็ถูกผู้หญิงว่าจ้างให้นั่งอย่างกับผู้ชายที่ให้บริการผู้หญิงรักสนุกสุดขี้เหงา พลางตวัดตามองไปรอบๆ เพื่อเช็กความปลอดภัย และเมื่อไม่เห็นอะไรที่น่าสงสัย ก็เริ่มสนุก อย่างน้อยก็ฆ่าเวลารออเล็กซ์ จึงก้มหน้าลงไปใกล้พร้อมกับบอกว่า
“เสนอมาซิ ถ้าน่าสนใจ ผมอาจจะนั่งด้วย”
“ร้อยเหรียญ”
“ตีราคาผมถูกจัง” เขาแสร้งโอด
“หนึ่งพัน” เสียงเธอเสนอขึ้นตามดีกรีของแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป แต่พรตก็ยังเฉย เธอจึงเสนอสูงขึ้นไปอีก ก่อนจะหยุดเมื่อพรตบอกว่า
“เงินไม่เอา เอาตัวได้ไหม”
“หม้ายได้ค่ะ” เสียงปฏิเสธออกมาทันที “เพราะฉันมีคนจองแล้ว” เธอพูดด้วยความเมาโดยไม่รู้ว่ากำลังจะเป็นจริง ส่วนคนฟังก็ฟังผ่านๆไปเท่านั้นเอง
“น่าเสียดาย” เขาว่าแล้วก็ผละไป แต่ต้องหันกลับมามอง เมื่อได้ยินเสียงเธอบอกว่า
“อยากจะลงแข่งหม้ายคะ”
*********
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ค่ะ
ดวงใจพรต
แก้ไขเนื้อเรื่องค่ะ แนะนำว่าต้องอ่านใหม่ทั้งหมดนะคะ ตอนนี้เขียนและจัดทำเป็นรูปเล่มโดยนักเขียนเอง ...
สนใจสามารถไปลงชื่อจับจองกันได้นะค่ะ ที่แฟนเพจของ PREAM ค่ะ
https://www.facebook.com/pram18pream/photos/a.320065791513309.1073741828.318754998311055/357611447758743/?type=1&theater
ขอบคุณทุกคนที่รอคอยและติดตามผลงานค่ะ และขอโทษที่ให้รอนะคะ
ตอน 1
บนฟ้ากว้างสีคราม เมฆสีขาวลอยล่องไปตามกระแสลม ไปบดบังดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงให้ความอบอุ่นไปทั่วโลก ไกลออกไปบนท้องฟ้าที่สายตาคนมองเห็น เครื่องบินสีขาวลำหนึ่งกำลังลดเพดานบินให้ต่ำลงมาแล้วกางล้อออก ลงจอดบนสนามบินที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ผู้โดยสารที่อยู่บนเครื่องต่างทยอยเดินลงจากเครื่องมายังอาคารผู้โดยสาร
หญิงสาวคนหนึ่ง ใบหน้าสวยเก๋ รวบผมเป็นหางม้าเปิดวงหน้ารูปไข่ ดวงตากลมโตรับกับคิ้วเรียว จมูกโด่งได้รูปสวย พวงแก้มและริมฝีปากสีชมพู รูปร่างงามระหงอยู่ในชุดเดรสสีขาวแขนกุด กระโปรงยาวถึงเข่าแต่ผ่าข้างเกือบถึงโคนขา มีผ้าสีแดงเป็นเข็มขัดคาดไว้ที่เอว อวดผิวสีน้ำผึ้งนวลผ่องที่ใครๆก็อิจฉาอยากมีผิวอย่างเธอ ถือกระเป๋าสะพายสีแดงใบเล็ก เดินอย่างมั่นใจไม่สนใจใครไปที่ประตูทางออก ซึ่งมีรถยนต์คันหรูจอดรอรับอยู่ เมื่อเดินมาถึง คนที่รออยู่ ก็เปิดประตูให้เธอขึ้นไปนั่งที่เบาะหลังของรถ แล้ววิ่งไปทำหน้าที่คนขับ ขับรถออกไปจากสนามบินทันที
อีกด้านหนึ่งของสนามบินเดียวกัน ชายหนุ่มร่างสูง หุ่นสมาร์ท อกผายไหล่ผึ่งในชุดกางเกงยีนกับเสื้อเชิ้ตสีเทาพับแขนขึ้นถึงข้อศอก สวมแว่นตาดำบนใบหน้า เดินมาพร้อมผู้โดยสารคนอื่นๆมายังอาคารที่พักผู้โดยสาร เพียงก้าวเข้ามาภายในอาคาร ความโดดเด่นก็เข้าตาทุกคน โดยเฉพาะสาวๆต่างเหลียวมองเพราะรูปร่างหน้าตานั้นดูดีกว่าพระเอกหนังบางคนที่พวกเธอคลั่งไคล้เสียอีก
ชายหนุ่มชินกับการถูกมองแถมยังส่งยิ้มให้ทุกคนอีกด้วย สาวๆจึงหน้าแดงแก้มแดงไปตามๆกัน บางคนถึงกับเพ้อเดินตามเขามาทีเดียว แต่เพียงเดี๋ยวเดียวก็หยุด เพราะชายหนุ่มเดินหายไปจากสายตาแล้ว ร่างสูงเดินไปยังประตูทางออก ขึ้นรถแท็กซี่ บอกสถานที่ที่จะไป แล้วนั่งมองสองข้างทางที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นสวยงามสมกับเป็นเมืองมิลานประเทศอิตาลี
จากมุมสูงจะเห็นว่ารถยนต์สองคันวิ่งตามกันไปไม่ไกลกันมากนัก ก่อนจะแยกไปคนละทาง หญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านหลังของรถยนต์คันหรู ทอดสายตาออกมองทิวทัศน์นอกกระจกเหมือนจะสนใจ แต่จริงๆ แล้วไม่ได้จดจำปล่อยให้มันผ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง
“คุณหนูจะกลับอัลโตนิโอ...”
“ไปโรงแรม”
เสียงหวานดังขัดคำพูดของซาก้า คนขับรถที่รับใช้กันมานาน ซึ่งตวัดสายตามองด้วยความหวั่นใจ แต่เพียงเดี๋ยวเดียวก็หายไป และดึงสายตากลับไปมองถนนพร้อมทำตามคำสั่งโดยไม่ต้องถามว่าโรงแรมที่พูดถึงนั้นหมายถึงที่ใดเพราะรู้อยู่แก่ใจดีแล้ว รถยนต์วิ่งฉิวทิ้งฝุ่นที่มองแทบไม่เห็นไว้ข้างหลัง ไม่เกินชั่วโมงก็มาจอดเทียบประตูทางเข้าโรงแรมหรู เจ้าหน้าที่ฝ่ายต้อนรับโค้งคำนับให้ก่อนจะเปิดประตูรถออกกว้าง ร่างงามระหงลงมายืนข้างรถ ดวงตาดำขลับมองผ่านประตูกระจกใสเข้าไป มองผู้คนที่เดินขวักไขว่อยู่ แล้วเชิดหน้าขึ้น ก้าวเดินอย่างสง่าเข้าไปในโรงแรม
สายตาหลายคู่มองมาอย่างชื่นชมโดยเฉพาะผู้ชายหนุ่มๆ เพราะนอกจากเธอจะสวยบาดตาแล้ว รูปร่างก็ยังบาดใจ อกเอวสะโพกและเรียวขายามก้าวเดิน ดึงดูดให้ผู้ชายหลายคนเดินเฉียดเข้ามาหา หญิงสาวตวัดสายตามองพลางแย้มยิ้มเหมือนทอดสะพานแต่ไม่มีการหยุดคุยหรือทักทายใครเลย จนเข้าไปยืนอยู่ในลิฟต์ หนุ่มๆ จึงได้แต่เสียดาย
รอยยิ้มเลือนหายไปจากใบหน้า แววตานิ่งลึกลงอย่างเย็นชา สองมือกำเข้าหากันเมื่อคิดถึงสิ่งที่ทำให้เธอต้องมาที่นี่ กระทั่งประตูลิฟต์เปิดออก เธอก็ก้าวออกมาจากลิฟต์ เดินไปบนพรมแดงที่ทอดยาวไปยังจุดหมาย ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ แววตาก็เย็นชามากขึ้น แล้วมาหยุดยืนตรงรูปถ่ายที่สวยงามแต่บาดตาและบาดใจเธอเหลือเกิน โดยเฉพาะรอยยิ้มและแววตาของชายที่อยู่ในรูป ที่ครั้งหนึ่งก็เคยมีให้เธอ
‘สับปลับ’
คำนี้ดังก้องขึ้นมาในใจ แล้วตวัดสายตาไปมองประตูห้องที่ปิดสนิทอยู่ ริมฝีปากเหยียดออกหยัน พลางก้าวเดินไปที่ประตู สองมือยกขึ้นผลักประตูให้เปิดออก ห้องแกรนด์บอลรูมขนาดใหญ่ ตกแต่งอย่างสวยงาม ผู้คนมากมายสะท้อนเข้ามาในโสตประสาทตาเธอ ทั้งสุภาพสตรี สุภาพบุรุษ ทุกคนแต่งตัวดูดี พูดคุยยิ้มแย้มยินดีกับงานใหญ่งานนี้
หญิงสาวตวัดสายตามองไปรอบๆห้อง แล้วหยุดนิ่งอยู่ที่คนสำคัญที่ทำให้เธอมีชีวิตอยู่บนโลกที่กลมๆใบนี้ ซึ่งยังไม่เห็นเธอ แล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะก้าวเดินเข้าไปข้างใน มองตรงไปข้างหน้า คว้าแก้วไวน์จากบริกรที่ยืนให้บริการมาถือไว้พลางก้าวต่อไป จนใครต่อใครต้องเบี่ยงตัวเปิดทางให้เธอเป็นแถว
ด้านหน้าใกล้เวที ท่ามกลางผู้คนที่ยืนกันอยู่ หญิงสาวสวยยืนเด่นอยู่ในเดรสเกาะอกลูกไม้สีขาว กระโปรงยาวกรอมเท้า รวบผมไปไว้ด้านหลังตรึงไว้ด้วยปิ่นเพชร เปิดใบหน้างามให้สวยยิ่งขึ้น ริมฝีปากเปิดยิ้มอยู่ตลอดเวลา ยืนเคียงข้างชายหนุ่มในชุดทักซิโด้สุดหรูสีดำ มือข้างหนึ่งของทั้งคู่จับกันไว้ อีกข้างก็ถือแก้วไวน์ พูดคุยกับทุกคนที่ยืนรายล้อมอย่างถูกคอ เพราะมีเสียงหัวเราะดังแว่วขึ้นเบาๆ ไม่นานคนเหล่านั้นก็ค่อยๆเบี่ยงตัวออกด้านข้าง เพราะรู้สึกว่ามีคนเดินตรงมาหาชายหญิงที่เพิ่งเป็นคู่หมั้นกันหมาดๆในคืนนี้ แต่เป็นการทำให้ทั้งคู่ได้เห็นหญิงสาวที่เดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าพอดี
รอยยิ้มที่อยู่บนหน้าของคู่หมั้นหมาดๆ ค่อยๆจางหาย สีหน้าแววตาดูตระหนก ขณะที่มือที่จับกันอยู่ก็บีบเข้าหากันแน่น เมื่อเห็นหญิงสาวที่ทั้งคู่คิดว่าจะไม่มีวันได้พบเจอกันในวันนี้แน่นอน กลับมายืนอยู่ตรงหน้า แล้วปรับสีหน้าให้นิ่งพลางยิ้มให้ ทั้งๆที่ยากเหลือเกิน
“พี่พรีม”
หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าพี่พรีม หรือพรีมาดา อารยะ เปิดยิ้มให้กับทั้งคู่ สีหน้ากับแววตาบอกความยินดี แต่จิตใจเต็มไปด้วยความหยามเหยียด และทำเป็นมองไม่เห็นสีหน้าของทั้งคู่ที่พยายามบังคับไม่ให้ตื่นตระหนก และไม่สนใจว่าใครจะมองหรือเป็นยังไงกับการปรากฏตัวของเธอ
“พี่มาอวยพรให้เธอ แต่เกือบมาไม่ทัน ว่ามั๊ย” เสียงพูดเป็นภาษาไทย โดยไม่สนใจว่าใครจะเข้าใจหรือไม่ คนตอบจึงต้องตอบกลับด้วยภาษาเดียวกัน
“ทันซิค่ะ แพทยัง...” แพทหรือแพทิเซีย อัลโตนิโอ หญิงสาวที่ใครๆต่างก็อิจฉา เพราะโชคดีได้เป็นคู่หมั้นของทายาทผู้ยิ่งใหญ่และร่ำรวยในเมืองนี้ ต้องกล้ำกลืนความรู้สึกต่างๆไว้ ก่อนจะบอกว่า “แพทหมายถึง งานยังไม่เลิกค่ะ”
“งั้นเหรอ” เสียงตอบรับเหมือนไม่ใส่ใจพลางมองไปรอบๆห้อง ซึ่งก็ได้เห็นหลายคนขยับกับการมาของเธอ แล้วละสายตากลับมามองชายหนุ่ม ซึ่งครั้งหนึ่งเคยขอเธอให้มีวันนี้กับเขา รอยยิ้มหยันปรากฏออกมาทางแววตา ทั้งๆที่สีหน้ายังยิ้มอยู่ ก่อนจะเบนไปสบตากับหญิงสาวที่ยืนเคียงข้างเขา
“ส่งมือมาซิ พี่จะอวยพรให้ อาจจะไม่ถูกหลักสากล เพราะพี่ไม่เคยลืมรากเง้าของตัวเองว่าเป็นใครมาจากไหน งานแบบนี้ ถึงจะคุ้น แต่ทำใจให้ยอมรับไม่ได้เสียที และถึงจะข้ามขั้นตอนไปบ้าง ก็คงไม่ว่ากันใช่ไหม”
แพทิเซียรู้ดีว่าคำพูดนั้นหมายถึงอะไร เธอปรายตาไปมองคู่หมั้น อดัม เด ม็อตต้า ซึ่งไม่แน่ใจว่าเขาจะเข้าใจภาษาที่เธอพูดอยู่หรือเปล่า แต่เธอก็ต้องทำ เพราะคนที่จะอวยพรคือพี่สาว แม้จะต่างพ่อกัน แต่สายเลือดครึ่งหนึ่งก็เหมือนกัน แล้วค่อยๆยื่นมือเธอที่จับมือเขาอยู่ออกไปข้างหน้า และถ้าใครสังเกตให้ดีจะเห็นว่าปลายนิ้วของเธอนั้นสั่นน้อยๆ
พรีมาดาหลุบตามองมือทั้งคู่ แล้วแก้วไวน์ที่อยู่ในมือ ก็กลายเป็นน้ำสังข์หลั่งรดบนมือ หลายคนตกใจกับการกระทำของเธอ เพราะไม่รู้ว่าเป็นประเพณีที่ไหน เมืองใด แต่เธอไม่สนใจใคร นอกจากอวยพรทั้งคู่
“รักกันให้มากๆนะจ๊ะ รักกันให้สมกับที่ได้แอบ...” เสียงเธอหายไป แต่หัวใจของทั้งสามคนนั้นสั่นไหว ทั้งเจ็บปวด หวาดหวั่น และเจ็บใจ “ไม่ใช่ซิต้องบอกว่าให้สมกับที่มีใจให้กันและขอให้ ‘มั่นคง’ ตลอดไปนะ”
น้ำไวน์หยดสุดท้ายหยดลงพร้อมคำพูดที่จบลง และตัวเธอก็ถูกมือใครบางคนดึงออกมา แต่เธอก็ยังหันไปมองน้องสาวต่างพ่อกับผู้ชายที่เคยบอกว่า... ผมชอบคุณ
*****
ร่างงามระหงที่ถูกดึงออกไป มีสายตาของใครหลายคนมองตามไปด้วย หนึ่งในนั้น ก็คืออเลสซานโด เด ม็อตต้า หรือเรียกกันง่ายๆว่าอเล็กซ์ พี่ชายของอดัม เด ม็อตต้า คู่หมั้นหนุ่มของแพทิเซียนั่นเอง สายตาเขามองตามไปจนกระทั่งเธอหายไปจากสายตา ก็เดินมาหาน้อยชาย กระซิบพอให้ได้ยินกันแค่สองคนว่า
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร”
“พี่สาวของแพทครับ เธอชื่อพรีมหรือพรีมาดา”
คำตอบนั้นสร้างความแปลกใจให้กับอเล็กซ์ เพราะทั้งคู่ดูแตกต่างกันนัก แม้จะสวยชนิดหาตัวจับยากเหมือนกัน แต่คนหนึ่งออกเอเชีย อีกคนออกฝรั่ง อดัมเห็นความแปลกใจในแววตาพี่ชายจึงบอกว่า
“คนละพ่อกันครับ”
อเล็กซ์เข้าใจทันที แล้วหันกลับไปมองทางที่หญิงสาวเพิ่งถูกพาตัวออกไปเพราะรู้สึกถูกใจในความสวยที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ แถมสง่างามและมั่นใจในตัวเองอย่างนั้น เหมาะกับ... เขาคิดถึงบางอย่างแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย
ขณะที่หญิงสาวที่ถูกดึงตัวออกมาจากงานหมั้น ยืนอยู่กลางห้องวีไอพี เธอมองหน้าคนที่ลากตัวเธอออกมาอย่างไม่ค่อยพอใจ และไม่ใช่แค่สีหน้าที่แสดงออก ริมฝีปากก็เม้มให้เห็นเช่นกัน
“ทำไมทำแบบนั้น” เสียงห้าวดุนั้นไม่ได้ทำให้หญิงสาวหวั่นแม้แต่น้อย แถมยังตอบกลับแบบไม่เกรงใจด้วย
“แล้วจะให้พรีมทำยังไง หัวเราะ ร้องไห้ หรือตบตียัยแพทดี ที่แย่งคนรักของพรีมไป”
“ไม่มีใครแย่งใครทั้งนั้น”
“หมายความว่าไง หรือมีอะไรที่พรีมยังไม่รู้”
ถามแล้วเธอก็มองหน้าคนที่มีศักดิ์เป็นพี่ ทั้งๆที่ไม่มีสายเลือดใดๆเกี่ยวข้องกัน แต่นับถือเป็นพี่ชายเพราะเขาคือ ลีโอ อัลโตนิโอ ลูกชายของพ่อเลี้ยงกับเมียคนแรกที่หย่าขาดกันไปก่อนจะมาพบรักกับแม่ของเธอ
“ทั้งคู่รักกัน”
พรีมาดาอึ้งเหมือนโดนค้อนทุบหัว สีหน้านัยน์ตาไหวระริกอย่างสับสน พลางถามใจตัวเองว่าเจ็บไหม เจ็บ แต่ไม่รู้ว่าเจ็บเพราะรักหรือเจ็บเพราะเหมือนถูกหักหลังหรือหลอกลวงกันแน่ ที่สำคัญทุกคนทำทุกอย่างลับหลังเธอ ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดสำหรับเธอ
“รักกัน ตลกแล้วลีโอ ก็รู้ทั้งรู้ว่าเขา...” พรีมาดาหยุดคำพูดของตัวเองไว้ เมื่อเจ็บจนแทบจะพูดไม่ออกและพูดไปก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกแล้ว
ลีโอ มองสีหน้าเจ็บปวดอย่างสงสาร แม้ไม่ใช่น้องในสายเลือด แต่ความรู้สึกของเขาที่มีต่อเธอนั้นเกินกว่าคำว่าห่วงใยแบบพี่น้อง เธอเจ็บเขาก็เจ็บ แต่เขาไม่สามารถแสดงมันออกมาได้เหมือนเธอเท่านั้น จึงยกมือขึ้นลูบแขนเรียวเป็นการปลอบใจ แต่พรีมาดาไม่รับรู้ ตอนนี้สิ่งที่เธอต้องการมากที่สุดคือคำตอบที่ยืนยันสิ่งที่ได้ยินมา จึงหมุนตัวเดินไปที่ประตู แต่ประตูถูกเปิดเข้ามาก่อน
เธอนิ่งไปก่อนจะยกมือขึ้นไหว้คนที่เปิดประตูเข้ามา ซึ่งก็เดินผ่านตัวเธอเข้ามานั่งบนโซฟา เรียบร้อยแล้วก็ออกคำสั่ง “ปิดประตู แล้วมานั่งข้างๆ”
ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันเหมือนจะขัดคำสั่ง แต่สุดท้ายก็ทำตาม ปิดประตูเรียบร้อยแล้วก็เดินมานั่งบนโซฟา ส่วนลีโอก้มหน้าทักทายคนที่เพิ่งเข้ามา ตวัดสายตาส่งกำลังใจไปมองน้องต่างสายเลือดเล็กน้อย แล้วเดินออกจากห้องไป เพียงประตูปิดลง เสียงคนที่เพิ่งเข้ามาก็ดังขึ้น
“งานเสร็จแล้วเหรอ ถึงได้กลับมา”
“ค่ะ แต่แม่รู้ได้ไงคะ ว่าหนูกลับมา”
“แกทำงามหน้าอะไรไว้ละ คนถึงได้ซุบซิบกัน”
“ก็แค่การอวยพรตามโคตรเง้าของตัวเองเท่านั้น”
“เท่านั้นเอง” น้ำเสียงเยาะออกมา แล้วคิดว่าพูดไปก็เท่านั้น เพราะรู้นิสัยลูกของตัวเองดี “แล้วงานที่ว่าเสร็จนะ เร็วเกินไปหรือเปล่า การประชุมจะมีขึ้นในอาทิตย์หน้าไม่ใช่เหรอ”
“ค่ะ แต่พอดีเลื่อนประชุมให้เร็วขึ้น เพราะหุ้นส่วนบางคนติดงานสำคัญ จึงได้กลับมาก่อน”
“ไม่ได้จงใจใช่ไหม”
คำถามนี้ก่อให้เกิดรอยยิ้มหยันขึ้นบนใบหน้างาม แต่เศร้าที่ใจนัก “ทำไมถามอย่างนั้นละคะ หรือเพราะ...” เสียงเธอหายไป เมื่อไม่อยากพูดสิ่งที่เป็นคล้ายหนามที่ตำใจออกมา เชิดหน้าขึ้นเก็บกดมันให้จมลึกลงไปในอก ก็พูดต่อว่า “ไม่ได้จงใจหรอกค่ะ เป็นความบังเอิญมากกว่า แต่จะเป็นการจงใจของใครหรือเปล่านั้น หนูไม่รู้แต่อาจจะมีคนอื่นรู้ก็ได้ จริงไหมคะแม่”
คนที่เธอเรียกว่าแม่ ดวงตาขุ่นบอกความไม่พอใจออกมา “หมายความว่าไง หรือคิดว่าฉันรู้เห็นเรื่องนี้ด้วย”
“เปล่าค่ะ แต่ถ้าใครอยากจะกินปูนร้อนท้องรับไป หนูก็ไม่ว่า”
นางพรเพ็ญคอแข็งขึ้นเพราะคำพูดนั้นแทงใจนาง พลางมองลูกที่มีโครงหน้าคล้ายเธอ แต่ไม่เด่นชัดเท่าที่ได้รับมาจากคนเป็นพ่อ ซึ่งก็คืออดีตสามีห่วยๆ ที่ตายจากกันไปแล้วของเธอนั่นเอง
“งานหมั้นที่เกิดขึ้น ไม่มีใครจงใจอะไรทั้งนั้น มันเป็นความยินยอมพร้อมใจของทุกฝ่าย เป็นความรักของอดัมกับลูกแพทที่สุกงอม จึงอยากจะหมั้นกันไว้ก่อน ก่อนจะแต่งงานกันปลายปีนี้ และที่ต้องรีบหมั้นกันเพราะทั้งคู่ไม่อยากจะรอแล้วเท่านั้นเอง”
“ไม่อยากรอ แสดงว่ารักกันมาก นานแค่ไหนแล้วคะ”
“ฉันไม่รู้”
“แปลกนะคะ” เสียงเธอหยันออกมา “ทั้งที่บอกว่าทั้งคู่รักกัน แต่นานแค่ไหนกลับไม่รู้ หรือว่ารู้เห็นเป็นใจกันอยู่”
“ยัยพรีม” เสียงนางกร้าวขึ้น เมื่อรู้สึกว่ากำลังถูกลูกดูถูก “บอกแล้วว่าฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น”
“อย่างนั้นเหรอค่ะ น่าเชื่อจัง ทุกอย่างก็ช่างรวดเร็วและประจวบเหมาะดีเหลือเกิน ที่พอแมวไม่อยู่หนูร่าเริง แถมยังตกถังข้าวสารเบ้อเร่อ”
“ไม่ต้องมาแดกดันฉัน” นางว่า “และจำไว้ว่า น้องกับอดัมรักกัน ไม่ได้แย่งเรามา หรือมีเรื่องอื่นใดทั้งนั้น”
“งั้นเหรอคะ” ปากก็ว่าอย่างนั้น แต่แววตายังหยันอยู่และบอกเหมือนกับยอมรับได้แล้วว่า “เอาเถอะค่ะ เมื่อรักกัน ก็รัก หนูไม่มีอะไรหรอกค่ะ เพราะไม่มีสิทธิอะไรมานานแล้ว และไม่ต้องกลัวว่าหนูจะหันไปมองของที่หนูทิ้งไปแล้ว เพราะหนูรู้ดีว่าของที่ถูกทิ้งมันไร้ค่าแค่ไหน” พูดจบเธอก็ลุกขึ้นยืน “ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหมคะ หนูจะกลับเสียที”
“จะมีประชุมอีกเมื่อไร”
“แล้วจะมีประชุมอีกหรือเปล่า”
“ยังไม่ทราบค่ะ อยู่ที่ใครจะจัดฉากให้ไป ก็จะแจ้งมาอีกที”
แววตาของนางพรเพ็ญไหวไปเล็กน้อย แล้วรีบปรับให้นิ่ง “ตอนนี้คบใครอยู่หรือเปล่า”
คำถามนี้สร้างความแปลกใจให้พรีมาดา แล้วบอกว่า “ถ้าตอบว่าคนที่เพิ่งจะหมั้นไป แม่จะว่ายังไงคะ” แววตาของคนเป็นแม่ฉายความไม่พอใจจนเธอขำ “หนูพูดเล่นนะคะ แต่อยากรู้ว่าแม่จะถามทำไม หรืออยากจะสนใจชีวิตหนูขึ้นมา”
“ฉันแค่อยากรู้เท่านั้น”
“งั้นหนูก็ตอบแม่ไปแล้ว แค่นี้ใช่ไหมคะ ที่แม่จะคุยกับหนู ขอตัวนะคะ” พูดจบเธอก็เดินตรงไปที่ประตูห้องเพื่อเปิด แต่ยังไม่ได้เปิดออกไป เสียงคนเป็นแม่ก็ดังตามหลังมา
“เข้าใจฉันใช่ไหม”
‘ไม่เข้าใจ’
เสียงตอบในใจ แล้วเปิดประตูก้าวออกจากห้องไป โดยมีสายตาคนเป็นแม่มองตามไป ไม่กี่วินาทีก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องวีไอพีเพื่อกลับไปยังห้องจัดเลี้ยง แต่นางไปไม่ถึง เพราะมีใครบางคนมาดักรอขอพบ
*******
อาคารเด ม็อตต้า ตั้งเด่นท้าสายลมและแสงแดดอยู่บนถนนเส้นหนึ่งของเมืองมิลาน ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งแฟชั่นชั้นนำของโลก ชายหนุ่มคนหนึ่งสวมแว่นตาดำไว้บนหน้า เดินทอดน่องมาหยุดยืนอยู่หน้าอาคาร เขามองประตูทางเข้าเพียงชั่วครู่ ก็เดินตรงเข้าไปพบประชาสัมพันธ์สาวสวย ซึ่งกล่าวคำต้อนรับแขกผู้มาเยือนด้วยภาษาสากลแสนไพเราะ
“สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับสู่ เด ม็อตต้าค่ะ มีอะไรให้ช่วยไหมคะ”
“ขอบคุณครับ”
ชายหนุ่มตอบด้วยภาษาเดียวกัน แล้วบอกวัตถุประสงค์พร้อมยื่นนามบัตรเจ้าของอาคารให้ดู เพียงแค่นี้ประชาสัมพันธ์สาวสวย ก็เดินนำไปที่ลิฟต์ผู้บริหารทันที ยิ้มหวานให้แล้วเดินกลับไปทำหน้าที่ตัวเอง ชายหนุ่มมองตามมาเพียงเล็กน้อย ก็ต้องก้าวไปยืนในลิฟต์ที่เปิดออกมา กดชั้นสูงสุดของอาคารแล้วเอนหลังพิงผนัง กระทั่งลิฟต์หยุด ประตูเปิดออก ก็เดินออกมา มองซ้ายมองขวาก่อนเดินตรงไปยังห้องของคนที่มาหา
ทันทีที่เดินมาถึง เขาก็เบรกเท้าตัวเองไว้ เพราะเลขาสาวสุดเฮี้ยบลุกขึ้นเดินออกมาจากโต๊ะ ขวางเขาไว้ไม่ให้เข้าไปในห้อง เขาเปิดยิ้มเป็นใบเบิกทาง แต่เลขาสุดเฮี้ยบไม่สนใจ จึงต้องดึงแว่นตาดำออกจากใบหน้า หน้าเฮี้ยบๆของเลขาก็เหรอหราขึ้นอย่างดีใจเพราะจำได้ทันที ว่าเขาคือเพื่อนของเจ้านายนั่นเอง แม้จะไม่ได้เจอกันมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังจำได้ดีว่าชายหนุ่มคนนี้ นิสัยน่ารักแค่ไหน แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร เขาก็ขยิบตาพลางส่ายนิ้วบอกไม่ให้พูด แต่เลขาหน้าเฮี้ยบก็ยังพูดออกมา
“คุณอเล็กซ์ไม่อยู่ค่ะ แต่สั่งไว้ว่าถ้ามีแขกมาหา ให้เข้าไปรอข้างในได้ค่ะ”
ชายหนุ่มยิ้มขำคำว่าแขก แล้วเดินลอยชายเข้าไปในห้องทำงานของคนที่เขามาหา ความหรูหรานั้นทำให้เขาทึ่งในตัวเจ้าของไม่น้อย เขาเดินไปยืนอยู่ตรงกระจกใส ที่สามารถมองวิวที่สวยงามของเมืองแห่งนี้ ไม่นานก็กลับมานั่งบนโซฟานุ่มที่วางอยู่กลางห้อง เปิดหนังสือพิมพ์ นิตยสารต่างๆที่วางอยู่ ดูฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ เกือบชั่วโมงก็ได้ยินเสียงประตูห้องเปิดเข้ามา เขาหันไปมอง เปิดยิ้มให้คนที่กำลังรออยู่ แต่กลับได้ปากกาที่ขว้างมาทักทายแทน
เขายกมือขึ้นรับไว้อย่างแม่นยำ แล้วหมุนปากกาเล่นพร้อมลุกขึ้นเดินยิ้มไปหาคนที่รออยู่ ซึ่งเดินมาหาเขาเช่นกัน ทั้งคู่ยื่นมือมาจับกระชับความสัมพันธ์ที่มีให้กันอย่างแนบแน่น
“ดีใจที่นายมาได้” เสียงเจ้าของดังขึ้นก่อน
“คนใหญ่คนโตของเมืองนี้เชิญไปทั้งที ไม่มาได้ไง”
“ไม่ต้องมาแขวะฉัน” เจ้าของห้องว่า “แล้วแน่ใจหรือว่าที่มาเพราะฉันหรือสิ่งที่ฉันบอกนายไปกันแน่ ถึงได้ออกจากหุบเขามา” ไม่มีคำตอบจากคนที่มาเยือน นอกจากการยักไหล่เหมือนไม่รู้ไม่ชี้ “นายสบายดีหรือเปล่า”
“ถ้าไม่สบาย ฉันคงมาหานายไม่ได้”
คนตอบกวนจนอเล็กซ์ต้องส่งหมัดไปกระแทกที่ไหล่เบาๆ แต่โดนเอาคืนมาด้วยหมัดที่หนักไม่น้อย เขาจึงโต้กลับไปหนักเท่ากัน แล้วก็โดนซัดกลับมาอีกจนกลายเป็นว่าต้องออกแรงกันพอสมควร แต่คนที่นั่งทำงานอยู่ในห้องสบายๆหรือจะสู้คนที่ทำงานอยู่กลางหุบเขาได้ เจ้าของห้องจึงยกมือขึ้นยอมแพ้ แต่ไม่ทันหมัดสุดท้ายที่กระแทกเข้าที่ท้องอย่างจัง
“ไอ้บ้า ฉันแค่ล้อเล่น เสือกเล่นเสียหนัก” พูดจบอเล็กซ์ก็ขยับเสื้อสูทให้เข้าที่เข้าทาง พลางมองหาสัมภาระของเพื่อน “แล้วกระเป๋าเดินทางนายอยู่ไหน อย่าบอกนะว่า...”
“ไม่มี”
เขาส่ายหน้าอย่างระอาแต่ยิ้มขำ เพราะรู้จักอีกฝ่ายดีว่าชอบอะไรที่ง่ายๆ สบายๆ “นายมาแต่ตัว แต่ไม่มีอะไรมาสักอย่างอีกแล้วเหรอ”
“ใช่”
“ไอ้ผ้าขี้ริ้วห่อทอง” ว่าแล้วอเล็กซ์ก็เดินไปที่โต๊ะทำงาน เปิดลิ้นชักหยิบกุญแจออกมาสองชุด แล้วโยนให้เพื่อนซึ่งก็รับไว้ได้เช่นเคย “รถกับบ้าน นายเอาไปใช้และอยู่ให้สบาย ฉันยกให้”
“สัญญาละ”
คำพูดล้อเล่นนั้นทำให้อเล็กซ์ชี้หน้าอย่างคาดโทษ “ฉันไม่ขาย แต่ถ้านายจะตอบแทน คืนนี้เลี้ยงมือเย็นฉันก็แล้วกัน”
“ไม่มีปัญหา” ชายหนุ่มรับปากแล้วเดินไปที่ประตูห้อง แต่ยังไม่ทันได้เปิดออกไป ก็มีเสียงหยุดเขาไว้
“พรต” เจ้าของชื่อหันมามอง ริมฝีปากหยักสวยยิ้มให้พลางถามด้วยสายตาว่ามีอะไร “นายแต่งงานหรือยัง”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นเพียงนิด ก็ยกมือซ้ายให้ดูแล้วบอกว่า “นิ้วนางข้างซ้ายฉันยังว่าง”
“แต่ของฉันกำลังจะมีคนจอง”
******
รถเฟอร์รารี่สีดำ ยนตรกรรมสุดคลาสสิคของประเทศอิตาลี วิ่งออกจากอาคารเด ม็อตต้า สู่ถนนที่มุ่งไปที่คลอโซ บูโนส เเอเรส (Corso Bueno Aires) แหล่งช้อปปิ้งใหญ่ของเมือง ทายาทเพลิงพญาขับรถยนต์สุดหรูไปตามถนนพลางคิดถึงเรื่องที่เพื่อนได้บอกให้รู้ ซึ่งหมายถึงกำลังจะหมั้นหรือไม่ก็แต่งงาน แรกที่ได้ยิน เขาก็ได้แต่แปลกใจ แต่ไม่ถาม เพราะมองตาก็รู้ว่าเพื่อนยังไม่อยากเล่าให้ฟัง
เขากับอเล็กซ์รู้จักกันหลังจากที่เขากับพี่ชายนายพัชรจัดการเรื่องไอ้คนโกงจบไปเมื่อไม่นานมานี้ ความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนเกิดขึ้นจากปู่ของเขา ชีคอิมาอัลล์ บิล บิลาเราะห์ ได้แบ่งสมบัติที่มีอยู่ในวาระสุดท้ายของชีวิต ให้กับลูกๆหลานๆ ทั้งบ่อน้ำมัน ธุรกิจต่างๆ และได้ยกหุ้นที่มีอยู่ในตระกูลม็อตต้าให้ป๊ะ นั่นคือพ่อของเขา แต่ป๊ะปฏิเสธเพราะไม่ต้องการอะไรอีกแล้วนอกจากชีวิตที่สงบสุขในหุบเขาพญา
พัชรในฐานะลูกชายคนโตจึงต้องรับไว้แทน แต่เขาไม่สามารถที่จะมาดูแลได้ เพราะเพิ่งสืบทอดตำแหน่งป๊ะแทนพ่อดูแลหุบเขาพญาต่อไป และต้องดูแลแม่กระเบื้องเคลือบภรรยาสุดที่รัก ที่ท้องใกล้คลอดแล้ว ส้มจึงหล่นบนหัวเขา ที่ยังลอยชายเร่ไปก็เร่มา แม้จะมีหน้าที่ดูแลคุกทมิฬ แต่หุบเขาพญาที่สงบสุขมานาน ไม่จำเป็นต้องดูแลมากมาย แต่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นบรรดาลุงขวาน ลุงดาบและลุงปืนก็พร้อมที่จะจัดการให้ เขาจึงต้องบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาที่นี่
ครั้งแรกที่มา ก็เจอกับอเล็กซ์ที่มาต้อนรับเขาอย่างดี เพราะรู้ว่าเขาคือเจ้าของหุ้นคนใหม่ แต่เขายังไม่ให้อเล็กซ์บอกใคร เพราะไม่ต้องการเป็นที่จับตามองของใครๆ เขาชอบอยู่อย่างสบายๆง่ายๆ ดีกว่าถูกใครมาคอยตาม เขาจึงรู้จักแค่ครอบครัวม็อตต้า ซึ่งทุกคนก็น่ารักกับเขามาก เพราะปู่ของสองครอบครัวทำธุรกิจกันมานาน
เขากับอเล็กซ์ก็เข้ากันได้ดี ทุกคนจึงรักและเอ็นดูเขาด้วย และมากกว่านั้นคือหุ้นที่ปู่เขามีไม่ได้มีแค่เล็กน้อย แต่ยังมีอีกหลายอย่างที่ร่วมกันทำกับม็อตต้า ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจด้านยานยนต์ เครื่องจักร การก่อสร้าง และที่น่าตกใจคือ ทุกหุ้นที่มี ปู่ยกให้เขาหมดเลย
พรตถอนหายใจออกมายาวๆ เขาไม่ได้ดีใจกับความร่ำรวยที่มากมายนี้ เพราะโชคลาภมักมาคู่กับความเลวร้าย ที่ให้ทั้งความสุขและความทุกข์ ซึ่งเขาก็เคยเห็นมาแล้ว คุกทมิฬมีตัวอย่างของคนที่อยากร่ำรวย จนยอมเป็นแมงเม่าบินเข้ากองไฟมานักต่อนักแล้ว และสุดท้ายที่เพิ่งเกิดขึ้นและจัดการไปมาดๆ ก็คือไอ้พวกคนโกงนั่นเอง
เขาหยุดความคิดไว้ เมื่อพารถเลี้ยวเข้าไปจอดในที่จอดรถ เสร็จแล้วก็ออกเดินทอดน่องไปตามถนนที่รวมทุกอย่างไว้มากมาย ทั้งของใช้ ของกิน รวมถึงเสื้อผ้า เขาเดินมานั่งที่ร้านกาแฟ สั่งมอคค่ามาดื่มพลางมองบรรยากาศรอบๆ ที่กำลังสบาย เพราะพระอาทิตย์กำลังคล้อยต่ำลงลาลับฟ้า
แสงสุดท้ายของวันหายไป เขาก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เดินดูสินค้าที่วางขายไปเรื่อยๆถูกใจชิ้นไหนเขาก็ซื้อ ทั้งเอาไปฝากและใช้ส่วนตัว ส่วนใหญ่เป็นกางเกงยีนกับเสื้อเชิ้ตแบบสบายๆรวมถึงใส่นอนด้วย แต่ระหว่างเลือกซื้อของ หางตาเขามักจะเห็นหญิงสาวคนหนึ่งที่ดึงดูดสายตาเขาให้หันไปมองเสมอ แต่ทุกครั้งที่หันไป ก็จะเห็นแค่ด้านหลังเท่านั้น
มุมปากของพรตหยักขึ้นอย่างขำความรู้สึกตัวเอง แล้วเลิกสนใจ หันหลังเดินกลับไปที่รถ โดยไม่เห็นว่าเพียงเขาหันหลัง หญิงสาวคนนั้นก็หันหน้ามามองที่ๆเขายืนอยู่ สายตาเธอมองไปรอบๆ ก่อนจะหันกลับมามองคนขับรถที่ยืนอยู่ข้างๆ และถามเธอว่า
“คุณหนูจะไปไหนต่อครับ”
หญิงสาวไม่ตอบว่าจะไปไหน แต่กลับบอกว่า “ขอกุญแจรถด้วยค่ะ”
วาเลน ติ ซาก้า คนขับรถวัยห้าสิบ นิ่งไปเพราะพอที่จะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นอยู่บ้าง จึงไม่อยากจะให้กุญแจรถกับหญิงสาวในสภาวะที่จิตใจของเธอไม่นิ่งพอเพราะอาจจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาได้ จึงบอกด้วยความเป็นห่วงว่า “คุณหนูน่าจะกลับอัลโตนิโอ”
“ยังไม่ใช่ตอนนี้” พรีมาดาบอกแล้วยกมือขึ้นขอกุญแจ ซาก้ามีสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ต้องส่งกุญแจให้ เธอรับกุญแจมาพร้อมบอกว่า “กลับไปที่อัลโตนิโอเถอะ ฉันดูแลตัวเองได้”
พูดจบเธอก็หมุนตัวเดินไปที่รถ โดยมีซาก้ามองตามไป ภาพที่เธอก้าวเดินค่อยๆย่อเล็กลงจนกลายเป็นภาพเด็กหญิงในวันวานหน้าตาน่ารัก เส้นผมดำขลับ ดวงตากลมโต ผิวสีน้ำผึ้งเนียนสวย ก้าวเข้ามาในชีวิตเขา พร้อมหญิงสาวอีกคนที่กลายมาเป็นคุณผู้หญิงของอัลโตนิโอ หลังจากนั้นเวลาก็นำพาทุกอย่างให้เกิดขึ้น เปลี่ยนไป จนมาถึงปัจจุบัน
*******
รถยนต์คันหรูเปิดกระจกทั้งสองข้างวิ่งไปบนถนนที่ทอดยาวสุดสายตา สายลมพัดมาปะทะหน้าหญิงสาวที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย ดวงตาทอดมองไปข้างหน้า ขณะสมองครุ่นคิดถึงชีวิตตัวเอง ภาพตั้งแต่เด็กที่ต้องจากแผ่นดินเกิดมาเติบโตในแผ่นดินนี้ ชีวิตที่ทุกคนต่างบอกว่าโชคดีและอวยพรให้มีความสุข ความจริงแล้วมันไม่ใช่เลย!
ผู้คนที่ไม่รู้จัก ภาษาที่พูดไม่ได้ วัฒนธรรมที่ไม่คุ้นเคย ทำให้เธอเหมือนลอยอยู่กลางทะเล มีขอนไม้ให้เกาะพยุงตัว พอที่จะว่ายน้ำไปได้บ้าง แต่ไม่นานขอนไม้ก็ค่อยๆถอยห่างลอยหายออกไป ในที่สุดก็ทิ้งให้เธอเหนื่อยล้าอยู่คนเดียว สุดท้ายก็จบลงด้วยภาพชื่นมื่นของคู่หมั้นวันนี้ มือที่จับพวงมาลัยกำเข้าหากันแน่น ก่อนจะเหยียบคันเร่งจนล้อบดกับถนนดัง...เอี๊ยด!
หญิงสาวกะพริบตาพร้อมกับปลดปล่อยลมหายใจที่เก็บกดทุกสิ่งทุกอย่างไว้ออกมา กระทั่งเป็นปกติก็ขับรถออกไปเรื่อยๆ ไม่นานก็หักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าจอดที่ร้านอาหารริมทะเลสาบ
ดวงอาทิตย์เจ้าแห่งแสงสว่างในเวลากลางวันลับหายไป ดวงจันทร์เจ้าแห่งแสงในเวลากลางคืนก็ลอยเด่นขึ้นมา โดยมีดวงดาราส่องแสงระยิบระยับอยู่เคียงข้าง รถเฟอร์รารี่คันหรูวิ่งมาจอดอีกด้านของผับริมทะเลสาบ พนักงานต้อนรับวิ่งมาเปิดประตูให้ทันที คนขับที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตพับแขนแค่ศอก ปล่อยชายเสื้อไว้นอกกางเกงอย่างสบายๆ ก้าวลงมายืนข้างรถ ยิ้มให้พนักงานที่โค้งต้อนรับเล็กน้อย ก็กวาดตามองไปรอบบริเวณผับ ซึ่งมีที่นั่งทั้งข้างในและข้างนอก จัดไว้ให้ลูกค้าได้เลือกนั่งตามความต้องการ
พรตกดกุญแจล็อกรถแล้วเดินไปหาที่นั่งริมทะเลสาบ เพื่อจะมองแสงสีและบรรยากาศที่งดงามของเมืองแฟชั่น แต่ดูเหมือนทุกที่จะถูกจับจองไว้หมดแล้ว ผู้คนหลายวัยทั้งผมดำผมทอง มาเดี่ยวมาคู่ นั่งกันอยู่เต็มไปหมด แต่เขาก็ยังเดินดู เผื่อจะมีที่วางให้นั่ง กระทั่งไม่มีแล้วจริงๆ จึงหมุนตัวเพื่อเดินไปหาที่นั่งข้างใน แต่ก้าวได้เพียงสองสามก้าว ข้อมือก็ถูกยึดไว้ ทำให้ต้องหลุบตาลงมองคนจับ
“ดื่มด้วยกานหม้ายคะ ฉันเลี้ยงเอง”
เสียงภาษาสากลแบบลิ้นไก่พันกันเล็กน้อยบอกให้เขารู้ว่าเธอเมา เขามองใบหน้าสวยเก๋ ดวงตากลมโตรับกับจมูกโด่งเชิด พวงแก้มนุ่มและริมฝีปากอิ่ม ผิวสีน้ำผึ้งบอกชนชาติเอเชีย แต่แววตาไร้การเชิญชวน คิ้วเข้มก็เลิกขึ้นด้วยความแปลกใจ และอยากจะนั่งลง เพราะไม่งั้นอาจจะเสียเชิงชาย สุภาพสตรีเชิญทั้งที ไม่ตอบรับไมตรีก็กระไรอยู่ แต่...ท่าทางที่ง่ายเกินไป บางทีก็อันตราย ยิ่งไม่ใช่ถิ่นเกิด เขาก็ไม่อยากจะเสี่ยง
“ขอโทษนะคนสวย ผมไม่ว่าง”
“ฉันจ้าง"
มุมปากเขายกขึ้นยิ้ม ที่จู่ๆก็ถูกผู้หญิงว่าจ้างให้นั่งอย่างกับผู้ชายที่ให้บริการผู้หญิงรักสนุกสุดขี้เหงา พลางตวัดตามองไปรอบๆ เพื่อเช็กความปลอดภัย และเมื่อไม่เห็นอะไรที่น่าสงสัย ก็เริ่มสนุก อย่างน้อยก็ฆ่าเวลารออเล็กซ์ จึงก้มหน้าลงไปใกล้พร้อมกับบอกว่า
“เสนอมาซิ ถ้าน่าสนใจ ผมอาจจะนั่งด้วย”
“ร้อยเหรียญ”
“ตีราคาผมถูกจัง” เขาแสร้งโอด
“หนึ่งพัน” เสียงเธอเสนอขึ้นตามดีกรีของแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป แต่พรตก็ยังเฉย เธอจึงเสนอสูงขึ้นไปอีก ก่อนจะหยุดเมื่อพรตบอกว่า
“เงินไม่เอา เอาตัวได้ไหม”
“หม้ายได้ค่ะ” เสียงปฏิเสธออกมาทันที “เพราะฉันมีคนจองแล้ว” เธอพูดด้วยความเมาโดยไม่รู้ว่ากำลังจะเป็นจริง ส่วนคนฟังก็ฟังผ่านๆไปเท่านั้นเอง
“น่าเสียดาย” เขาว่าแล้วก็ผละไป แต่ต้องหันกลับมามอง เมื่อได้ยินเสียงเธอบอกว่า
“อยากจะลงแข่งหม้ายคะ”
*********
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ค่ะ
pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 มิ.ย. 2556, 16:23:48 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ก.พ. 2558, 14:27:45 น.
จำนวนการเข้าชม : 5596
ตอน 2 >> |
ปิศาจสัญจร 10 มิ.ย. 2556, 17:12:41 น.
นางเอกมาชนรึเปล่านะ
นางเอกมาชนรึเปล่านะ
sai 10 มิ.ย. 2556, 18:06:19 น.
เพื่อนจะแตกคอกันไหมเนี่ยยยย
เพื่อนจะแตกคอกันไหมเนี่ยยยย
nutcha 11 มิ.ย. 2556, 00:57:02 น.
เรื่องไหนหลัก เรื่องไหนรอง เรื่องไหนงานอดิเรกก็ไม่ว่ากัน เพราะสนุกทุกเรื่อง
เรื่องไหนหลัก เรื่องไหนรอง เรื่องไหนงานอดิเรกก็ไม่ว่ากัน เพราะสนุกทุกเรื่อง
konhin 11 มิ.ย. 2556, 03:06:31 น.
อืมมม รักลูกไม่เท่ากัน
อืมมม รักลูกไม่เท่ากัน
แว่นใส 11 มิ.ย. 2556, 09:58:57 น.
จะแย่งผู้หญิงคนเดียวกับเพื่อนไหมเนี่ย แล้วจะเป็นไงต่อไปนะ
จะแย่งผู้หญิงคนเดียวกับเพื่อนไหมเนี่ย แล้วจะเป็นไงต่อไปนะ
คำปน 11 มิ.ย. 2556, 16:14:48 น.
พี่พรีมค่ะงานสัปดาห์หนังสือครั้งหน้าหนูขอรวมเล่มชักสองเรื่องนะค่ะเรื่องอะไรก็ได้ชอบทุกเรื่องค่ะ
พี่พรีมค่ะงานสัปดาห์หนังสือครั้งหน้าหนูขอรวมเล่มชักสองเรื่องนะค่ะเรื่องอะไรก็ได้ชอบทุกเรื่องค่ะ
Zephyr 11 มิ.ย. 2556, 21:42:09 น.
อัยย่ะ พ่อริคาร์โดนี่ พ่อเลี้ยงป่าวคะ มันแหม่งๆอ่ะนะ
ทีกับแพทนี่แบบให้เป็นไม้งาม กับพรีม ไม้ประดับ
เริ่มเกลียดริคาร์โดและไม่ชอบแพทตงิดๆ จะดีแตกหรือไม่น้า
ส่วนพรตกับอเล็กซ์จะแตกกันเอง แย่งกันเองรึป่าว เฮ้อ อย่าดราม่าเลย แงๆ
ไม่อยากให้หนุ่มหล่อ หน้าตาดี สองคนฉะกันเองเลย เสียดาย ฮ่าๆๆ
อัยย่ะ พ่อริคาร์โดนี่ พ่อเลี้ยงป่าวคะ มันแหม่งๆอ่ะนะ
ทีกับแพทนี่แบบให้เป็นไม้งาม กับพรีม ไม้ประดับ
เริ่มเกลียดริคาร์โดและไม่ชอบแพทตงิดๆ จะดีแตกหรือไม่น้า
ส่วนพรตกับอเล็กซ์จะแตกกันเอง แย่งกันเองรึป่าว เฮ้อ อย่าดราม่าเลย แงๆ
ไม่อยากให้หนุ่มหล่อ หน้าตาดี สองคนฉะกันเองเลย เสียดาย ฮ่าๆๆ
supayalak 12 มิ.ย. 2556, 17:42:24 น.
อัยยะ เป็นเรื่องแล้วไง หวยจะออกยังไงละค่ะเนี่ย
อัยยะ เป็นเรื่องแล้วไง หวยจะออกยังไงละค่ะเนี่ย
tutas 13 มิ.ย. 2556, 11:21:52 น.
อู้ยยย เปิดเรื่องได้เข้มข้มมากค่ะคุณพรีม มาต่อเร็วๆ นะคะ
อู้ยยย เปิดเรื่องได้เข้มข้มมากค่ะคุณพรีม มาต่อเร็วๆ นะคะ
moodang 14 มิ.ย. 2556, 11:44:26 น.
ตอนคุณยายเพลินจิตคุยกับพรีมแล้วบอกว่า ที่กุชชีบอกย่า..... ควรจะเป็นบอกยายหรือป่าวคร๊าาา
ตอนคุณยายเพลินจิตคุยกับพรีมแล้วบอกว่า ที่กุชชีบอกย่า..... ควรจะเป็นบอกยายหรือป่าวคร๊าาา