Love ranger ปลูกรักใต้เงาใจ (ชุดต้นรักเสน่หา สนพ.อรุณ)
บุลวัชร เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่ามาดขรึม ผู้มีอุดมการณ์มุ่งมั่นในการอนุรักษ์ผืนป่า
นลินา ลูกสาวผู้อำนวยการสำนักงานพิทักษ์ป่าจอมวีน
เมื่อทั้งสองได้มาพบกัน ศึกครั้งใหญ่จึงเกิดขึ้น!
Tags: บุลินทร, ภัสชล, รอยรักลายตะวัน, สูตรรักกามเทพ, ม่านธาราเร้นดาว, ขอจองใจไว้สักครึ่งดวง, เล่ห์อโณทัย, ปลูกรักใต้เงาใจ, บุลวัชร, นลินา,

ตอน: บทที่ 3 + บทที่ 4



ปราบพยศ

นลินาโดนลากเข้ามาในเรือนไม้ชั้นเดียว ซึ่งภายในเป็นห้องโถง บรรยากาศโปร่งสบาย มีโต๊ะทำงานเจ็ดตัวตั้งอยู่คนละมุมโดยไม่มีฉากกั้นเหมือนออฟฟิศของเพื่อนที่หญิงสาวเคยเห็นในกรุงเทพฯ หล่อนคิดว่าในสำนักงานนี้คงมีผู้ชายเป็นส่วนใหญ่ เพราะโต๊ะแต่ละตัวนั้นแสนจะไม่เป็นระเบียบ มีกองเอกสาร สมุดโน้ต แฟ้ม กล่องใส่ของ ดินสอ ปากกา และอื่นๆอีกมากมายวางเต็มไปหมด

บนผนังไม้ตกแต่งด้วยภาพธรรมชาติในกรอบรูปเก่า ส่วนบนเพดานติดพัดลมสองสามตัว ส่ายไปมาพร้อมเสียงอืดๆของใบพัดแสดงให้เห็นว่าผ่านการใช้งานมานานหลายปี

“ร้อนจังเลยค่ะคุณพ่อ ไม่มีแอร์เหรอคะ” นลินายกมือขึ้นมาพัดไวๆ

“ไม่มีหรอก ที่นี่มีแต่ลมธรรมชาติ” มนตรียิ้มละไม “เดี๋ยวอีกหน่อยหนูก็ชิน”

“น้ำไม่ชินแน่ค่ะ คุณพ่อสั่งแอร์มาติดได้ไหมคะ อ้อ ในห้องคุณพ่อต้องมีแอร์แน่ๆ” ดวงตากลมมองไปยังประตูห้องด้านในสุดซึ่งมีป้ายชื่อบิดาติดอยู่

นายมนตรี อิสระมั่นคง

ผู้อำนวยการสำนักงานพิทักษ์ป่าบ้านภูไพร

“ห้องพ่อก็ไม่มีเหมือนกัน” สิ่งที่มนตรีบอกทำให้ผู้เป็นลูกสาวหน้างออย่างผิดหวัง

“อะไรๆก็ไม่มี น้ำอยู่ไม่ได้แน่”

“น่า ลองดู ไม่ลองไม่รู้ เผลอๆน้ำอาจจะชอบที่นี่มากกว่ากรุงเทพฯก็ได้” ชายวัยกลางคนปลอบ ก่อนหันไปหาบุลวัชร “เบนเอ๊ย เดี๋ยวทำแผลให้ยายน้ำด้วยนะ ฉันขอไปดูเอกสารในห้องแป๊บนึง เสร็จแล้วมากินข้าวเที่ยงกันพอดี”

“ได้ครับ ผ.อ.” เจ้าหน้าที่ป่าไม้หนุ่มค้อมศีรษะรับคำ

เมื่อบิดาเดินออกไปแล้ว นลินาจึงเอ่ยขึ้น “ไม่ต้องก็ได้นะ ฉันรู้ว่านาย เอ๊ย คุณไม่เต็มใจ”

“รู้ได้ไงว่าผมไม่เต็มใจ”

“ก็คุณชอบค่อนแคะจิกกัดฉันอยู่บ่อยๆนี่”

“บ่อยที่ไหน วันนี้ยังไม่ถึงสิบรอบ”

“เกินแล้วย่ะ”

“เอาเถอะ ไปนั่งที่โซฟาก่อน เดี๋ยวผมไปเอากล่องยามาทำแผลให้ ป่านนี้ไม่รู้เชื้อโรควิ่งเข้าไปในตัวคุณกี่ล้านตัวแล้ว ปล่อยทิ้งไว้ตั้งนาน” บลุวัชรยิ้มมุมปากพลางหัวเราะหึๆในลำคอ ก่อนที่ร่างสูงของชายหนุ่มจะเดินหายไปด้านหลังของสำนักงาน

นลินามองแผ่นหลังหนาของคนชอบยั่วโมโหแล้วก็แอบแยกเขี้ยวใส่ อยากทำดีเอาหน้ากับคุณพ่อของหล่อนน่ะซี้ ถึงได้กระตือรือร้นอยากทำแผลให้ ถ้าไม่มีคุณพ่อ นายเบนคงปฏิเสธเหมือนตอนที่หล่อนใช้ให้ลากกระเป๋าไปขึ้นรถที่สนามบินนั่นแหละ คนปากเสียจอมสร้างภาพ ชิ!

ระหว่างนั้นนลินาถือวิสาสะเดินสำรวจพื้นที่ในสำนักงาน บนโต๊ะแต่ละตัวมีป้ายชื่อวางอยู่บ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าของโต๊ะอยู่ในแผนกอะไร จนมาถึงชื่อบุลวัชรที่ระบุว่าเขาเป็น…หัวหน้าหน่วยส่งเสริมการปลูกป่า

“เฮอะ ที่แท้ก็ระดับหัวหน้านี่เอง มิน่าล่ะ ถึงไม่อยากโดนข่ม” หญิงสาวพูดไปเบ้ปากไป ขณะนั้นดวงตากลมโตสดใสภายใต้แพขนตางอนหนาก็เหลือบไปเห็นกรอบรูปบนโต๊ะทำงานของชายหนุ่ม

ขาเรียวยาวก้าวเข้าไปดูก็เห็นรูปถ่ายของบุลวัชรกับเด็กหนุ่มอีกสองคนในชุดนักเรียน ยืนกอดคอกันด้วยใบหน้าปีติ ด้านขวาของเด็กหนุ่มทั้งสามคือชายวัยประมาณสามสิบกว่าปี ท่าทางใจดี ยืนยิ้มและชูนิ้วโป้งชื่นชมสามคนนั้น ฉากหลังคืออาคารเรียนไม้สองชั้นและต้นหูกวางที่ปลูกเรียงรายด้านหน้าแลดูร่มรื่น

คงเป็นภาพของเขาสมัยเรียนมัธยมที่ถ่ายกับเพื่อนและคุณครูสินะ

“ทำอะไรน่ะคุณ” เสียงห้าวดังขึ้นทำให้หญิงสาวซึ่งกำลังจดจ่ออยู่กับภาพสะดุ้งเล็กน้อย

“ดูรูป”

“รูปอะไร” บุลวัชรขมวดคิ้วหนาเข้าหากัน ก่อนจะถึงบางอ้อเมื่อหล่อนพยักพเยิดไปยังกรอบรูปเก่าๆบนโต๊ะทำงานของเขา

“รูปคุณกับเพื่อนและคุณครู น่าจะเป็นสมัยมัธยมมั้ง”

“ใช่ ม.ต้น ตอนนั้นยังอยู่กรุงเทพฯ” บุลวัชรยิ้มด้วยความอิ่มเอมเมื่อนึกถึงเรื่องราวสมัยเรียนกับเพื่อนอีกสองคนและคุณครูผู้ปลูกฝังความคิดดีๆไม่ให้เขาเดินออกนอกลู่นอกทาง ไม่เช่นนั้นเขาอาจไม่ได้มายืนอยู่ตรงจุดนี้ก็ได้

สมัยเรียนมัธยมต้น ในกลุ่มของบุลวัชรมีด้วยกันสามคนคือ เขา กวินทร์ และทีปกร ซึ่งครูต่างรู้ดีว่าเขาและเพื่อนๆเป็นกลุ่มเด็กแสบประจำโรงเรียนที่ชอบก่อเรื่องตลอด ไม่ว่าจะเป็นมาสาย โดดเรียน แกล้งเพื่อน หรือแม้กระทั่งแซวอาจารย์ผู้สอนจนท่านร้องไห้ออกไปกลางคาบเรียน

จริงๆถ้าให้เรียงลำดับความเกเร ทีปกรคงมาเป็นที่หนึ่ง เพราะเจ้าตัวเป็นคนทะลึ่งทะเล้น และมีความคิดพิเรนทร์อยู่เสมอ รองลงมาเป็นบุลวัชร ซึ่งแม้ภายนอกดูเงียบๆ แต่ที่จริงก็ช่วยวางแผนและต่อยอดความคิดแผลงๆของทีปกรทุกครั้ง ส่วนคนที่ซนน้อยสุดคือกวินทร์ ซึ่งมักจะเป็นคนทำให้เพื่อนๆฉุกคิดว่าสิ่งที่ทำถูกหรือเปล่า แต่สุดท้ายสองเสียงก็มากกว่าเสียงเดียว กวินทร์ต้องตามน้ำกับแผนของบุลวัชรและทีปกรทุกครั้งไป

ในเวลานั้น ครูหลายคนเริ่มเอือมระอากับพฤติกรรมเกเรของพวกเขาจนต้องเรียกผู้ปกครองมาพบ ซึ่งเพราะความคึกคะนองของวัยรุ่นทำให้ทั้งสามคนไม่ได้สำนึกผิด กลับคิดก่อเรื่องมากกว่าเดิม จนวันหนึ่งบุลวัชร กวินทร์ และทีปกรได้มีโอกาสเรียนวิชาเกษตรกับครูเกื้อ กลุ่มเด็กไม่เอาถ่านก็ค่อยๆเปลี่ยนไป ซึ่งต้องขอบคุณครูเกื้อที่อดทนกับพวกเขาแม้ว่าสามหนุ่มจะแสบเพียงใดก็ตาม

ครูเกื้อเป็นครูใจดี แต่เมื่อพวกเขาทำผิด ท่านก็ดุตรงๆแรงๆเช่นกัน ทว่าทั้งสามก็สัมผัสได้ว่าทุกคำพูดล้วนแฝงไปด้วยความหวังดีจริงใจ ท่านสั่งสอนพวกเขาให้รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูกผ่านการยกตัวอย่างหลากหลายที่ทำให้ต้องคิดตาม

ตอนแรกบุลวัชร กวินทร์ และทีปกรไม่ค่อยใส่ใจกับคำพูดของครูเกื้อนัก แค่ฟังผ่านๆไปวันๆ แต่นานเข้าก็ซึมซับสิ่งดีๆเหล่านั้นมาโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความพอเพียง การกตัญญูต่อบุพการีและครูอาจารย์ ความรักหวงแหนแผ่นดิน รวมทั้งเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติและผืนป่า

ครูเกื้อเคยพูดประโยคหนึ่ง ตอนที่เขาถามว่า ทำไมครูถึงรักต้นไม้และปลูกมันโดยไม่เบื่อ ไม่เหน็ดเหนื่อย ท่านบอกเหตุผลให้ฟังมากมาย แต่ประโยคหนึ่งที่บุลวัชรยังจำได้ดีคือ

‘ป่า… สร้างความสงบให้หัวใจที่ร้อนรุ่ม สร้างความแช่มชื่นให้หัวใจที่เหี่ยวเฉา และสร้างความรักให้เติบโตได้อย่างสวยงาม’

และประโยคนี้เองเป็นแรงบันดาลใจทำให้เขาอยากเป็นผู้พิทักษ์ป่าไม้

นอกจากเรียนวิชาเกษตรแล้ว บุลวัชร กวินทร์ และทีปกรยังมีโอกาสได้ไปช่วยงานสวนของครูเกื้อที่บ้านในเวลาว่าง ทำให้ทั้งสามสนิทกับชายวัยกลางคนมากขึ้นเรื่อยๆ นับได้ว่าคำสั่งสอนต่างๆของท่านทำให้เด็กที่กำลังจะหลงทางอย่างพวกเขากลับมาเดินในเส้นทางที่ถูกต้องได้อีกครั้งและจบมัธยมต้นมาได้ในที่สุดแม้เกรดจะไม่สวยงามนัก ซึ่งภาพที่สามหนุ่มกอดคอกันหน้าอาคารเรียน มีครูเกื้อยืนยกนิ้วให้ ก็คือวันที่เรียนจบม.๓ นั่นละ

ตอนมัธยมปลายบุลวัชรและเพื่อนตั้งใจเรียนมากขึ้นเพื่อเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัย และแม้ว่าจะไม่ได้เรียนเกษตรกับครูเกื้อแล้ว แต่พวกเขายังพูดคุยกับท่านอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นตอนเจอกันในโรงเรียนหรือไปหาชายวัยกลางคนที่บ้านในวันหยุด

ตอนนี้เพื่อนทั้งสองของบุลวัชรต่างเดินทางตามความฝันของตัวเอง แต่ก็ยังติดต่อกันไม่ขาด

กวินทร์…ไปเป็นหมออยู่บนดอย เพราะต้องการหนีจากปัญหาส่วนตัวที่บ้าน ส่วนทีปกรกลายเป็นนักโฆษณาไปเสียแล้ว แต่ล่าสุดเจ้าตัวส่งข่าวมาว่ากำลังทำภารกิจลับที่ไร่แห่งหนึ่งในภาคอีสานอยู่ ท่าทางคงสนุกสนานกับงานนั้นน่าดู

ส่วนครูเกื้อ คุณครูที่เคารพรักของพวกเขายังใช้ชีวิตสงบเรียบง่ายกับธรรมชาติที่บ้านพักของท่านเช่นเดิม

“นี่ คุณ ไหนว่าจะทำแผลให้ฉัน ยืนใจลอยอยู่ได้” เสียงของนลินาทำให้ชายหนุ่มหลุดจากห้วงความคิด

เขาเงยหน้ามองเจ้าของใบหน้าหวานที่ยืนเท้าสะเอวอยู่ “โทษทีครับ”

“ย่ะ” หญิงสาวสะบัดหน้า เดินไปนั่งลงบนโซฟาบุนวมซึ่งค่อนข้างดูดีกว่าเบาะรถกระบะที่นั่งมา แต่ก็แค่นิดหน่อยน่ะนะ เพราะโซฟาที่บ้านหล่อนนุ่มกว่านี้เยอะ

บุลวัชรเดินตามไปและคุกเข่าลงบนพื้นด้านหน้าหญิงสาว วางกล่องปฐมพยาบาลและอ่างน้ำเล็กๆลงข้างกาย ก่อนจะใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำและบิดหมาดๆ เช็ดเศษดินออกจากบริเวณแผลที่หัวเข่าของหล่อน จากนั้นจึงเปิดกล่องพลาสติก ใช้สำลีชุบแอลกอฮอลล์เตรียมจะเช็ดแผลให้ แต่นลินายกมือห้ามเสียก่อน

“หยุด แผลของฉัน ฉันทำเองดีกว่า” หล่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงหยิ่งทะนง

“เมื่อกี้ยังให้ผมเช็ดแผลให้อยู่เลย ทำไมจู่ๆอยากจะทำเองล่ะ”

“เดี๋ยวคุณจะหาเรื่องจิกกัดฉันเหมือนตอนฉันให้ยกกระเป๋าสี่สนามบินอีก”

“ตามใจ” เขายื่นสำลีให้ แต่ยังนั่งอยู่ที่เดิม มองแผลของหล่อนที่ตอนนี้เลือดหยุดไหลแล้วอย่างพิจารณา แผลแค่นี้ ไม่ถึงวันก็หายแล้ว

มือบางรับไป แล้วก็เงอะๆงะๆ ไม่กล้าใช้สำลีเช็ดแผล พอเอาเข้าใกล้จนเกือบจะสัมผัสผิวหนังก็ดึงมือออกครั้งแล้วครั้งเล่า

“เอ้า เดี๋ยวแอลกอฮอลล์ก็ได้แห้งก่อนพอดี” บุลวัชรส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ นึกแล้วว่าถ้าให้ล้างเองต้องเป็นแบบนี้

“ก็ฉันกลัวแสบนี่” นลินาทำปากยื่น

“กลัวยังกับเด็กๆ”

“แล้วมีกฏว่าผู้ใหญ่ห้ามกลัวหรือไง”

“ไม่มี แต่เป็นผู้ใหญ่ ก็ควรจะมีความอดทนมากกว่าเด็ก” อีกฝ่ายตวัดสายตามองไปอีกทาง ริมฝีปากอิ่มบิดโค้งแสดงท่าทีไม่รับฟัง “ผมทำให้ดีกว่า” พูดจบก็ทำท่าจะแย่งสำลีมาจากมือนุ่ม

“ไม่เป็นไร ทำเอง” นลินาชักมือหลบ

“ทำเองก็ไม่กล้าเช็ดสักที ถ้ากลัวแม้กระทั่งเรื่องทำแผล แล้วชีวิตนี้จะไปทำไรได้” เสียงห้าวมีแววเยาะ จากนั้นก็ไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยอะไรต่อ รวบมือของหล่อนไว้มั่นและแย่งสำลีมาเช็ดแผลที่หัวเข่าให้ทันที

“โอ๊ย! แสบนะ เบาๆสิ” หญิงสาวร้องลั่นสำนักงาน

มือที่กำลังเช็ดแผลของบุลวัชรชะงักค้างด้วยความตกใจ เงยหน้าขึ้นบอก “นี่ คุณ จะตะโกนทำไม พูดธรรมดาก็ได้ยิน นี่ผมเบามือสุดๆแล้ว”

“เบากว่านั้นอีก เบาของคุณกับของฉันมันไม่เหมือนกัน แล้วก็ปล่อยมือฉันด้วย ใครอนุญาตให้คุณแตะต้องตัวฉันไม่ทราบ!” นลินาเอ่ยเสียงแจ้วๆ

“ขืนปล่อย ผมก็เป็นอันตรายสิ ไม่รู้ว่ามือคุณจะเหวี่ยงมาโดนหน้าเมื่อไหร่” เขาเอ่ยอย่างรอบคอบ

“ฉันไม่ทำร้ายใครโดยไม่จำเป็น”

“จะไปรู้เรอะ ความคิดของคุณเดายากจะตาย อย่างทำแผลเนี่ย ถ้าเป็นคนอื่นคงนั่งให้ผมทำนิ่งๆ ไม่โวยวายวี้ดว้ายแบบนี้ แต่คุณสิ…” ชายหนุ่มยักไหล่ ปล่อยให้หล่อนคิดเอาเอง

“เอ๊ะ บอกให้ปล่อยไงละ” อีกฝ่ายเริ่มใช้เสียงเข้ม

“สัญญาก่อนสิว่าจะไม่ทำร้ายร่างกายผม” บุลวัชรยังเป็นห่วงสวัสดิภาพของตัวเอง

“คุณก็ต้องสัญญาด้วยว่าจะเบามือ” เมื่อเขามีเงื่อนไข หล่อนก็มีเช่นกัน

“โอเคๆ” ชายหนุ่มคร้านที่จะต่อล้อต่อเถียงต่อ จึงปล่อยมือนุ่มนิ่มให้เป็นอิสระ ก่อนจะเช็ดแผลให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ยายคุณหนูนกหวีดก็ยังมิวายโอดครวญ กว่าจะทำแผลเสร็จก็ทรมานหูไม่น้อย และระหว่างที่บุลวัชรกำลังจะเอาอุปกรณ์ปฐมพยาบาลไปเก็บนั้นเอง หญิงสาวก็เอ่ยขึ้นเสียงสูง

“อ้อ”

“ผมเบนครับ ไม่ใช่อ้อ” เขายิ้มเย้า

นลินาจิกตาใส่ด้วยความหมั่นไส้ ก่อนที่ริมฝีปากอิ่มเต็มจะขยับบอก “ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ ฉันไม่อนุญาตให้คุณบันทึกเบอร์ฉันไว้ในโทรศัพท์ กรุณาลบออกเดี๋ยวนี้!” หล่อนสั่งเสียงเข้ม

บุลวัชรยักไหล่ “ผมก็ไม่ได้อยากเก็บไว้นี่” ว่าแล้วเขาก็เดินไปหยิบเครื่องมือสื่อสารที่ชาร์ทแบตอยู่บนโต๊ะทำงานของตน ก่อนจะกดลบให้ตามที่อีกฝ่ายต้องการ

“ดีมาก” หล่อนยิ้มพรายด้วยความพอใจ



หลังจากส่งต่อลูกสาวให้ลูกน้องแล้ว มนตรีก็มานั่งอมยิ้มด้วยความปีติอยู่ในห้องทำงานส่วนตัว พลางนึกถึงวันที่ขอร้องให้ชายหนุ่มดูแลนลินา

‘ฉันจะยกลูกสาวให้แก’ เขาบอกบุลวัชรขณะนั่งคุยกันที่สำนักงานตอนเลิกงาน

‘อะไรนะครับ’ ชายหนุ่มเลิกคิ้วหนาขึ้น ใบหน้าตกใจ

‘พูดยังไม่จบ ยกให้ช่วยดัดนิสัย’ มนตรียิ้ม ดวงตาเป็นประกายพราวอย่างมีแผนการ

‘ผมนี่นะครับ!’ บุลวัชรชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง

‘เออสิวะ ฉันเชื่อว่าแกทำได้ ในฐานะที่แกเป็นหัวหน้าหน่วยส่งเสริมการปลูกป่าที่มีวินัยในการทำงาน และมีประสบการณ์เรื่องการจัดการกับคนหมู่มากมาเยอะ ทั้งลูกน้องในหน่วย ทั้งชาวบ้านที่ต้องออกไปอบรมให้ความรู้ เจอคนมาหลายประเภทแล้วนี่ แค่ลูกสาวฉันคนเดียว แกคงรับมือไหว เอาน่า ฉันไม่เคยขอร้องอะไรแกเลยนะเบน ถือว่าช่วยพ่อคนนึงที่อยากเห็นลูกสาวเป็นผู้เป็นคนหน่อยแล้วกัน’

‘แล้วถ้า…’ บุลวัชรยังมีท่าทีลังเล

มนตรียกมือขึ้นห้าม ‘ไม่ต้องสมมติอะไรทั้งนั้น ฉันมั่นใจว่าแกทำได้ ไม่งั้นคงไม่ขอร้อง ถือว่าช่วยคนแก่เอาบุญนะ ฉันมองไม่เห็นใครที่จะช่วยได้นอกจากแก แกอาจจะแอบสงสัยว่าทำไมฉันถึงไม่อบรมลูกสาวเอง’

‘เปล่านะครับ’ ชายหนุ่มโบกมือปฏิเสธ

‘เออน่า แกไม่อยากรู้ แต่ฉันอยากเล่า ที่ฉันไม่ดัดนิสัยยายน้ำเอง ก็เพราะกลัวจะใจอ่อนเวลาเขาอ้อนนั่นละ แกเข้าใจใช่ไหม เวลาลูกทำตาละห้อย พ่อแม่ที่ไหนก็ทำใจแข็งยาก

ตอนแรกบุลวัชรทำท่าอึกอัก แต่เกลี้ยกล่อมมากเข้า สุดท้ายชายหนุ่มจึงตอบตกลง และมนตรีก็พอใจเป็นอย่างมากที่เห็นภาพการต่อล้อต่อเถียงของบุลวัชรกับลูกสาววันนี้ เพราะปกติไม่มีใครกล้าปะทะฝีปากกับยายหนูหรอก แถมบุลวัชรยังทำให้ลูกของเขาอึ้งกับคำพูดไปหลายครั้ง

“ฝากด้วยนะไอ้เบน!” มนตรีหัวเราะหึๆในลำคอพลางยิ้มหมายมาด









ผู้ช่วยคนใหม่

บนโต๊ะอาหารเที่ยงภายในศาลาไม้ประดู่ข้างสำนักงานพิทักษ์ป่าเต็มไปด้วยกับข้าววางเรียงราย กลิ่นหอมฉุยและควันร้อนๆลอยกรุ่นนั้นเรียกน้ำย่อยได้เป็นอย่างดี นอกจากมนตรี บุลวัชร และนลินาแล้ว ยังมีผู้มาใหม่อีกสองคนร่วมโต๊ะด้วย

“นี่ศฤงคารกับพิชิต เป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยส่งเสริมการปลูกป่า” ผู้เป็นพ่อแนะนำให้ลูกสาวรู้จักกับชายหนุ่มสองคนซึ่งอยู่ในชุดลายพรางสีเขียว

คนแรกเป็นชายร่างป้อม ส่วนอีกคนตัวใหญ่บึกบึน สีผิวของทั้งคู่ค่อนข้างคล้ำแดด บ่งบอกว่าทำงานกลางแจ้งมามาก

“สวัสดีครับคุณน้ำ เรียกผมว่าฤทธิ์ก็ได้นะครับ ยินดีต้อนรับสู่บ้านภูไพรครับ” ศฤงคารกล่าวด้วยไมตรีจิต

ขณะนั้นป้ายุ้ย แม่บ้านร่างเตี้ยประจำสำนักงานก็ตักข้าวจากโถใส่จานให้ทุกคน

“ถ้ามีอะไรให้พวกผมช่วย บอกได้เลยนะครับ” พิชิตเอ่ยอย่างมีอัธยาศัยเช่นกัน ก่อนบอกกลั้วยิ้ม “ยังไงขอโทษด้วยนะครับที่ผมสองคนเหงื่อซกไปหน่อย พอดีเพิ่งกลับจากลาดตระเวนน่ะครับ”

นลินาหัวเราะแห้งๆ แค่มื้อแรกที่บ้านภูไพร หล่อนก็ต้องกินข้าวเคล้ากลิ่นเหงื่อแล้วเหรอนี่ โอ๊ย อยากจะเป็นลม

“เอาละ ทุกคนรู้จักกันไว้นะ เพราะเดี๋ยวต้องทำงานร่วมกันแล้ว” มนตรียิ้มกว้างจนตายิบหยี

“คุณพ่อจะให้น้ำทำงานจริงเหรอคะ” นลินาถามขึ้นอย่างมีความหวังเล็กๆว่าบิดาจะล้อเล่น แต่แล้วแววตาของหล่อนก็หม่นวูบลงเมื่อท่านตอบเสียงหนักแน่น

“เอ้า ก็จริงสิ นี่พ่อกำลังจะให้ทุกคนคุยรายละเอียดงานคร่าวๆกันพอดี เบน เดี๋ยวช่วยแจกแจงหน่อยว่าปกติหน่วยของแกทำอะไรบ้าง” บอกลูกน้องเสร็จ เขาก็หันกลับมาหาหญิงสาว “ยายน้ำตั้งใจฟังนะลูก”

“แต่ว่า” นลินาตั้งท่าจะแย้ง

“ไม่มีแต่ ถ้าเราไม่ทำงาน พ่อก็ไม่ให้เงินใช้ พ่อไม่ได้ล้อเล่นนะ” มนตรีบอกด้วยท่าทีจริงจัง

เห็นดังนั้นผู้เป็นลูกสาวจึงได้แต่ทำหน้ายู่ด้วยความขัดใจ นั่งกอดอกรับชะตากรรมโดยไม่มีทางเลือก

บุลวัชรเอ่ยขึ้นเมื่อหัวหน้าของเขาหันมาพยักพเยิดให้สัญญาณ

“หน้าที่ของหน่วยผม หลักๆเลยก็คือสนับสนุนการปลูกป่าทุกรูปแบบครับ ทั้งในที่ดินของรัฐและเอกชน หน้าที่อื่นมีตั้งแต่การศึกษา วางแผน กำหนดนโยบายอนุรักษ์พัฒนาป่า ไปจนถึงเพาะชำขยายพันธุ์กล้าไม้ อ้อ เรามีโครงการออกไปให้ความรู้เกี่ยวกับป่าไม้ รวมทั้งกระตุ้นจิตสำนึกรักป่ากับชาวบ้านและนักเรียนบ่อยๆด้วยครับ นอกจากนั้นก็ทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่นๆตามแต่โอกาส” เขาเล่าโดยไม่รู้เลยว่าคนฟังกำลังตั้งใจฟังหรือคิดไปเรื่องอื่นกันแน่ “ผมขอเล่าแค่คร่าวๆก่อนแล้วกัน รายละเอียดเราคงได้ศึกษาอีกทีตอนปฏิบัติงานจริง”

“เวลาออกไปพบชาวบ้านกับนักเรียน พวกเขาต้องสนใจมากขึ้นแน่เลยครับ เพราะมีคนสวยๆแบบคุณน้ำไปด้วย” ศฤงคารมองลูกสาวเจ้านายด้วยความชื่นชมมากกว่าคิดอื่นใด แต่ก็มิวายโดนสายตาคาดโทษจากผ.อ.สำนักงานพิทักษ์ป่าจนได้

“น้อยๆหน่อยไอ้ฤทธิ์” มนตรีกระแอมกระไอเสียงเหี้ยม

“แหม ผมไม่ได้คิดเกินเลยกับคุณน้ำหรอกครับ ผ.อ.ไม่ต้องห่วง” ชายร่างป้อมบอกอย่างเอาหัวเป็นประกัน

“ไม่ได้คิดอะไรก็ดี” ชายวัยกลางคนว่าก่อนหันกลับมาหาลูกสาว “เราต้องตั้งใจเรียนรู้งานจากนายเบนนะยายน้ำ ตอนที่พ่อกลับมา หวังว่าจะเห็นภาพเราทำงานอย่างคล่องแคล่ว”

ได้ยินดังนั้น นลินาก็ตาโต ถามเสียงสูง “กลับมา? คุณพ่อจะไปไหนคะ”

“วันนี้ตอนเย็น พ่อจะลงไปกรุงเทพฯ พอดีวันมะรืนจะมีประชุมวิชาการป่าไม้น่ะ แล้วพ่อก็จะถือโอกาสลาพักร้อนต่อซะเลย รวมๆแล้วน่าจะอยู่ที่นั่นประมาณสามอาทิตย์ถึงจะกลับ”

“สามอาทิตย์! อะไรกันคะคุณพ่อ น้ำไม่ยอมหรอกนะ คุณพ่อให้น้ำมาหาที่บ้านภูไพร แล้วตัวเองจะหนีไปได้ไงคะ น้ำไม่ยอม ไม่ยอมๆๆ” หญิงสาวโวยวายใหญ่

ศฤงคารและพิชิตทำหน้าหวาดหวั่นแทนผ.อ.เมื่อเห็นฤทธิ์วีนเหวี่ยงของผู้เป็นลูกสาว ขณะที่บุลวัชรส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ผู้หญิงอะไร เอาแต่ใจตัวเองที่สุด

“พ่อจำเป็นต้องไปจริงๆ มันเป็นธุระสำคัญ แต่สามอาทิตย์เองลูก ไม่นานก็กลับ ระหว่างนี้ลูกก็ศึกษางานกับนายเบนไปเรื่อยๆ อยู่ที่บ้านภูไพรไม่ต้องกลัว นายเบนจะดูแลลูกเอง” มนตรีเอ่ยอย่างใจเย็นราวกับน้ำใสในลำธารที่ไหลไปอย่างเรียบเรื่อย

นลินาปรายตาจิกมองบุลวัชร “อย่างเขาน่ะเหรอคะ จะดูแลน้ำ พอคุณพ่อไปก็คงปล่อยให้น้ำอยู่ตามยถากรรมมากกว่า”

“ไม่หรอกน่า พ่อกำชับนายเบนแล้ว ว่าให้ดูแลหนูให้ดี นายเบนก็รับปากพ่อแล้วด้วย ปกติถ้าเขารับปากอะไร ไม่เคยผิดสัญญาสักครั้ง”

“คุณพ่อแน่ใจเหรอคะว่าน้ำจะปลอดภัยถ้าอยู่กับเขา” หญิงสาวยังไม่อยากไว้ใจคนที่เพิ่งเจอกันไม่ถึงวัน

มนตรีหัวเราะเสียงรื่นรมย์ “แน่ใจสิ พ่อทำงานกับเจ้าเบนมาสองปี เจ้านี่มันเป็นคนดีจริงๆ ซื่อสัตย์ อดทน ขยันขันแข็ง เป็นคนที่ไว้ใจได้”

“เชอะ น้ำไม่เห็นว่าเขาจะน่าไว้ใจตรงไหนเลยค่ะ ปากก็ไม่ดี” นลินาบอกด้วยความหมั่นไส้ ตั้งแต่เจอกันครั้งแรก เขาก็ไล่ให้หล่อนยกกระเป๋าเอง แถมยังยียวนกวนประสาทอีกหลายครั้ง แบบนี้เหรอ คนที่คุณพ่อบอกว่าไว้ใจได้

“เอาน่า ถ้าลูกรู้จักนายเบนมากกว่านี้ อาจจะเปลี่ยนความคิดก็ได้ จริงไหม ฤทธิ์ พิชิต”

“จริงครับ พวกผมยืนยันได้” ชายร่างใหญ่ว่าพลางยกนิ้วโป้งประกอบคำพูด

“ยังไงช่วยดูแลลูกสาวฉันด้วยนะเบน ถ้ายายน้ำขัดคำสั่งหรือว่างอแงไม่ยอมทำงาน แกมาบอกฉันได้ทันที” มนตรีฝากฝังกับบุลวัชรอีกครั้ง ก่อนย้ำกับลูกสาวตัวเอง “เราด้วยยายน้ำ ถ้าไม่ทำงานตามที่นายเบนมอบหมาย พ่อจะตัดเงินเดือน”

“คุณพ่อ…” นลินาทำปากยื่น เสียงละห้อย

“ไม่มีข้อแม้ใดๆทั้งนั้น เราถูกตามใจมานานแล้ว ถึงเวลาที่ต้องโตเป็นผู้ใหญ่สักที” ผ.อ.สำนักงานพิทักษ์ป่าเอ่ยเสียงหนักแน่น

“ยินดีต้อนรับผู้ช่วยคนใหม่อย่างเป็นทางการครับ” บุลวัชรยิ้มละไม ทว่าดวงตาคมสีเข้มเป็นประกายแวววาวอย่างยั่วเย้า

ส่วนคนที่โดนยั่วก็ส่งค้อนกลับไปให้หลายวง ท่ามกลางสายตาเอ็นดูของผู้เป็นบิดาซึ่งหมายมั่นบางอย่างอยู่ในใจ



หลังจากทานอาหารเที่ยงเสร็จ นลินายังคงเตร็ดเตร่อยู่ในบริเวณสำนักงานพิทักษ์ป่าด้วยอาการเอื่อยเฉื่อย เพราะไม่เห็นว่าจะมีอะไรสนุกให้ทำเลยสักอย่าง

ดูเถอะ ขนาดมาวันแรก หล่อนยังเบื่อแล้ว ไม่อยากนึกว่าถ้าอยู่ครบสามเดือนจริง ตอนนั้นจิตใจของหล่อนจะเป็นยังไง อาจจะด้านชาไร้ความรู้สึกไปเลยก็ได้ เพราะรอบกายมีแต่ป่า ป่า แล้วก็ป่า

“คุณน้ำ พิมพ์งานเป็นไหม” บุลวัชรซึ่งออกมาตามหาหล่อนที่หน้าเรือนไม้ชั้นเดียวเอ่ยขึ้น

คนที่กำลังหน้างอหันกลับไปมองและตอบเสียงห้วน “ไม่เป็น จะให้ฉันพิมพ์อะไรล่ะ”

“ไม่เป็น แต่ถามว่าให้พิมพ์อะไร แสดงว่ายังอยากช่วยอยู่” ชายหนุ่มพูดเองเออเองด้วยใบหน้าระรื่น ก่อนบอก “งั้นเดี๋ยวผมสอนให้ จะให้พิมพ์หนังสือราชการน่ะ แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะยาก เพราะแค่พิมพ์ตามที่ผมเขียนไว้ในกระดาษเท่านั้น”

“ไม่!” หญิงสาวสะบัดหน้าหนีอย่างต่อต้านสุดฤทธิ์

“แค่งานแรกก็เกเรแล้วรึ”

“ฉันบอกแล้วไงว่าไม่อยากทำงาน”

“โอเค ไม่เป็นไร งั้นหน้าที่ของผมก็แค่ไปรายงานผ.อ. ว่าลูกสาวท่านไม่ยอมทำงาน จะได้ไม่ต้องให้เงินเดือน” พูดจบเจ้าของร่างสูงใหญ่ก็หันหลังจะเดินกลับเข้าไปด้านใน

นลินารีบวิ่งปรู๊ดไปขวางทางไว้ “หยุดนะ!”

“กลัวด้วยเหรอ” คิ้วหนาเลิกขึ้น ดวงตาสีนิลเป็นประกายระยิบระยับราวกับกำลังขบขัน

นลินายอมรับว่ากลัวจริง เพราะรู้ดีว่าบิดาเป็นคนเด็ดขาด พูดคำไหนคำนั้น ดังนั้นถ้าหล่อนไม่ยอมทำงาน แน่นอนว่าท่านคงไม่ให้เงินใช้แน่

แม้อายุจะย่างเข้ายี่สิบสี่ปีเต็ม แต่หญิงสาวก็ยังมีความเป็นเด็กที่งอแงและเอาแต่ใจตัวเองอยู่มาก อันเป็นผลมาจากการเลี้ยงดูของยาย ท่านเปรียบเสมือนรากแก้วที่คอยประคับประคองให้ต้นไม้อย่างหล่อนยืนอยู่ได้ แต่เมื่อรากแก้วนั้นหายไป ต้นไม้ก็อ่อนแอลงทันที

หากเป็นเมื่อก่อน นลินาคงวีนเหวี่ยงอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน แต่ตอนนี้หล่อนอยู่อย่างโดดเดี่ยว แม้แต่บิดาก็ไม่เข้าข้าง ทำให้ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้อีกแล้ว

“ไม่ได้กลัว” หล่อนเชิดหน้าทะนงตน

บุลวัชรยิ้มอย่างรู้ทัน ยายคุณหนูน้ำนี่หยิ่งในศักดิ์ศรีชะมัด “งั้นก็แปลว่าจะยอมพิมพ์เอกสารให้ผม”

“อื้ม” นลินาพยักหน้าส่งๆ ทว่ายิ้มกรุ้มกริ่มอย่างวางแผน อยากให้ช่วยนักใช่ไหม ได้เลย เดี๋ยวจัดให้ แล้วนายจะประทับใจไม่รู้ลืมเลยละ นายเบนจอมบ้าอำนาจ!



สิ่งแรกที่นลินาต้องการก่อนการพิมพ์งานก็คือ…แอลกอฮอลล์และสำลี

“เอาไปทำอะไร” บุลวัชรขมวดคิ้วหนาเข้าหากัน

“เช็ดคอมฯคุณน่ะสิ ไม่ได้หรอกนะ สำหรับฉันเรื่องความสะอาดต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง อี๋ ดูสิ แป้นคีย์บอร์ดกับเมาส์ท่าทางสกปรกออกอย่างนั้น ใช้กันเข้าไปได้ยังไง” หญิงสาวเบ้หน้าขณะมอง ว่าแล้วก็ใช้มือที่สวมถุงพลาสติกเนื่องจากหาถุงมือไม่ได้ หยิบสำลีออกมาจากห่อและชุบแอลกอฮอลล์ เอื้อมไปเช็ดอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เช็ดไปก็ขนลุกเกรียวกราวไป

บุลวัชรยืนกอดอกมองภาพนั้นอย่างเอ็นดู เอาเถอะ ถึงจะมีพิธีรีตองมากหน่อย แต่ยังไงหญิงสาวก็ยอมทำงานที่เขามอบหมาย

“อ๊าย ดำปี๋เลย ไม่ได้เช็ดมากี่ปีแล้วเนี่ย คุณนี่โสโครกจริงๆ” นลินาทำท่าขยะแขยงคราบฝุ่นที่ติดอยู่บนสำลี หันไปทิ้งมันลงถังขยะและดึงสำลีก้อนใหม่ออกมา ก่อนลงมือเช็ดอีกครั้ง

“ผมไม่ค่อยมีเวลาทำความสะอาด ถ้าจะให้คุณช่วยเช็ดบ่อยๆ จะรบกวนหรือเปล่าล่ะ”

ดวงตาคมเป็นประกายพราวพร่างที่จับจ้องวงหน้าหวานนิ่งทำให้หัวใจของนลินาเต้นเป็นจังหวะแปลกๆโดยไม่รู้สาเหตุ หล่อนเสมองไปทางอื่น ก่อนจะเอ่ยเสียงสะบัด

“เรื่องอะไร คอมฯคุณ คุณก็เช็ดเองสิ นี่ถ้าฉันไม่ต้องใช้มันพิมพ์งาน จ้างให้ฉันก็ไม่เช็ด” ริมฝีปากอิ่มบิดโค้ง เชอะ คิดจะมาใช้ฉันเหรอ ไม่มีทางหรอกย่ะ

ใช้เวลาทำความสะอาดคีย์บอร์ดกับเมาส์กว่าห้านาที จึงได้ฤกษ์เริ่มงาน หญิงสาวนั่งลงบนเก้าอี้ออฟฟิศหน้าโต๊ะไม้ซึ่งมีจอคอมพิวเตอร์สี่เหลี่ยมตั้งอยู่ จากนั้นจึงหยิบกระดาษเอสี่ที่ร่างข้อความด้วยลายมือของบุลวัชรมาวางไว้บนโต๊ะ ในระดับที่สายตามองเห็นถนัด

หัวหน้าหน่วยส่งเสริมการปลูกป่าร่างใหญ่ นั่งลงบนเก้าอี้ไม้หัวกลมข้างหญิงสาว แต่ก้นยังไม่ทันร้อน อีกฝ่ายก็ตวัดสายตาฉับมามอง

“ไม่ต้องมานั่งเฝ้าก็ได้”

“เปล่า แค่จะสอนวิธีพิมพ์” มือหนาเอื้อมไปจะจับเมาส์

เพียะ!

ฝ่ามือเล็กๆของนลินาฟาดลงบนหลังมือของเขา “ไม่ต้อง แค่พิมพ์งาน ฉันทำเป็นย่ะ คุณมีงานอะไรก็ไปทำเถอะ”

“รู้ว่าพิมพ์เป็น แต่…”

“รู้ก็ไปได้แล้ว” หล่อนทำมือไล่อย่างรำคาญเต็มทน อีตาเบนบ้า ไม่มีใครชอบให้คนอื่นมาคอยจ้องเวลาทำงานหรอกนะยะ

“เดี๋ยว ฟังผมก่อนได้ไหม” น้ำเสียงของชายหนุ่มเริ่มเอาเรื่องเมื่อเห็นเจ้าของร่างระหงเอาแต่ไล่ หญิงสาวยกมือขึ้นมากอดอก ทำหน้างอ แต่ก็ไม่ปริปากพูดอะไรอีก บุลวัชรจึงเอ่ย “ผมแค่จะบอกว่า เวลาพิมพ์หนังสือราชการ เราจะมีแบบฟอร์มที่ใช้ประจำอยู่แล้ว ซึ่งในฟอร์มนั้นจะมีตราสัญลักษณ์ต่างๆพร้อม คุณแค่แก้เนื้อความใหม่ก็พอ เอาละ ถ้าพร้อมแล้วก็เริ่มทำงานได้ครับ ผมจะไปนั่งเขียนแผนงานของเดือนทางโน้น”

ใบหน้าคมบุ้ยใบ้ไปยังโต๊ะรับแขกหน้าโซฟาซึ่งอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องทำงาน

“เชิญ!” นลินาผายมือ

หลังจากบุลวัชรออกไปแล้ว หญิงสาวก็เริ่มอ่านข้อความที่เขียนโดยดินสอในกระดาษเอสี่ ก่อนจะจิ้มนิ้วชี้ลงบนแป้นอักษรทีละตัว…ทีละตัว

เมื่อชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นแล้วเห็นท่าทางเก้ๆกังๆของหล่อนก็ได้แต่แอบขำ วันนี้จดหมายของเขาจะเสร็จไหมเนี่ย เพิ่งรู้ว่ายายคุณหนูพิมพ์แบบสัมผัสไม่เป็น

ขณะนั้นดวงตากลมโตก็หันมาสบตาเขาเข้าพอดี บุลวัชรไม่หลบตา ยังจ้องมองหล่อนพร้อมยิ้มที่แตะแต้มอยู่บนมุมปากหยักทั้งสองข้าง

นลินาตวัดสายตากลับมายังหน้าจอคอมพิวเตอร์ พลางก่นด่าอีกฝ่ายในใจ อีตาบ้า มองอะไรไม่ทราบ อย่าบอกนะว่าจับตามองฉันทำงานตลอดเวลา

ทั้งที่พยายามใส่ใจกับงาน แต่ก็อดหันไปมองเขาอีกรอบไม่ได้ ก่อนจะพบว่าบุลวัชรกำลังก้มหน้าเขียนแผนงานของตนอยู่ ท่าทางมุ่งมั่นตั้งใจของเขา ทำให้นลินาเผลอมองอยู่นาน ระหว่างนั้นชายหนุ่มไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองหล่อนเลย

หญิงสาวกลับมาพิมพ์งานต่ออีกสองประโยค แล้วก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องหันไปมองเสี้ยวหน้าคมอีกทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจ จังหวะนั้นเอง เจ้าของดวงตาสีนิลเข้มเงยหน้าขึ้นมาสบตาหล่อนพอดี เขาเลิกคิ้วหนาขึ้นราวกับสงสัยว่าหล่อนมองอะไร แต่นลินาก็ชิงถามก่อน

“มองทำไม ไหนว่าจะไม่จับตามองฉันทำงาน”

“ผมเห็นคุณมองผม เลยมองกลับบ้าง เพื่อความยุติธรรม”

“บ้า ใครมองคุณ ฉันสนใจงานตลอดย่ะ” นลินาปฏิเสธเสียงแข็ง “อีกอย่างคุณจะมองเห็นฉันได้ไง ในเมื่อคุณก้มหน้าทำงานตลอด”

“นั่นไง ถ้าคุณไม่ได้มองผม จะรู้ได้ไงว่าผมก้มหน้าทำงานตลอด” ดวงตาคมเปล่งแสงพราว ในที่สุดยายคุณหนูก็หลุดความจริงออกมาจนได้

นลินาตาโต ยกมือขึ้นมาปิดปากเมื่อรู้ว่าหลงกลคนเจ้าเล่ห์เข้าให้แล้ว “คุณหลอกให้ฉันพูดเหรอ”

“คุณนั่นแหละหลอกผม หลอกว่าไม่ได้มอง แต่จริงๆมองตั้งหลายครั้งใช่ไหมล่ะ” บุลวัชรหัวเราะหึๆอย่างพอใจ ก่อนทิ้งท้าย “มองได้ แต่อย่าชอบแล้วกัน”

ประโยคนั้นทำให้นลินาหน้าร้อนวูบวาบขึ้น ไม่ใช่แค่คำพูดอย่างเดียว แต่เป็นเพราะดวงตาที่เป็นประกายพราวสดใสของเขาด้วย

คนปากเสีย จะก่อกวนหล่อนไปถึงไหนกัน!



บุลินทร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 มิ.ย. 2556, 00:02:53 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ก.ย. 2556, 21:48:01 น.

จำนวนการเข้าชม : 1569





<< บทที่ 1 + บทที่ 2   บทที่ 37 เมื่อรักเติบโต (ตอนจบ) ลบภายใน 24 ชม. >>
บุลินทร 24 มิ.ย. 2556, 00:17:04 น.
คุณ คิมหันตุ์
สองตอนใหม่มาแล้วครับ เดี๋ยวจะมีฉากใหม่แทรกมาเรื่อยๆครับ

คุณ Zephyr
ฮ่าๆๆๆ อดทนอีกนิดน่า เดี๋ยวนิสัยก็เริ่มดีขึ้นแว้ว อิอิ

คุณ goldensun
เหมือนย้อนกลับมาดูนิสัยแย่ๆของน้ำอีกรอบนะครับ หลังจากดีขึ้นแล้ว


Zephyr 25 มิ.ย. 2556, 08:49:09 น.
ชิ ชักจะมองเห็นตัวเองผ่านน้ำเดือด กรี๊ดดดดด ม่าย
นี่เรานิสัยเด็กขนาดนี้เลย โฮๆๆๆๆ
ไม่ดีๆ เค้าปรับปรุงตัวมานานแล้วนะ นิสัยนั่นตั้งแต่เด็กๆๆๆๆ ตะหาก ถึงจะมีแว้บๆออกมาบ้างตอนนี้ก็ตามเหอะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account