น้ำผึ้งบ้านไพร # ชุดนางฟ้าจำแลง

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 3. หายไปซะนานนนนนนนนนนมากกกกกก

3.

แม้ว่าเหยื่อจะไม่หลงกินเบ็ด แต่ใช่ว่าคชาพัฒน์จะไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับบ้านไพร เมื่อซักไซ้ไล่เลียงไปเรื่อย ๆ แล้ว คชาพัฒน์จึงได้รู้ว่า พ่อหนุ่มประทินคนผิวคล้ำกรำแดดร่างกำยำสมส่วนนี้ ยังไม่เคยเสียตัวให้ผู้หญิง นอกจากนั้นก็ไม่เคยผ่าน ‘มือ’ กะเทยนางไหนมาทั้งนั้น หนุ่มประทินค่อนข้างจะหวงเนื้อหวงตัวเพราะต้องการเก็บความบริสุทธิ์ไว้ให้คนที่จะแต่งงานด้วยเท่านั้น และเขาก็ไม่เคยคิดจะลอง ‘ของแปลก’

คชาพัฒน์คิดว่า ประทินพูดเพื่อให้ตัวเองดูดีขึ้นเท่านั้น แต่จากสายตาเขินอายแล้ว คชาพัฒน์เชื่อว่าหากหมั่นตื๊อสักหน่อย มีผลประโยชน์สักนิด อะไร ๆ ก็คงจะไม่ยาก คชาพัฒน์จึงได้เสนอประทินไว้ว่า หากเข้าไปในตลาดให้แวะไปหาที่ร้านหนิงหน่องแฮร์คัท เพราะจะตัดผมทรงที่รับกับใบหน้าหล่อเหลาถูกใจตนให้ฟรี ๆ

นอกจากนั้น คชาพัฒน์ยังได้ขอเบอร์โทรศัพท์ของประทินไว้ เพราะคิดว่า คงจะได้กลับมาที่บ้านน้ำซับอีกแน่ ๆ ด้วยประทินบอกว่า ที่นี่ก็มีสาวงามจำนวนไม่น้อยที่รอให้ขัดสีฉวีวรรณดันหลังขึ้นเวทีหากว่าคชาพัฒน์ไม่สนใจเรื่องการศึกษาซึ่งเขาก็พร้อมจะคุยกับพ่อและแม่ให้ด้วย

และก่อนที่จะขอตัวกลับ คชาพัฒน์ก็ขอให้ประทินยืนโชว์หุ่นเพื่อที่ตนจะได้ถ่ายรูปไปอวดเพื่อน ๆ ว่าเจอ ‘ไม้งาม’ กลางป่าใหญ่ และที่สำคัญ คชาพัฒน์โปรยยาหอมไว้ว่า ตนเองนั้นรู้จักสาวงามอยู่ไม่น้อย ดีไม่ดีการที่ได้พบกันในวันนี้น่าจะทำให้ประทินได้มีโอกาสพบเจอกับสาวงามในสังกัดของตนในวันหน้าก็ได้ ประทินยอมยืนตรงเคารพธงชาติให้คชาพัฒน์จัดแจงเสื้อผ้าให้ก่อนถ่ายรูปเก็บไว้ในโทรศัพท์ แม้ว่าเขาจะไม่ใช่นายแบบมืออาชีพแต่ คชาพัฒน์ก็รู้สึกว่าหุ่นก้านและใบหน้าของประทินนั้นขึ้นกล้องจนน่าจะไปเป็นนายแบบ แต่ว่าคชาพัฒน์ก็แต่คิดฝันไปตามประสาคนช่างฝันเท่านั้น เพราะการจะดันใครไปถึงจุดนั้นได้คชาพัฒน์ก็ไม่รู้หนทางเหมือนกัน

กระทั่งเห็นว่าสมควรกับเวลา คชาพัฒน์จึงได้ขอตัวประทินกลับตลาดบ้านไพร เพราะท้องของตนนั้นเริ่มร้องหาอาหาร กับส่วนหนึ่งระยะทางที่ต้องวิ่งผ่านป่าผ่านเขานั้นคชาพัฒน์รู้สึกห่วงใยสวัสดิภาพของตนกับสำลี

“ไม่เคยมีปล้นมีจี้แน่นะ” คชาพัฒน์ถามซ้ำเมื่อเดินลงบันไดมาใส่รองเท้าโดยที่ประทินเดินตามลงมาส่ง

“แน่ครับพี่ เสือสาง แบบในอดีตไม่มีแล้วครับ สิ้นลายหมดแล้ว” ในอดีตนั้นเส้นทางระหว่างตลาดบ้านไพรมายังบ้านน้ำซับต่อไปยังบ้านน้ำซึมตำบลบ้านไพรเป็นทางเกวียนชาวบ้านเข็นพืชผลทางการเกษตรออกไปขายขากลับถูกปล้นชิงทรัพย์ไปเสียหลายราย ซึ่งเรื่องนี้สำลีได้เล่าให้คชาพัฒน์ได้ฟังขณะที่นั่งรถมาด้วยกัน

“มีก็แต่เสือไบใช่เปล่า”

ใบหน้าของประทินแดงขึ้นมาเมื่อถูกแทะโลมอย่างไม่ยอมเลิกรา

“ผมไม่คุยเรื่องนี้กับพี่แล้ว ผมอาย”

“อย่าลืมนะ เข้าตลาดแล้วแวะไปหาพี่ที่ร้านหนิงหน่องแฮร์คัท พี่ยินดีตัดผมให้ฟรี รับรองเลยว่า อีน้องเล็ก อุ้ย น้องเล็กนั่น” คชาพัฒน์หมายถึงลูกสาวเจ้าของร้านของชำที่ประทินบอกว่าเป็นสาวเจ้าเสน่ห์ประจำหมู่บ้าน “จะต้องมองน้องทินตาค้างเลยทีเดียว”

“ครับ ขอบคุณครับ”

“พี่ไปแล้วนะ”

“ครับ”

“ถ้าเหงา ๆ ก็อย่าลืมกริ๊งกร๊างไปคุยกับพี่บ้างนะ พี่ยินดีรับฟังสุขทุกข์ของน้องทินและพร้อมจะช่วยทำให้คลายเหงาอยู่ตลอดเวลา”

“ครับ” ประทินบอกยิ้ม ๆ

“แล้วถ้าพี่โทรมาหาได้ใช่หรือเปล่า ถ้าพี่เหงาบ้าง”

พอคชาพัฒน์พูดเอาประโยชน์ตน ประทินนิ่งคิดเพียงอึดใจแล้วก็ตัดบทว่า

“ไปได้แล้วครับ เดี๋ยวจะมืดระหว่างทาง”

“ไม่อยากไปเลยจริง ๆ อยากนอนค้างที่นี่จังเลย” คชาพัฒน์ยังคงอิดออด

“วันหน้าก็ค่อยมาอีกก็ได้นี่ครับ”

“จริง ๆ นะ วันหลังพี่มาได้อีกนะ”

“จริง ๆ ครับ...ที่นี่ยินดีต้อนรับเสมอ”

“ดีมาก...แล้วอย่าลืมคุยกับพ่อของน้องให้พี่นะ แล้วพี่จะโทรมาถามข่าว”

“ครับ ๆ”

“พี่ไปละ ขอบใจนะสุดหล่อ” ใจจริงของคชาพัฒน์อยากจะดึงประทินเข้ามาจูบให้ชื่นใจ แต่ว่าคชาพัฒน์ก็ได้สติว่าที่ ‘หลุด’ ไปนี้ก็เสียการทรงตัวมากพออยู่แล้ว
และเมื่อขับรถออกจากมาจากบ้านของผู้ใหญ่ประทินแล้ว คชาพัฒน์ก็ยื่นโทรศัพท์มือถือของตนไปให้สำลี ที่นั่งเกาหน้าเกาแขนเกาขาเพราะถูกยุงกัดระหว่างรอไปเสียไม่น้อย

“ดูซิใช้ได้ไหม” คชาพัฒน์บอกสำทับไป และเมื่อสำลีเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์รุ่นสมาร์ทโฟนของเจ้านายดูรูปของประทิน สำลีก็รู้สึกได้ว่า หนุ่มบ้านนอกคนนี้ถ่ายรูปขึ้นจริง ๆ เพียงแต่ว่าตัวไม่สูงเท่าไหร่ แต่ก็ใช่ว่าจะเตี้ยสั้นเสียจนน่าเกลียด และตามประสาอารมณ์ของผู้หญิงสำลียอมรับว่ารู้สึกพึงใจประทินอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน แต่ว่าสำลีไม่ถนัดเผยความรู้สึกของตัวเองให้ใคร ๆ ได้รู้ เพราะเจียมตัวว่าตนเองนั้นไม่ใช่คนสวย ทั้งที่ทำงานอยู่ในร้านเสริมสวย

“เป็นไงบ้าง”

“ก็ใช้ได้นะ”

“ชอบไหม”

สำลีนั้นนิ่งเงียบ

“ฉันถามว่าชอบไหม”

“มาถามสำลีทำไม เจ๊อยากชอบก็ชอบไปซิ”

“เสียดาย ความรู้น้อยไปนิดนะ หน้าหล่อ ๆ แบบนี้...” แล้วคชาพัฒน์ก็ถอนหายใจเบา ๆ เพราะรู้ดีว่า ชีวิตรักของตนเองนั้น เป็นลักษณะผ่านมาผ่านไป ที่เคยรู้จักคบร่วมสุขร่วมทุกข์ก็ผ่านเข้ามาเพียงประเดี๋ยวประด๋าว ไม่มีใครรักตนจริง ๆ สักคน ที่เข้ามาก็หวังมาปอกลอกทั้งนั้น

และผู้ชายกับความผิดหวังเสียใจ(ที่หาได้เข็ดหลาบอย่างแท้จริง)จึงเป็นสาเหตุให้คชาพัฒน์ต้องออกจากเมืองหลวงมาเปิดร้านอยู่ในตลาดบ้านไพร ตามคำเชิญชวนของป้าสมานพี่สาวของแม่ที่มาเป็นคนงานในบ้านของคุณนายวรรณีเจ้าของตึกแถวที่ตนเองเช่าอยู่ โดยป้าสมานที่ไม่ได้แต่งงานมีครอบครัวเป็นนายทุนให้ด้วย ร้านหนิงหน่องแฮร์คัทจึงเกิดขึ้น หนิงหน่องในวัยสามสิบต้น ๆ ในวันนี้จึงพลอยมีหน้ามีหน้ามีตามีคนรู้จักมักคุ้นไปทั่ว แต่ว่าคนอย่างอีหนิงหน่องจะไม่ยอมหยุดอยู่แค่การเป็นเจ้าของร้านเสริมสวยในตลาดเล็ก ๆ ของตำบลบ้านไพรหรอก อีหนิงหน่องจะต้องมีชื่อว่าเป็นเจ้าของค่ายนางงามใหญ่เหมือนคุณเพรานภา ที่มีรายชื่อนางงามในสังกัดได้ตำแหน่งในเวทียอดพธูไทยมาจนจาระในไม่หวาดไม่ไหว

“ทำไม เจ๊จะเอาเขาไปทำอะไร” เสียงถามของสำลีเรียกสติของคชาพัฒน์กลับคืน

“ไม่รู้เหมือนกัน ฉันก็ฝันเฟื่องไปวัน ๆ เท่านั้นแหละ”

“แล้วเรื่องส่งเด็กเข้าประกวดนี่จะฝันไปอีกนานไหม”

“ปากเหรอนั่น” คชาพัฒน์ที่บังคับรถไปบนถนนลาดยางลักษณะเป็นลูกคลื่นผ่านป่าเขาหันมาถลึงตาให้

“ก็แค่เริ่มต้นก็เห็นว่ามันยุ่งยากมาก อยู่ร้านทำผมอย่างเดียวเสียดีกว่า”

“ไม่ ฉันตั้งใจแล้ว ฉันจะต้องทำให้ได้ แล้วฉันก็ไม่ได้คิดตื้น ๆ อย่างที่แกคิดหรอก ต่อไปถ้าแม่พวก สาว ๆ รู้ หรือใครรู้ว่าเราส่งนางงามเดินสายประกวด ร้านเราจะเป็นอย่างไร ใครก็อยากมารู้จักฉันทั้งนั้นและวิธีการเบื้องต้นก็คือต้องมาตัดผมที่ร้านเราก่อน แบบนี้แล้วเงินจะไปไหนละ”

“จริงของเจ๊นะ สำลีคิดไม่ถึงจริง ๆ”

“และร้านของฉันจะต้องยิ่งใหญ่กว่าร้านนังเจี๊ยบ จวงจันทร์ด้วย สำลีแกคอยดูเถอะ”
“อย่างไรก็อย่าลืมขึ้นค่าจ้างให้สำลีละ ได้วันสองร้อยมาสองปีแล้วนะ ปีหน้าขอขึ้นอีกสักยี่สิบบาทเหอะ”

ปีหน้าของสำลีนั้นอีกไม่กี่เดือนเท่านั้นเอง และคชาพัฒน์ก็ได้แต่นิ่งเงียบ แต่ว่าเสียงล้อรถที่บดถนนมันไม่ยอมเงียบด้วย ...เสียงดังปัง!! ที่ล้อหลังข้างซ้าย ทำให้สาวแท้และสาวเทียมประสานเสียงร้องแข่งกัน เพราะนอกจากจะคิดว่าถูกเสือปล้นเข้าให้แล้ว คชาพัฒน์ยังนึกไปถึงการถูกข่มขืนหลังจากถูกรูดทรัพย์ไปแล้วด้วย...



หลังจากที่สงบสติอารมณ์แล้วรู้ว่าเหตุที่ทำให้ตกใจจนต้องร้องเสียงหลงคือรถยางแตก คชาพัฒน์ก็ตัดสินใจหาเหตุโทรกลับไปหาประทินก่อนเวลาอันสมควร และประทินก็รีบรับปากว่าจะออกมาช่วยเหลือ ซึ่งครั้งนี้เขาไม่ได้มาคนเดียว เขาขับรถกระบะสี่ประตูมากับผู้ใหญ่ประทีปผู้เป็นพ่อ หลังจากที่ช่วยเปลี่ยนยางอะไหล่ให้กับคชาพัฒน์แล้ว สองพ่อลูกก็ขอตัวกลับบ้าน โดยระหว่างที่ประทินเปลี่ยนยางให้โดยที่มีสำลีคอยฉายไฟส่องให้เขาทำงานแล้ว คชาพัฒน์ที่ถือโอกาสคุยกับผู้ใหญ่ประทีปฆ่าเวลาก็ได้งานที่ตนต้องดั้นด้นเดินทางมาถึงที่นี่

ผู้ใหญ่ประทีปเห็นด้วยกับโครงการส่งเสริมลูกสาวของตนให้เป็นนางงามเดินสาย เพราะว่า ผู้เป็นแม่นั้นชอบเรื่องความสวยงามเป็นอย่างมาก แต่ครั้นจะออกแรงเอง ความหวังก็คงจะริบหรี่เพราะสองผัวเมียนั้นถึงแม้จะมีเงิน แต่ว่าอย่างไรแล้วก็ยังเป็นคนบ้านนอกที่ไม่ประสีประสากับเรื่องบางเรื่องของสังคมอยู่ดี โดยเฉพาะเรื่องนางงามนั้น ผู้ใหญ่ประทีปถือว่าเป็นเรื่องไกลตัวของตนชนิดสุดกู่

และเมื่อกลับถึงตลาดบ้านไพรด้วยหัวใจพองโต หลังจากกินก๋วยเตี๋ยวที่ร้านสะดวกซื้อแล้ว คชาพัฒน์ก็ขับรถมาจอดที่หน้าร้าน ปล่อยให้สำลีนำจักรยานขี่รถกลับบ้านไปตามลำพัง หลังอาบน้ำแต่งตัวแล้ว คชาพัฒน์ก็โทรศัพท์หาปัญจพลกูรูเรื่องนางงามในทันที

ปัญจพล หรือต้นอ้อ แม้จะไม่ได้ทำค่ายนางงาม แต่การที่ปัญจพลคลุกคลีอยู่กับคุณเพรานภาเจ้าของค่ายนางงามระดับประเทศทำให้ปัญจพลรู้ศาสตร์และศิลป์ในวงการนางงามเป็นอย่างดี...และปัญจพลก็สรุปอย่างให้กำลังใจเพื่อนว่าแนวคิดของคชาพัฒน์นั้นเลิศประเสริฐศรีเป็นที่สุด



เมื่อรถประจำทางที่แล่นจากตัวจังหวัดไปยังตัวอำเภอเคลื่อนตัวจากไป สายตาของน้ำผึ้งที่ยืนปิ้งลูกชิ้นอยู่ที่หน้าตาตลาดบ้านไพรก็พบกับบุรุษวัยยี่สิบปีร่างสูงสวมเครื่องแบบของศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ริมถนน เขายิ้มน้อย ๆ ให้น้ำผึ้งและน้ำผึ้งก็ยิ้มกว้างตอบไปให้เขาโดยอัตโนมัติ เขายืนหลังตรงหันซ้ายหันขวามองรถที่วิ่งสวนกันไปมาก่อนจะเดินข้ามถนนมาหยุดอยู่ตรงหน้ารถเข็นของน้ำผึ้ง โดยที่พ่อค้าแม่ขายที่อยู่บริเวณนั้นต่างมองมาที่ตัวเขาและน้ำผึ้งแทบจะเรียกว่าเป็นตาเดียวกัน

“ผึ้ง”

“พี่วัฒน์” ภานุวัฒน์ เลิศอมรวัฒนาวิสุทธิ์ เป็นชื่อของเขาหรือ ‘ตี๋เล็ก’ ซึ่งเป็นลูกชายคนเล็กของเจ้าของโรงน้ำแข็งหลอดที่มีอยู่แห่งเดียวในตลาดบ้านไพร ภานุวัฒน์เป็นรุ่นพี่ของน้ำผึ้ง หลังจากเรียนจบจากโรงเรียนบ้านไพรวิทยาแล้วเขาก็ไปเรียนต่อคณะรัฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งด้วยโควต้านักกีฬาวอลเลย์บอล เรียนได้สองปีครึ่งเขาก็สอบเข้าไปเรียนต่อหลักสูตรนายสิบตำรวจได้ตามที่เคยฝันไว้

“ขายดีไหม” ภานุวัฒน์ถามพลางมองลูกชิ้นปิ้งบนเตาเพียงแวบ แล้วดวงตาเรียวของเขานั้นก็มาอยู่ที่วงหน้าของแม่ค้าวัยสิบเจ็ดปี จนใบหน้าของน้ำผึ้งแดงระเรื่อขึ้นมา แต่น้ำผึ้งก็รีบเกลื่อนสีหน้าของตนเองให้เป็นปกติ เพราะเป็นแม่ค้ายืนเป็นเป้านิ่งอยู่ตรงนี้ หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ในตลาดบ้านไพรจึงเพียรกันมาขายขนมจีบตามประสาแมลงที่เห็นสีและกลิ่นของดอกไม้ก็อยากที่จะเข้ามาดอมดม แต่น้ำผึ้งก็ระลึกตัวเองอยู่เสมอตามคำที่แม่สอนว่าตนนั้นยังเด็ก ยังไม่ควรริมีความรักหรือปล่อยใจให้กับใครหน้าไหนทั้งนั้น...น้ำผึ้งไม่ได้เชื่อคำพูดของแม่ทั้งหมด เพียงแต่ว่าคนที่น้ำผึ้งปล่อยใจให้ไปอยู่กับเขานั้นอยู่สูงเกินกว่าที่ใจน้ำผึ้งจะไปถึง..และเมื่อใจสองดวงไม่ถูกเชื่อมใจเข้าไว้ด้วยกัน ใจของน้ำผึ้งจึงเลื่อนลอยไปตามประสาใจของเด็กสาวซึ่งน้ำผึ้งถือว่าไม่ใช่เรื่องผิด

“ก็พอขายได้”

“เหนื่อยไหมผึ้ง”

พอเขาถามตรง ๆ แบบนี้น้ำผึ้งก็ถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา

“เหนื่อยแล้วจะให้ผึ้งทำอย่างไร”

“อดทนหน่อยนะ” สายตาของเขากรุ้มกริ่มจนน้ำผึ้งรู้สึกว่าผิวหน้าตัวเองวูบวาบขึ้นมาอีก แต่ว่าน้ำผึ้งก็ไม่กล้าสบตาของเขาให้เนิ่นนาน ด้วยรู้สึกว่าสายตาของพี่ป้าน้าอาที่อยู่รอบ ๆ นั้นต่างหันมาสนใจจุดที่ตนยืนอยู่

“ก็ต้องอดทน” ด้วยเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องและเคยอยู่ชมรมกีฬามาด้วยกันน้ำผึ้งจึงไม่ได้ลงท้ายประโยค ค่ะ คะ ขา เหมือนกับที่คุยกับผู้มีวัยมากกว่า

“หลังพี่เรียนจบแล้ว อะไร ๆ คงจะดีขึ้น”

“อะไรคืออะไร”

“พี่จะเก็บเงินมาสู่ขอผึ้ง” น้ำเสียงของภานุวัฒน์จริงจังจนน้ำผึ้งต้องหัวเราะเบา ๆ

“หัวเราะอะไร”

“พูดเป็นเล่นไป”

“พี่พูดจริง ๆ”

“แล้วพี่รุ่งอรุณล่ะ พี่เอาไปไว้ที่ไหนแล้ว” รุ่งอรุณคือลูกสาวของร้านค้าส่งที่อยู่ในตลาด ทั้งสองรุ่นเดียวกัน ในช่วงที่เรียนมัธยมปลายทั้งสองคบหากันเป็นแฟนอย่างเปิดเผยจนรู้ไปทั่วทั้งโรงเรียน แต่ว่าเมื่อเรียนจบรุ่งอรุณนั้นสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังทางภาคเหนือได้ ส่วนภานุวัฒน์นั้นไปเรียนที่มหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ การที่ภานุวัฒน์มาพูดถึงเรื่องอนาคตด้วยน้ำเสียงจริงจังนั้น น้ำผึ้งจึงรู้สึกว่าเป็นเพียงลมปากของผู้ชายเจ้าชู้คนหนึ่งเท่านั้น

“เลิกกันแล้ว” เสียงของภานุวัฒน์เนือย ๆ

“จริงเหรอพี่”

“อืม...เขามีคนอื่นไปแล้ว”

“เมื่อไหร่”

“สัปดาห์ก่อนเอง ตอนนี้หัวใจพี่ว่างแล้ว พี่จะฝากหัวใจของพี่ไว้ที่ผึ้งได้ไหม” พอเขาถามเสร็จ โดยที่น้ำผึ้งยังไม่ทันให้คำตอบ ก็มีลูกขาเจ้าประจำก็ขี่มอเตอร์ไซค์พาลูกชายกับลูกสาวเข้ามาซื้อลูกชิ้น น้ำผึ้งจัดการจัดลูกชิ้นใส่ถุงให้พลางทักทายตามประสาแม่ค้าที่ต้องคุยเพื่อมัดใจลูกค้าให้มากที่สุด ส่วนภานุวัฒน์ก็ยังอ้อยอิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่ยอมไปไหน เพียงแต่เขาเลี่ยงเข้าไปยื่นใกล้ ๆ กับน้ำผึ้งพร้อมกับวางกระเป๋าเจมส์บอนไว้บนเก้าอี้พลาสติกที่น้ำผึ้งใช้นั่งพักขาช่วงไม่มีลูกค้า
และเมื่อลูกค้าไปแล้ว น้ำผึ้งก็หันไปหาเขาที่ยืนตัวตรงโชว์ชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวกางเกงสีน้ำตาลเข้มผูกเนคไทสอดเข้าไว้ในเสื้อ

“พี่ไม่รีบกลับบ้านเหรอ พ่อแม่พี่คงจะชะเง้อแล้ว”

“พี่อยากอยู่ใกล้ ๆ กับผึ้ง ให้นาน ๆ เวลาของพี่มีน้อย”
น้ำผึ้งกลอกตาไปมาพลางอมยิ้มน้อย ๆ

“ยิ้มอะไร”

“กำลังคิดว่า รถไฟ เรือเมล์ ลิเก ตำรวจ ท่านว่าเจ้าชู้อย่าอยู่ใกล้ ๆ เห็นว่าจะเป็นจริง ๆ แล้ว”

“เชื่อโบราณท่านว่าจะบานบุรี”

“อยากรู้ว่าที่โรงเรียนนายสิบเขาสอนหลักสูตรจีบหญิงด้วยหรือเปล่า พอมาถึงพี่วัฒน์ก็ทำคะแนนชนิดไม่ให้ผึ้งตั้งตัวเลย”

“พี่พูดจากใจจริงนะ”

“เหรอ”

“พี่จะพิสูจน์ให้ผึ้งเห็นว่าพี่จริงใจกับผึ้ง”

น้ำผึ้งถอนหายใจหนัก ๆ ก่อนจะบอกว่า “พี่คิดดีแล้วเหรอที่จะจีบผึ้ง”

“ทำไม”

“ผึ้งกับพี่ พี่ก็รู้” น้ำผึ้งยักไหล่ของตนเพื่อให้เขาคิดเองว่า เธอนั้นเป็นใคร และเขาเป็นใคร

“เราสร้างอนาคตด้วยกันได้นี่ผึ้ง ปีหน้าผึ้งก็จบมอหก ปลายปีหน้าพี่ก็เรียนจบ ทำงาน เก็บเงิน แล้วถ้าผึ้งจะเรียนต่ออะไรพี่จะส่งเอง ตอนนี้พี่ก็มีเงินเดือนแล้วนะ จะแบ่งให้ผึ้งใช้เลยก็ได้”

“เป็นพี่น้องกันดีกว่าพี่ อย่าเพิ่งพูดถึงอนาคตเลย เดี๋ยวจะมองหน้ากันไม่ติด”
“หรือผึ้งมีคนอื่น มีใครหรือเปล่า คู่แข่งพี่มันเป็นใคร”

น้ำผึ้งส่ายหัวเบา ๆ เพราะถึงพยักหน้าไปหรือบอกว่าเธอชอบใครมันก็จะกลายเป็นเรื่องตลกสำหรับเขาอีก

“ไม่มีใครแล้วทำไมปฏิเสธความรักของพี่”

“เปลี่ยนเรื่องคุยเถอะพี่วัฒน์...พี่หิวไหม กินลูกชิ้นไหม ผึ้งลดให้ในราคาพิเศษเลย ปกติสี่ไม้ยี่สิบบาทสำหรับพี่ สามไม้ยี่สิบไปเลย”

“แบบนี้เรียกว่าลดเหรอ”

น้ำผึ้งหัวเราะเบา ๆ เขาเองก็หัวเราะ...และขณะที่หนุ่มกับสาวหัวร่อต่อกระซิบกันพลางช่วยกินปิ้งลูกชิ้นและกินลูกชิ้นที่ตัดสินใจซื้อในราคาสามไม้ยี่สิบบาทไปพลาง คนที่น้ำผึ้งคิดว่าแทบจะไม่มีโอกาสจะได้เห็นเขาง่าย ๆ ก็กลับขับรถมาจอดที่หน้าร้าน...ประตูฝั่งคนขับเปิดออก วรรณศุกร์ลงจากรถยิ้มให้น้ำผึ้งก่อนจะเดินมาหาโดยทำเหมือนกับว่าเขาไม่เห็นว่ามีภานุวัฒน์ยืนอยู่ตรงนั้น

และขณะที่วรรณศุกร์รอน้ำผึ้งจัดลูกชิ้นใส่ถุง ที่ท้ายรถของเขาก็มีรถของอาจารย์นวลอนงค์มาต่อท้าย นงลักษณ์เปิดประตูรถฝั่งผู้โดยสารลงมาอย่างรวดเร็ว และหญิงสาวก็เดินรี่เข้ามาทักทายภานุวัฒน์เสียงดังฟังชัดตามนิสัยร่าเริงของตน “พี่วัฒน์ มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้”

“มาดูผึ้งขายของ”

“ยืนดูน้ำผึ้งขายของ” นงลักษณ์ทำหน้าและน้ำเสียงประหลาดใจ แล้วหญิงสาวก็รู้สึกได้ว่าผู้ชายที่ตัวเองยืนอยู่ข้าง ๆ นั้นคือเทพบุตรในฝันที่ไม่มีเทพธิดามาคอยมาคุม ครั้งนี้นงลักษณ์ไม่กั๊กอารมณ์ไว้อีกแล้ว

“อ้าว คุณศุกร์ก็มาซื้อลูกชิ้นปิ้งร้านน้ำผึ้งเหมือนกันเหรอคะ”

“นึกอยากกิน...” เขาตอบสั้น ๆ เหมือนคนไว้ตัว

ช่วงที่เขาเดินมาสั่งลูกชิ้นนั้นน้ำผึ้งรู้สึกถึงความห่างเหินที่มีให้ เพราะว่าสั่งแล้วเขาก็ยืนนิ่งเบือนสายตาไปทางอื่น ไม่ชวนคุยเหมือนวันอื่น อาจจะเป็นเพราะเขาเห็นว่าเธอมีภานุวัฒน์มายืนอยู่ด้วยก็ได้ น้ำผึ้งจัดลูกชิ้นใส่ถุงใส ถุงหิ้ว พร้อมผักเคียงแล้วก็ยื่นให้เขา เขาส่งแบงก์หนึ่งพันที่ดึงมาจากกระเป๋าเสื้อยืดคอปกมาให้

“ผึ้งไม่มีทอน”

“ฉันไม่มีแบงก์ย่อยเลย”

“เอาไว้ก่อนก็ได้ค่ะ เดี๋ยวก็มาอีก”

“ร้านนี้เชื่อได้ด้วยเหรอ” นงลักษณ์แทรกเข้ามา น้ำผึ้งจึงแอบขึงตาให้กับเพื่อนก่อน
จะย้ำกับวรรณศุกร์อีกครั้งว่า

“เอาไปก่อนก็ได้ค่ะ แค่สี่สิบบาทเท่านั้นเอง”

“ไม่ใช่ แค่ แต่เป็น ตั้ง ต่างหาก”

“คุณศุกร์คงไม่เบี้ยวผึ้งหรอกค่ะ ผึ้งไม่มีเงินทอนจริง ๆ”

“แล้วถ้าลูกค้าคนอื่นให้แบงก์พัน ผึ้งจะทำอย่างไร”

“ถ้ารู้จักกันก็จะบอกให้เขาไปหาซื้อของอื่นก่อนค่ะ แต่คุณศุกร์คงไม่ซื้ออะไรแล้ว ผึ้งก็เลยให้ติดไว้ก่อน หรือจะให้ผึ้งยึดแบงก์พันนี้ไว้ แล้วมาเอาเงินทอนวันหลัง”
เขาทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะบอกว่า “งั้นขอติดไว้ก่อนดีกว่า 960 บาท มันเป็นเงินไม่ใช่น้อยเลย เธอหอบเงินหนีไปฉันจะทำอย่างไร”

น้ำผึ้งยิ้มเขิน ๆ เมื่อเขาเย้าแหย่

“ขอบใจนะ ขอโทษจริง ๆ ไปแล้ว” ว่าแล้วเขาก็หมุนตัวเดินกลับไปขึ้นรถแล้วขับออกไป โดยมีสายตาของนงลักษณ์มองตามไปด้วยความชื่นชมกับความหล่อสมาร์ทใจดีสุภาพ และหญิงสาวก็หันกลับมาหาน้ำผึ้งกับภานุวัฒน์ซึ่งพอนงลักษณ์เข้ามาแจมแล้วภานุวัฒน์ก็บื้อใบ้ทันที

“พี่วัฒน์กลับถึงบ้านหรือยังเนี่ย”

“ยัง”

“แล้วมามัวทำอะไรอยู่ตรงนี้ กลับบ้านได้แล้ว อย่าบอกนะว่า มาจีบแม่ค้า”

“ถ้าพี่บอกว่ามาจีบแม่ค้าล่ะ”

“พี่รุ่งล่ะ” นงลักษณ์ก็รู้เหมือนที่คนอื่น ๆ รู้ว่า ภานุวัฒน์นั้นคบหาอยู่กับรุ่งนภา

“เลิกกันแล้ว”

นงลักษณ์ตกใจกับข่าวล่าสุดเหมือนกัน แต่ว่านงลักษณ์ที่สนิทกับภานุวัฒน์อยู่ไม่น้อยเพราะเล่นกีฬาวอลเลย์บอลทีมโรงเรียนเหมือนกัน ก็รีบซักไซ้ถึงสาเหตุแห่งการร้างลา กระทั่งแม่ของตนที่เลี่ยงไปซื้อกับข้าวเดินเข้ามาเรียกให้ขึ้นรถเพราะว่าผู้เป็นพ่อที่เป็นครูแต่อยู่คนละโรงเรียนโทรมาบอกว่ากลับถึงบ้านแล้วและก็หิวข้าวเย็นเป็นอย่างมาก...











จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 มิ.ย. 2556, 07:38:20 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 มิ.ย. 2556, 07:38:20 น.

จำนวนการเข้าชม : 1933





<< 2.น้ำผึ้งบ้านไพร   4. “ฉันก็ไม่ได้จะเอาเธอไปเป็นนางงามวันสองวันนี้ซะเมื่อไหร่” >>
จุฬามณีเฟื่องนคร 11 มิ.ย. 2556, 07:38:44 น.
ต่อไม่ติดก็ต้องย้อนอ่านแต่แรกกันใหม่นะฮะ


nutcha 11 มิ.ย. 2556, 15:10:54 น.
หายไปนานเลยแต่ยังต่อติดอยู่ค้า คิดถึงนิยายของคุณเฟื่องค่ะดีที่ได้พี่กล้วยมาคลายคิดถึง


คิมหันตุ์ 11 มิ.ย. 2556, 16:24:04 น.
สนุกจ้าาาาา ตอนต่อไปมาไวไว น้าาา


Zephyr 11 มิ.ย. 2556, 19:13:35 น.
ย้อนไปอ่านมาละค่า
ต่อๆๆๆๆ


จุฬามณีเฟื่องนคร 1 ส.ค. 2556, 02:29:17 น.
stop!


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account