Love ranger ปลูกรักใต้เงาใจ (ชุดต้นรักเสน่หา สนพ.อรุณ)
บุลวัชร เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่ามาดขรึม ผู้มีอุดมการณ์มุ่งมั่นในการอนุรักษ์ผืนป่า
นลินา ลูกสาวผู้อำนวยการสำนักงานพิทักษ์ป่าจอมวีน
เมื่อทั้งสองได้มาพบกัน ศึกครั้งใหญ่จึงเกิดขึ้น!
นลินา ลูกสาวผู้อำนวยการสำนักงานพิทักษ์ป่าจอมวีน
เมื่อทั้งสองได้มาพบกัน ศึกครั้งใหญ่จึงเกิดขึ้น!
Tags: บุลินทร, ภัสชล, รอยรักลายตะวัน, สูตรรักกามเทพ, ม่านธาราเร้นดาว, ขอจองใจไว้สักครึ่งดวง, เล่ห์อโณทัย, ปลูกรักใต้เงาใจ, บุลวัชร, นลินา,
ตอน: บทที่ 1 + บทที่ 2
เอาปลูกรักใต้เงาใจมาลงอีกครั้งครับ หลังจากนำไปแก้ไขมาใหม่และเขียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว (หวังว่ายังมีคนคิดถึงเรื่องนี้ ^^) ยังไงอาจจะต้องรบกวนอ่านใหม่อีกครั้งนะครับ ช่วงแรกจะลงครั้งละสองตอนครับ พอครบ 18 ตอนที่ลงไว้คราวที่แล้ว แล้วจะลดเหลือครั้งละ 1 ตอน แต่ว่า 18 ตอนนี้มีเนื้อหาเพิ่มใหม่ด้วยนะ ยังไงใครเคยอ่านแล้วลองสแกนผ่านๆอีกครั้งได้นะครับ จะได้ไม่ตกหล่น
และขออนุญาตแจ้งว่าเรื่องนี้จะลบเหลือ 5 ตอนหลังจากลงตอนจบแล้ว 24 ชั่วโมงนะครับ ก่อนลงตอนจบจะมีการแจ้งวันอีกครั้งครับ พร้อมแล้วไปอ่านกันเล้ย ^^
๑
คนเถื่อน
“เมื่อไหร่จะมาสักทีเนี่ย!”
นลินากระแทกเสียงด้วยความหงุดหงิดหลังยกนาฬิกาขึ้นมาดูเป็นรอบที่เก้า พบว่าเข็มของมันบอกเวลาสิบโมงครึ่ง!
เลยเวลานัดมาหลายนาทีแล้ว แต่คนที่บิดาบอกว่าจะให้มารับที่สนามบินกลับไม่ปรากฏตัวเสียที หึ มาไม่ตรงเวลาแบบนี้ บอกตรงๆว่าหล่อนปรี๊ด มองไปทางไหนก็ขวางหูขวางตาไปหมด เพราะสิ่งที่หล่อนเกลียดที่สุดคือการรอ!
บ้านภูไพร…คือจุดหมายปลายทางของหญิงสาว
แค่ชื่อก็รู้แล้วว่าห่างไกลความเจริญมากแค่ไหน ตั้งแต่เกิดมา หล่อนไม่เคยคิดจะเหยียบย่างไปยังสถานที่เช่นนั้น อย่างหล่อนต้องเจิดจรัส ใช้ชีวิตหรูหรา สะดวกสบายอยู่ในเมืองหลวงเท่านั้น!
แต่นลินาก็ต้องฝืนใจตัวเองเมื่อยายที่ดูแลหล่อนมาตั้งแต่เล็กจนโตเสียชีวิตไปเมื่อเดือนก่อน นั่นทำให้หญิงสาวขาดที่พึ่งพิงโดยสิ้นเชิง เหลือก็แต่บิดาที่ทำงานเป็นผู้อำนวยการสำนักงานพิทักษ์ป่าอยู่ในจังหวัดหนึ่งของภาคอีสาน และท่านก็สั่งให้มาที่บ้านภูไพร ไม่เช่นนั้นจะไม่ส่งเสียเลี้ยงดูอีกต่อไป
แล้วหล่อนจะทำอย่างไรได้ ในเมื่อตอนนี้ไม่ได้ทำงานเป็นชิ้นเป็นอัน เงินที่ใช้จ่ายในการกิน เที่ยว ช้อปก็มาจากยายทั้งนั้น เพราะฉะนั้นสุดท้ายจึงต้องทำตามคำสั่งของบิดาโดยไม่มีทางเลือกแม้อยากจะกรี๊ดๆๆด้วยความขัดใจ
“ทำไมคุณพ่อต้องให้น้ำมาลำบากด้วย น้ำไม่อยากไปบ้านภูไพร ฮือ” หญิงสาวกรีดร้องอยู่คนเดียวและทำท่าจะร้องไห้ออกมาเสียให้ได้ ลืมตัวไปว่านั่งอยู่ในสนามบิน ไม่ใช่บ้านของตน พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีจึงเห็นผู้คนมากมายจ้องมองมาเป็นตาเดียว “มองอะไร ไม่เคยเห็นคนเสียใจหรือไง!”
นลินาจิกตามองทุกคนด้วยความไม่สบอารมณ์ คงไม่มีใครเข้าใจหรอกว่าหล่อนรู้สึกยังไง ชีวิตของหล่อนสุขสบาย มีทุกสิ่งทุกอย่างเพียบพร้อม อยากได้อะไรก็ต้องได้ มาวันนี้กลับไม่มีทางเลือก กรี๊ด-ด-ด ไม่เคยคิดว่าชีวิตของตัวเองจะเป็นแบบนี้เลย
“คุณน้ำหรือเปล่า”
เสียงห้วนห้าวที่ดังขึ้น ทำให้นลินาหันหน้าขวับไปมองทันที แล้วก็พบชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ผิวคล้ำแดด ใบหน้าคม ผมสีดำขลับตัดสั้น กำลังมองมาที่หล่อน ดวงตาของเขาดูแข็งกระด้างไม่แพ้น้ำเสียง
นี่คงเป็นคนที่คุณพ่อให้มารับหล่อนสินะ ดีละ จะด่าให้เข็ด โทษฐานที่ให้รอนานเป็นครึ่งชั่วโมง
“มาจากบ้านภูไพรใช่ไหม” นลินาถามอีกทีเพื่อให้แน่ใจว่าจะด่าไม่ผิดคน
เจ้าของดวงตาสีเข้มจัดพยักหน้า “ครับ ผ.อ.มนตรีให้ผมมารับคุณ” เสื้อยืดสีขาวพอดีตัวของเขาทำให้มองเห็นกล้ามหน้าอกแข็งแกร่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้เนื้อผ้า
“หึ คนของคุณพ่อนี่เอง ทำไมถึงมาช้านัก มัวไปเถลไถลที่ไหนมา รู้ไหมว่าฉันรอนายนานมาก นายเป็นคนแรกที่กล้าให้ฉันรอ!”
เขาหันหน้าหันหลัง ทำท่าคล้ายมองหาใครสักคน แล้วก็ขมวดคิ้วหนาใส่หล่อนอย่างยียวน
“มองหาใครยะ” นลินาถามเสียงสะบัด
“นายคนที่มาช้า” รอยยิ้มผุดขึ้นเล็กๆบนริมฝีปากหยักซึ่งมีไรหนวดบางๆ
“นี่ อย่ามาแกล้งโง่นะ ฉันหมายถึงนายนั่นแหละ นายคนบ้านภูไพร นายมาสาย…มาก-ก-ก” อยากจะบีบคอคนกวนประสาทนัก โดนด่ายังไม่รู้ตัวอีก
“ผมชื่อบุลวัชร ชื่อเล่นเบน ไม่ใช่ ‘นาย’ อย่างที่คุณเรียก” เขาเน้นเสียงอย่างจงใจ “เป็นผู้หญิง กรุณาอย่าข่มผู้ชายด้วยการเรียกว่านายอีก”
“ทำไมจะเรียกไม่ได้ ก็นายเป็นลูกน้องพ่อฉัน ฉันจะเรียกนายว่านาย มีปัญหาอะไรไหม ถ้ามีก็ไปฟ้องพ่อฉันได้เลย และพ่อฉันไม่เข้าข้างนายแน่นอน” นลินายิ้มกริ่มอย่างผู้เหนือกว่า
“คนที่เจอกันครั้งแรก เขาพูดกันขนาดนี้เลยเหรอ” ชายหนุ่มส่ายหน้าปลงๆ “เฮ้อ แต่เอาเถอะ ขอโทษด้วยที่มาช้า พอดีมือถือผมแบตหมด โทร.หาคุณไม่ได้ เลยไม่รู้ว่าอยู่ไหน ต้องเดินตามหาจนมาเจอคนหน้าเหมือนในรูปที่ผ.อ.ให้มานี่แหละ” บุลวัชรเก็บรูปถ่ายใบนั้นเข้าไปในกระเป๋าสตางค์ พยายามไม่ใส่ใจกับประโยคยกตนข่มท่านเมื่อครู่
หญิงสาวเบ้ปาก “ใช้ไม่ได้ มือถือปล่อยให้แบตหมดได้ไง ของจำเป็นแบบนี้”
“บังเอิญว่ามันไม่ค่อยจำเป็นสำหรับผมเท่าไหร่” เขายักไหล่อย่างยโส
“อ้อ ลืมไป นายอยู่บ้านป่าเมืองเถื่อนนี่นะ คงไม่ค่อยมีโอกาสได้ใช้” นลินาแอบมองสำรวจใบหน้าชายหนุ่มขณะพูด จะว่าไปหน้าตาก็ดี แต่หล่อนไม่สนคนบ้านนอกอย่างเขาหรอก
“ก็ถูกของคุณ” ริมฝีปากหยักบิดโค้งเยาะคู่สนทนาอยู่ในใจ “ว่าแต่เราจะไปกันได้หรือยัง”
“ก็ไปสิ รออะไรอยู่ล่ะ” ร่างโปร่งระหงซึ่งอยู่ในชุดแซกเกาะอกสีม่วงสั้นเหนือเข่าลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก่อนจะหยิบแว่นตากันแดดสีดำทรงเฉี่ยวขึ้นมาสวมอย่างเคยชิน
บุลวัชรมองสัดส่วนงดงามที่อยู่ในชุดรัดรูป ดวงตาคมกริบเป็นประกายขึ้นแวบนึง ก่อนจะเงยขึ้นมองใบหน้าหวานที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางสีสันฉูดฉาด “ก็รอคุณนั่นแหละ บ่นจบแล้วใช่ไหม”
นลินากัดริมฝีปากอย่างเจ็บใจ ก่อนบอกเสียงห้วนประชดประชัน “ยังไม่จบ จะไปบ่นต่อบนรถ!”
ว่าแล้วหล่อนก็พยักพเยิดไปยังกระเป๋าเดินทางใบโต ก่อนจะเดินเชิดหน้า กรีดกรายออกมา แต่เดินมาสักพัก ไม่ได้ยินเสียงของอีกฝ่ายตามมาก็หมุนตัวกลับไปมอง
เมื่อเห็นบุลวัชรยังคงยืนอยู่ที่เดิม หญิงสาวก็ชักสีหน้าทันที “ทำไมไม่ลากกระเป๋าตามฉันมา!”
“กระเป๋าของใคร” ชายหนุ่มว่าพลางมองกระเป๋าสีชมพูหวานแหววใบนั้น
“ของฉัน!”
“ของคุณ” เขาเว้นวรรค และผายมือมายังหล่อน “เพราะงั้น…คุณก็มาลากไปเอง”
นลินาถอดแว่นตาออกด้วยความโมโห ดวงตากลมเบิกกว้าง ได้แต่อ้าปากค้างเพราะพูดไม่ออก นายนั่นเป็นใคร ถึงกล้าขัดคำสั่งหล่อน ชักจะเหิมเกริมมากไปแล้วนะ คอยดูนะ หล่อนจะฟ้องคุณพ่อ!
“นาย!” หญิงสาวจ้องเขม็ง
“ผมมีหน้าที่มารับคุณเท่านั้น ไม่ได้มายกกระเป๋าให้ โอเคนะครับ” ดวงตาสีนิลเป็นประกายระริกทำให้อีกฝ่ายแทบจะเต้นเร่าๆด้วยความคับแค้น “อ้อ อย่าคิดหนีผมไปขึ้นแท็กซี่ละ เพราะคุณอาจจะไม่มีชีวิตรอดไปถึงบ้านภูไพรก็ได้” เขาขู่พลางหัวเราะหึๆ
“ไปกับนายปลอดภัยตายละ”
“ปลอดภัยสิ อย่างน้อยผมก็เป็นคนที่พ่อคุณส่งให้มารับ เอาละ จะไปหรือไม่ไป ถ้าไปก็ลากกระเป๋าตามมา” บุลวัชรพยักพเยิดไปยังกระเป๋าสีชมพูอย่างล้อเลียน ก่อนจะเดินสองมือล้วงกระเป๋ากางเกงยีนนำไป
“คนอะไร ไม่เป็นสุภาพบุรุษเลย” หล่อนค่อนแคะ
เขาได้ยินก็หมุนตัวกลับมาตอบพร้อมรอยยิ้มมุมปาก “ผมเป็นสุภาพบุรุษ เฉพาะกับสุภาพสตรีครับ”
พูดจบเขาก็หันหลังกลับไปเดินต่อ ส่วนนลินาน่ะหรือ อยากจะกรี๊ดให้สนามบินแตก นี่เขาแดกดันว่าหล่อนหยาบคายไม่เป็นสุภาพสตรีชัดๆ!
เห็นแผ่นหลังหนาตรงแน่วแล้ว หญิงสาวก็ได้แต่กัดฟันกรอดด้วยความเคืองแค้น รู้จักยายน้ำน้อยไปซะแล้ว!
นลินาตัดสินใจลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ตามหลังชายหนุ่มไป เพราะกลัวว่าหากใช้บริการรถแท็กซี่ที่สนามบิน อาจจะไปไม่ถึงบ้านภูไพรจริงๆ เพราะเคยได้ยินข่าวแท็กซี่ทำร้ายผู้โดยสารอยู่บ่อยๆ หรือหากโชคร้ายกว่านั้นอาจรุนแรงถึงขั้นฆ่าข่มขืน
จริงๆแท็กซี่ดีๆก็ยังมีอยู่น่ะนะ แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าคันไหนดีไม่ดี อีกอย่างบอกตรงๆว่าหล่อนไม่เคยนั่งแท็กซี่เลยแม้แต่ครั้งเดียวในชีวิต เวลาจะไปไหนมาไหนก็มีคนขับรถที่บ้านพาไปตลอด การโดยสารแท็กซี่จึงเป็นเรื่องน่าหวาดระแวงสำหรับหล่อนไม่น้อย
“เอ๊ะ แล้วนายบุลวัชรเป็นคนที่คุณพ่อส่งมารับเราจริงๆหรือเปล่านะ” นลินาพึมพำกับตัวเอง ว่าแล้วก็โพล่งถามออกไป “นี่ นาย”
ร่างสูงไม่หยุดตามเสียงเรียก ทำหูทวนลมเดินเลี้ยวออกไปยังลานจอดรถเฉย
“นาย ไม่ได้ยินฉันเรียกหรือไง นาย นายบุลวัชร นายเบน นาย… คุณบุลวัชรคะ” ประโยคสุดท้ายพร้อมเสียงหวานนั่นละ เจ้าของใบหน้าคมจึงหันกลับมา
“ว่าไงครับ”
ถ้าหูของหล่อนไม่ฝาด เสียงเขานุ่มขึ้นกว่าเดิม นลินาปั้นหน้ายิ้มพลางคิดในใจ สงสัยอยากให้เราเรียกคุณแน่เลย อ๊ะ เรียกก็ได้
“คุณบุลวัชรมีบัตรข้าราชการไหม” หล่อนก้าวเข้าไปหาฝ่ายนั้น
“ทำไม กลัวว่าผมจะสวมรอยมาลักพาตัวคุณรึ” เขายิ้มอย่างรู้ทัน
“ใครจะไปรู้ล่ะ คนสมัยนี้ไว้ใจได้ที่ไหน โดยเฉพาะคนต่างจังหวัด” หญิงสาวกอดอกบอกอย่างเชื่อมั่นในความคิดตัวเอง
“คนต่างจังหวัดกับคนกรุงเทพฯก็มีทั้งคนดีและไม่ดีเหมือนกันนั่นแหละ คุณไปตัดสินคนจากที่ที่เขาอยู่แบบนี้มันยุติธรรมที่ไหน” บุลวัชรไม่ชอบใจกับทัศนคติของหล่อนนัก
“ไม่ต้องพูดมาก เอาบัตรข้าราชการของนายมาได้แล้ว”
ได้ยินดังนั้นชายหนุ่มก็หมุนตัวกลับ ก้าวขาจะเดินต่อ หญิงสาวรีบเปลี่ยนสรรพนามทันที
“คุณๆ เรียกคุณก็ได้ เรื่องมากจริง” สามคำสุดท้าย นลินาแอบบ่นเบาๆ
“คุณควรจะรู้ไว้นะ ว่าเป็นผู้หญิงไม่ควรเรียกคนอื่นว่านาย มันเหมือนกับการจิกหัวและข่มคนคนนั้น ถ้าผมเรียกคุณว่ายายนั่น ยายนี่บ้าง คุณจะรู้สึกยังไง”
“อย่ามาเรียกฉันแบบนั้นนะ”
“เห็นไหม คุณยังไม่ชอบให้คนอื่นเรียกจิกเลย เพราะงั้นกรุณาให้เกียรติผมด้วยครับ”
“ค่า คุณบุลวัชร ตกลงจะเอาบัตรข้าราชการให้ฉันได้หรือยังคะ” หล่อนแบมือหรารอรับ ดัดเสียงอ่อนหวานกว่าปกติ
ชายหนุ่มหยิบบัตรข้าราชการออกมาจากกระเป๋าสตางค์ ก่อนจะยื่นให้ลูกสาวเจ้านาย นลินารับไปและไล่สายตาดูข้อมูลบนบัตรอย่างละเอียด แล้วจึงส่งคืนเจ้าของ
“โอเค ไปกันได้แล้ว”
“ไม่สงสัยว่าผมจะสวมรอยมาแล้วใช่ไหม” คิ้วหนาเลิกขึ้นพลางคิดในใจ ถ้าเกิดมีคนสวมรอยมารับหล่อนจริงๆ แล้วให้บัตรข้าราชการปลอม หล่อนก็คงเชื่อแน่ๆ เพราะอย่างหล่อนคงดูไม่ออกหรอกว่าอันไหนจริงอันไหนปลอม ทำท่าเหมือนฉลาดไปงั้นละ
“ไม่สงสัยแล้ว”
“งั้นก็ตามผมมาเลยครับ” เขาออกเดินนำก่อน
เมื่อเห็นบุลวัชรมุ่งหน้าไปยังรถเบนซ์สีขาวคันหรูในลานจอดรถ นลินาก็ยิ้มออกทันที เพราะอย่างน้อยก็ได้นั่งรถสบาย แต่แล้วก็หุบยิ้มฉับแทบไม่ทันเมื่อเขาเดินเลยรถคันนั้นไปหยุดอยู่ที่รถกระบะบุโรทั่งสีเขียวอ่อนที่น่าจะนำไปไว้ในพิพิธภัณฑ์ได้แล้ว
“นี่น่ะเหรอ รถที่ฉันต้องนั่งไปบ้านภูไพร!” หล่อนแทบจะเป็นลมลงกับพื้น โอ้แม่เจ้า ภายนอกยังเก่าคร่ำครึ สนิมเกรอะกรังแบบนี้ ไม่อยากคิดเลยว่าข้างในจะขนาดไหน ไม่ ยังไงหล่อนก็ไม่นั่งให้เป็นราคีแก่ตัวเด็ดขาด
“ใช่ครับ มีอะไรหรือเปล่า”
เขาถามแบบนั้นได้ยังไง เด็กอนุบาลยังรู้เลยว่ารถคันนั้นมัน ‘มีอะไร’ อาจมีพลังงานบางอย่างซ่อนเร้นอยู่ก็เป็นได้
“เก่าขนาดนี้ นั่งไปได้ไง ให้ตายฉันก็ไม่ไปหรอกนะ” หญิงสาวส่ายหน้าหวือ
“แค่นั่งรถแค่นี้มันไม่ตายหรอกคู้ณ หรืออยากเดิน จากนี่ไปบ้านภูไพรไม่ใช่ใกล้ๆนะ แบบนั้นน่ะ คุณจะตายมากกว่านั่งรถ เพราะไม่โดนฉุดก็อาจโดนเสือคาบไปกิน!”
“ไม่ถึงตายก็ได้ แต่ฉันคงทนนั่งรถเก่าๆไม่ไหวหรอกนะ ดูสิ เชื้อโรคคงยุบยับเต็มไปหมด แค่คิดก็ขนลุกแล้ว”
“แหม ทำยังกับบนตัวคุณไม่มีเชื้อโรค ไม่เคยได้ยินรึว่าบนผิวหนังของเรามีแบคทีเรียอาศัยอยู่”
“ของฉันไม่มีย่ะ” หญิงสาวว่าพลางก้มมองแขนขาวนวลของตน มีแบคทีเรียจริงๆเหรอเนี่ย ไม่มีทางหรอก ในเมื่อหล่อนประทินผิวด้วยครีมอาบน้ำและครีมบำรุงผิวอย่างดี ราคาแพงอย่างที่นายคนนั้นใช้เลี้ยงชีวิตไปได้อีกหลายเดือน
“จะไปหรือไม่ไป ไม่ไปผมก็ไม่ง้อนะ”
“กรี๊ด รับไม่ได้ นี่ฉันต้องง้อคุณเพื่อให้ได้นั่งซากรถเก่าๆคันนี้เหรอ” นลินาดีดดิ้น
“ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคุณนั่งไม่ได้”
“ก็มันเก่า สกปรก โสโครก มีเชื้อโรค ไม่ดูดีมีชาติตระกูล อาจเป็นรถไร้สัญชาติ รถที่เคยมีคนตาย และมีแต่อะไรไม่ดีอีกมากมายนั่นแหละ” หล่อนจาระไนเหตุผลฉอดๆ
“เอาน่า ให้ตูดได้ระคายสักวันจะเป็นไรไป นั่งเบาะนุ่มๆมาเยอะแล้ว ลองเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง”
“ลามก!”
“ลามกอะไร ก็ที่คุณไม่อยากนั่งรถคันนี้เพราะกลัวจะระคายตูดไม่ใช่เหรอ ผมไม่ได้จู่ๆก็พูดนะ ขยายความมาจากสิ่งที่คุณแสดงออกนั่นแหละ”
นลินามองอีกฝ่ายตาเขียวปั้ด นายบุลวัชร คนบ้า ปากร้ายที่สุด หล่อนกับเขาคงไม่มีวันพูดดีกันได้แน่
“มาได้แล้ว อยากจะด่าที่ผมมาช้าต่อไม่ใช่เหรอ รีบขึ้นรถสิ”
“ฉันจะโทร.ฟ้องคุณพ่อ ว่าคุณหยาบคายกับฉัน!” ว่าแล้วมือเรียวก็ควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพายออกมากดต่อสายไปหาบิดาทันที ทว่ายังไม่ทันที่เสียงสัญญาณครั้งแรกจะดังขึ้น หน้าจอเครื่องมือสื่อสารของหล่อนก็ดับวูบไปเสียก่อน
“อ๊าย แบตหมด!”
บุลวัชรได้ที ยิ้มอย่างกวนประสาทและจงใจใช้คำพูดเดียวกันกับที่หล่อนว่าเขา “คุณนี่สะเพร่าจังเลยนะ ปล่อยให้มือถือแบตหมดได้ไง ของจำเป็นแบบนี้”
ริมฝีปากอิ่มเต็มสีชมพูเม้มเข้าหากันแน่นด้วยความหงุดหงิด อีตาเบนบ้า คนเถื่อนไม่มีมารยาท บ้าๆๆๆ รู้ไว้ซะว่าฉันเกลียดนายที่สุดในโลก-ก-ก-ก
๒
ฟ้อง
ท้ายที่สุดนลินาก็ยอมขึ้นรถ แต่มีข้อแม้ว่าบุลวัชรจะต้องหาผ้าสะอาดมาปูให้หล่อนนั่ง ซึ่งชายหนุ่มก็เอาเสื้อแจ๊กเก็ตของเขาที่ติดในรถมานั่นละ เสียสละเป็นที่รองนั่งให้หญิงสาว
นลินานั่งหน้าเชิด หลังตรง พลางก่นด่าอีกฝ่ายอยู่ในใจโดยไม่ได้รู้ตัวเลยว่าเขาแอบมองหล่อนผ่านกระจกมองหลังเป็นระยะๆ
“ไม่ด่าผมต่อแล้วเหรอคุณ” บุลวัชรถามขึ้นหลังจากปล่อยให้รถเงียบมานาน
“ไม่มีอารมณ์จะด่าแล้ว อีกอย่างคนอย่างคุณด่าไปก็เท่านั้น ไม่รู้จะซึมซับบ้างหรือเปล่า” เจ้าของใบหน้าสวยหวานที่ล้อมรอบด้วยเรือนผมยาวสลวยสีน้ำตาลทำเสียงฮึในลำคอ
“มีงี้ด้วย หมดอารมณ์ด่า” เขาหัวเราะหึๆ
“ขอเตือนไว้ก่อนว่าอย่าหาเรื่องแล้วกัน” ใช่ว่าหล่อนจะวีนเหวี่ยงไปทั่วหรอกนะ ถ้าไม่มีเหตุให้หงุดหงิด
“ผมไม่หาเรื่องคุณก่อนอยู่แล้ว”
“ขอให้จริงเถอะ”
ระหว่างทางออกจากสนามบิน ดูเหมือนว่าเหตุการณ์จะสงบกว่าที่ควรเป็น แต่พอเข้าสู่เส้นทางไปบ้านภูไพรที่เป็นถนนดินลูกรัง ก็เกิดเรื่องขึ้นทันทีเมื่อนลินาร้องวี้ดว้ายตลอดทางที่รถแล่น
“กรี๊ด-ด-ด” ร่างบางกระเด็นไปทางนั้นทีทางนี้ที ก้นแทบไม่ติดกับเบาะ “แน่ใจนะว่านี่ทางไปบ้านภูไพร ไม่ใช่ดวงจันทร์ ทำไมมันขรุขระแบบนี้ แถมฝุ่นยังเต็มไปหมด” หล่อนมองฝุ่นสีแดงที่ลอยกระจัดกระจายท่ามกลางเปลวแดดร้อนแรงตอนเที่ยงวัน ว่าแล้วร่างระหงก็ถูกเหวี่ยงไปติดกับเบาะอีกด้านเมื่อรถตกหลุม “อ๊าย!”
“เกาะเบาะไว้แน่นๆสิคุณ” คนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยหันมาบอกยิ้มๆ
“คุณก็ขับดีๆสิ จะให้ฉันจับเบาะสกปรกน่าขยะแขยงงั้นเหรอ ไม่มีทางจับให้เสียมือหรอกย่ะ” นลินาพยายามประคองตัวไม่ให้กระเด็นออกจากผ้าที่รองนั่ง เกร็งจิกฝ่าเท้ากับพื้นสุดฤทธิ์
“ผมขับดีแล้ว แต่ทางมันเป็นแบบนี้”
“ไม่มีทางที่ดีกว่านี้เหรอ”
“ไม่มีหรอก เอาน่าคุณ อดทนหน่อย ถือเป็นประสบการณ์แล้วกัน ในกรุงเทพฯไม่มีนะแบบนี้” น้ำเสียงของบุลวัชรรื่นรมย์ราวกับว่าทางขรุขระนั่นเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่คู่ควรต่อการได้สัมผัสลิ้มลอง
“เอะอะๆก็เป็นประสบการณ์ ประสบการณ์แย่ๆแบบนี้ฉันไม่ต้องการหรอกนะ นี่ถ้าไม่จำเป็น ฉันคงไม่มาเหยียบที่นี่ด้วยซ้ำ บ้านนอกห่างไกลความเจริญ ไม่มีอะไรน่าดึงดูดให้อยู่เลย ไม่รู้คุณพ่ออยู่ได้ยังไง” นลินาบ่นยกใหญ่
“คนที่ไม่เคยอยู่ที่นี่ ไม่มีวันรู้หรอกว่ามันน่าอยู่ยังไง บางทีถ้าได้อยู่บ้านภูไพรสักระยะ คุณอาจจะเปลี่ยนความคิดก็ได้”
“หยุดเลยนะ ฉันไม่มีทางจะอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตหรอก อ้อ ถึงฉันไม่เคยอยู่ก็รู้ว่าไม่น่าอยู่ ในเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยความสะดวกสบายกับในหมู่บ้านเล็กๆ คนร้อยทั้งร้อยก็ต้องเลือกที่ที่เจริญทั้งนั้นแหละ ชีวิตคุณคงไม่เคยไปไหนนอกจากบ้านภูไพรสินะ ถึงคิดว่าที่นี่ดีนักดีหนา”
“อย่าคิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาลสิ คุณไม่ชอบ ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นไม่ชอบ อีกอย่างผมเกิดและโตที่กรุงเทพฯ และคิดว่าที่นี่กับกรุงเทพฯดีคนละแบบ ถ้าคุณชอบธรรมชาติ ความสงบร่มรื่น กลิ่นอายของวิถีชีวิตชาวบ้านที่เป็นมิตร ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ที่นี่คือคำตอบของคุณ” แววตาของผู้พูดเป็นประกายเต็มไปด้วยความอิ่มเอม
“บังเอิญว่าสิ่งที่คุณพูดมา ฉันไม่ชอบทั้งหมด จบป๊ะ” หญิงสาวเหยียดยิ้ม แล้วก็ต้องร้องวี้ดว้ายขึ้นมาอีกหนเมื่อรถตกหลุมอย่างแรง!
กว่าจะมาถึงสำนักงานพิทักษ์ป่าของบ้านภูไพร ตับ ไต และเครื่องในต่างๆของนลินาก็แทบจะหลุดออกมากองรวมกันอยู่ข้างนอก หญิงสาวก้าวลงจากรถพร้อมกับรองเท้าส้นสูงปรี๊ดสีขาวคู่ใจ แต่ก้าวแรกที่สัมผัสพื้น เจ้าของร่างโปร่งระหงก็พลาดเหยียบหินล้มคะมำทันที ส่งผลให้หัวเข่ากระแทกพื้นจนเป็นแผล
“อ๊าย เลือด เลือดไหล ช่วยด้วย!” นลินาโอดครวญใหญ่ทั้งที่เลือดไหลออกมาซิบๆเท่านั้น
“นี่คู้ณ ร้องยังกับหมูโดนเชือด หนักนะเนี่ย” บุลวัชรเท้าสะเอวมองหล่อนโดยไม่เข้าไปช่วย
“คนบ้า จะเปรียบเทียบอะไรก็ให้ดีกว่านี้ไม่ได้เหรอ นกหงส์หยกโดนเชือดต่างหาก แล้วทำไมไม่เข้ามาช่วยฉันเนี่ย ยืนดูอยู่ได้ น้ำใจมีไหม” หล่อนเอ่ยเสียงสูง
“ไม่ได้ขาหักสักหน่อย ลุกเองสิ!”
“แต่ฉันเจ็บ คุณเห็นเลือดฉันไหลไหมเนี่ย” หญิงสาวยังคงนั่งอยู่กับพื้น ยังไงๆก็ลุกเองไม่ได้
“ไหลที่ไหน แค่ซึม ถ้าไหล ป่านนี้พื้นคงท่วมไปด้วยเลือดคุณแล้ว” เขาส่ายหน้าไปมาพลางถอนหายใจ ลูกสาวผ.อ.มนตรีนี่ทั้งวีนทั้งเหวี่ยงอย่างที่ท่านเคยบอกไว้จริงๆ
“เอ้า มากันแล้วรึ”
เสียงนั้นดังออกมาจากเรือนไม้ชั้นเดียวขนาดกลาง ตกแต่งด้วยไม้ดอกไม้ประดับร่มรื่นเย็นตา ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดที่นลินานั่งจับกบอยู่ ก่อนที่ชายวัยกลางคนร่างท้วมผิวคล้ำแดดซึ่งอยู่ในชุดเครื่องแบบข้าราชการสีกากีจะปรากฏตัว
“คุณพ่อ” นลินาอ้อนทันทีที่เห็นบิดาของตน
“ว่าแล้วว่าต้องเป็นยายน้ำ” มนตรียิ้มกว้าง ใบหน้ากลมของท่านระบายไปด้วยความเอื้ออารี
หญิงสาวประคองตัวลุกขึ้นจากพื้นด้วยความยากลำบาก เดินเข้าไปเกาะแขนบิดาและฟ้อง
“คุณพ่อมาก็ดีแล้วค่ะ คุณพ่อต้องจัดการนายบุลวัชรให้น้ำนะคะ เขาก่อเรื่องกับน้ำไว้เยอะมาก” พูดเสร็จก็หันไปจิกตามองชายหนุ่มที่ยืนทำท่าไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่
“หา นายเบนนี่เหรอก่อเรื่องกับลูก” คนเป็นพ่อทำหน้าไม่อยากเชื่อ
“ใช่ค่ะ” นลินาพยักหน้าหงึกๆ
“จริงเหรอเบน” มนตรีหันไปถามผู้ใต้บังคับบัญชา
“ครับ ผมไปรับคุณน้ำสายสามสิบนาที พอดีมือถือแบตหมดน่ะครับ เลยโทร.หาเธอไม่ได้ เพราะเบอร์บันทึกไว้ในเครื่อง เลยต้องตามหากันอยู่พักใหญ่” บุลวัชรเล่าตามความจริง
“อ้อ แบบนี้นี่เอง ได้ยินแล้วใช่ไหมยายน้ำ นายเบนเขาไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นเรื่องสุดวิสัยจริงๆ” ผ.อ.สำนักงานพิทักษ์ป่าเอ่ยด้วยท่าทีเป็นกลาง
“ทำไมคุณพ่อต้องเข้าข้างเขาด้วยคะ น้ำเป็นลูกสาวคุณพ่อนะ” นลินาทำปากยื่นอย่างน้อยใจ
“พ่อไม่ได้เข้าข้างใคร แค่พูดตามความจริง เรื่องนี้ไม่มีใครถูกใครผิด นายเบนเขาไม่ได้อยากไปรับลูกสายนะ น้ำก็ได้ยินว่าเขามีเหตุผล”
“คุณพ่ออะ แต่น้ำรอนานนะคะ”
“ยายน้ำ เราโตแล้วนะ ต้องหัดฟังเหตุผลของคนอื่นบ้าง เรารอนาน แต่นายเบนเขาก็เหนื่อยขับรถหลายกิโลฯไปรับเราเหมือนกัน” มนตรีเตือนลูกด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความรักและหวังดี
“ขับรถเก่าๆหมดสภาพคันนั้นน่ะเหรอคะ รถดีๆทำไมไม่เอาไปรับน้ำก็ไม่รู้” หญิงสาวบ่นกระปอดกระแปด คุณพ่อนะคุณพ่อ ให้ท้ายนายเบนแบบนี้นี่เอง นายนั่นถึงได้ใจนัก
“แล้วนี่พูดคุยทำความรู้จักกันไปถึงไหนแล้ว” ชายวัยกลางคนตัดบท มองบุลวัชรที มองลูกสาวที ถามไปอย่างนั้นทั้งที่รู้ว่านลินาคงไม่ค่อยลงรอยกับลูกน้องของตนเท่าไหร่
“น้ำไม่อยากรู้จักเขาหรอกค่ะ แค่นั่งรถมาด้วยก็อึดอัดจะตายอยู่แล้ว”
“แต่ก็ไม่เห็นตายเลยนี่นา”
นลินาตวัดสายตาไปมองคนพูด ประโยคสามหาวเช่นนั้น แน่นอนว่ามาจากปากของอีตาเบน
“คุณ!”
“เอาละๆ อย่าทะเลาะกันอีกเลย เพราะทั้งสองคนจะต้องเจอกันไปอีกนาน” มนตรียกมือห้าม
“นานที่ไหนคะคุณพ่อ น้ำอยู่ที่นี่ไม่เกินสามวันหรอกค่ะ” แค่วันเดียว หล่อนก็ว่ามากพอแล้ว แต่นี่สามวัน เฮ้อ ลองดูแล้วกันว่าจะเป็นไง ที่ยอมอยู่นานขนาดนั้นก็เพราะกลัวพ่อจะไม่ส่งเงินให้นั่นละ
“แล้วใครบอกว่าพ่อจะให้เราอยู่แค่สามวัน” ชายร่างท้วมยิ้มอย่างมีเลศนัย
“คุณพ่อหมายความว่ายังไงคะ?” นลินาเริ่มคิดหนัก รอยยิ้มของคุณพ่อไม่น่าไว้ใจเลย แล้วหญิงสาวก็เกือบจะประคองตัวไม่อยู่เมื่อบิดาตอบว่า
“สามเดือน!”
“สามเดือน!?!” ดวงตากลมสีน้ำตาลเบิกกว้าง เสียงสูงด้วยความตกใจ สามเดือนงั้นเหรอ มันคงยาวนานเหมือนสามสิบปีสำหรับหล่อน “ไม่นะคะคุณพ่อ มันนานเกินไป น้ำอยู่ไม่ได้หรอก ดูสิ มองไปทางไหนก็เห็นแต่ป่า ไม่มีห้าง ไม่มีร้านอาหารหรูๆ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเลย ขืนอยู่สามเดือน น้ำต้องปรี๊ดวันละหลายหนจนนับไม่ถ้วนแน่ๆ ถ้าเส้นเลือดในสมองแตก ใครจะรับผิดชอบคะ”
“เว่อร์ได้อีก” บุลวัชรหัวเราะหึๆ
“เว่อร์อะไรยะ คนเครียดๆ เส้นเลือดในสมองแตกจะแปลกอะไร” นลินาหันไปแหวใส่
“งั้นก็กลับไปที่บ้าน แต่พ่อไม่ส่งเงินให้” ชายวัยกลางคนมีสีหน้าเหนื่อยใจ แล้วก็นึกย้อนไปถึงสาเหตุที่ทำให้ลูกสาวกลายเป็นคนวีนเหวี่ยงและเอาแต่ใจเช่นนี้
สมัยที่เขาคบหากับรุ้งระวีผู้เป็นภรรยานั้น แม่ของหญิงสาวไม่ค่อยชอบใจนัก เพราะมนตรีเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ป่าไม้ธรรมดา ฐานะต้อยต่ำกว่าครอบครัวของคนรักซึ่งทำกิจการรับซื้อขายรถมือสองมาก แม่ของรุ้งระวีคิดว่าเขาจะพาลูกสาวท่านไปลำบาก จึงพยายามกีดกันอย่างเต็มที่
ทว่าสุดท้ายงานแต่งงานก็เกิดขึ้นท่ามกลางความไม่ยินดีของท่าน ซึ่งไม่มีทางเลือกเนื่องจากเวลานั้นรุ้งระวีตั้งท้องนลินาได้สองเดือน การท้องก่อนแต่งทำให้แม่ของเธอยิ่งไม่ชอบหน้ามนตรีมากขึ้นไปอีก มีก็แต่พ่อของหญิงสาวที่มองปัญหาอย่างเข้าใจและช่วยให้กำลังใจ
เขาและภรรยาออกมาอยู่ในบ้านเล็กๆด้วยกันหลังแต่งงาน มนตรีตั้งใจทำงานอย่างซื่อสัตย์และขยันขันแข็ง เพื่อจะลบคำปรามาสต่างๆนานาของแม่หญิงสาว ซึ่งช่วงนั้นชีวิตของมนตรีและรุ้งระวีไม่ได้ลำบากขัดสนใดๆเนื่องจากทั้งคู่ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง
แต่แล้วรุ้งระวีก็เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตอนนลินาอายุห้าขวบ จากนั้นมนตรีก็หมดสิทธิ์ในตัวลูกสาวทันทีเมื่อแม่ของภรรยายึดนลินากลับไปเลี้ยงเอง และอนุญาตให้เขาไปเยี่ยมลูกได้เฉพาะวันเสาร์อาทิตย์ ซึ่งถ้ามนตรีไม่ยอมตามเงื่อนไขนั้น ท่านก็จะไม่ให้เขากับลูกเจอกันเลย มนตรีจึงได้แต่ก้มหน้ารับอย่างไม่มีข้อต่อรอง
แม่ของรุ้งระวีเลี้ยงดูนลินาอย่างตามใจเหมือนนางฟ้า เรียกว่าอยากได้อะไรก็ประเคนให้ทุกครั้ง แถมยังไม่เคยว่ากล่าวตักเตือนเพราะกลัวจะเป็นการทำร้ายจิตใจ ปล่อยให้นลินาคิดว่าทุกสิ่งที่ทำถูกต้องตลอดมา
ระหว่างนั้นมนตรีก็มุ่งมั่นทำงานโดยไม่ย่อท้อ ทำให้ได้เลื่อนขั้นขึ้นมาเรื่อยๆ ตอนที่นลินาอายุได้สิบห้าปี เขาก็ถูกย้ายให้มาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพิทักษ์ป่าของบ้านภูไพร ซึ่งแม้จะไม่ได้อยู่กรุงเทพฯ แต่มนตรีก็ยังหาเวลาไปเยี่ยมลูกในวันเสาร์อาทิตย์เสมอ นอกจากนั้นเขายังหาลู่ทางทำธุรกิจส่วนตัวเพื่อหารายได้เพิ่มเติมอย่างการจำหน่ายอุปกรณ์ทางการเกษตร ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือทำงาน ปุ๋ย และเมล็ดพันธุ์พืช ซึ่งทำกำไรงามพอสมควร
หลังจากพ่อของรุ้งระวีเสียชีวิตไปเมื่อห้าปีก่อน เงินทองของครอบครัวภรรยาเขาก็ค่อยๆร่อยหรอลงเนื่องจากแม่ของรุ้งระวีไม่มีความรู้ในการบริหารกิจการซื้อขายรถมือสอง ทำให้กิจการขาดทุนจนสุดท้ายต้องขายเพื่อนำเงินมาหมุนเวียนใช้จ่าย ซึ่งเงินจำนวนนั้นก็หมดไปในเวลาไม่นาน จากนั้นมนตรีก็กลายเป็นฝ่ายส่งเงินให้แม่ของรุ้งระวีแทนมาจนถึงปัจจุบัน แต่ถึงอย่างนั้น ท่านก็ยังไม่ชอบหน้าเขาอยู่ดี
อย่างไรก็ตาม สิ่งเดียวที่เขาจะมีห่วงหากวันหนึ่งหมดลมหายใจก็คงเป็นลูกสาวคนเดียวนี่ละ ถ้านลินายังคงใช้ชีวิตตามใจตัวเองแบบเดิม ต่อไปคงเอาตัวรอดไม่ได้แน่ และเขาก็ไม่อยากคิดว่าชีวิตต่อจากนั้นของยายหนูจะเลวร้ายแค่ไหน
นั่นคือเหตุผลที่เขาต้องบังคับให้ลูกมาที่นี่หลังจากแม่ของภรรยาเสียชีวิตไปเมื่อเดือนก่อน เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนลินาใหม่!
“คุณพ่อ” หญิงสาวตาปรอย
“ว่าไง ตกลงจะอยู่หรือจะกลับ แค่สามเดือนมันไม่ได้นานเลย” มนตรีอยู่ที่นี่มาเกือบสิบปีแล้ว แต่รู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปรวดเร็วราวสายลม
“แล้วคุณพ่อจะให้น้ำทำอะไรคะ ตั้งสามเดือนแน่ะ อยู่ที่นี่ไม่มีอะไรให้ทำเหมือนอยู่กรุงเทพฯหรอก” หญิงสาวทำหน้าเซ็ง
“มีแน่ พ่อจะให้เราช่วยงานนายเบน!”
“ช่วยงานนายเบน!” นลินาวี้ดเสียงสูงราวกับนกหวีด “ไม่มีทางค่ะ น้ำเป็นถึงลูกสาวผู้อำนวยการสำนักงานพิทักษ์ป่า ทำไมต้องไปช่วยคนที่ตำแหน่งต่ำกว่าด้วย” หล่อนมองเขาด้วยหางตา
“แล้วแกคิดว่าพ่อจะให้เงินใช้ฟรีๆรึ แกต้องทำงาน แลกกับเงินเดือน!” มนตรียื่นเงื่อนไข เพราะตอนนี้ลูกสาวเขาอายุยี่สิบสี่แล้ว แต่ยังไม่มีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่ง ถ้าให้ลองทำงาน จะได้รู้ว่าเหน็ดเหนื่อยเพียงใดกว่าจะได้เงินมาแต่ละบาท
“ไม่เอาค่ะ น้ำไม่ยอมทำงานช่วยเขาเด็ดขาด งานของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ต้องเป็นงานที่โลดโผนแน่ๆ” หญิงสาวทำท่าขยาด ถ้าต้องบุกป่าฝ่าดงไปกับบุลวัชรจริง ผิวหล่อนจากที่เนียนนุ่มต้องหยาบกร้านแน่ ไม่เอา ยังไงๆก็ไม่เอา
“พ่อไม่ได้ให้ช่วยทุกงาน ช่วยเฉพาะงานที่เราทำได้” มนตรีพยายามเกลี้ยกล่อม
“น้ำทำไม่ได้ซักอย่างค่ะ” หล่อนปฏิเสธแทบจะทันที
“เคยได้ยินมาจากที่ไหนไม่รู้ว่า คนบางคนเกิดมา ก็เพื่อหายใจทิ้งไปวันๆ ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอกับตัวเอง”
“กรี๊ด-ด-ด นี่คุณว่าฉันเหรอ” นลินาสาวเท้าฉับๆเดินเข้าไปหาเจ้าของร่างใหญ่ วาดมือหมายจะฟาดลงบนต้นแขนของเขา แต่มือหนาก็คว้าแขนกลมกลึงเอาไว้ได้อย่างมั่นคง
“ออกฤทธิ์แบบนี้แสดงว่าหายเจ็บแผลแล้วสิ” เขายิ้มยั่ว ดวงตาพราวระยับ
“ปล่อยฉันนะ ไม่งั้นฉันจะฟ้องคุณพ่อ!” หล่อนหันไปมองบิดาอย่างขอความช่วยเหลือ
“เอาละๆ พ่อว่าไปคุยกันต่อในสำนักงานดีกว่านะ ท่าทางจะยาว” มนตรีเห็นภาพนั้นแล้วก็แอบอมยิ้ม คงมีบุลวัชรนี่ละ ที่สามารถต่อกรกับยายหนูได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ คิดไม่ผิดที่เลือกให้มาช่วยดัดนิสัยลูกสาวของเขา ได้แต่หวังว่าชายหนุ่มจะไม่ถอดใจกับความร้ายกาจของยายหนูเสียก่อน!
และขออนุญาตแจ้งว่าเรื่องนี้จะลบเหลือ 5 ตอนหลังจากลงตอนจบแล้ว 24 ชั่วโมงนะครับ ก่อนลงตอนจบจะมีการแจ้งวันอีกครั้งครับ พร้อมแล้วไปอ่านกันเล้ย ^^
๑
คนเถื่อน
“เมื่อไหร่จะมาสักทีเนี่ย!”
นลินากระแทกเสียงด้วยความหงุดหงิดหลังยกนาฬิกาขึ้นมาดูเป็นรอบที่เก้า พบว่าเข็มของมันบอกเวลาสิบโมงครึ่ง!
เลยเวลานัดมาหลายนาทีแล้ว แต่คนที่บิดาบอกว่าจะให้มารับที่สนามบินกลับไม่ปรากฏตัวเสียที หึ มาไม่ตรงเวลาแบบนี้ บอกตรงๆว่าหล่อนปรี๊ด มองไปทางไหนก็ขวางหูขวางตาไปหมด เพราะสิ่งที่หล่อนเกลียดที่สุดคือการรอ!
บ้านภูไพร…คือจุดหมายปลายทางของหญิงสาว
แค่ชื่อก็รู้แล้วว่าห่างไกลความเจริญมากแค่ไหน ตั้งแต่เกิดมา หล่อนไม่เคยคิดจะเหยียบย่างไปยังสถานที่เช่นนั้น อย่างหล่อนต้องเจิดจรัส ใช้ชีวิตหรูหรา สะดวกสบายอยู่ในเมืองหลวงเท่านั้น!
แต่นลินาก็ต้องฝืนใจตัวเองเมื่อยายที่ดูแลหล่อนมาตั้งแต่เล็กจนโตเสียชีวิตไปเมื่อเดือนก่อน นั่นทำให้หญิงสาวขาดที่พึ่งพิงโดยสิ้นเชิง เหลือก็แต่บิดาที่ทำงานเป็นผู้อำนวยการสำนักงานพิทักษ์ป่าอยู่ในจังหวัดหนึ่งของภาคอีสาน และท่านก็สั่งให้มาที่บ้านภูไพร ไม่เช่นนั้นจะไม่ส่งเสียเลี้ยงดูอีกต่อไป
แล้วหล่อนจะทำอย่างไรได้ ในเมื่อตอนนี้ไม่ได้ทำงานเป็นชิ้นเป็นอัน เงินที่ใช้จ่ายในการกิน เที่ยว ช้อปก็มาจากยายทั้งนั้น เพราะฉะนั้นสุดท้ายจึงต้องทำตามคำสั่งของบิดาโดยไม่มีทางเลือกแม้อยากจะกรี๊ดๆๆด้วยความขัดใจ
“ทำไมคุณพ่อต้องให้น้ำมาลำบากด้วย น้ำไม่อยากไปบ้านภูไพร ฮือ” หญิงสาวกรีดร้องอยู่คนเดียวและทำท่าจะร้องไห้ออกมาเสียให้ได้ ลืมตัวไปว่านั่งอยู่ในสนามบิน ไม่ใช่บ้านของตน พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีจึงเห็นผู้คนมากมายจ้องมองมาเป็นตาเดียว “มองอะไร ไม่เคยเห็นคนเสียใจหรือไง!”
นลินาจิกตามองทุกคนด้วยความไม่สบอารมณ์ คงไม่มีใครเข้าใจหรอกว่าหล่อนรู้สึกยังไง ชีวิตของหล่อนสุขสบาย มีทุกสิ่งทุกอย่างเพียบพร้อม อยากได้อะไรก็ต้องได้ มาวันนี้กลับไม่มีทางเลือก กรี๊ด-ด-ด ไม่เคยคิดว่าชีวิตของตัวเองจะเป็นแบบนี้เลย
“คุณน้ำหรือเปล่า”
เสียงห้วนห้าวที่ดังขึ้น ทำให้นลินาหันหน้าขวับไปมองทันที แล้วก็พบชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ผิวคล้ำแดด ใบหน้าคม ผมสีดำขลับตัดสั้น กำลังมองมาที่หล่อน ดวงตาของเขาดูแข็งกระด้างไม่แพ้น้ำเสียง
นี่คงเป็นคนที่คุณพ่อให้มารับหล่อนสินะ ดีละ จะด่าให้เข็ด โทษฐานที่ให้รอนานเป็นครึ่งชั่วโมง
“มาจากบ้านภูไพรใช่ไหม” นลินาถามอีกทีเพื่อให้แน่ใจว่าจะด่าไม่ผิดคน
เจ้าของดวงตาสีเข้มจัดพยักหน้า “ครับ ผ.อ.มนตรีให้ผมมารับคุณ” เสื้อยืดสีขาวพอดีตัวของเขาทำให้มองเห็นกล้ามหน้าอกแข็งแกร่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้เนื้อผ้า
“หึ คนของคุณพ่อนี่เอง ทำไมถึงมาช้านัก มัวไปเถลไถลที่ไหนมา รู้ไหมว่าฉันรอนายนานมาก นายเป็นคนแรกที่กล้าให้ฉันรอ!”
เขาหันหน้าหันหลัง ทำท่าคล้ายมองหาใครสักคน แล้วก็ขมวดคิ้วหนาใส่หล่อนอย่างยียวน
“มองหาใครยะ” นลินาถามเสียงสะบัด
“นายคนที่มาช้า” รอยยิ้มผุดขึ้นเล็กๆบนริมฝีปากหยักซึ่งมีไรหนวดบางๆ
“นี่ อย่ามาแกล้งโง่นะ ฉันหมายถึงนายนั่นแหละ นายคนบ้านภูไพร นายมาสาย…มาก-ก-ก” อยากจะบีบคอคนกวนประสาทนัก โดนด่ายังไม่รู้ตัวอีก
“ผมชื่อบุลวัชร ชื่อเล่นเบน ไม่ใช่ ‘นาย’ อย่างที่คุณเรียก” เขาเน้นเสียงอย่างจงใจ “เป็นผู้หญิง กรุณาอย่าข่มผู้ชายด้วยการเรียกว่านายอีก”
“ทำไมจะเรียกไม่ได้ ก็นายเป็นลูกน้องพ่อฉัน ฉันจะเรียกนายว่านาย มีปัญหาอะไรไหม ถ้ามีก็ไปฟ้องพ่อฉันได้เลย และพ่อฉันไม่เข้าข้างนายแน่นอน” นลินายิ้มกริ่มอย่างผู้เหนือกว่า
“คนที่เจอกันครั้งแรก เขาพูดกันขนาดนี้เลยเหรอ” ชายหนุ่มส่ายหน้าปลงๆ “เฮ้อ แต่เอาเถอะ ขอโทษด้วยที่มาช้า พอดีมือถือผมแบตหมด โทร.หาคุณไม่ได้ เลยไม่รู้ว่าอยู่ไหน ต้องเดินตามหาจนมาเจอคนหน้าเหมือนในรูปที่ผ.อ.ให้มานี่แหละ” บุลวัชรเก็บรูปถ่ายใบนั้นเข้าไปในกระเป๋าสตางค์ พยายามไม่ใส่ใจกับประโยคยกตนข่มท่านเมื่อครู่
หญิงสาวเบ้ปาก “ใช้ไม่ได้ มือถือปล่อยให้แบตหมดได้ไง ของจำเป็นแบบนี้”
“บังเอิญว่ามันไม่ค่อยจำเป็นสำหรับผมเท่าไหร่” เขายักไหล่อย่างยโส
“อ้อ ลืมไป นายอยู่บ้านป่าเมืองเถื่อนนี่นะ คงไม่ค่อยมีโอกาสได้ใช้” นลินาแอบมองสำรวจใบหน้าชายหนุ่มขณะพูด จะว่าไปหน้าตาก็ดี แต่หล่อนไม่สนคนบ้านนอกอย่างเขาหรอก
“ก็ถูกของคุณ” ริมฝีปากหยักบิดโค้งเยาะคู่สนทนาอยู่ในใจ “ว่าแต่เราจะไปกันได้หรือยัง”
“ก็ไปสิ รออะไรอยู่ล่ะ” ร่างโปร่งระหงซึ่งอยู่ในชุดแซกเกาะอกสีม่วงสั้นเหนือเข่าลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก่อนจะหยิบแว่นตากันแดดสีดำทรงเฉี่ยวขึ้นมาสวมอย่างเคยชิน
บุลวัชรมองสัดส่วนงดงามที่อยู่ในชุดรัดรูป ดวงตาคมกริบเป็นประกายขึ้นแวบนึง ก่อนจะเงยขึ้นมองใบหน้าหวานที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางสีสันฉูดฉาด “ก็รอคุณนั่นแหละ บ่นจบแล้วใช่ไหม”
นลินากัดริมฝีปากอย่างเจ็บใจ ก่อนบอกเสียงห้วนประชดประชัน “ยังไม่จบ จะไปบ่นต่อบนรถ!”
ว่าแล้วหล่อนก็พยักพเยิดไปยังกระเป๋าเดินทางใบโต ก่อนจะเดินเชิดหน้า กรีดกรายออกมา แต่เดินมาสักพัก ไม่ได้ยินเสียงของอีกฝ่ายตามมาก็หมุนตัวกลับไปมอง
เมื่อเห็นบุลวัชรยังคงยืนอยู่ที่เดิม หญิงสาวก็ชักสีหน้าทันที “ทำไมไม่ลากกระเป๋าตามฉันมา!”
“กระเป๋าของใคร” ชายหนุ่มว่าพลางมองกระเป๋าสีชมพูหวานแหววใบนั้น
“ของฉัน!”
“ของคุณ” เขาเว้นวรรค และผายมือมายังหล่อน “เพราะงั้น…คุณก็มาลากไปเอง”
นลินาถอดแว่นตาออกด้วยความโมโห ดวงตากลมเบิกกว้าง ได้แต่อ้าปากค้างเพราะพูดไม่ออก นายนั่นเป็นใคร ถึงกล้าขัดคำสั่งหล่อน ชักจะเหิมเกริมมากไปแล้วนะ คอยดูนะ หล่อนจะฟ้องคุณพ่อ!
“นาย!” หญิงสาวจ้องเขม็ง
“ผมมีหน้าที่มารับคุณเท่านั้น ไม่ได้มายกกระเป๋าให้ โอเคนะครับ” ดวงตาสีนิลเป็นประกายระริกทำให้อีกฝ่ายแทบจะเต้นเร่าๆด้วยความคับแค้น “อ้อ อย่าคิดหนีผมไปขึ้นแท็กซี่ละ เพราะคุณอาจจะไม่มีชีวิตรอดไปถึงบ้านภูไพรก็ได้” เขาขู่พลางหัวเราะหึๆ
“ไปกับนายปลอดภัยตายละ”
“ปลอดภัยสิ อย่างน้อยผมก็เป็นคนที่พ่อคุณส่งให้มารับ เอาละ จะไปหรือไม่ไป ถ้าไปก็ลากกระเป๋าตามมา” บุลวัชรพยักพเยิดไปยังกระเป๋าสีชมพูอย่างล้อเลียน ก่อนจะเดินสองมือล้วงกระเป๋ากางเกงยีนนำไป
“คนอะไร ไม่เป็นสุภาพบุรุษเลย” หล่อนค่อนแคะ
เขาได้ยินก็หมุนตัวกลับมาตอบพร้อมรอยยิ้มมุมปาก “ผมเป็นสุภาพบุรุษ เฉพาะกับสุภาพสตรีครับ”
พูดจบเขาก็หันหลังกลับไปเดินต่อ ส่วนนลินาน่ะหรือ อยากจะกรี๊ดให้สนามบินแตก นี่เขาแดกดันว่าหล่อนหยาบคายไม่เป็นสุภาพสตรีชัดๆ!
เห็นแผ่นหลังหนาตรงแน่วแล้ว หญิงสาวก็ได้แต่กัดฟันกรอดด้วยความเคืองแค้น รู้จักยายน้ำน้อยไปซะแล้ว!
นลินาตัดสินใจลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ตามหลังชายหนุ่มไป เพราะกลัวว่าหากใช้บริการรถแท็กซี่ที่สนามบิน อาจจะไปไม่ถึงบ้านภูไพรจริงๆ เพราะเคยได้ยินข่าวแท็กซี่ทำร้ายผู้โดยสารอยู่บ่อยๆ หรือหากโชคร้ายกว่านั้นอาจรุนแรงถึงขั้นฆ่าข่มขืน
จริงๆแท็กซี่ดีๆก็ยังมีอยู่น่ะนะ แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าคันไหนดีไม่ดี อีกอย่างบอกตรงๆว่าหล่อนไม่เคยนั่งแท็กซี่เลยแม้แต่ครั้งเดียวในชีวิต เวลาจะไปไหนมาไหนก็มีคนขับรถที่บ้านพาไปตลอด การโดยสารแท็กซี่จึงเป็นเรื่องน่าหวาดระแวงสำหรับหล่อนไม่น้อย
“เอ๊ะ แล้วนายบุลวัชรเป็นคนที่คุณพ่อส่งมารับเราจริงๆหรือเปล่านะ” นลินาพึมพำกับตัวเอง ว่าแล้วก็โพล่งถามออกไป “นี่ นาย”
ร่างสูงไม่หยุดตามเสียงเรียก ทำหูทวนลมเดินเลี้ยวออกไปยังลานจอดรถเฉย
“นาย ไม่ได้ยินฉันเรียกหรือไง นาย นายบุลวัชร นายเบน นาย… คุณบุลวัชรคะ” ประโยคสุดท้ายพร้อมเสียงหวานนั่นละ เจ้าของใบหน้าคมจึงหันกลับมา
“ว่าไงครับ”
ถ้าหูของหล่อนไม่ฝาด เสียงเขานุ่มขึ้นกว่าเดิม นลินาปั้นหน้ายิ้มพลางคิดในใจ สงสัยอยากให้เราเรียกคุณแน่เลย อ๊ะ เรียกก็ได้
“คุณบุลวัชรมีบัตรข้าราชการไหม” หล่อนก้าวเข้าไปหาฝ่ายนั้น
“ทำไม กลัวว่าผมจะสวมรอยมาลักพาตัวคุณรึ” เขายิ้มอย่างรู้ทัน
“ใครจะไปรู้ล่ะ คนสมัยนี้ไว้ใจได้ที่ไหน โดยเฉพาะคนต่างจังหวัด” หญิงสาวกอดอกบอกอย่างเชื่อมั่นในความคิดตัวเอง
“คนต่างจังหวัดกับคนกรุงเทพฯก็มีทั้งคนดีและไม่ดีเหมือนกันนั่นแหละ คุณไปตัดสินคนจากที่ที่เขาอยู่แบบนี้มันยุติธรรมที่ไหน” บุลวัชรไม่ชอบใจกับทัศนคติของหล่อนนัก
“ไม่ต้องพูดมาก เอาบัตรข้าราชการของนายมาได้แล้ว”
ได้ยินดังนั้นชายหนุ่มก็หมุนตัวกลับ ก้าวขาจะเดินต่อ หญิงสาวรีบเปลี่ยนสรรพนามทันที
“คุณๆ เรียกคุณก็ได้ เรื่องมากจริง” สามคำสุดท้าย นลินาแอบบ่นเบาๆ
“คุณควรจะรู้ไว้นะ ว่าเป็นผู้หญิงไม่ควรเรียกคนอื่นว่านาย มันเหมือนกับการจิกหัวและข่มคนคนนั้น ถ้าผมเรียกคุณว่ายายนั่น ยายนี่บ้าง คุณจะรู้สึกยังไง”
“อย่ามาเรียกฉันแบบนั้นนะ”
“เห็นไหม คุณยังไม่ชอบให้คนอื่นเรียกจิกเลย เพราะงั้นกรุณาให้เกียรติผมด้วยครับ”
“ค่า คุณบุลวัชร ตกลงจะเอาบัตรข้าราชการให้ฉันได้หรือยังคะ” หล่อนแบมือหรารอรับ ดัดเสียงอ่อนหวานกว่าปกติ
ชายหนุ่มหยิบบัตรข้าราชการออกมาจากกระเป๋าสตางค์ ก่อนจะยื่นให้ลูกสาวเจ้านาย นลินารับไปและไล่สายตาดูข้อมูลบนบัตรอย่างละเอียด แล้วจึงส่งคืนเจ้าของ
“โอเค ไปกันได้แล้ว”
“ไม่สงสัยว่าผมจะสวมรอยมาแล้วใช่ไหม” คิ้วหนาเลิกขึ้นพลางคิดในใจ ถ้าเกิดมีคนสวมรอยมารับหล่อนจริงๆ แล้วให้บัตรข้าราชการปลอม หล่อนก็คงเชื่อแน่ๆ เพราะอย่างหล่อนคงดูไม่ออกหรอกว่าอันไหนจริงอันไหนปลอม ทำท่าเหมือนฉลาดไปงั้นละ
“ไม่สงสัยแล้ว”
“งั้นก็ตามผมมาเลยครับ” เขาออกเดินนำก่อน
เมื่อเห็นบุลวัชรมุ่งหน้าไปยังรถเบนซ์สีขาวคันหรูในลานจอดรถ นลินาก็ยิ้มออกทันที เพราะอย่างน้อยก็ได้นั่งรถสบาย แต่แล้วก็หุบยิ้มฉับแทบไม่ทันเมื่อเขาเดินเลยรถคันนั้นไปหยุดอยู่ที่รถกระบะบุโรทั่งสีเขียวอ่อนที่น่าจะนำไปไว้ในพิพิธภัณฑ์ได้แล้ว
“นี่น่ะเหรอ รถที่ฉันต้องนั่งไปบ้านภูไพร!” หล่อนแทบจะเป็นลมลงกับพื้น โอ้แม่เจ้า ภายนอกยังเก่าคร่ำครึ สนิมเกรอะกรังแบบนี้ ไม่อยากคิดเลยว่าข้างในจะขนาดไหน ไม่ ยังไงหล่อนก็ไม่นั่งให้เป็นราคีแก่ตัวเด็ดขาด
“ใช่ครับ มีอะไรหรือเปล่า”
เขาถามแบบนั้นได้ยังไง เด็กอนุบาลยังรู้เลยว่ารถคันนั้นมัน ‘มีอะไร’ อาจมีพลังงานบางอย่างซ่อนเร้นอยู่ก็เป็นได้
“เก่าขนาดนี้ นั่งไปได้ไง ให้ตายฉันก็ไม่ไปหรอกนะ” หญิงสาวส่ายหน้าหวือ
“แค่นั่งรถแค่นี้มันไม่ตายหรอกคู้ณ หรืออยากเดิน จากนี่ไปบ้านภูไพรไม่ใช่ใกล้ๆนะ แบบนั้นน่ะ คุณจะตายมากกว่านั่งรถ เพราะไม่โดนฉุดก็อาจโดนเสือคาบไปกิน!”
“ไม่ถึงตายก็ได้ แต่ฉันคงทนนั่งรถเก่าๆไม่ไหวหรอกนะ ดูสิ เชื้อโรคคงยุบยับเต็มไปหมด แค่คิดก็ขนลุกแล้ว”
“แหม ทำยังกับบนตัวคุณไม่มีเชื้อโรค ไม่เคยได้ยินรึว่าบนผิวหนังของเรามีแบคทีเรียอาศัยอยู่”
“ของฉันไม่มีย่ะ” หญิงสาวว่าพลางก้มมองแขนขาวนวลของตน มีแบคทีเรียจริงๆเหรอเนี่ย ไม่มีทางหรอก ในเมื่อหล่อนประทินผิวด้วยครีมอาบน้ำและครีมบำรุงผิวอย่างดี ราคาแพงอย่างที่นายคนนั้นใช้เลี้ยงชีวิตไปได้อีกหลายเดือน
“จะไปหรือไม่ไป ไม่ไปผมก็ไม่ง้อนะ”
“กรี๊ด รับไม่ได้ นี่ฉันต้องง้อคุณเพื่อให้ได้นั่งซากรถเก่าๆคันนี้เหรอ” นลินาดีดดิ้น
“ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคุณนั่งไม่ได้”
“ก็มันเก่า สกปรก โสโครก มีเชื้อโรค ไม่ดูดีมีชาติตระกูล อาจเป็นรถไร้สัญชาติ รถที่เคยมีคนตาย และมีแต่อะไรไม่ดีอีกมากมายนั่นแหละ” หล่อนจาระไนเหตุผลฉอดๆ
“เอาน่า ให้ตูดได้ระคายสักวันจะเป็นไรไป นั่งเบาะนุ่มๆมาเยอะแล้ว ลองเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง”
“ลามก!”
“ลามกอะไร ก็ที่คุณไม่อยากนั่งรถคันนี้เพราะกลัวจะระคายตูดไม่ใช่เหรอ ผมไม่ได้จู่ๆก็พูดนะ ขยายความมาจากสิ่งที่คุณแสดงออกนั่นแหละ”
นลินามองอีกฝ่ายตาเขียวปั้ด นายบุลวัชร คนบ้า ปากร้ายที่สุด หล่อนกับเขาคงไม่มีวันพูดดีกันได้แน่
“มาได้แล้ว อยากจะด่าที่ผมมาช้าต่อไม่ใช่เหรอ รีบขึ้นรถสิ”
“ฉันจะโทร.ฟ้องคุณพ่อ ว่าคุณหยาบคายกับฉัน!” ว่าแล้วมือเรียวก็ควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพายออกมากดต่อสายไปหาบิดาทันที ทว่ายังไม่ทันที่เสียงสัญญาณครั้งแรกจะดังขึ้น หน้าจอเครื่องมือสื่อสารของหล่อนก็ดับวูบไปเสียก่อน
“อ๊าย แบตหมด!”
บุลวัชรได้ที ยิ้มอย่างกวนประสาทและจงใจใช้คำพูดเดียวกันกับที่หล่อนว่าเขา “คุณนี่สะเพร่าจังเลยนะ ปล่อยให้มือถือแบตหมดได้ไง ของจำเป็นแบบนี้”
ริมฝีปากอิ่มเต็มสีชมพูเม้มเข้าหากันแน่นด้วยความหงุดหงิด อีตาเบนบ้า คนเถื่อนไม่มีมารยาท บ้าๆๆๆ รู้ไว้ซะว่าฉันเกลียดนายที่สุดในโลก-ก-ก-ก
๒
ฟ้อง
ท้ายที่สุดนลินาก็ยอมขึ้นรถ แต่มีข้อแม้ว่าบุลวัชรจะต้องหาผ้าสะอาดมาปูให้หล่อนนั่ง ซึ่งชายหนุ่มก็เอาเสื้อแจ๊กเก็ตของเขาที่ติดในรถมานั่นละ เสียสละเป็นที่รองนั่งให้หญิงสาว
นลินานั่งหน้าเชิด หลังตรง พลางก่นด่าอีกฝ่ายอยู่ในใจโดยไม่ได้รู้ตัวเลยว่าเขาแอบมองหล่อนผ่านกระจกมองหลังเป็นระยะๆ
“ไม่ด่าผมต่อแล้วเหรอคุณ” บุลวัชรถามขึ้นหลังจากปล่อยให้รถเงียบมานาน
“ไม่มีอารมณ์จะด่าแล้ว อีกอย่างคนอย่างคุณด่าไปก็เท่านั้น ไม่รู้จะซึมซับบ้างหรือเปล่า” เจ้าของใบหน้าสวยหวานที่ล้อมรอบด้วยเรือนผมยาวสลวยสีน้ำตาลทำเสียงฮึในลำคอ
“มีงี้ด้วย หมดอารมณ์ด่า” เขาหัวเราะหึๆ
“ขอเตือนไว้ก่อนว่าอย่าหาเรื่องแล้วกัน” ใช่ว่าหล่อนจะวีนเหวี่ยงไปทั่วหรอกนะ ถ้าไม่มีเหตุให้หงุดหงิด
“ผมไม่หาเรื่องคุณก่อนอยู่แล้ว”
“ขอให้จริงเถอะ”
ระหว่างทางออกจากสนามบิน ดูเหมือนว่าเหตุการณ์จะสงบกว่าที่ควรเป็น แต่พอเข้าสู่เส้นทางไปบ้านภูไพรที่เป็นถนนดินลูกรัง ก็เกิดเรื่องขึ้นทันทีเมื่อนลินาร้องวี้ดว้ายตลอดทางที่รถแล่น
“กรี๊ด-ด-ด” ร่างบางกระเด็นไปทางนั้นทีทางนี้ที ก้นแทบไม่ติดกับเบาะ “แน่ใจนะว่านี่ทางไปบ้านภูไพร ไม่ใช่ดวงจันทร์ ทำไมมันขรุขระแบบนี้ แถมฝุ่นยังเต็มไปหมด” หล่อนมองฝุ่นสีแดงที่ลอยกระจัดกระจายท่ามกลางเปลวแดดร้อนแรงตอนเที่ยงวัน ว่าแล้วร่างระหงก็ถูกเหวี่ยงไปติดกับเบาะอีกด้านเมื่อรถตกหลุม “อ๊าย!”
“เกาะเบาะไว้แน่นๆสิคุณ” คนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยหันมาบอกยิ้มๆ
“คุณก็ขับดีๆสิ จะให้ฉันจับเบาะสกปรกน่าขยะแขยงงั้นเหรอ ไม่มีทางจับให้เสียมือหรอกย่ะ” นลินาพยายามประคองตัวไม่ให้กระเด็นออกจากผ้าที่รองนั่ง เกร็งจิกฝ่าเท้ากับพื้นสุดฤทธิ์
“ผมขับดีแล้ว แต่ทางมันเป็นแบบนี้”
“ไม่มีทางที่ดีกว่านี้เหรอ”
“ไม่มีหรอก เอาน่าคุณ อดทนหน่อย ถือเป็นประสบการณ์แล้วกัน ในกรุงเทพฯไม่มีนะแบบนี้” น้ำเสียงของบุลวัชรรื่นรมย์ราวกับว่าทางขรุขระนั่นเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่คู่ควรต่อการได้สัมผัสลิ้มลอง
“เอะอะๆก็เป็นประสบการณ์ ประสบการณ์แย่ๆแบบนี้ฉันไม่ต้องการหรอกนะ นี่ถ้าไม่จำเป็น ฉันคงไม่มาเหยียบที่นี่ด้วยซ้ำ บ้านนอกห่างไกลความเจริญ ไม่มีอะไรน่าดึงดูดให้อยู่เลย ไม่รู้คุณพ่ออยู่ได้ยังไง” นลินาบ่นยกใหญ่
“คนที่ไม่เคยอยู่ที่นี่ ไม่มีวันรู้หรอกว่ามันน่าอยู่ยังไง บางทีถ้าได้อยู่บ้านภูไพรสักระยะ คุณอาจจะเปลี่ยนความคิดก็ได้”
“หยุดเลยนะ ฉันไม่มีทางจะอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตหรอก อ้อ ถึงฉันไม่เคยอยู่ก็รู้ว่าไม่น่าอยู่ ในเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยความสะดวกสบายกับในหมู่บ้านเล็กๆ คนร้อยทั้งร้อยก็ต้องเลือกที่ที่เจริญทั้งนั้นแหละ ชีวิตคุณคงไม่เคยไปไหนนอกจากบ้านภูไพรสินะ ถึงคิดว่าที่นี่ดีนักดีหนา”
“อย่าคิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาลสิ คุณไม่ชอบ ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นไม่ชอบ อีกอย่างผมเกิดและโตที่กรุงเทพฯ และคิดว่าที่นี่กับกรุงเทพฯดีคนละแบบ ถ้าคุณชอบธรรมชาติ ความสงบร่มรื่น กลิ่นอายของวิถีชีวิตชาวบ้านที่เป็นมิตร ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ที่นี่คือคำตอบของคุณ” แววตาของผู้พูดเป็นประกายเต็มไปด้วยความอิ่มเอม
“บังเอิญว่าสิ่งที่คุณพูดมา ฉันไม่ชอบทั้งหมด จบป๊ะ” หญิงสาวเหยียดยิ้ม แล้วก็ต้องร้องวี้ดว้ายขึ้นมาอีกหนเมื่อรถตกหลุมอย่างแรง!
กว่าจะมาถึงสำนักงานพิทักษ์ป่าของบ้านภูไพร ตับ ไต และเครื่องในต่างๆของนลินาก็แทบจะหลุดออกมากองรวมกันอยู่ข้างนอก หญิงสาวก้าวลงจากรถพร้อมกับรองเท้าส้นสูงปรี๊ดสีขาวคู่ใจ แต่ก้าวแรกที่สัมผัสพื้น เจ้าของร่างโปร่งระหงก็พลาดเหยียบหินล้มคะมำทันที ส่งผลให้หัวเข่ากระแทกพื้นจนเป็นแผล
“อ๊าย เลือด เลือดไหล ช่วยด้วย!” นลินาโอดครวญใหญ่ทั้งที่เลือดไหลออกมาซิบๆเท่านั้น
“นี่คู้ณ ร้องยังกับหมูโดนเชือด หนักนะเนี่ย” บุลวัชรเท้าสะเอวมองหล่อนโดยไม่เข้าไปช่วย
“คนบ้า จะเปรียบเทียบอะไรก็ให้ดีกว่านี้ไม่ได้เหรอ นกหงส์หยกโดนเชือดต่างหาก แล้วทำไมไม่เข้ามาช่วยฉันเนี่ย ยืนดูอยู่ได้ น้ำใจมีไหม” หล่อนเอ่ยเสียงสูง
“ไม่ได้ขาหักสักหน่อย ลุกเองสิ!”
“แต่ฉันเจ็บ คุณเห็นเลือดฉันไหลไหมเนี่ย” หญิงสาวยังคงนั่งอยู่กับพื้น ยังไงๆก็ลุกเองไม่ได้
“ไหลที่ไหน แค่ซึม ถ้าไหล ป่านนี้พื้นคงท่วมไปด้วยเลือดคุณแล้ว” เขาส่ายหน้าไปมาพลางถอนหายใจ ลูกสาวผ.อ.มนตรีนี่ทั้งวีนทั้งเหวี่ยงอย่างที่ท่านเคยบอกไว้จริงๆ
“เอ้า มากันแล้วรึ”
เสียงนั้นดังออกมาจากเรือนไม้ชั้นเดียวขนาดกลาง ตกแต่งด้วยไม้ดอกไม้ประดับร่มรื่นเย็นตา ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดที่นลินานั่งจับกบอยู่ ก่อนที่ชายวัยกลางคนร่างท้วมผิวคล้ำแดดซึ่งอยู่ในชุดเครื่องแบบข้าราชการสีกากีจะปรากฏตัว
“คุณพ่อ” นลินาอ้อนทันทีที่เห็นบิดาของตน
“ว่าแล้วว่าต้องเป็นยายน้ำ” มนตรียิ้มกว้าง ใบหน้ากลมของท่านระบายไปด้วยความเอื้ออารี
หญิงสาวประคองตัวลุกขึ้นจากพื้นด้วยความยากลำบาก เดินเข้าไปเกาะแขนบิดาและฟ้อง
“คุณพ่อมาก็ดีแล้วค่ะ คุณพ่อต้องจัดการนายบุลวัชรให้น้ำนะคะ เขาก่อเรื่องกับน้ำไว้เยอะมาก” พูดเสร็จก็หันไปจิกตามองชายหนุ่มที่ยืนทำท่าไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่
“หา นายเบนนี่เหรอก่อเรื่องกับลูก” คนเป็นพ่อทำหน้าไม่อยากเชื่อ
“ใช่ค่ะ” นลินาพยักหน้าหงึกๆ
“จริงเหรอเบน” มนตรีหันไปถามผู้ใต้บังคับบัญชา
“ครับ ผมไปรับคุณน้ำสายสามสิบนาที พอดีมือถือแบตหมดน่ะครับ เลยโทร.หาเธอไม่ได้ เพราะเบอร์บันทึกไว้ในเครื่อง เลยต้องตามหากันอยู่พักใหญ่” บุลวัชรเล่าตามความจริง
“อ้อ แบบนี้นี่เอง ได้ยินแล้วใช่ไหมยายน้ำ นายเบนเขาไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นเรื่องสุดวิสัยจริงๆ” ผ.อ.สำนักงานพิทักษ์ป่าเอ่ยด้วยท่าทีเป็นกลาง
“ทำไมคุณพ่อต้องเข้าข้างเขาด้วยคะ น้ำเป็นลูกสาวคุณพ่อนะ” นลินาทำปากยื่นอย่างน้อยใจ
“พ่อไม่ได้เข้าข้างใคร แค่พูดตามความจริง เรื่องนี้ไม่มีใครถูกใครผิด นายเบนเขาไม่ได้อยากไปรับลูกสายนะ น้ำก็ได้ยินว่าเขามีเหตุผล”
“คุณพ่ออะ แต่น้ำรอนานนะคะ”
“ยายน้ำ เราโตแล้วนะ ต้องหัดฟังเหตุผลของคนอื่นบ้าง เรารอนาน แต่นายเบนเขาก็เหนื่อยขับรถหลายกิโลฯไปรับเราเหมือนกัน” มนตรีเตือนลูกด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความรักและหวังดี
“ขับรถเก่าๆหมดสภาพคันนั้นน่ะเหรอคะ รถดีๆทำไมไม่เอาไปรับน้ำก็ไม่รู้” หญิงสาวบ่นกระปอดกระแปด คุณพ่อนะคุณพ่อ ให้ท้ายนายเบนแบบนี้นี่เอง นายนั่นถึงได้ใจนัก
“แล้วนี่พูดคุยทำความรู้จักกันไปถึงไหนแล้ว” ชายวัยกลางคนตัดบท มองบุลวัชรที มองลูกสาวที ถามไปอย่างนั้นทั้งที่รู้ว่านลินาคงไม่ค่อยลงรอยกับลูกน้องของตนเท่าไหร่
“น้ำไม่อยากรู้จักเขาหรอกค่ะ แค่นั่งรถมาด้วยก็อึดอัดจะตายอยู่แล้ว”
“แต่ก็ไม่เห็นตายเลยนี่นา”
นลินาตวัดสายตาไปมองคนพูด ประโยคสามหาวเช่นนั้น แน่นอนว่ามาจากปากของอีตาเบน
“คุณ!”
“เอาละๆ อย่าทะเลาะกันอีกเลย เพราะทั้งสองคนจะต้องเจอกันไปอีกนาน” มนตรียกมือห้าม
“นานที่ไหนคะคุณพ่อ น้ำอยู่ที่นี่ไม่เกินสามวันหรอกค่ะ” แค่วันเดียว หล่อนก็ว่ามากพอแล้ว แต่นี่สามวัน เฮ้อ ลองดูแล้วกันว่าจะเป็นไง ที่ยอมอยู่นานขนาดนั้นก็เพราะกลัวพ่อจะไม่ส่งเงินให้นั่นละ
“แล้วใครบอกว่าพ่อจะให้เราอยู่แค่สามวัน” ชายร่างท้วมยิ้มอย่างมีเลศนัย
“คุณพ่อหมายความว่ายังไงคะ?” นลินาเริ่มคิดหนัก รอยยิ้มของคุณพ่อไม่น่าไว้ใจเลย แล้วหญิงสาวก็เกือบจะประคองตัวไม่อยู่เมื่อบิดาตอบว่า
“สามเดือน!”
“สามเดือน!?!” ดวงตากลมสีน้ำตาลเบิกกว้าง เสียงสูงด้วยความตกใจ สามเดือนงั้นเหรอ มันคงยาวนานเหมือนสามสิบปีสำหรับหล่อน “ไม่นะคะคุณพ่อ มันนานเกินไป น้ำอยู่ไม่ได้หรอก ดูสิ มองไปทางไหนก็เห็นแต่ป่า ไม่มีห้าง ไม่มีร้านอาหารหรูๆ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเลย ขืนอยู่สามเดือน น้ำต้องปรี๊ดวันละหลายหนจนนับไม่ถ้วนแน่ๆ ถ้าเส้นเลือดในสมองแตก ใครจะรับผิดชอบคะ”
“เว่อร์ได้อีก” บุลวัชรหัวเราะหึๆ
“เว่อร์อะไรยะ คนเครียดๆ เส้นเลือดในสมองแตกจะแปลกอะไร” นลินาหันไปแหวใส่
“งั้นก็กลับไปที่บ้าน แต่พ่อไม่ส่งเงินให้” ชายวัยกลางคนมีสีหน้าเหนื่อยใจ แล้วก็นึกย้อนไปถึงสาเหตุที่ทำให้ลูกสาวกลายเป็นคนวีนเหวี่ยงและเอาแต่ใจเช่นนี้
สมัยที่เขาคบหากับรุ้งระวีผู้เป็นภรรยานั้น แม่ของหญิงสาวไม่ค่อยชอบใจนัก เพราะมนตรีเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ป่าไม้ธรรมดา ฐานะต้อยต่ำกว่าครอบครัวของคนรักซึ่งทำกิจการรับซื้อขายรถมือสองมาก แม่ของรุ้งระวีคิดว่าเขาจะพาลูกสาวท่านไปลำบาก จึงพยายามกีดกันอย่างเต็มที่
ทว่าสุดท้ายงานแต่งงานก็เกิดขึ้นท่ามกลางความไม่ยินดีของท่าน ซึ่งไม่มีทางเลือกเนื่องจากเวลานั้นรุ้งระวีตั้งท้องนลินาได้สองเดือน การท้องก่อนแต่งทำให้แม่ของเธอยิ่งไม่ชอบหน้ามนตรีมากขึ้นไปอีก มีก็แต่พ่อของหญิงสาวที่มองปัญหาอย่างเข้าใจและช่วยให้กำลังใจ
เขาและภรรยาออกมาอยู่ในบ้านเล็กๆด้วยกันหลังแต่งงาน มนตรีตั้งใจทำงานอย่างซื่อสัตย์และขยันขันแข็ง เพื่อจะลบคำปรามาสต่างๆนานาของแม่หญิงสาว ซึ่งช่วงนั้นชีวิตของมนตรีและรุ้งระวีไม่ได้ลำบากขัดสนใดๆเนื่องจากทั้งคู่ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง
แต่แล้วรุ้งระวีก็เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตอนนลินาอายุห้าขวบ จากนั้นมนตรีก็หมดสิทธิ์ในตัวลูกสาวทันทีเมื่อแม่ของภรรยายึดนลินากลับไปเลี้ยงเอง และอนุญาตให้เขาไปเยี่ยมลูกได้เฉพาะวันเสาร์อาทิตย์ ซึ่งถ้ามนตรีไม่ยอมตามเงื่อนไขนั้น ท่านก็จะไม่ให้เขากับลูกเจอกันเลย มนตรีจึงได้แต่ก้มหน้ารับอย่างไม่มีข้อต่อรอง
แม่ของรุ้งระวีเลี้ยงดูนลินาอย่างตามใจเหมือนนางฟ้า เรียกว่าอยากได้อะไรก็ประเคนให้ทุกครั้ง แถมยังไม่เคยว่ากล่าวตักเตือนเพราะกลัวจะเป็นการทำร้ายจิตใจ ปล่อยให้นลินาคิดว่าทุกสิ่งที่ทำถูกต้องตลอดมา
ระหว่างนั้นมนตรีก็มุ่งมั่นทำงานโดยไม่ย่อท้อ ทำให้ได้เลื่อนขั้นขึ้นมาเรื่อยๆ ตอนที่นลินาอายุได้สิบห้าปี เขาก็ถูกย้ายให้มาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพิทักษ์ป่าของบ้านภูไพร ซึ่งแม้จะไม่ได้อยู่กรุงเทพฯ แต่มนตรีก็ยังหาเวลาไปเยี่ยมลูกในวันเสาร์อาทิตย์เสมอ นอกจากนั้นเขายังหาลู่ทางทำธุรกิจส่วนตัวเพื่อหารายได้เพิ่มเติมอย่างการจำหน่ายอุปกรณ์ทางการเกษตร ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือทำงาน ปุ๋ย และเมล็ดพันธุ์พืช ซึ่งทำกำไรงามพอสมควร
หลังจากพ่อของรุ้งระวีเสียชีวิตไปเมื่อห้าปีก่อน เงินทองของครอบครัวภรรยาเขาก็ค่อยๆร่อยหรอลงเนื่องจากแม่ของรุ้งระวีไม่มีความรู้ในการบริหารกิจการซื้อขายรถมือสอง ทำให้กิจการขาดทุนจนสุดท้ายต้องขายเพื่อนำเงินมาหมุนเวียนใช้จ่าย ซึ่งเงินจำนวนนั้นก็หมดไปในเวลาไม่นาน จากนั้นมนตรีก็กลายเป็นฝ่ายส่งเงินให้แม่ของรุ้งระวีแทนมาจนถึงปัจจุบัน แต่ถึงอย่างนั้น ท่านก็ยังไม่ชอบหน้าเขาอยู่ดี
อย่างไรก็ตาม สิ่งเดียวที่เขาจะมีห่วงหากวันหนึ่งหมดลมหายใจก็คงเป็นลูกสาวคนเดียวนี่ละ ถ้านลินายังคงใช้ชีวิตตามใจตัวเองแบบเดิม ต่อไปคงเอาตัวรอดไม่ได้แน่ และเขาก็ไม่อยากคิดว่าชีวิตต่อจากนั้นของยายหนูจะเลวร้ายแค่ไหน
นั่นคือเหตุผลที่เขาต้องบังคับให้ลูกมาที่นี่หลังจากแม่ของภรรยาเสียชีวิตไปเมื่อเดือนก่อน เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนลินาใหม่!
“คุณพ่อ” หญิงสาวตาปรอย
“ว่าไง ตกลงจะอยู่หรือจะกลับ แค่สามเดือนมันไม่ได้นานเลย” มนตรีอยู่ที่นี่มาเกือบสิบปีแล้ว แต่รู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปรวดเร็วราวสายลม
“แล้วคุณพ่อจะให้น้ำทำอะไรคะ ตั้งสามเดือนแน่ะ อยู่ที่นี่ไม่มีอะไรให้ทำเหมือนอยู่กรุงเทพฯหรอก” หญิงสาวทำหน้าเซ็ง
“มีแน่ พ่อจะให้เราช่วยงานนายเบน!”
“ช่วยงานนายเบน!” นลินาวี้ดเสียงสูงราวกับนกหวีด “ไม่มีทางค่ะ น้ำเป็นถึงลูกสาวผู้อำนวยการสำนักงานพิทักษ์ป่า ทำไมต้องไปช่วยคนที่ตำแหน่งต่ำกว่าด้วย” หล่อนมองเขาด้วยหางตา
“แล้วแกคิดว่าพ่อจะให้เงินใช้ฟรีๆรึ แกต้องทำงาน แลกกับเงินเดือน!” มนตรียื่นเงื่อนไข เพราะตอนนี้ลูกสาวเขาอายุยี่สิบสี่แล้ว แต่ยังไม่มีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่ง ถ้าให้ลองทำงาน จะได้รู้ว่าเหน็ดเหนื่อยเพียงใดกว่าจะได้เงินมาแต่ละบาท
“ไม่เอาค่ะ น้ำไม่ยอมทำงานช่วยเขาเด็ดขาด งานของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ต้องเป็นงานที่โลดโผนแน่ๆ” หญิงสาวทำท่าขยาด ถ้าต้องบุกป่าฝ่าดงไปกับบุลวัชรจริง ผิวหล่อนจากที่เนียนนุ่มต้องหยาบกร้านแน่ ไม่เอา ยังไงๆก็ไม่เอา
“พ่อไม่ได้ให้ช่วยทุกงาน ช่วยเฉพาะงานที่เราทำได้” มนตรีพยายามเกลี้ยกล่อม
“น้ำทำไม่ได้ซักอย่างค่ะ” หล่อนปฏิเสธแทบจะทันที
“เคยได้ยินมาจากที่ไหนไม่รู้ว่า คนบางคนเกิดมา ก็เพื่อหายใจทิ้งไปวันๆ ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอกับตัวเอง”
“กรี๊ด-ด-ด นี่คุณว่าฉันเหรอ” นลินาสาวเท้าฉับๆเดินเข้าไปหาเจ้าของร่างใหญ่ วาดมือหมายจะฟาดลงบนต้นแขนของเขา แต่มือหนาก็คว้าแขนกลมกลึงเอาไว้ได้อย่างมั่นคง
“ออกฤทธิ์แบบนี้แสดงว่าหายเจ็บแผลแล้วสิ” เขายิ้มยั่ว ดวงตาพราวระยับ
“ปล่อยฉันนะ ไม่งั้นฉันจะฟ้องคุณพ่อ!” หล่อนหันไปมองบิดาอย่างขอความช่วยเหลือ
“เอาละๆ พ่อว่าไปคุยกันต่อในสำนักงานดีกว่านะ ท่าทางจะยาว” มนตรีเห็นภาพนั้นแล้วก็แอบอมยิ้ม คงมีบุลวัชรนี่ละ ที่สามารถต่อกรกับยายหนูได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ คิดไม่ผิดที่เลือกให้มาช่วยดัดนิสัยลูกสาวของเขา ได้แต่หวังว่าชายหนุ่มจะไม่ถอดใจกับความร้ายกาจของยายหนูเสียก่อน!
บุลินทร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 มิ.ย. 2556, 23:33:09 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ก.ย. 2556, 21:47:49 น.
จำนวนการเข้าชม : 1953
บทที่ 3 + บทที่ 4 >> |
คิมหันตุ์ 18 มิ.ย. 2556, 23:45:17 น.
มารอครั้งละสองตอนจ่ะ....อิอิ
มารอครั้งละสองตอนจ่ะ....อิอิ
Zephyr 19 มิ.ย. 2556, 22:49:16 น.
อ่านกี่ที กี่ที นิสัยยายน้ำเดือดก็เกินบรรยายอ่ะ
อ่านแล้วรมณ์เสีย ฮึ่ยยยย
อ่านกี่ที กี่ที นิสัยยายน้ำเดือดก็เกินบรรยายอ่ะ
อ่านแล้วรมณ์เสีย ฮึ่ยยยย
goldensun 20 มิ.ย. 2556, 22:35:14 น.
มาดูความเวอร์ของน้ำค่ะ
มาดูความเวอร์ของน้ำค่ะ
Amarilys 24 มิ.ย. 2556, 19:37:31 น.
ตามมาอ่านค่ะ ^^
ตามมาอ่านค่ะ ^^
yimyum 10 ก.พ. 2557, 19:14:41 น.
ชอบมากกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!!!?! บุคลิกพระเอกอย่างเนี้ยอ่ะ.........หล่อเกิ๊นนนนน เอาใจไปเลย 555>///<
ชอบมากกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!!!?! บุคลิกพระเอกอย่างเนี้ยอ่ะ.........หล่อเกิ๊นนนนน เอาใจไปเลย 555>///<