ความรักของเปลือกไข่
เธอ...หลงรักคนๆ หนึ่งอยู่หลายปี ถูกกำหนดให้เป็นเพียงแค่เปลือกไข่ที่คอยปกป้องสิ่งที่อยู่ข้างในโดยไม่เต็มใจ
เขา...หลงรักเปลือกใข่ที่ภายนอกดูแข็งแรง แต่พร้อมที่จะแตกสลายได้ตลอดเวลา
เขา...หลงรักเปลือกใข่ที่ภายนอกดูแข็งแรง แต่พร้อมที่จะแตกสลายได้ตลอดเวลา
Tags: ความรัก สามคน โปรแกรมเมอร์
ตอน: ตอนที่ 12
ขิงเข้านอนด้วยจิตใจที่ไม่สดใสเท่าไหร่ หลังจากทำแผลให้แอมป์เสร็จเรียบร้อย หญิงสาวก็นั่งคุยกับเพื่อนพักใหญ่ ทั้งเรื่องเหตุผลที่ทำไมจู่ๆ เพื่อนถึงตัดสินใจตัดความสัมพันธ์กับศศิ ทั้งที่ดูเหมือนทั้งคู่จะไปด้วยกันได้ดีในช่วงแรก
สิ่งที่ชายหนุ่มใช้เป็นเหตุผลคือความเข้าใจและเชื่อใจ แอมป์เป็นผู้ชายขี้หึง ซึ่งในข้อนี้เธอรู้มานานแล้ว เพื่อนหนุ่มเป็นคนหึงและหวงของของตนเองเป็นเรื่องปกติ ใครจะมาแตะต้องของของเขาไม่ได้ โดยเฉพาะผู้หญิง ซึ่งเรื่องนี้จะไม่มีปัญหาหากศศิไม่ใช่คนที่มีเพื่อนผู้ชายเยอะ แต่นี่แฟนสาวของเขามักไปไหนมาไหนกับเพื่อนผู้ชายอยู่เสมอ และถึงแม้ว่าแอมป์จะขอร้องด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม ศศิไม่เคยเข้าใจ ไม่แม้แต่จะทำความเข้าใจความรู้สึกของคนรัก
‘คบกันไปก็มีแต่เรื่องปวดหัว’ แอมป์บอก ดูเหมือนเพื่อนของเธอจะไม่ยี่หระต่อการตัดความสัมพันธ์นี้สักเท่าไหร่ จนเธอเองชักสงสัยว่ามีอะไรดีเกิดขึ้นหลังจากบอกเลิกกับศศิหรือเปล่า แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอถามออกไป หญิงสาวทำเพียงแค่รับฟังเงียบๆ และคอยให้คำปลอบใจบ้างบางครั้งที่คิดว่าเพื่อนกำลังต้องการกำลังใจ
หญิงสาวนั่งอยู่บนเตียงนอนในลักษณะกึ่งนั่งกึ่งนอน แม้จะเลยเวลานอนของเธอมาพอสมควร แต่ขิงกลับยังไม่อยากนอน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันค่ำยังวนอยู่ในหัวพยายามสลัดออกยังไงก็ไม่หลุด เสียงทุ้มของเพื่อนที่เอ่ยปากบอกถึงสถานะตนเองว่าเขากลับมาโสดอีกครั้งทำให้ใจเธอเต้นแรงขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ความหวังที่เคยมีอยู่ริบหรี่กลับลุกโชนขึ้นมาอีก
“จะให้เราปวดหัวตายเลยเหรอแอมป์ หายไปตั้งนานแล้วจะกลับมาอีกทำไมกันนะ” ว่าแล้วก็ยกผ้าห่มผืนหนาขึ้นคลุมตัวเองก่อนจะดีดดิ้นอยู่ในนั้นพร้อมกรี๊ดออกมาสุดเสียงแล้วใช้ผ้าห่มกั้นเสียงทุกอย่างไว้ ระบายความคับข้องใจทุกอย่างที่อยู่ภายใน ก่อนจะถอนหายใจออกมา แล้วตัดสินใจลุกขึ้นปิดไฟภายในห้องเพื่อพักผ่อน
ร่างบางเดินสะโหลสะเหลออกมาเปิดประตูรั้วบ้านให้คนมากดกริ่งหน้าบ้านแต่เช้าเข้ามารอข้างในระหว่างที่เธอยังแต่ตัวไม่เรียบร้อยนัก สภาพยืนโงนเงนจะหลับแหล่มิหลับแหล่ทำให้กฤษณ์เผลอหัวเราะออกมาเบาๆ เรียกสายตาค้อนของคนง่วงนอนได้เป็นอย่างดี จนคนยืนขำต้องคอยกลั้นใจไม่ให้เสียงหัวเราะหลุดลอดออกมา
“เมื่อคืนไม่ได้นอนเหรอครับ”
“หลับค่ะ” เจ้าของบ้านที่เดินนำหน้าอยู่หันกลับมาตอบด้วยเสียงของคนยังไม่ตื่นนอน ก่อนจะหันกลับแล้ว ‘ลากขา’ ตัวเองเข้าบ้าน “บอสนั่งรอตรงนี้ก่อนนะคะ ขิงขอเวลาแต่งตัวไม่เกินสิบนาที ถ้าเบื่อๆ ก็ลุกเดินดูอะไรรอบบ้านก่อนเลยนะคะ”
“ไม่ต้องรีบนะ ผมรอได้” เขาบอก ก่อนจะมองไปยังหญิงสาวอีกครั้ง “เอ่อ... แล้วก็... อย่าลืมกลับเสื้อให้ถูกด้วยนะครับ แฟนชั่นตะเข็บอยู่ข้างนอกแบบนี้ไปไหนน่ากลัวจะมีแต่คนมองนะ”
ได้ยินคำเตือนเสร็จหญิงสาวก้มลงมองเสื้อตัวเองก่อนจะสบถไม่พอใจเบาๆ แล้วรีบวิ่งโครมๆ ขึ้นไปชั้นบนด้วยความอับอาย ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะดังไล่หลังมา ใบหน้าที่ร้อนอยู่แล้วคราวนี้ความร้อนพุ่งสูงขึ้นไปอีก ขิงอยากจะหันไปหาเจ้าของเสียงแล้วหาอะไรเขวี้ยงใส่ศีรษะ แต่ติดตรงที่ตอนนี้เวลางานใกล้เข้ามาเต็มที แล้วไหนจะเจ้านายที่นั่งอยู่ข้างล่าง คิดได้แบบนี้จึงได้แต่ปิดประตูห้องแล้วรีบเปลี่ยนเสื้อ หญิงสาวเลือกที่ค้นเสื้อตัวใหม่มาใส่แทนที่จะกลับด้านเสื้อให้ถูกต้องตามคำแนะนำของบอสหนุ่ม
ร่างบางเดินลงมาชั้นล่างเมื่อครบสิบนาทีพอดิบพอดีพร้อมกับกระเป๋าสะพายคู่ใจ หญิงสาวค่อยๆ ย่องอย่างกับไม่ใช่บ้านของตัวเองก่อนจะพบว่ากฤษณ์ยืนรออยู่แล้ว สายตาที่ยังคงเจือด้วยรอยขำมองมาที่เธอทำเอาขิงทำตัวไม่ถูก มือไม้วางระเกะระกะไปหมด
“ไปกันเถอะค่ะบอส” คนเป็นลูกน้องเอ่ยตัดบทแล้วรีบเดินนำออกไปนอกบ้าน
กล่องแซนวิชกล่องเดียวกับเมื่อวานถูกยื่นมาตรงหน้าหญิงสาวหลังจากเธอคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย ขิงหันมองเจ้าของมือที่ยื่นมาด้วยสายตางุนงง
“อาหารเช้าน่ะ รับไปสิ” มือเล็กรับมาเปิดดู เธอเห็นแซนวิชเรียงกันอยู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย... เหมือนเมื่อวานไม่มีผิด
“บอสทานรึยังคะ” เธอถาม ขณะที่มือขาวก็หยิบหนึ่งชิ้นกัดกร้วมเข้าปากเรียบร้อย ทางข้างหน้ารถจะติดแค่ไหนไม่สนใจอีกแล้วเมื่อมีของกินใส่สนใจอยู่กล่องใหญ่
“ผมยังไม่ได้ทานหรอก แต่ถ้าคนแถวนี้จะใจดีล่ะก็...” พูดยังไม่ทันจบ กฤษณ์ก็เห็นขนมปังสีขาวชิ้นเล็กพุ่งตรงมาหยุดตรงหน้าเขา ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มให้กับแซนวิชต้องการให้ส่งไปถึงเจ้าของมือเล็ก
“ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงนุ่มแล้วกัดขนมปังเข้าไปคำโต
“ขอบคุณทำไมกันคะ แซนวิชก็ของบอส ไหนบอสจะขับรถมารับขิงอีก ขิงต่างหากค่ะที่ต้องขอบคุณบอส”
“ไม่เป็นไร ผมเต็มใจ”
กฤษณ์เอ่ยแล้วหันมองใบหน้าหวานที่นั่งมองเขาอยู่ สายตาหวานถูกส่งให้หญิงสาวจนคนได้รับหน้าชักร้อนขึ้นทุกที ขิงไม่แน่ใจว่าแก้มสองข้างของเธอแดงขนาดไหน รู้เพียงว่าความร้อนที่เกิดขึ้นทำให้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจับไข้ยังไงไม่รู้ หญิงสาวพูดอะไรไม่ออกนอกจากหันใบหน้ากลับมามองทางข้างหน้า อาหารเช้าที่ทานอยู่เมื่อครู่ไร้ความหมายไปทันควัน มือเล็กปิดกล่องแซนวิชที่เหลือมากกว่าครึ่งนั่นแล้วได้แต่นั่งนิ่งๆ ไม่มีคำพูดระหว่างกันอีกจนถึงบริษัท
ทั้งคู่เดินขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นที่เป็นที่ตั้งของบริษัทอย่างเช่นทุกวัน หากแต่วันนี้ไม่เหมือนกับทุกวัน... กฤษณ์ชะงักฝีเท้าที่เดินอยู่เล็กน้อยเมื่อเดินออกจากลิฟต์แล้วพบว่าลูกน้องเจ้าของแผลที่มุมปากเขากำลังยืนวนเวียนอยู่แถวโต๊ะทำงานของเจ้าตัวก่อนจะหันมาปะทะสายตากับเขาอย่างจัง
“ขิง” เสียงทุ้มเรียกเพื่อนพร้อมกับเดินมุ่งมาทางเขาที่ยืนอยู่ข้างๆ คนตัวเล็ก “เรานึกว่าวันนี้ขิงจะไม่มาทำงานแล้วนะ”
“มาสิ งานเรายังไม่เสร็จ แล้ววันนี้ทำไมมาบริษัทได้ล่ะคะคุณผู้ชาย” ขิงเอ่ยถาม คำพูดทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนเดิม สัมพันธ์ของเพื่อน... ยังไงก็ไม่มีวันตัดขาด
“ก็อยู่บ้านมันเบื่อ”
“แล้วนี่มานานแล้วเหรอ”
“ซักพักแล้วล่ะ ว่าจะลงไปหากาแฟกินแก้ง่วงหน่อย ขิงไปกับเรามั้ย” บทสนทนาดำเนินไปเรื่อยๆ ราวกับว่าไม่มีบุคคลที่สาม กฤษณ์รู้ดีว่าลูกน้องหนุ่มของเขามองเห็นของแน่นอนแต่กลับทำราวกับเขาเป็นอากาศธาตุ
“ไปสิไป เนี่ยเรานะ...” เสียงเล็กหายไปในลำคอเมื่อได้ยินเสียงกระแอมจากคนข้างตัว ขิงหันไปยิ้มแหยให้กับเจ้านายก่อนจะส่งสายตาขออนุญาตทั้งๆ ที่ตัวเองยังเดินไม่ถึงโต๊ะทำงานด้วยซ้ำ
คนตัวโตปรายตามองคนตั้งท่าจะลงไปเถลไถลข้างล่างตั้งแต่มาถึงแล้วได้แต่ถอนหายใจ “ขออเมริกาโน่เย็นให้ผมแก้วนึงแล้วกันนะขิง”
...เขาไม่สามารถต้านทานสายตานั้นได้เลยจริงๆ ให้ตายสิ!
กฤษณ์ทำได้เพียงแต่สบถคำต่างๆ นานาอยู่ในใจ แต่ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าลูบแผลที่มุมปาก กัดกรามอย่างคนอดกลั้นในอารมณ์ หากแผลนี้ได้มาในเวลางาน คนที่ต่อยเขาคงไม่มีโอกาสได้มายืนลอยหน้าลอยตาต่อหน้าเขาได้อีก แต่แผลนี่ดันเกิดขึ้นนอกเวลางาน ดังนั้นการที่แอมป์ยังคงเดินอยู่ในบริษัทได้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่การที่จู่ๆ ก็มาถึงตัวคนที่เขาหมายตาไปนี่สิ กฤษณ์ตวัดสายตาดุใส่ความว่างเปล่าข้างหน้า... ในเมื่อเขาตั้งใจเดินหน้าแล้ว เขาก็ต้องเดินจนสุดทาง เขาต้องได้คำตอบจากขิง ไม่ว่าในฐานะอะไรก็ตาม
อเมริกาโน่เย็นถูกวางไว้บนโต๊ะอย่างเบามือ ขิงส่งยิ้มให้เจ้านายเล็กน้อยก่อนจะขอตัวออกไปทำงานที่โต๊ะเช่นทุกวัน แต่วันนี้กลับไม่เหมือนทุกวัน กฤษณ์เงยหน้าขึ้นจากเอกสารบนโต๊ะขึ้นมองหน้าขาว เขามองนิ่งนานจนคนตัวเล็กเกิดอาการเงอะงะขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“เอ่อ บอสมีอะไรกับขิงรึเปล่าคะ”
“เข้ามานั่งทำงานเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ ผมเหงา”
“คะ? บอสว่าไงนะคะ”
“เข้ามานั่งทำงานในนี้นะขิง มานั่งเป็นเพื่อนผมหน่อย” คนถูกขอร้องให้อยู่เป็นเพื่อนถึงกับเหวอไปเล็กน้อย ไม่อาจคาดเดาถึงสาเหตุได้ เนื่องจากตั้งแต่เธอเข้ามาทำงานในบริษัทกฤษณ์ก็นั่งทำงานอยู่ในห้องนี้คนเดียวมาตลอดไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งย่าม มีเพียงแม่บ้านของตึกเท่านั้นที่เขามาทำความสะอาดวันละครั้ง
“บอสไม่สบายรึเปล่าคะ” ชายหนุ่มนึกปลงกับการเฉไฉไปเรื่อยของหญิงสาวตรงหน้า เขาแน่ใจว่าเธอเข้าใจจุดประสงค์เขาเป็นอย่างดี แต่เธอก็สามารถหาทางหลบเลี่ยงได้ตลอด
“เอาเถอะ ผมก็พูดไปอย่างนั้นแหละ ขิงกลับไปทำงานเถอะ” กฤษณ์มองหญิงสาวตรงหน้าเลิกคิ้วแล้วนึกฉุนขึ้นมาเล็กๆ ทั้งใบหน้าและท่าทางที่เธอแสดงออกมากวนอารมณ์เขาไม่น้อยเลย
“อ้อ” เขาเรียกรั้งหญิงสาวไว้อีกที ก่อนจะยื่นถุงใบเล็กให้ “แซนวิชยังไม่หมด ขิงเอาไปทานต่อที่โต๊ะนะ”
“แล้วบอสไม่ทานเหรอคะ เมื่อเช้าบอสทานไปนิดเดียวเองนะ” เธอพูดอย่างนึกได้
“ไม่เป็นไร ผมว่าแซนวิชแบบไม่มีคนป้อนมันไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่” เขาพูดแล้วส่งยิ้มให้คนตรงหน้า ก่อนจะหัวเราะออกมาเมื่อเห็นว่าเธอก้มหน้าลงเล็กน้อยแล้วเอื้อมมือมาหยิบถุงจากมือเขาเดินออกไปเงียบๆ
การทำงานของขิงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทั้งการเขียนโปรแกรมที่แสนลื่นไหลและแอมป์ที่คอยเข้ามาพูดด้วยเหมือนเมื่อก่อน บรรยากาศเก่าๆ เริ่มกลับมาทำให้จิตใจของหญิงสาวเบิกบานขึ้นอย่างที่ไม่รู้สึกมานาน ถ้าจะมีอะไรแปลกไปก็คงจะเป็นเจ้าของกล่องแซนวิชสีสวยที่วันนี้ทั้งวันเอาแต่ยืนจ้องเธอเงียบๆ หลังจากที่เธอเดินออกมาจากห้องทำงานของเขา
ยิ่งเวลาที่แอมป์เดินเข้ามาใกล้ที่โต๊ะเธอขิงจะรู้สึกถึงบางอย่างที่คอยกดดันเธอ แล้วพอเธอหันมองทางห้องทำงานของท่านประธานเธอก็จะเจอกับสายตาดุที่มองเธออยู่ กฤษณ์ไม่ได้พูดอะไรกับเธอแต่ที่เขาทำมันยิ่งกว่าความกดดัน เพราะพอเธอสบตากับเขา ชายหนุ่มก็จะหันหน้าไปทางอื่นหรือไม่ก็เดินกลับไปที่โต๊ะ... เจ้านายเธอต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ
“ขิง วันนี้กลับกับเรานะ เดี๋ยวพาไปส่งบ้าน” เสียงทุ้มที่ดังอยู่ข้างหน้าทำเอาความคิดสะดุด หญิงสาวกระพริบตาปริบๆ เรียกสติเล็กน้อยก่อนเอ่ยปาก
“อะไรนะแอมป์ เมื่อกี้เราไม่ได้ฟัง”
“อ้าว เราจะชวนขิงกลับบ้านด้วยกัน เดี๋ยวพาไปส่งบ้าน”
“อืม เอาสิ” ตอบไปแล้วแต่เธอกลับนึกถึงชายหนุ่มอีกคนที่ช่วงนี้ไปไหนมาไหนกับเขาบ่อยเหลือเกิน อีกทั้งยังช่วยป็นพ่อครัวให้อีกด้วย วันนี้กฤษณ์ไม่ได้พูดอะไรเรื่องกลับบ้านหรือเรื่องอาหารมื้อค่ำ “สงสัยคงมีธุระ”
“หืม ว่าไงนะขิง” แอมป์ขยับหน้าเข้าใกล้คนพูดอีกหน่อย เพราะเมื่อกี้ฟังไม่ถนัด แต่หารู้ไม่ว่าในห้องของท่านประธานแทบลุกเป็นไฟ กฤษณ์ยืนมองคนทั้งคู่อยู่นานแล้วแต่ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าส่งสายตาที่ถ้ามีไฟอยู่ข้างในคงเผาทุกอย่างเป็นจุณไปแล้ว
“เปล่าๆ ไม่มีอะไร วันนี้แม่ยังไม่กลับมาด้วย ไปหาอะไรกินก่อนเข้าบ้านด้วยนะ”
“รับทราบครับผม เอาร้านหน้าปากซอยบ้านขิงแล้วกันนะง่ายดี”
เพราะใกล้เวลาเลิกงานแล้ว ทั้งขิงและแอมป์เลยตัดสินใจเก็บของทุกอย่างให้เรียบร้อยเตรียมพร้อมกับบ้าน ก่อนกลับขิงยังหันมองไปยังห้องประธานที่ยังคงปิดสนิทอยู่อย่างนั้นด้วยความละล้าละลังหวังจะให้เขาโผล่หน้าออกมาจากห้องทำงาน แต่ก็เปล่าประโยชน์ในเมื่อประตูห้องยังคงปิดอยู่เช่นนั้นไม่มีท่าทีเคลื่อนไหวอะไร
“ขิงไปกันเถอะ” คำชักชวนดังอยู่เบื้องหลังเธอ หญิงสาวหันพยักหน้าให้เพื่อนแล้วเดินตามไปอย่างเงียบๆ ปัดความสนใจคนในห้องนั้นออกไปจากความคิดจนหมด
กฤษณ์เดินออกมาจากห้องทำงานหลังจากเคลียร์งานเรียบร้อย วันนี้เขาตั้งใจจะพาลูกน้องสาวไปซื้อของสดเพื่อทำกับข้าวแต่สายตาของเขากลับเห็นเพียงความว่างเปล่าที่โต๊ะทำงานของเธอ ชายหนุ่มขมวดคิ้วสงสัยเบือนสายตาไปที่โต๊ะอีกตัวที่อยู่ติดกัน แล้วก็พบว่ามันว่างเปล่าเหมือนกับโต๊ะก่อนหน้านี้ไม่มีผิดเพี้ยน แววตาคมวาวโรจน์ขึ้นมาชั่วครู่ก่อนจะมอดลงเมื่อเห็นพนักงานอีกคนหนึ่งเดินผ่านมา
“ภพ” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกคนที่กำลังเดินผ่านมาอย่างเงียบๆ ไม่มีปากมีเสียงเพราะเกรงว่านายจะเพิ่มงานให้อีกกองใหญ่
“ครับบอส ว่าไงครับ”
“สองคนนี้... เอ่อ... ไปไหน” ภพขมวดคิ้วเล็กน้อย ทำหน้าสงสัยหันไปหาเจ้านายแล้วมองตามนิ้วมือที่ชี้อยู่นั่นถึงได้ร้องอ๋อขึ้นมา
“กลับบ้านแล้วครับ ถึงเวลาปุ๊บมันสองคนก็เก็บของกลับไปเลย” บอสหนุ่มไม่พูดอะไรอีกนอกจากพยักหน้าแล้วเดินไปกดลิฟต์เพื่อกลับบ้าน ทำเอาคนที่ยืนคุยอยู่ด้วยเมื่อครู่งงอย่างช่วยไม่ได้ภพทำได้เพียงแต่ยักไหล่ใส่แผ่นหลังกว้างที่เดินหายเข้าไปในลิฟต์แล้ว ก่อนจะจัดการกับข้าวของของตัวเองบ้าง
กฤษณ์ไม่ได้ตรงกลับบ้านอย่างเคย หรือแม้แต่เลี้ยวไปเส้นทางบ้านของขิงเขาก็ไม่ทำ ชายหนุ่มหักพวงมาลัยไปอีกทาง ทางที่พาเขาไปยังคลับประจำที่ช่วงหลังมานี้ไม่ได้ไปเพราะมัวแต่ห่วงคนตัวเล็กอยู่ทุกวัน มือใหญ่จับพวงมาลัยขยับซ้ายขวาอย่างชำนาญเมื่อต้องถอยจอดในที่จอดรถ VIP พนักงานยังคงเป็นคนเดิมและยังจำรถเขาได้เพียงแค่เห็นรูปทรงและทะเบียนเท่านั้น
“หายไปนานเลยนะครับ” เด็กหนุ่มเปิดประตูรถให้ชายหนุ่มพร้อมคำทักทายอย่างสนิทสนม หากกฤษณ์ไม่อยู่ในอารมณ์พูดคุยกับใคร เขาทำเพียงแค่ยื่นธนบัตรสีแดงให้แล้วเดินเข้าไปในคลับอย่างคุ้นเคย
เสียงเพลงฟังสบายๆ เปิดคลอสร้างบรรยากาศให้ลูกค้าทุกคนเพื่อผ่อนคลาย หากเป็นปกติชายหนุ่มคงเข้าไปนั่งที่โซฟาชุดจุดไหนซักจุดในห้องใหญ่นี้ แต่วันนี้เขากลับมุ่งตรงไปยังบาร์เครื่องดื่มที่มีบาร์เทนเดอร์กำลังทำหน้าที่ผสมเครื่องดื่มตามคำสั่งที่ได้รับมา เขานั่งนิ่งอยู่นานไม่ยอมพูดอะไรจนเด็กหนุ่มบาร์เทนเดอร์ทนไม่ได้เสียเอง
“รับอะไรแก้กระหายหน่อยมั้ยครับคุณ”
คนถูกทักเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียง ถอนหายใจเล็กน้อย “ออนเดอะร็อคที่นึง”
เด็กหนุ่มผิวปากหวือเมื่อได้ยินออเดอร์ รีบขยับมือหยิบแก้วแล้วจัดการตามคำสั่งของลูกค้าหนุ่มที่ดูยังไงก็เหมือนคนอกหักมา
“อกหักมาเหรอครับ” บาร์เทนเดอร์หนุ่มยังคงไม่ละความพยายามในการพูดคุยกับลูกค้า ดูเหมือนเป็นความชอบของเขาเสียแล้ว ยิ่งเห็นคนไม่สบายใจเขาก็อยากจะคุยด้วยให้คลายเครียดบ้าง แต่ดูจากที่ถามคำถามไปเมื่อครู่แล้วสายตาคมตวัดขึ้นมามองทำเอาใจแป้วอย่างบอกไม่ถูก “อ่า... ผมไม่กวนคุณแล้วก็ได้ครับ จะสั่งเพิ่มค่อยเรียกผมแล้วกัน ขอโทษทีนะครับ ผมแค่ไม่อยากให้ลูกค้าเครียด”
“ไม่เป็นไร ถ้าว่างค่อยมานั่งคุยกับฉันก็ได้” กฤษณ์เอ่ยบอกทำเอาเด็กหนุ่มมีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย
“คุณนั่งไปก่อนนะ ถ้าว่างแล้วผมจะมานั่งคุยด้วย” เด็กหนุ่มว่าแล้วผละออกไปทำงานตามปกติ ปล่อยให้คนมีท่าทางคล้ายอกหักนั่งหมุนแก้วไปมาแล้วใช้ความคิดเงียบๆ
ความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัวมีเพียงแค่เรื่องของลูกน้องสาวที่เขาไม่อยากเป็นเจ้านายสำหรับเธอเสียแล้ว เขาเคยตั้งใจจะไม่มีเหตุการณ์สมภารกินไก่วัดเกิดขึ้น แต่ตอนนี้กลับทำแบบนั้นไม่ได้เขาตกหลุมรักเธอตั้งแต่รับหญิงสาวเข้าทำงาน ใบหน้าที่ไม่ได้สวยหวานซึ้งแต่กลับทำให้เขาจดจ้องได้อยู่นานสองนานราวกับคนโรคจิตนั้นเขายังจำมันได้ดี หญิงสาวนั่งรอให้เขาสัมภาษณ์ด้วยอาการเกร็งอย่างเด็กเพิ่งจบใหม่ ตอบคำถามตะกุกตะกักไปตามเรื่องตามราว พอพูดถึงเรื่องเขียนโปรแกรมสายตาที่ไม่มีความมั่นใจกลับลดน้อยถอยลงไปอีก จนถึงช่วงสุดท้ายที่เขาตัดสินใจถามคำถามออกไป แววตามุ่งมั่นกลับฉายขึ้นมาพร้อมกับคำพูดที่ว่า
‘ถึงเกรดในทรานสคริปจะ... เอ่อ ไม่สวยเท่าไหร่ แต่ถ้าคุณให้โอกาสขิงก็พร้อมที่จะเรียนรู้ค่ะ’
อย่างที่บอกว่าเขาโดนแววตาแห่งความมุ่งมั่นนั้นสะกดจิตจนไม่แน่ใจว่าตอบตกลงเธอไปตอนไหนอย่างไร มารู้ตัวอีกทีก็เมื่อก้มลงมองในใบสมัครของเธอแล้วเห็นเครื่องหมายในช่องอนุมัตินั่นเอง
“มานั่งคนเดียวแบบนี้ไม่เหงาเหรอคะ” เสียงหวานถามขึ้นเป็นภาษาอังกฤษข้างหูกฤษณ์ทำเอาชายหนุ่มหลุดออกจากภวังค์อย่างช่วยไม่ได้ ชายหนุ่มกระพริบตาเรียกสติก่อนจะนึกออกว่าที่นั่งยิ้มอยู่ข้างๆ เป็นใคร
“อลิซ?”
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
แฮ่กๆๆๆๆ มาแล้วค่าาาาาาาาา มิณทิมากลับมาแล้ว หายไปไหนกันหมดแล้ว อย่าเพิ่งทิ้งกันนะ คนที่อยู่ก็อย่าเพิ่งเอารองเท้าปาใส่หัวเก๊านะ ฮือๆๆๆ เค้ามาช้า เค้าผิดไปแล้ว งานที่มีมันรัดตัวเกินไป จนตอนนี้มิณทิมาหายใจไม่ออกแล้วค่ะ ปวดหัวไปหมด (*___*!)
ตอนนี้ไม่มีอะไรคืบหน้าเท่าไหร่ แต่มีตัวละครเพิ่มมาอีกแล้ว!!! อลิซจะมาแบบไหนกันนะ แล้วมิณทิมาจะหาเรื่องใส่ตัวเองทำไมกันล่ะเนี่ย ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ
ปอลิง เกาหลีเดี๋ยวนี้มีหนุ่มๆ หน้าตาดีๆ ตัวสูงๆ เดินกันว่อนเลยนะคะ อาหารตาเต็มไปหมด 55555+ มิณทิมาเกือบเลือดกำเดาไหลตั้งหลายที ฮาาาาาาา (เก๊าย้อเย่นนะ แต่ถ้าได้ซักคนคงดี 55555555555)
สุดท้าย ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน เข้ามาแสดงความคิดเห็นกันนะคะ มิณทิมารักทุกคนเลยยยยยย จู๊บบบบบบบบบบบ (^3^)
=======================================
ตอบเม้นท์กันหน่อย (ไม่รู้ว่าลืมที่เม้นท์กันไปหมดรึยังน้อ~)
คุณ pattisa : ดูเหมือนต้องออกแรงหน่อยนะคะ ตาบอสเรารักแกเหนียวแน่น ฮาาา
คุณ คิมหันตุ์ : ชักขัดใจยัยขิงมากขึ้นอีกรึเปล่าเอ่ย แฮ่ๆๆๆๆ เรื่องนายแอมป์ชกบอสคงได้คำตอบแล้วน้า~ ยังไงก็นอกเวลางานอ่ะเนอะ อย่าลืมติดตามต่อนะจ๊ะ จุ๊ฟๆ
คุณ ปลายสี : บอสนี่กำลังใจดีจริงๆ เลยน้า มีแต่คนเชียร์อย่างนี้ไม่รู้ยัยขิงจะว่ายังไงเหมือนกันนะคะ
คุณ mhengjhy : นะคะ กลับมาก็ป่วนเลยทีเดียว ฮาาาาาา ทำไงดีล่ะคะทีนี้ :)
-------------------------------------------------------------
แล้วเจอกันค่ะ :)
สิ่งที่ชายหนุ่มใช้เป็นเหตุผลคือความเข้าใจและเชื่อใจ แอมป์เป็นผู้ชายขี้หึง ซึ่งในข้อนี้เธอรู้มานานแล้ว เพื่อนหนุ่มเป็นคนหึงและหวงของของตนเองเป็นเรื่องปกติ ใครจะมาแตะต้องของของเขาไม่ได้ โดยเฉพาะผู้หญิง ซึ่งเรื่องนี้จะไม่มีปัญหาหากศศิไม่ใช่คนที่มีเพื่อนผู้ชายเยอะ แต่นี่แฟนสาวของเขามักไปไหนมาไหนกับเพื่อนผู้ชายอยู่เสมอ และถึงแม้ว่าแอมป์จะขอร้องด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม ศศิไม่เคยเข้าใจ ไม่แม้แต่จะทำความเข้าใจความรู้สึกของคนรัก
‘คบกันไปก็มีแต่เรื่องปวดหัว’ แอมป์บอก ดูเหมือนเพื่อนของเธอจะไม่ยี่หระต่อการตัดความสัมพันธ์นี้สักเท่าไหร่ จนเธอเองชักสงสัยว่ามีอะไรดีเกิดขึ้นหลังจากบอกเลิกกับศศิหรือเปล่า แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอถามออกไป หญิงสาวทำเพียงแค่รับฟังเงียบๆ และคอยให้คำปลอบใจบ้างบางครั้งที่คิดว่าเพื่อนกำลังต้องการกำลังใจ
หญิงสาวนั่งอยู่บนเตียงนอนในลักษณะกึ่งนั่งกึ่งนอน แม้จะเลยเวลานอนของเธอมาพอสมควร แต่ขิงกลับยังไม่อยากนอน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันค่ำยังวนอยู่ในหัวพยายามสลัดออกยังไงก็ไม่หลุด เสียงทุ้มของเพื่อนที่เอ่ยปากบอกถึงสถานะตนเองว่าเขากลับมาโสดอีกครั้งทำให้ใจเธอเต้นแรงขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ความหวังที่เคยมีอยู่ริบหรี่กลับลุกโชนขึ้นมาอีก
“จะให้เราปวดหัวตายเลยเหรอแอมป์ หายไปตั้งนานแล้วจะกลับมาอีกทำไมกันนะ” ว่าแล้วก็ยกผ้าห่มผืนหนาขึ้นคลุมตัวเองก่อนจะดีดดิ้นอยู่ในนั้นพร้อมกรี๊ดออกมาสุดเสียงแล้วใช้ผ้าห่มกั้นเสียงทุกอย่างไว้ ระบายความคับข้องใจทุกอย่างที่อยู่ภายใน ก่อนจะถอนหายใจออกมา แล้วตัดสินใจลุกขึ้นปิดไฟภายในห้องเพื่อพักผ่อน
ร่างบางเดินสะโหลสะเหลออกมาเปิดประตูรั้วบ้านให้คนมากดกริ่งหน้าบ้านแต่เช้าเข้ามารอข้างในระหว่างที่เธอยังแต่ตัวไม่เรียบร้อยนัก สภาพยืนโงนเงนจะหลับแหล่มิหลับแหล่ทำให้กฤษณ์เผลอหัวเราะออกมาเบาๆ เรียกสายตาค้อนของคนง่วงนอนได้เป็นอย่างดี จนคนยืนขำต้องคอยกลั้นใจไม่ให้เสียงหัวเราะหลุดลอดออกมา
“เมื่อคืนไม่ได้นอนเหรอครับ”
“หลับค่ะ” เจ้าของบ้านที่เดินนำหน้าอยู่หันกลับมาตอบด้วยเสียงของคนยังไม่ตื่นนอน ก่อนจะหันกลับแล้ว ‘ลากขา’ ตัวเองเข้าบ้าน “บอสนั่งรอตรงนี้ก่อนนะคะ ขิงขอเวลาแต่งตัวไม่เกินสิบนาที ถ้าเบื่อๆ ก็ลุกเดินดูอะไรรอบบ้านก่อนเลยนะคะ”
“ไม่ต้องรีบนะ ผมรอได้” เขาบอก ก่อนจะมองไปยังหญิงสาวอีกครั้ง “เอ่อ... แล้วก็... อย่าลืมกลับเสื้อให้ถูกด้วยนะครับ แฟนชั่นตะเข็บอยู่ข้างนอกแบบนี้ไปไหนน่ากลัวจะมีแต่คนมองนะ”
ได้ยินคำเตือนเสร็จหญิงสาวก้มลงมองเสื้อตัวเองก่อนจะสบถไม่พอใจเบาๆ แล้วรีบวิ่งโครมๆ ขึ้นไปชั้นบนด้วยความอับอาย ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะดังไล่หลังมา ใบหน้าที่ร้อนอยู่แล้วคราวนี้ความร้อนพุ่งสูงขึ้นไปอีก ขิงอยากจะหันไปหาเจ้าของเสียงแล้วหาอะไรเขวี้ยงใส่ศีรษะ แต่ติดตรงที่ตอนนี้เวลางานใกล้เข้ามาเต็มที แล้วไหนจะเจ้านายที่นั่งอยู่ข้างล่าง คิดได้แบบนี้จึงได้แต่ปิดประตูห้องแล้วรีบเปลี่ยนเสื้อ หญิงสาวเลือกที่ค้นเสื้อตัวใหม่มาใส่แทนที่จะกลับด้านเสื้อให้ถูกต้องตามคำแนะนำของบอสหนุ่ม
ร่างบางเดินลงมาชั้นล่างเมื่อครบสิบนาทีพอดิบพอดีพร้อมกับกระเป๋าสะพายคู่ใจ หญิงสาวค่อยๆ ย่องอย่างกับไม่ใช่บ้านของตัวเองก่อนจะพบว่ากฤษณ์ยืนรออยู่แล้ว สายตาที่ยังคงเจือด้วยรอยขำมองมาที่เธอทำเอาขิงทำตัวไม่ถูก มือไม้วางระเกะระกะไปหมด
“ไปกันเถอะค่ะบอส” คนเป็นลูกน้องเอ่ยตัดบทแล้วรีบเดินนำออกไปนอกบ้าน
กล่องแซนวิชกล่องเดียวกับเมื่อวานถูกยื่นมาตรงหน้าหญิงสาวหลังจากเธอคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย ขิงหันมองเจ้าของมือที่ยื่นมาด้วยสายตางุนงง
“อาหารเช้าน่ะ รับไปสิ” มือเล็กรับมาเปิดดู เธอเห็นแซนวิชเรียงกันอยู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย... เหมือนเมื่อวานไม่มีผิด
“บอสทานรึยังคะ” เธอถาม ขณะที่มือขาวก็หยิบหนึ่งชิ้นกัดกร้วมเข้าปากเรียบร้อย ทางข้างหน้ารถจะติดแค่ไหนไม่สนใจอีกแล้วเมื่อมีของกินใส่สนใจอยู่กล่องใหญ่
“ผมยังไม่ได้ทานหรอก แต่ถ้าคนแถวนี้จะใจดีล่ะก็...” พูดยังไม่ทันจบ กฤษณ์ก็เห็นขนมปังสีขาวชิ้นเล็กพุ่งตรงมาหยุดตรงหน้าเขา ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มให้กับแซนวิชต้องการให้ส่งไปถึงเจ้าของมือเล็ก
“ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงนุ่มแล้วกัดขนมปังเข้าไปคำโต
“ขอบคุณทำไมกันคะ แซนวิชก็ของบอส ไหนบอสจะขับรถมารับขิงอีก ขิงต่างหากค่ะที่ต้องขอบคุณบอส”
“ไม่เป็นไร ผมเต็มใจ”
กฤษณ์เอ่ยแล้วหันมองใบหน้าหวานที่นั่งมองเขาอยู่ สายตาหวานถูกส่งให้หญิงสาวจนคนได้รับหน้าชักร้อนขึ้นทุกที ขิงไม่แน่ใจว่าแก้มสองข้างของเธอแดงขนาดไหน รู้เพียงว่าความร้อนที่เกิดขึ้นทำให้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจับไข้ยังไงไม่รู้ หญิงสาวพูดอะไรไม่ออกนอกจากหันใบหน้ากลับมามองทางข้างหน้า อาหารเช้าที่ทานอยู่เมื่อครู่ไร้ความหมายไปทันควัน มือเล็กปิดกล่องแซนวิชที่เหลือมากกว่าครึ่งนั่นแล้วได้แต่นั่งนิ่งๆ ไม่มีคำพูดระหว่างกันอีกจนถึงบริษัท
ทั้งคู่เดินขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นที่เป็นที่ตั้งของบริษัทอย่างเช่นทุกวัน หากแต่วันนี้ไม่เหมือนกับทุกวัน... กฤษณ์ชะงักฝีเท้าที่เดินอยู่เล็กน้อยเมื่อเดินออกจากลิฟต์แล้วพบว่าลูกน้องเจ้าของแผลที่มุมปากเขากำลังยืนวนเวียนอยู่แถวโต๊ะทำงานของเจ้าตัวก่อนจะหันมาปะทะสายตากับเขาอย่างจัง
“ขิง” เสียงทุ้มเรียกเพื่อนพร้อมกับเดินมุ่งมาทางเขาที่ยืนอยู่ข้างๆ คนตัวเล็ก “เรานึกว่าวันนี้ขิงจะไม่มาทำงานแล้วนะ”
“มาสิ งานเรายังไม่เสร็จ แล้ววันนี้ทำไมมาบริษัทได้ล่ะคะคุณผู้ชาย” ขิงเอ่ยถาม คำพูดทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนเดิม สัมพันธ์ของเพื่อน... ยังไงก็ไม่มีวันตัดขาด
“ก็อยู่บ้านมันเบื่อ”
“แล้วนี่มานานแล้วเหรอ”
“ซักพักแล้วล่ะ ว่าจะลงไปหากาแฟกินแก้ง่วงหน่อย ขิงไปกับเรามั้ย” บทสนทนาดำเนินไปเรื่อยๆ ราวกับว่าไม่มีบุคคลที่สาม กฤษณ์รู้ดีว่าลูกน้องหนุ่มของเขามองเห็นของแน่นอนแต่กลับทำราวกับเขาเป็นอากาศธาตุ
“ไปสิไป เนี่ยเรานะ...” เสียงเล็กหายไปในลำคอเมื่อได้ยินเสียงกระแอมจากคนข้างตัว ขิงหันไปยิ้มแหยให้กับเจ้านายก่อนจะส่งสายตาขออนุญาตทั้งๆ ที่ตัวเองยังเดินไม่ถึงโต๊ะทำงานด้วยซ้ำ
คนตัวโตปรายตามองคนตั้งท่าจะลงไปเถลไถลข้างล่างตั้งแต่มาถึงแล้วได้แต่ถอนหายใจ “ขออเมริกาโน่เย็นให้ผมแก้วนึงแล้วกันนะขิง”
...เขาไม่สามารถต้านทานสายตานั้นได้เลยจริงๆ ให้ตายสิ!
กฤษณ์ทำได้เพียงแต่สบถคำต่างๆ นานาอยู่ในใจ แต่ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าลูบแผลที่มุมปาก กัดกรามอย่างคนอดกลั้นในอารมณ์ หากแผลนี้ได้มาในเวลางาน คนที่ต่อยเขาคงไม่มีโอกาสได้มายืนลอยหน้าลอยตาต่อหน้าเขาได้อีก แต่แผลนี่ดันเกิดขึ้นนอกเวลางาน ดังนั้นการที่แอมป์ยังคงเดินอยู่ในบริษัทได้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่การที่จู่ๆ ก็มาถึงตัวคนที่เขาหมายตาไปนี่สิ กฤษณ์ตวัดสายตาดุใส่ความว่างเปล่าข้างหน้า... ในเมื่อเขาตั้งใจเดินหน้าแล้ว เขาก็ต้องเดินจนสุดทาง เขาต้องได้คำตอบจากขิง ไม่ว่าในฐานะอะไรก็ตาม
อเมริกาโน่เย็นถูกวางไว้บนโต๊ะอย่างเบามือ ขิงส่งยิ้มให้เจ้านายเล็กน้อยก่อนจะขอตัวออกไปทำงานที่โต๊ะเช่นทุกวัน แต่วันนี้กลับไม่เหมือนทุกวัน กฤษณ์เงยหน้าขึ้นจากเอกสารบนโต๊ะขึ้นมองหน้าขาว เขามองนิ่งนานจนคนตัวเล็กเกิดอาการเงอะงะขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“เอ่อ บอสมีอะไรกับขิงรึเปล่าคะ”
“เข้ามานั่งทำงานเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ ผมเหงา”
“คะ? บอสว่าไงนะคะ”
“เข้ามานั่งทำงานในนี้นะขิง มานั่งเป็นเพื่อนผมหน่อย” คนถูกขอร้องให้อยู่เป็นเพื่อนถึงกับเหวอไปเล็กน้อย ไม่อาจคาดเดาถึงสาเหตุได้ เนื่องจากตั้งแต่เธอเข้ามาทำงานในบริษัทกฤษณ์ก็นั่งทำงานอยู่ในห้องนี้คนเดียวมาตลอดไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งย่าม มีเพียงแม่บ้านของตึกเท่านั้นที่เขามาทำความสะอาดวันละครั้ง
“บอสไม่สบายรึเปล่าคะ” ชายหนุ่มนึกปลงกับการเฉไฉไปเรื่อยของหญิงสาวตรงหน้า เขาแน่ใจว่าเธอเข้าใจจุดประสงค์เขาเป็นอย่างดี แต่เธอก็สามารถหาทางหลบเลี่ยงได้ตลอด
“เอาเถอะ ผมก็พูดไปอย่างนั้นแหละ ขิงกลับไปทำงานเถอะ” กฤษณ์มองหญิงสาวตรงหน้าเลิกคิ้วแล้วนึกฉุนขึ้นมาเล็กๆ ทั้งใบหน้าและท่าทางที่เธอแสดงออกมากวนอารมณ์เขาไม่น้อยเลย
“อ้อ” เขาเรียกรั้งหญิงสาวไว้อีกที ก่อนจะยื่นถุงใบเล็กให้ “แซนวิชยังไม่หมด ขิงเอาไปทานต่อที่โต๊ะนะ”
“แล้วบอสไม่ทานเหรอคะ เมื่อเช้าบอสทานไปนิดเดียวเองนะ” เธอพูดอย่างนึกได้
“ไม่เป็นไร ผมว่าแซนวิชแบบไม่มีคนป้อนมันไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่” เขาพูดแล้วส่งยิ้มให้คนตรงหน้า ก่อนจะหัวเราะออกมาเมื่อเห็นว่าเธอก้มหน้าลงเล็กน้อยแล้วเอื้อมมือมาหยิบถุงจากมือเขาเดินออกไปเงียบๆ
การทำงานของขิงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทั้งการเขียนโปรแกรมที่แสนลื่นไหลและแอมป์ที่คอยเข้ามาพูดด้วยเหมือนเมื่อก่อน บรรยากาศเก่าๆ เริ่มกลับมาทำให้จิตใจของหญิงสาวเบิกบานขึ้นอย่างที่ไม่รู้สึกมานาน ถ้าจะมีอะไรแปลกไปก็คงจะเป็นเจ้าของกล่องแซนวิชสีสวยที่วันนี้ทั้งวันเอาแต่ยืนจ้องเธอเงียบๆ หลังจากที่เธอเดินออกมาจากห้องทำงานของเขา
ยิ่งเวลาที่แอมป์เดินเข้ามาใกล้ที่โต๊ะเธอขิงจะรู้สึกถึงบางอย่างที่คอยกดดันเธอ แล้วพอเธอหันมองทางห้องทำงานของท่านประธานเธอก็จะเจอกับสายตาดุที่มองเธออยู่ กฤษณ์ไม่ได้พูดอะไรกับเธอแต่ที่เขาทำมันยิ่งกว่าความกดดัน เพราะพอเธอสบตากับเขา ชายหนุ่มก็จะหันหน้าไปทางอื่นหรือไม่ก็เดินกลับไปที่โต๊ะ... เจ้านายเธอต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ
“ขิง วันนี้กลับกับเรานะ เดี๋ยวพาไปส่งบ้าน” เสียงทุ้มที่ดังอยู่ข้างหน้าทำเอาความคิดสะดุด หญิงสาวกระพริบตาปริบๆ เรียกสติเล็กน้อยก่อนเอ่ยปาก
“อะไรนะแอมป์ เมื่อกี้เราไม่ได้ฟัง”
“อ้าว เราจะชวนขิงกลับบ้านด้วยกัน เดี๋ยวพาไปส่งบ้าน”
“อืม เอาสิ” ตอบไปแล้วแต่เธอกลับนึกถึงชายหนุ่มอีกคนที่ช่วงนี้ไปไหนมาไหนกับเขาบ่อยเหลือเกิน อีกทั้งยังช่วยป็นพ่อครัวให้อีกด้วย วันนี้กฤษณ์ไม่ได้พูดอะไรเรื่องกลับบ้านหรือเรื่องอาหารมื้อค่ำ “สงสัยคงมีธุระ”
“หืม ว่าไงนะขิง” แอมป์ขยับหน้าเข้าใกล้คนพูดอีกหน่อย เพราะเมื่อกี้ฟังไม่ถนัด แต่หารู้ไม่ว่าในห้องของท่านประธานแทบลุกเป็นไฟ กฤษณ์ยืนมองคนทั้งคู่อยู่นานแล้วแต่ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าส่งสายตาที่ถ้ามีไฟอยู่ข้างในคงเผาทุกอย่างเป็นจุณไปแล้ว
“เปล่าๆ ไม่มีอะไร วันนี้แม่ยังไม่กลับมาด้วย ไปหาอะไรกินก่อนเข้าบ้านด้วยนะ”
“รับทราบครับผม เอาร้านหน้าปากซอยบ้านขิงแล้วกันนะง่ายดี”
เพราะใกล้เวลาเลิกงานแล้ว ทั้งขิงและแอมป์เลยตัดสินใจเก็บของทุกอย่างให้เรียบร้อยเตรียมพร้อมกับบ้าน ก่อนกลับขิงยังหันมองไปยังห้องประธานที่ยังคงปิดสนิทอยู่อย่างนั้นด้วยความละล้าละลังหวังจะให้เขาโผล่หน้าออกมาจากห้องทำงาน แต่ก็เปล่าประโยชน์ในเมื่อประตูห้องยังคงปิดอยู่เช่นนั้นไม่มีท่าทีเคลื่อนไหวอะไร
“ขิงไปกันเถอะ” คำชักชวนดังอยู่เบื้องหลังเธอ หญิงสาวหันพยักหน้าให้เพื่อนแล้วเดินตามไปอย่างเงียบๆ ปัดความสนใจคนในห้องนั้นออกไปจากความคิดจนหมด
กฤษณ์เดินออกมาจากห้องทำงานหลังจากเคลียร์งานเรียบร้อย วันนี้เขาตั้งใจจะพาลูกน้องสาวไปซื้อของสดเพื่อทำกับข้าวแต่สายตาของเขากลับเห็นเพียงความว่างเปล่าที่โต๊ะทำงานของเธอ ชายหนุ่มขมวดคิ้วสงสัยเบือนสายตาไปที่โต๊ะอีกตัวที่อยู่ติดกัน แล้วก็พบว่ามันว่างเปล่าเหมือนกับโต๊ะก่อนหน้านี้ไม่มีผิดเพี้ยน แววตาคมวาวโรจน์ขึ้นมาชั่วครู่ก่อนจะมอดลงเมื่อเห็นพนักงานอีกคนหนึ่งเดินผ่านมา
“ภพ” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกคนที่กำลังเดินผ่านมาอย่างเงียบๆ ไม่มีปากมีเสียงเพราะเกรงว่านายจะเพิ่มงานให้อีกกองใหญ่
“ครับบอส ว่าไงครับ”
“สองคนนี้... เอ่อ... ไปไหน” ภพขมวดคิ้วเล็กน้อย ทำหน้าสงสัยหันไปหาเจ้านายแล้วมองตามนิ้วมือที่ชี้อยู่นั่นถึงได้ร้องอ๋อขึ้นมา
“กลับบ้านแล้วครับ ถึงเวลาปุ๊บมันสองคนก็เก็บของกลับไปเลย” บอสหนุ่มไม่พูดอะไรอีกนอกจากพยักหน้าแล้วเดินไปกดลิฟต์เพื่อกลับบ้าน ทำเอาคนที่ยืนคุยอยู่ด้วยเมื่อครู่งงอย่างช่วยไม่ได้ภพทำได้เพียงแต่ยักไหล่ใส่แผ่นหลังกว้างที่เดินหายเข้าไปในลิฟต์แล้ว ก่อนจะจัดการกับข้าวของของตัวเองบ้าง
กฤษณ์ไม่ได้ตรงกลับบ้านอย่างเคย หรือแม้แต่เลี้ยวไปเส้นทางบ้านของขิงเขาก็ไม่ทำ ชายหนุ่มหักพวงมาลัยไปอีกทาง ทางที่พาเขาไปยังคลับประจำที่ช่วงหลังมานี้ไม่ได้ไปเพราะมัวแต่ห่วงคนตัวเล็กอยู่ทุกวัน มือใหญ่จับพวงมาลัยขยับซ้ายขวาอย่างชำนาญเมื่อต้องถอยจอดในที่จอดรถ VIP พนักงานยังคงเป็นคนเดิมและยังจำรถเขาได้เพียงแค่เห็นรูปทรงและทะเบียนเท่านั้น
“หายไปนานเลยนะครับ” เด็กหนุ่มเปิดประตูรถให้ชายหนุ่มพร้อมคำทักทายอย่างสนิทสนม หากกฤษณ์ไม่อยู่ในอารมณ์พูดคุยกับใคร เขาทำเพียงแค่ยื่นธนบัตรสีแดงให้แล้วเดินเข้าไปในคลับอย่างคุ้นเคย
เสียงเพลงฟังสบายๆ เปิดคลอสร้างบรรยากาศให้ลูกค้าทุกคนเพื่อผ่อนคลาย หากเป็นปกติชายหนุ่มคงเข้าไปนั่งที่โซฟาชุดจุดไหนซักจุดในห้องใหญ่นี้ แต่วันนี้เขากลับมุ่งตรงไปยังบาร์เครื่องดื่มที่มีบาร์เทนเดอร์กำลังทำหน้าที่ผสมเครื่องดื่มตามคำสั่งที่ได้รับมา เขานั่งนิ่งอยู่นานไม่ยอมพูดอะไรจนเด็กหนุ่มบาร์เทนเดอร์ทนไม่ได้เสียเอง
“รับอะไรแก้กระหายหน่อยมั้ยครับคุณ”
คนถูกทักเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียง ถอนหายใจเล็กน้อย “ออนเดอะร็อคที่นึง”
เด็กหนุ่มผิวปากหวือเมื่อได้ยินออเดอร์ รีบขยับมือหยิบแก้วแล้วจัดการตามคำสั่งของลูกค้าหนุ่มที่ดูยังไงก็เหมือนคนอกหักมา
“อกหักมาเหรอครับ” บาร์เทนเดอร์หนุ่มยังคงไม่ละความพยายามในการพูดคุยกับลูกค้า ดูเหมือนเป็นความชอบของเขาเสียแล้ว ยิ่งเห็นคนไม่สบายใจเขาก็อยากจะคุยด้วยให้คลายเครียดบ้าง แต่ดูจากที่ถามคำถามไปเมื่อครู่แล้วสายตาคมตวัดขึ้นมามองทำเอาใจแป้วอย่างบอกไม่ถูก “อ่า... ผมไม่กวนคุณแล้วก็ได้ครับ จะสั่งเพิ่มค่อยเรียกผมแล้วกัน ขอโทษทีนะครับ ผมแค่ไม่อยากให้ลูกค้าเครียด”
“ไม่เป็นไร ถ้าว่างค่อยมานั่งคุยกับฉันก็ได้” กฤษณ์เอ่ยบอกทำเอาเด็กหนุ่มมีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย
“คุณนั่งไปก่อนนะ ถ้าว่างแล้วผมจะมานั่งคุยด้วย” เด็กหนุ่มว่าแล้วผละออกไปทำงานตามปกติ ปล่อยให้คนมีท่าทางคล้ายอกหักนั่งหมุนแก้วไปมาแล้วใช้ความคิดเงียบๆ
ความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัวมีเพียงแค่เรื่องของลูกน้องสาวที่เขาไม่อยากเป็นเจ้านายสำหรับเธอเสียแล้ว เขาเคยตั้งใจจะไม่มีเหตุการณ์สมภารกินไก่วัดเกิดขึ้น แต่ตอนนี้กลับทำแบบนั้นไม่ได้เขาตกหลุมรักเธอตั้งแต่รับหญิงสาวเข้าทำงาน ใบหน้าที่ไม่ได้สวยหวานซึ้งแต่กลับทำให้เขาจดจ้องได้อยู่นานสองนานราวกับคนโรคจิตนั้นเขายังจำมันได้ดี หญิงสาวนั่งรอให้เขาสัมภาษณ์ด้วยอาการเกร็งอย่างเด็กเพิ่งจบใหม่ ตอบคำถามตะกุกตะกักไปตามเรื่องตามราว พอพูดถึงเรื่องเขียนโปรแกรมสายตาที่ไม่มีความมั่นใจกลับลดน้อยถอยลงไปอีก จนถึงช่วงสุดท้ายที่เขาตัดสินใจถามคำถามออกไป แววตามุ่งมั่นกลับฉายขึ้นมาพร้อมกับคำพูดที่ว่า
‘ถึงเกรดในทรานสคริปจะ... เอ่อ ไม่สวยเท่าไหร่ แต่ถ้าคุณให้โอกาสขิงก็พร้อมที่จะเรียนรู้ค่ะ’
อย่างที่บอกว่าเขาโดนแววตาแห่งความมุ่งมั่นนั้นสะกดจิตจนไม่แน่ใจว่าตอบตกลงเธอไปตอนไหนอย่างไร มารู้ตัวอีกทีก็เมื่อก้มลงมองในใบสมัครของเธอแล้วเห็นเครื่องหมายในช่องอนุมัตินั่นเอง
“มานั่งคนเดียวแบบนี้ไม่เหงาเหรอคะ” เสียงหวานถามขึ้นเป็นภาษาอังกฤษข้างหูกฤษณ์ทำเอาชายหนุ่มหลุดออกจากภวังค์อย่างช่วยไม่ได้ ชายหนุ่มกระพริบตาเรียกสติก่อนจะนึกออกว่าที่นั่งยิ้มอยู่ข้างๆ เป็นใคร
“อลิซ?”
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
แฮ่กๆๆๆๆ มาแล้วค่าาาาาาาาา มิณทิมากลับมาแล้ว หายไปไหนกันหมดแล้ว อย่าเพิ่งทิ้งกันนะ คนที่อยู่ก็อย่าเพิ่งเอารองเท้าปาใส่หัวเก๊านะ ฮือๆๆๆ เค้ามาช้า เค้าผิดไปแล้ว งานที่มีมันรัดตัวเกินไป จนตอนนี้มิณทิมาหายใจไม่ออกแล้วค่ะ ปวดหัวไปหมด (*___*!)
ตอนนี้ไม่มีอะไรคืบหน้าเท่าไหร่ แต่มีตัวละครเพิ่มมาอีกแล้ว!!! อลิซจะมาแบบไหนกันนะ แล้วมิณทิมาจะหาเรื่องใส่ตัวเองทำไมกันล่ะเนี่ย ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ
ปอลิง เกาหลีเดี๋ยวนี้มีหนุ่มๆ หน้าตาดีๆ ตัวสูงๆ เดินกันว่อนเลยนะคะ อาหารตาเต็มไปหมด 55555+ มิณทิมาเกือบเลือดกำเดาไหลตั้งหลายที ฮาาาาาาา (เก๊าย้อเย่นนะ แต่ถ้าได้ซักคนคงดี 55555555555)
สุดท้าย ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน เข้ามาแสดงความคิดเห็นกันนะคะ มิณทิมารักทุกคนเลยยยยยย จู๊บบบบบบบบบบบ (^3^)
=======================================
ตอบเม้นท์กันหน่อย (ไม่รู้ว่าลืมที่เม้นท์กันไปหมดรึยังน้อ~)
คุณ pattisa : ดูเหมือนต้องออกแรงหน่อยนะคะ ตาบอสเรารักแกเหนียวแน่น ฮาาา
คุณ คิมหันตุ์ : ชักขัดใจยัยขิงมากขึ้นอีกรึเปล่าเอ่ย แฮ่ๆๆๆๆ เรื่องนายแอมป์ชกบอสคงได้คำตอบแล้วน้า~ ยังไงก็นอกเวลางานอ่ะเนอะ อย่าลืมติดตามต่อนะจ๊ะ จุ๊ฟๆ
คุณ ปลายสี : บอสนี่กำลังใจดีจริงๆ เลยน้า มีแต่คนเชียร์อย่างนี้ไม่รู้ยัยขิงจะว่ายังไงเหมือนกันนะคะ
คุณ mhengjhy : นะคะ กลับมาก็ป่วนเลยทีเดียว ฮาาาาาา ทำไงดีล่ะคะทีนี้ :)
-------------------------------------------------------------
แล้วเจอกันค่ะ :)
มิณทิมา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 มิ.ย. 2556, 21:45:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 มิ.ย. 2556, 21:45:06 น.
จำนวนการเข้าชม : 1266
<< ตอนที่ 11 | ตอนที่ 13 >> |
pattisa 16 มิ.ย. 2556, 22:48:53 น.
อลิซคือใครกันล่ะเนี่ย
อลิซคือใครกันล่ะเนี่ย
pseudolife 17 มิ.ย. 2556, 01:05:50 น.
แอ๊ะ กระโดดข้ามมาสองตอน
คุณบอสคงไม่ใช้คุณอลิซ ไปยั่วให้หนูขิงหึงนะ
แต่แหม ขัดใจนายแอมป์จริงๆ บอสกับขิงกำลังไปได้ดีเชียว
แอ๊ะ กระโดดข้ามมาสองตอน
คุณบอสคงไม่ใช้คุณอลิซ ไปยั่วให้หนูขิงหึงนะ
แต่แหม ขัดใจนายแอมป์จริงๆ บอสกับขิงกำลังไปได้ดีเชียว
คิมหันตุ์ 17 มิ.ย. 2556, 01:07:17 น.
สงสารบอส เลยอ่ะ....เห้อ..อลิซนี่กิ๊กเก่าบอสใช่ไม๊ ห้าห้า วุ่นแน่ๆบอส
สงสารบอส เลยอ่ะ....เห้อ..อลิซนี่กิ๊กเก่าบอสใช่ไม๊ ห้าห้า วุ่นแน่ๆบอส
mhengjhy 17 มิ.ย. 2556, 09:26:30 น.
บอสหายไปก็ดีค่ะ ขิงจะได้รู้ตัวบ้าง...เอ๊ะ หรือไม่รู้หว่า?
บอสหายไปก็ดีค่ะ ขิงจะได้รู้ตัวบ้าง...เอ๊ะ หรือไม่รู้หว่า?
Amarilys 18 มิ.ย. 2556, 20:57:16 น.
ใครมาเก็บนายแอมป์ไปที..เกะกะบอสจิงๆ
ใครมาเก็บนายแอมป์ไปที..เกะกะบอสจิงๆ