มธุรัตน์เสน่หา โดย ภคพร (วางแผงแล้ว)
เมื่อนักเขียนสาวจิตป่วนโคจรมาพบกับหนุ่มเจ้าของไร่เจ้าระเบียบ ความหื่นฮารั่วจึงบังเกิดขึ้น:"รสจูบมันเป็นยังไง" เจ้าหล่อนไม่ถามเปล่าแต่กระชากคอเขามาจูบด้วย แถมยังจดโน้ตหน้าตาเฉยว่า'รสจูบ = กาแฟ' โอ้ยยย! อยากบ้า!
Tags: หนุ่มชาวไร่ สาวนักเขียน โรแมนติก คอเมดี้ นางเอกแปลก ฮา รั่ว อ่านสบายคลายเครียด

ตอน: บทที่ 8 ไปเที่ยว

บทที่ 8 ไปเที่ยว

เมื่อพลวัตกับมธุรัตน์สร้างข้อตกลงกันแล้ว ความสัมพันธ์ทางกายครั้งที่สาม สี่และห้า มันก็ตามมาติดๆ ในช่วงเวลาเพียงแค่ไม่กี่วัน

มธุรัตน์เป็นสาวน้อยอยากรู้อยากเห็นที่สุดแสนจะกระตือรือร้น ในขณะที่พลวัตเองก็ปรารถนาในตัวเธออย่างยิ่งยวด ร่างกายของสองหนุ่มสาวเข้ากันได้ดีอย่างไร้ที่ติ จนพลวัตยกให้เธอเป็นคู่นอนที่ยอดเยี่ยมที่สุดตั้งแต่ที่เขาเคยมีมา

ชายหนุ่มรู้สึกว่าชีวิตเขาน่ารื่นรมย์กว่าที่เคยเป็น แม้ความรู้สึกในใจที่มีต่อเธอจะยังครุมเครือไม่กระจ่างชัด แต่เขาก็เลิกที่จะใส่ใจมัน แล้วรับรู้เฉพาะแต่ความสุขที่อยู่ตรงหน้า

อากาศช่วงนี้ยังคงหนาวจัด ทั้งมธุรัตน์และเจ้าไมเคิลจึงพากันติดเขาแจ หญิงสาวชอบเอาตัวมาพิงเขาไว้ขณะที่อ่านหนังสือ ส่วนเจ้าไมเคิลก็ชอบกระโดดขึ้นมานอนบนตัก พลวัตก็เลยหยิบเอาบัญชีมาตรวจทานด้วยเพื่อที่จะได้ไม่เสียเวลาเปล่า

ทั้งหมดนั่งอยู่เงียบๆ ในห้องนั่งเล่นโดยไม่พูดอะไรกัน ถ้าเป็นเมื่อก่อนพลวัตคงคิดว่ามันดูอึมครึมอึดอัด ประหนึ่งต้องทนนั่งดูภาพยนตร์ขาวดำที่เนื้อเรื่องสุดแสนจะหดหู่ แต่ตอนนี้เขาค้นพบแล้วว่า มันคือความสุขในความสงบรูปแบบหนึ่ง

สองหนุ่มสาวนั่งเล่นอยู่จนกระทั่งสี่ทุ่ม พลวัตก็สะกิดมธุรัตน์ให้รีบไปอาบน้ำ เพื่อเตรียมตัวเข้านอน

เธอมานอนกับเขาทุกคืน ชายหนุ่มจึงตั้งกฎห้ามนอนดึกขึ้นมา เพราะไม่อยากต้องสะดุ้งตื่นเวลาที่มธุรัตน์แอบย่องเข้ามาในห้อง

“อีกนิด” มธุรัตน์ขอต่อเวลา เนื่องจากยังอ่านหนังสือไม่จบเล่ม

“ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นห้ามเข้าห้อง” พลวัตขู่เสียงเข้ม

ชายหนุ่มคิดว่าคำขู่นี่ดูประหลาดอยู่เหมือนกัน มีอย่างที่ไหนเป็นผู้ชายมาขู่ไม่ให้ผู้หญิงเข้าห้อง แต่มันก็ใช้ได้ผลกับมธุรัตน์ เขาเลยต้องยอมเล่นบทสลับขั้วนี้ต่อไป

หญิงสาวหันมาจ้องแล้วทำปากยื่นใส่ ก่อนจะผุดลุกขึ้นไปอาบน้ำอย่างขัดเสียไม่ได้

“ห้ามแช่น้ำไปอ่านหนังสือไปนะ เดี๋ยวไม่สบาย” ชายหนุ่มตะโกนเตือนไล่หลัง

มธุรัตน์เคยแช่อยู่ในนั้นเกือบสามชั่วโมงเพราะอ่านหนังสือติดพัน เตือนเท่าไรเจ้าหล่อนก็ไม่ใคร่จะฟังนัก ชายหนุ่มเลยต้องคอยจับเวลา ถ้าอาบน้ำนานเกินกว่ายี่สิบนาทีเขาก็จะเป็นฝ่ายเข้าไปตามเธอในห้องน้ำ

จับเวลาได้ไม่เท่าไร ชายหนุ่มก็มีอันต้องขึ้นไปข้างบนก่อนเวลา เพราะโทรศัพท์มือถือของมธุรัตน์แผดเสียงดังก้องอยู่ไม่ห่างจากตัวเขานัก

“มีโทรศัพท์แน่ะ สายจะตัดแล้วด้วย” พลวัตตะโกนบอก มันดังมานานพอสมควรแล้ว อีกไม่กี่อึดใจคนที่โทรมาคงจะวางสายไป

“กดรับเลย” มธุรัตน์ตะโกนกลับ

หญิงสาวคิดว่าเป็นพิมลตรา แต่ทว่าปลายสายกลับเป็นอีกคนที่ไม่ได้ติดต่อมานานมากแล้ว

พอพลวัตกรอกเสียงลงไป เสียงทักทายของชายวัยกลางคนคนหนึ่งก็ดังกลับมา

“ขอสายน้ำผึ้งครับ”

“ได้รับครับ รอสักครู่นะครับ”

พลวัตเอามือปิดโทรศัพท์ไว้ไม่ให้คนโทรมาได้ยินเสียง แล้วเคาะประตูบอกให้มธุรัตน์มารับโทรศัพท์มือถือไป

“ไม่ได้ล็อก”

มธุรัตน์บอกเป็นนัยให้เขาเอาเข้ามาให้ หญิงสาวกำลังแช่อยู่ในอ่างน้ำอุ่น ก็เลยไม่อยากลุกขึ้นมา

ถ้าเป็นเมื่อก่อนพลวัตคงดุเธอเรื่องไม่ระวังตัว แต่ตอนนี้สถานะของทั้งสองได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาก็เลยกล้าเปิดประตูเข้าไป

มธุรัตน์ยื่นมือไปรับมาแล้วกรอกเสียงลงไป พอได้ยินเสียงของอีกฝ่าย หญิงสาวก็ชะงักทันที

“มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ…ค่ะ...สบายดีค่ะ”

คำพูดคะขาของหญิงสาวทำให้พลวัตพอเดาได้ว่าหญิงสาวคุยกับญาติผู้ใหญ่ คิดได้แบบนั้นเขาก็นึกสงสัยว่าครอบครัวเธอจะตำหนิหรือเปล่าที่เขาเป็นคนรับโทรศัพท์ แล้วทางนั้นจะทราบไหมว่าเธอมาพักอยู่ในไร่กับผู้ชายตามลำพัง

พลวัตรู้สึกเป็นห่วง จึงยืนรอให้หญิงสาวคุยโทรศัพท์เสร็จอยู่ที่ประตูห้อง เลยพลอยได้ยินเสียงสนทนาไปด้วย

ส่วนใหญ่หญิงสาวจะเป็นฝ่ายรับคำและตอบคำถามของอีกฝ่ายอย่างสั้นๆ ไม่กี่นาทีก็คุยเสร็จ

มธุรัตน์เห็นพลวัตยังไม่ไปไหน ก็เลยยื่นโทรศัพท์ไปให้ เป็นเชิงฝากให้เขาช่วยเอาไปเก็บให้

“คนที่โทรมาใช่พ่อเธอหรือเปล่า” พลวัตถามขณะรับของมา

มธุรัตน์พยักหน้ารับ แล้วถดตัวลงไปนั่งกอดเข่าแช่ในอ่างแบบเต็มตัว

“พ่อเธอว่าไหมที่มีผู้ชายมารับโทรศัพท์ตอนค่ำมืดแบบนี้”

คราวนี้มธุรัตน์ส่ายหน้า ตั้งแต่จำความได้พ่อก็ไม่เคยตำหนิอะไรเธอเลย ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ ท่านก็ทำเพียงแค่ชายตามอง แล้วเออออรับคำเท่านั้น

หลังจากหย่าขาดจากแม่แล้ว พ่อซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทโฆษณาก็โหมทำงานหนักจนไม่มีเวลาให้ ช่องว่างระหว่างมธุรัตน์กับพ่อจึงยิ่งขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนปีที่แม่จากไป

พอเธออายุยี่สิบ พ่อก็ยกมรดกก้อนใหญ่ที่ได้รับมาจากคุณปู่คุณย่าให้เธอ จากนั้นก็ไปอยู่ออสเตรเลียเป็นการถาวร มธุรัตน์จึงไม่ได้พบท่านอีกเลย มีเพียงของขวัญวันเกิดที่ส่งมาให้ทุกปี กับการพูดคุยกันสั้นๆ อย่างนี้เห็นเท่านั้น ที่เป็นเครื่องยืนยันว่าเธอยังมีพ่ออยู่ ไม่ได้เป็นเป็นลูกกำพร้าไม่มีใครเหลียวแล

หญิงสาวตระหนักดีว่าไม่อาจเรียกร้องขอความสนใจจากผู้ให้กำเนิดได้ เธอจึงต้องทำใจให้ยอมรับกับสภาพที่เป็นอยู่

มธุรัตน์บอกตัวเองเสมอว่าชีวิตเธอไม่ได้เลวร้าย และยังคงดำเนินต่อไปได้แม้ไม่มีพ่อ แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังอดรู้สึกเจ็บปวดไม่ได้ ยามเผลอนึกถึงความโดดเดี่ยวที่ต้องเผชิญ

“เป็นอะไรหรือเปล่า ดูเธอแปลกๆ” พลวัตถามอีกครั้ง

แววตาของหญิงสาวดูเหม่อลอยต่างไปจากทุกทีจนสังเกตได้

มธุรัตน์ไม่ยอมตอบคำถามนี้ หญิงสาวผุดลุกขึ้นจากน้ำ เธอหยิบผ้าเช็ดตัวมานุ่ง แล้วเดินออกจากห้องน้ำไป

พลวัตรู้ว่าหญิงสาวไม่ต้องการตอบคำถาม และเขาก็ไม่ควรจะไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของเธอ แต่ก็ทำใจปล่อยให้เธออยู่ลำพังในสภาพอย่างนี้ไม่ได้

วูบหนึ่งในขณะที่สบตาเธอ แทนที่จะเห็นภาพหญิงสาวเหมือนที่เคย พลวัตกลับเห็นภาพเด็กหญิงตัวน้อยนั่งคุดคู้กอดเข่าอยู่ตามลำพังในห้องสี่เหลี่ยมมืดๆ เด็กน้อยในจิตนาการของเขาไม่ได้ร้องไห้ แต่กลับดูเศร้าและชวนให้สงสารจับใจ

ชายหนุ่มเผื่อเวลาให้หญิงสาวแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อน แล้วจึงค่อยไปเคาะประตู

รออยู่อึดใจก็ไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝาก พลวัตจึงเคาะอีกสองที แล้วถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปภายใน สิ่งที่เขาเห็นคือมธุรัตน์นั่งเหม่ออยู่ตรงปลายเตียง โดยยังนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนบางอยู่

“รีบแต่งตัวเร็วเข้า เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก”

อากาศวันนี้อุ่นกว่าเมื่อวาน แต่อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดทั้งวันก็ยังไม่เกินยี่สิบสามองศา ใบหน้าขาวๆ ของมธุรัตน์จึงเริ่มดูซีดเซียวเพราะความเย็น

เมื่อเห็นว่าหญิงสาวยังไม่ยอมขยับตัว พลวัตจึงไปหยิบเสื้อผ้าในลิ้นชักเอามาส่งให้

“ใส่ซะ หรือจะให้แต่งตัวให้”

เขาแกล้งว่า แต่อีกฝ่ายกลับเห็นดีเห็นงามด้วย หญิงสาวชูมือขึ้น แล้วหมุนตัวมาเตรียมให้เขาใส่เสื้อให้

“ยัยเพี้ยน! แต่งตัวเองสิ ไม่ใช่เด็กแล้วนะเรา” พลวัตเอ็ด

“ถอดให้ได้ ทำไมไม่ใส่ให้”

มธุรัตน์หันมาเถียงหน้าตาย แววตาที่ดูเหม่อลอยของเธอกลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง ผิดกับตอนก่อนหน้านี้ลิบลับ ทำเอาพลวัตงงงวยกับอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วของหญิงสาว

ชายหนุ่มไม่รู้ตัวเลยว่า เสียงบ่นของเขาได้ขับไล่ความรู้สึกขะมุกขะมอมที่คงค้างอยู่ในใจของมธุรัตน์ให้สลายไปในพริบตา เสียงบ่นของเขาทำให้เธอรู้สึกว่ามีตัวตน และรู้ว่ามีใครบางคนคอยห่วงใย ไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวเพียงลำพังดังที่คิด

“เธอนี่จริงๆ เลย ทำตัวเป็นเด็กไปได้” พลวัตบ่นอุบแต่ก็ยอมแต่งตัวให้

เธอทำให้เขาเริ่มสับสนอีกแล้วว่าตัวเองเป็นคู่นอนหรือพี่เลี้ยงเด็กกันแน่

“ก็เด็กน่ะสิ ตอนฉันอยู่ประถมฯ คุณอยู่มหา’ลัยแล้ว” หญิงสาวพูดด้วยสายตาที่เหมือนกับจะกล่าวหาว่าชายหนุ่มเป็นพวกชอบเด็ก

พลวัตนึกแย้งว่าเขาสอบเทียบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้ตอนอายุสิบเจ็ด แต่มานึกอีกทีเธอกับเขาก็อายุห่างกันตั้งหกปี พอจะเข้าข่ายหลอกเด็กอยู่เหมือนกัน

เมื่อเถียงสู้ไม่ได้ พลวัตก็เลยอาศัยโวยแก้เก้อแทน

“ถ้าคิดว่าตัวเองเป็นเด็กก็เงียบไปเลย” ชายหนุ่มหันไปขยี้เรือนผมอีกฝ่ายอย่างมันเขี้ยว แต่ก็ไม่ออกแรงมากมายอะไร เพราะเกรงว่าจะทำให้อีกฝ่ายเจ็บตัว

หญิงสาวอมยิ้มเมื่อมือใหญ่วางลงบนศีรษะเธอ ระยะนี้มธุรัตน์ชอบเถียงเขา เพราะรู้ว่าเขาจะทำแบบนี้

มธุรัตน์ชอบวิธีการที่เขาสัมผัสเธอ พลวัตเป็นผู้ชายตัวโตเรี่ยวแรงมหาศาล แต่กลับจับต้องตัวเธออย่างถนอม ทำให้รู้สึกว่าตัวเองเป็นสิ่งมีค่าที่คู่ควรแก่การปกป้อง

พลวัตขยี้ผมหญิงสาวจนยุ่ง พอหายมันเขี้ยวเขาก็ใช้มือสางมันให้เป็นระเบียบ จะไม่ทำให้ก็ไม่ได้ เพราะมธุรัตน์ไม่สนใจจะเสยผมให้พ้นจากลูกตาด้วยซ้ำ เห็นเลยอดรำคาญไม่ได้ ก็เลยต้องทำให้มันกลับไปเรียบร้อยดังเดิม

สางผมให้เสร็จ มธุรัตน์ก็เอาหน้ามาซบกับไหล่ของชายหนุ่ม แล้วกอดแขนเขาเอาไว้

“อุ่นดีจัง”

ที่ว่าอบอุ่นนั้นคือหัวใจ แต่พลวัตกลับคิดไปเป็นอีกทาง

“แน่ล่ะ ผมมันเป็นหนุ่มฮ็อตนี่” ชายหนุ่มถือโอกาสชมตัวเอง

พอได้ฟัง มธุรัตน์ก็เงยหน้าขึ้นมามองสบตาด้วย แล้วพ่นลมหายใจออกมาคล้ายจะค้าน แต่ก็ไม่พูดอะไร สร้างความหมั่นไส้ให้กับอีกฝ่ายเหลือกำลัง

“ถนัดจริงนะ ไอ้นิสัยยั่วคนโดยไม่ต้องใช้คำพูดเนี่ย” ชายหนุ่มแยกเขี้ยวใส่ แล้วหยิกแก้มหญิงสาว

“เจ็บนะ” มธุรัตน์ขยับตัวหนี เพราะไม่ชอบให้ใครมาหยิกแก้ม

“ช่างยั่วนักก็ต้องเจอแบบนี้ล่ะ มาให้สั่งสอนซะดีๆ”

ชายหนุ่มยึดตัวหญิงสาวเอาไว้แน่น มธุรัตน์ก็เลยต้องออกแรงดิ้นให้หลุดจากอ้อมแขน แต่ผู้หญิงตัวนิดเดียวอย่างเธอ จะไปสู้แรงบุรุษวัยฉกรรจ์ได้อย่างไร ดิ้นไปดิ้นมาเธอก็ทำได้อย่างเก่งแค่ดึงตัวเขาให้ล้มลงบนเตียงด้วยกันเท่านั้น

พลวัตหัวเราะขำหน้าตาแดงก่ำของหญิงสาว เพราะมันชวนให้นึกถึงลูกหมูสีชมพูตัวจ้อยที่พยายามดิ้นหนีจากอุ้งมือของเขา

ชายหนุ่มหัวเราะเพลินจนเผลอปล่อยมือ มธุรัตน์จึงได้โอกาสหนี แต่คลานออกมาได้หน่อยเดียว อีกฝ่ายก็ขยับตามมา แล้วพลิกตัวคร่อมร่างเธอเอาไว้ น้ำหนักที่กดทับลงมาทำให้หญิงสาวขยับหนีไปไหนไม่ได้อีก

“หึๆ เสร็จผมล่ะ” พลวัตหัวเราะอย่างชั่วร้าย แล้วทำท่าเหมือนจะแกล้งเธอแรงๆ

มธุรัตน์เลยหลับตาปี๋ เพราะคิดว่าต้องเจ็บตัวแน่

ทีแรกพลวัตตั้งใจจะดีดหน้าผากคนช่างยั่วสักที แต่เมื่อแพขนตาหนาหลุบลง ความตั้งใจของเขาก็เปลี่ยนไป ชายหนุ่มใช้ริมฝีปากจูบลงที่หน้าผากของหญิงสาวอย่างแผ่วเบาแทน แล้วสูดความหอมจากกลิ่นสบู่เข้าไปเต็มปอด

อารมณ์ละมุนที่เกิดขึ้นทำให้ต่างฝ่ายต่างสบตากันนิ่ง มธุรัตน์จ้องมองเขาอย่างแปลกใจ แววตาเขาคล้ายจะมีความนัยบางอย่างซ่อนอยู่ เธอไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร แต่ก็สัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนที่แตกต่างจากทุกคราว

พลวัตเองก็นิ่งงันไปเพราะมีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้น ในวินาทีที่เขาก้มลงจูบหน้าผากเธอ เขาก็รู้สึกถึงความอ่อนหวานละมุนละไมในแบบที่ไม่เคยสัมผัส ชายหนุ่มมั่นใจว่ามันไม่ใช่ความใคร่ เพราะสิ่งที่เขาอยากทำในตอนนี้มีเพียงการได้จ้องมองเธอให้เต็มตาเท่านั้น

ในขณะที่ความรู้สึกสับสนในใจของพลวัตกำลังค่อยๆ กระจ่าง มือของหญิงสาวก็เอื้อมมาแตะแก้มเขาเอาไว้ ไออุ่นจากมือเธอ ทำให้ความรู้สึกเลือนรางในใจยิ่งแจ่มชัดมากขึ้น ทว่าก่อนที่มันจะชัดเจน แผ่นหลังของชายหนุ่มก็ถูกกรงเล็บคมๆ ข่วนเต็มแรง

ตัวต้นเหตุคือเจ้าไมเคิลที่แอบตามเข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ มันเห็นเจ้านายสองคนเล่นกลิ้งกันบนเตียง มันก็เลยกระโดดเข้าไปขอร่วมวงด้วย

“โอ๊ย! เจ็บนะเจ้าตัวยุ่ง” พลวัตครวญคราง แล้วพลิกตัวหันมาตะครุบเจ้าแมวตัวแสบ

ไมเคิลกระโดดหนีอย่างรู้ทัน มันวิ่งปรู๊ดไปที่ประตู แล้วส่งเสียงร้องให้ตามมาอย่างท้าทาย

“กวนประสาททั้งแมวทั้งเจ้าของเลย”

ชายหนุ่มแยกเขี้ยวใส่ทั้งคนทั้งแมว แล้วตัดสินใจไล่ตามเจ้าเหมียวไป เพราะเห็นว่ามันวิ่งเข้าไปในห้องน้ำที่เปิดประตูทิ้งไว้

เจ้าไมเคิลเป็นแมวประหลาดที่ชอบเล่นน้ำ เผลอทีไรเป็นได้เปียกปอนทุกที

“ห้ามเล่นน้ำเด็ดขาด เข้าใจไหม” พลวัตตะโกนดุแมว

ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่เข้าใจ หรือถึงเข้าใจก็ไม่ยอมฟัง เจ้าเหมียวตัวแสบเอาตัวกลิ้งบนพื้นเปียกๆ ทันทีทีมีโอกาส พลวัตเลยต้องไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาเช็ดให้

“อยากเป็นหวัดตายหรือไงฮึเจ้าตัวแสบ”

“แง้ว!” เจ้าไมเคิลทำเสียงคล้ายกับจะเถียง

“ไม่ต้องมาพูดดี ซนแล้วยังมาแก้ตัวอีก” พลวัตเอ็ดราวกับจะรู้ภาษาแมว

เสียงของทั้งคู่ดังรอดเข้ามาในห้อง มธุรัตน์จึงเดินออกมาชะโงกหน้ามองคนตัวโตกับแมวตัวจิ๋ว แล้วแอบส่งยิ้มให้ทั้งคู่

เธอชอบพลวัตมากก็เพราะเขาคล้ายกับพิมลตรา หญิงสาวรู้ว่าความชอบที่เธอมีต่อเขาต่างจากที่ชอบพิมลตราอยู่มาก แต่คนอย่างมธุรัตน์นั้นไม่เคยเสียเวลามานั่งคิดแยกแยะเรื่องพวกนี้ให้ปวดหัว พลวัตเลยถูกจัดอันดับให้เป็นเพื่อนที่เธอชอบมากเป็นอันดับสองไป

ด้วยเหตุนี้ความรู้สึกในใจของทั้งสองจึงยังครุมเครือต่อไป โดยที่ไม่รู้ว่าเมื่อไรมันจะชัดเจนเสียที


ชีวิตแสนสุขในบ้านไร่ผ่านไปอีกหลายวัน จนกระทั่งวันหยุดกลางสัปดาห์ของพลวัตเวียนมาถึง วันนี้ชายหนุ่มก็ตื่นแต่เช้าเพราะมีแผนการบางอย่างเตรียมเอาไว้ พออาบน้ำเสร็จเขาก็ปลุกมธุรัตน์ให้ลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวบ้าง

“ไปเที่ยวทุ่งทานตะวันกัน แวะเขื่อนป่าสักฯ แล้วไปหาอะไรอร่อยๆ กิน”

หญิงสาวมาอยู่ที่นี่เป็นเดือนแล้ว แต่ยังไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนเลย เขาจึงอยากพาเธอออกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง

“เลือกชุดให้หน่อย” มธุรัตน์บอกก่อนไปอาบน้ำ

การแต่งตัวของเธอสร้างปัญหาให้กับเขา เวลาจะออกไปข้างนอกเธอเลยให้เขาเลือกให้ ส่วนเวลาอยู่ในบ้าน มธุรัตน์จะแต่งตามใจ แต่ก็พยายามใส่ชุดนอนเฉพาะช่วงกลางคืน และเอาชุดที่พิมลตราส่งมาให้ทีหลังเวียนมาใส่บ้าง

พลวัตเห็นว่าต้องลุยหน่อยเลยเลือกชุดกางเกงยีนขายาวกับเสื้อเชิ้ตลายสก็อตสีน้ำเงินให้หญิงสาว พอค้นกล่องก็เห็นว่ามีหมวกแก๊ปกับรองเท้าผ้าใบด้วย ชายหนุ่มจึงหยิบออกมาเตรียมไว้ให้

เมื่อพร้อมเดินทางแล้ว พลวัตก็ขับรถพาหญิงสาวไปที่ไร่ทานตะวันแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างทางไปเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์กับไร่ของเขา

ไร่แห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว ดอกทานตะวันจึงชูช่อสวยงามเป็นพิเศษ เพราะไม่มีใครเข้ามาเหยียบทำลายหรือเด็ดติดมือไปเป็นที่ระลึก

มธุรัตน์มองผืนไร่กว้างจากทางกระจกรถ แล้วเริ่มเก็บรายละเอียดของมันเอาไว้ในความทรงจำ

สิ่งที่หญิงสาวเห็นผ่านสายตาคือไร่กว้างสีเหลืองทองยาวสุดสายตาไปจนถึงเนินเขา แรงลมทำให้ต้นทานตะวันไหวไปตามจังหวะการพัด เหมือนกับว่าพวกมันกำลังโยกตัวเต้นรำ เชิญชวนเธอให้มาร่วมสนุกด้วย

เมื่อรถแล่นเข้าไปในไร่ หญิงสาวก็กดหน้าต่างกระจกรถลง เพื่อสูดกลิ่นความสดชื่นของธรรมชาติให้เต็มปอด เธอยื่นหน้าออกไปมองฟ้าสีครามที่มีกลุ่มเมฆกระจายอยู่บางเบา วันนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่งกว่าทุกวัน ดวงอาทิตย์จึงสาดแสงลงมาให้พวกทานตะวันได้เต็มที

‘ได้แดดนี่เอง ถึงได้ร่าเริงกันนัก’

“อย่ายื่นหน้าออกไปสิมันอันตราย” พลวัตเตือน

สักพักชายหนุ่มก็ชะลอความเร็วรถลง แล้วจอดให้มธุรัตน์ลงที่กึ่งกลางไร่

“ไร่นี่เป็นของญาติผม ถ้าอยากเด็ดทานตะวันก็เอาไปได้เลย เขาไม่ว่าหรอก”

ที่นี่เป็นของอาที่มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของพ่อ อายิ่งเกียรติกับครอบครัวอยู่ที่กรุงเทพฯ เลยจ้างชาวบ้านแถวนี้ให้ปลูกทานตะวันให้ และไหว้วานพลวัตให้ช่วยแวะมาดูเป็นหูเป็นตาให้เป็นระยะ

“เดินระวังหน่อยนะ ผมจะเอารถไปจอด” ชายหนุ่มกำชับก่อนที่จะขับรถเข้าไปบริเวณบ้านพักของคนดุแลไร่

พลวัตไปเคาะประตูขอยืมจักรยานมาปั่นชมทุ่งทานตะวัน เมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าของรถแล้ว เขาก็ปั่นมันกลับมาหามธุรัตน์

ชายหนุ่มเห็นหญิงสาวยืนนิ่งทอดสายตามองทิวทัศน์จากระยะไกล แต่ไม่มีทีท่าว่าจะเด็ดดอกไม้ติดมือไปเลยสักดอก เขาเลยเดาว่าเธอคงมีอารมณ์ศิลป์ เหมือนพวกนางเอกในนวนิยายที่ไม่อยากเด็ดดอกไม้ เพราะคิดว่าปล่อยให้มันอยู่กับต้นคงจะสวยกว่า

ทว่าเมื่อไปถึง พลวัตก็ได้รู้ว่าตัวเขานั้นคิดผิด หญิงสาวยืนนิ่งไม่ใช่เพราะไม่อยากเด็ด แต่ตัดสินใจเลือกไม่ถูกต่างหาก

“อยากได้ดอกที่สวยที่สุดไปฝากพิม”

พิมลตราเคยพูดก่อนหน้านี้ว่าอยากจะมาเที่ยวแล้วเด็ดดอกทานตะวันดอกโตๆ เอากลับไปกรุงเทพฯ เป็นที่ระลึก เมื่อเธอมาไม่ได้ มธุรัตน์ก็เลยอยากเอากลับไปให้

“แปลงด้านเชิงเขาดอกใหญ่กว่านี้ ไปเก็บตรงนั้นดีกว่า” พลวัตแนะ

ชายหนุ่มให้หญิงสาวนั่งซ้อนท้าย แล้วปั่นไปทางถนนสายเล็กๆ ซึ่งทำทางเอาไว้พอให้รถจักรยานยนต์ผ่านเข้าออกได้

มธุรัตน์กอดตัวพลวัตเอาไว้แน่น เพื่อไม่ให้ตกจากจักรยานเวลาที่ล้อเจอความขรุขระของผิวถนน จักรยานคล้ายจะล้มหลายครั้ง แต่พลวัตก็ประคองมันเอาไว้ได้ มธุรัตน์จึงไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิด เพราะเธอเชื่ออย่างหมดใจว่าสามารถพึ่งพาเขาได้

สักสิบห้านาทีต่อมา สองหนุ่มสาวก็มาถึงที่หมาย ทานตะวันตรงริมเขาดอกใหญ่กว่าตามคำที่พลวัตว่า บางต้นนั้นสูงใหญ่จนท่วมหัวพลวัตเลยทีเดียว

“พิมต้องชอบแน่” หญิงสาวหันไปบอกพลวัตด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นกว่าทุกคร่า

มธุรัตน์ใช้สายตาพินิจพิจารณาดอกไม้ตรงหน้าไปทีละดอก เพื่อหาดอกที่ดูสมบูรณ์ที่สุด แล้วเธอก็พบว่าในหมู่ทานตะวันแถบนี้ มีอยู่ต้นหนึ่งที่ออกดอกขนาดใหญ่และมีกลีบดอกที่เรียงกันเป็นระเบียบ หญิงสาวจึงหมายตามันเอาไว้ แล้วพยายามหาดอกที่ดูสวยกว่าดอกนี้ให้เจอ
พลวัตทอดสายตามองหญิงสาวอย่างเอ็นดู ความตั้งใจที่จะทำอะไรให้คนอื่นของเธอ ทำให้วันนี้มธุรัตน์ดูมีเสน่ห์และสวยสดใสกว่าที่เคยเป็น

ชายหนุ่มทอดสายตามองหญิงสาวเลือกดอกทานตะวันโดดไม่ขัดอยู่พักใหญ่ แต่แล้วเขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“เก็บไปตอนนี้ไม่เหี่ยวหมดหรือ”

ยังอีกนานกว่ามธุรัตน์จะกลับ เก็บไปตอนนี้มันคงเฉาหมดแล้ว หรือต่อให้ส่งไปทางไปรษณีย์ มันก็หมดสวยอยู่ดี

คำพูดของเขาทำให้หญิงสาวเงียบไป เหมือนจะนึกคล้อยตาม ทว่าอึดใจต่อมาเจ้าหล่อนก็หันมาอ้าปากขอเสียม

“จะเอาเสียมไปทำไม”

“ขุดต้นเล็กใส่กระถาง แล้วส่งทางรถไฟไปให้พิม”

พลวัตนึกปลื้มใจที่เธอมีแก่ใจนึกถึงน้องสาวเขาก็เลยให้ความร่วมมือด้วย จากรายการเดิมคือปั่นจักรยานชมไร่ จึงกลายเป็นมหกรรมขุดดินไป

เนื่องจากไม่มั่นใจว่าต้นที่ขุดจากดินจะอยู่รอดหรือเปล่า สองหนุ่มสาวก็เลยแวะไปที่ไร่ทานตะวันอีกไร่ เพื่อขอซื้อทานตะวันที่เขาปลูกใส่กระถางเอาไว้ขายมาด้วยอีกสองกระถาง แล้วส่งทางรถไฟไปให้พิมลตราพร้อมกัน

ซื้อของเสร็จ พลวัตก็พามธุรัตน์ขับรถไปที่สถานีรถไฟเลย สองหนุ่มสาวไปติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อฝากส่งของ แล้วก็ได้รับคำแนะนำเรื่องการจัดส่งพัสดุเป็นอย่างดี

ขณะที่กำลังกรอกเอกสาร ใครคนหนึ่งก็แวะเข้ามาทักทายพลวัต พอหันไปมองก็พบว่าเป็นสุพล ผู้ช่วยนายสถานีที่เป็นสามีของธุรการในไร่

“มาส่งต้นไม้หรือครับคุณพล”

“ใช่ครับ จะส่งไปให้น้องสาว”

“นั่นคุณน้ำผึ้งใช่ไหมครับ” สุพลถาม แล้วส่งยิ้มทักทายมาให้มธุรัตน์

หญิงสาวไม่ยิ้มตอบแต่ค้อมศีรษะให้ แล้วหันไปก้มหน้ากรอกแบบฟอร์มต่อ

“รู้จักกันด้วยหรือครับ” พลวัตฟังคำถามไม่ถนัด พอเห็นมธุรัตน์ค้อมศีรษะให้เขาเลยเข้าใจผิด

“เปล่าครับ ผมได้ยินมาจากลินน่ะครับเลยเดาเอาว่าน่าจะใช่แฟนคุณพล”

คำว่า ‘แฟน’ ทำให้พลวัตชำเลืองไปมองทางมธุรัตน์ พอเห็นหญิงสาวไม่ได้สนใจจะแก้ต่าง เขาก็เลยปล่อยให้สุพลเข้าใจผิดต่อไป ทั้งยังแอบรู้สึกดีอยู่ลึกๆ กับความเข้าใจผิดนี้

คุยทักทายกันอีกพักหนึ่ง มธุรัตน์ก็จัดการเรื่องเอกสารเสร็จ หญิงสาวจึงเดินจากเคาน์เตอร์มายืนข้างพลวัต

สุพลมองมธุรัตน์แค่เพียงผ่านๆ ในทีแรก แต่พอได้เห็นหน้าเต็มตาเขาก็รู้สึกคุ้นหน้าเธอขึ้นมา

“เอ๊! คุณน้ำผึ้งนี่หน้าคล้ายคนรู้จักผมจัง ใครน้า”

ชายหนุ่มย่นหัวคิ้วคิด นึกไปนึกมาก็คิดออกว่าเธอดูคล้ายนักแสดงคนหนึ่ง

“ใช่แล้ว! เหมือนดาราช่องสองเลย รู้จักน้ำหวาน รติรส ไหมครับ คนนั้นล่ะ”

พอได้ยินชื่อพลวัตก็เหมือนคลับคล้ายคลับคลาว่าจะรู้จัก นิ่งคิดสักหน่อยก็นึกออกว่าเธอดังมากสมัยที่เขาเรียนเพิ่งจบใหม่ๆ อายุเธอตอนนี้สามสิบกว่าแล้ว แต่ก็ยังมีชื่อเสียงและได้รับบทนางเอกเสมอ

เมื่อเปรียบเทียบกันดู เขาก็พบว่าโครงหน้ากับริมฝีปากของหญิงสาวดูคล้ายดาราคนนั้นจริงๆ

คนถูกว่าว่าหน้าเหมือนดาราดูจะไม่ยินดียินร้าย มธุรัตน์ยืนเงียบแบบไม่ขอมีส่วนร่วมในการสนทนาด้วย
เมื่อสองหนุ่มคุยกันเสร็จ หญิงสาวก็สะกิดแขนพลวัต ให้หันมาสนใจเธอ

“หิวแล้ว”

หญิงสาวชี้ไปที่ป้ายโฆษณาร้านข้าวเหนียวส้มตำไก่ย่างเป็นเชิงบอกว่าอยากจะไปกินที่นั่น

“ก็ดีนะ แถวนั้นมีร้านขนมเค้กที่จีชอบอยู่ จะได้ซื้อไปฝาก”

พลวัตยังไม่ได้ขอบคุณจิรัสยาเรื่องที่แปลงโฉมให้มธุรัตน์แบบเป็นเรื่องเป็นราวเลย เที่ยวเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์เสร็จ เขาจะได้เอาขนมไปให้แทนคำขอบคุณ

เพื่อให้มั่นใจว่าหญิงสาวอยู่ที่ร้าน เขาเลยโทรศัพท์ไปหาก่อน แล้วนัดหมายเวลาคร่าวๆ เอาไว้ จากนั้นก็พามธุรัตน์ไปรับประทานอาหาร ก่อนจะไปเที่ยวตามแผนที่วางเอาไว้

เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ตั้งอยู่ในจังหวัดลพบุรี และมีเนื้อที่บางส่วนอยู่ในจังหวัดสระบุรีด้วย ตัวเขื่อนตั้งอยู่ห่างจากอำเภอมวกเหล็กซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของไร่พลวัตไปไม่เท่าไร หากต้องการเดินทางมาจากกรุงเทพฯ ก็สะดวกสบาย เพราะถนนลาดยางตัดตรงเข้ามา และมีสถานีรถไฟตั้งอยู่บริเวณทางเข้าเขื่อนด้วย

พลวัตขับรถเข้ามาทางด้านในแล้วเลือกจอดใกล้กับบริเวณที่ไม่ไกลจากร้านขายของฝากนัก มธุรัตน์เลยชวนเขาลงเดินซื้อของก่อน จะได้เอามาเก็บที่รถเลย ไม่ต้องหิ้วพะรุงพะรังขณะที่เดินเที่ยว

คนที่มธุรัตน์ซื้อของฝากไปให้ก็คือพิมลตรากับอรรณพและบรรดากองบรรณาธิการที่หญิงสาวทำงานด้วย ถึงจะไม่ค่อยคบค้าสมาคมกับใคร แต่หญิงสาวก็รู้พวกมารยาทสังคมดี เพราะถูกพิมลตราย้ำเสียงจนซึมเข้าหัว

เธอซื้อของแต่งบ้านประเภทงานแกะสลักไปฝากอรรณพ แล้วก็ซื้อเครื่องประดับไปฝากพิมลตรา ส่วนที่เหลือเป็นพวกพวกกุญแจ กับของชิ้นเล็กๆ ที่บ่งบอกว่าหญิงสาวได้มาถึงเขื่อนป่าสักและจังหวัดลพบุรีแล้ว

“ช่วยถือ” ชายหนุ่มแบมือขอของที่หญิงสาวหิ้วอยู่

มธุรัตน์แบ่งมาให้เขาครึ่งหนึ่ง แต่ชายหนุ่มแย่งมาถือเองเสียหมด

“ถือเองได้” หญิงสาวแย้ง ไม่ใช่เพราะเกรงใจ แต่ไม่ชินกับการที่มีคนมาช่วยหิ้วของให้

“เอาน่า ขอโชว์แมนหน่อยสิ เป็นผู้หญิงก็เดินชอปปิงสบายๆ ไปเหอะ”

“ซื้อเยอะนะ ไหวหรือ” มธุรัตน์หันมามองคล้ายจะปรามาส

“ไหวสิ อย่าดูถูกกันเชียว”

“งั้นหิ้วไอ้นั่นกลับไปให้หน่อย”

หญิงสาวชี้ไปที่ชุดเก้าอี้ไม้แกะสลัก ประหนึ่งว่าได้ทีเลยกะจะใช้เขาให้คุ้ม

“ยัยเพี้ยน ของแบบนี้ใครเขาจะไปหิ้วกันไหว” ชายหนุ่มแยกเขี้ยวใส่เพราะคิดว่าเธอล้อเล่น แต่เมื่อเห็นแววตาจริงจังเขาก็เริ่มไม่มั่นใจ

“นี่อยากได้จริงๆ หรือ”

“ของขวัญวันแต่งงานของพิม” หญิงสาวเฉลย

มธุรัตน์เคยไปดูเรือนหอของเพื่อนมาก่อนหน้านี้ ตรงมุมพักผ่อนที่ระเบียงมันดูโล่งไปสักหน่อย พิมลตราจึงเคยเปรยว่าอยากหาอะไรมาวาง และชุดเก้าอี้รับแขกที่ทำจากไม้ชุดนี้ก็ดูพอเหมาะพอเจาะกับมุมนั้นพอดี

ชุดโต๊ะเก้าอี้ชุดนี้ราคาแพงพอดู แต่มธุรัตน์ไม่ต่อรองราคาเลยแม้แต่คำเดียว เธอเดินไปกดเงินแล้วจ่ายให้คนขายในทันที เหมือนกับกลัวว่าจะมีคนมาคว้ามันไปก่อน

หญิงสาวให้คนขายเอาชุดเก้าอี้ไปส่งที่ไร่ของพลวัต พอใกล้งานแต่งงานของพิมลตราเธอค่อยจ้างรถขนมาให้ที่กรุงเทพฯ อีกที

พลวัตสังเกตเห็นว่ามธุรัตน์ซื้อของมากมายให้คนอื่น แต่ไม่มีชิ้นไหนที่จะเลือกให้ตัวเองเลย พอคิดได้แบบนั้นสายตาเขาก็มองหาของที่เหมาะกับหญิงสาวโดยไม่รู้ตัว แล้วสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับกำไลเงินลวดลายประณีตอันหนึ่ง ก็เลยซื้อเอาไว้ในระหว่างที่หญิงสาวกำลังคุยรายละเอียดเรื่องการส่งสินค้า

เมื่อซื้อของเสร็จแล้ว ทั้งสองคนก็พากันไปนั่งรถรางเที่ยวชมรอบบริเวณเขื่อน ตรงจุดนี้จะเสียค่าบริการคนละยี่สิบบาท ซึ่งถือว่าไม่แพงเลยสำหรับการได้นั่งรถเที่ยวรอบเขื่อนเกือบหนึ่งชั่วโมง

พอรถวนจนครบรอบ มธุรัตน์กับพลวัตก็ลงเดินเลาะไปตามริมเขื่อน ในจังหวะที่กำลังเดินฝ่ายป้ายรูปปั้นรูปลิง คู่รักคู่หนึ่งก็เรียกพลวัตเอาไว้ แล้วขอร้องให้ถ่ายรูปให้

“ได้ครับ จะให้ถ่ายติดป้ายด้วยไหม” พลวัตถาม

“ขอถ่ายแบบเห็นวิวรูปหนึ่ง แล้วขอครึ่งตัวรูปหนึ่งครับ” ฝ่ายชายบอก

พลวัตเลยถ่ายจากระยะใกล้ก่อน แล้วจึงขยับถอยออกมาถ่ายจากระยะไกล

“ขอบคุณมากค่ะ พวกคุณจะถ่ายบ้างไหมคะ ฉันจะถ่ายให้” ฝ่ายหญิงขันอาสา เนื่องจากเห็นว่ามธุรัตน์พกกล้องมาด้วย

หญิงสาวเอากล้องมาเพื่อถ่ายภาพสถานที่ไว้เป็นข้อมูล แต่เธอติดนิสัยชอบเก็บรายละเอียดด้วยความทรงจำมากกว่า ระหว่างที่มานี่เลยแทบจะไม่ได้ถ่ายภาพอะไรเลย

เมื่ออีกฝ่ายมีน้ำใจ หญิงสาวก็เลยส่งกล้องให้ แล้วดึงแขนพลวัตให้มาถ่ายรูปตรงป้าย ‘ยินดีต้อนรับสู่เขื่อนป่าสัก’ ด้วยกัน

“ชิดกันหน่อยค่ะ ขยับอีกนิด เดี๋ยวไม่เห็นป้าย” คนถ่ายรูปบอก

สองหนุ่มสาวเลยขยับมาชิดจนตัวติดกัน

พลวัตรู้สึกเขินแปลกๆ เมื่อต้องมาเข้ากล้องกับเธอ ความรู้สึกมันเหมือนตอนเป็นเด็กมัธยม แล้วได้ถ่ายรูปกับคนที่เราชอบ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองเลยวัยนั้นมามาก ทั้งเธอกับเขาก็มีอะไรกันแล้ว ชายหนุ่มก็เลยอดหัวเราะขันกับอาการเก้อเขินแบบไม่เข้าเรื่องนี่ไม่ได้

“คุณยิ้มแล้วดูหล่อดี” มธุรัตน์เปรยขณะดูภาพจากกล้อง

พลวัตชะโงกหน้ามาดูรูปด้วย ในภาพเป็นรูปเขายิ้มหน้าบาน ในขณะที่มธุรัตน์ทำหน้านิ่งไร้อารมณ์

“เวลาคุณยิ้มก็สวยออก ทำไมถึงไม่ชอบยิ้มล่ะ”

“ก็คนถ่ายไม่ได้บอกให้ยิ้มนี่”

พอได้ยินคำตอบแบบกำปั้นทุบดิน พลวัตก็แย่งกล้องไปจากมือหญิงสาว แล้วยกขึ้นมาถ่ายรูปเธอ

“งั้นเอาใหม่ ไหนยิ้มสิ”

ชายหนุ่มคิดว่าเธอจะอาย ไม่ก็ทำหน้าตลกๆ ให้เขาเห็น แต่มธุรัตน์กลับยิ้มกว้างส่งมาให้ รอยยิ้มของเธอทำให้หัวใจเขาเต้นโครมคราม แล้วตะลึงจนลืมกดถ่ายรูป

พลวัตเอาแต่ถือกล้องค้างจนมธุรัตน์ต้องสะกิดเขาว่าเธอยิ้มค้างมานานแล้ว ชายหนุ่มจึงได้สติกดปุ่มถ่ายรูปให้

“ไม่เห็นสวยเลย”

มธุรัตน์ไม่ชินกับการรูปรอยยิ้มของตัวเอง และไม่เคยรู้ตัวเลยว่าตัวเองเป็นคนยิ้มสวย เวลาหญิงสาวยิ้ม ไม่ใช่แค่ริมฝีปากเธอเท่านั้นที่เหยียดออก แต่ทั้งตาและใบหน้าก็จะยิ้มตามไปด้วย

“ห้ามลบเชียวนะ ผมอุตส่าห์ถ่ายให้” พลวัตรีบสั่งในทันที ด้วยกลัวว่าหญิงสาวจะลบรูปถ่ายแสนสวยใบนี้ทิ้งไป

มธุรัตน์พยักหน้ารับ แล้วเดินนำลัดเลาะไปตามทางเดิน พอเริ่มเหนื่อยเธอก็นั่งลงตรงริมทางเพื่อพักหายใจ แล้วทอดสายตาดูแนวเขื่อนซึ่งมีภูเขากับท้องฟ้าเป็นฉากหลัง

ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายคล้อย แม้จะมีแดดแต่ก็ไม่รู้สึกร้อนเลย ติดจะหนาวเสียด้วยซ้ำเพราะลมที่เขื่อนพัดแรงมาก

สายลมเย็นพัดผมยาวสลวยของมธุรัตน์ให้ปลิวสยายไปในอากาศ ไอเย็นที่มันหอบมาทำคนขี้หนาวสะท้านไปทั้งร่างจนต้องกอดตัวเองแล้วห่อไหล่

เธอหนาวอยู่ได้อึดใจ ลมแรงที่เคยพัดกระหนำก็หายไป กลายเป็นไออุ่นจากร่างของพลวัตแทน ชายหนุ่มมายืนกันทางลมเอาไว้ให้ เพราะสังเกตเห็นว่าหญิงสาวเริ่มตัวสั่น

“ขอบคุณ”

“บังเอิญหรอก ไม่ได้ตั้งใจจะมาบังลมให้สักหน่อย” ชายหนุ่มปฏิเสธแก้เก้อ

“ขอบคุณที่พามาเที่ยวต่างหาก”

คนร้อนตัวเลยหน้าแดงเมื่อได้ยิน เนื่องจากอายตัวเองที่เผลอหลุดปากออกไปให้เธอจับได้

พลวัตเป็นสุภาพบุรุษ แต่ก็ไม่ได้มีนิสัยโรแมนติกละเอียดอ่อน กับแฟนคนก่อนๆ ที่คบหากัน เขายังโดนบ่นออกบ่อยไปว่าแข็งทื่อน่าเบื่อ แต่พออยู่กับมธุรัตน์ เขากลับแสดงด้านที่อ่อนโยนออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ

ชายหนุ่มเองก็รู้สึกได้ว่าตัวเองไม่ใช่คนเดิมอย่างที่เคยเป็น จะเพราะเวลากับวัยวุฒิที่เพิ่มขึ้นหรือเป็นเพราะมธุรัตน์ ตัวเขาเองก็สุดจะเดา

พลวัตล้วงเข้าไปในกระเป๋าที่มีกำไลที่ซื้อมาซ่อนอยู่ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งหลักฐานที่ชี้ชัดว่าเขาเปลี่ยนไป ชายหนุ่มหยิบมันขึ้นมาตั้งใจจะเอาออกมาให้หญิงสาว แต่แล้วก็ต้องเก็บมันกลับเข้าไปในกระเป๋าอย่างเดิม เพราะไม่รู้ว่าจะหาข้ออ้างอะไรมอบมันให้เธอ

กำไลจึงกลับมานอนนิ่งอยู่ในกระเป๋าอีกครั้ง พร้อมคำถามว่าเขารู้สึกอย่างไรต่อหญิงสาวกันแน่ ‘รักหรือแค่ชอบมาก’




นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 มิ.ย. 2554, 08:31:04 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ก.พ. 2555, 14:37:43 น.

จำนวนการเข้าชม : 3140





<< บทที่ 7 ความผิดพลาดที่หอมหวาน   บทที่ 9 คนรักเก่า >>
Pat 4 มิ.ย. 2554, 08:52:42 น.
สำรวจใจตัวซะดีๆพลวัต รักแล้วล่ะแบบเนี้ย ^^


ดารานิล 4 มิ.ย. 2554, 10:15:43 น.
ต๊ายยย มาแร้วเหรอยะหร่อนนน


นิชาภา 4 มิ.ย. 2554, 10:22:03 น.
ชั้นตื่นตั้งแต่ตีห้าแล้วเธอว์ ปลุกคุณสามีไปทำงาน แล้วกลิ้งต่อจนถึงเจ็ดโมงค่อยลุกมานั่งจัดหน้าเนี่ย ระยะนี้นอนเร็ว ตื่นเร็ว เพื่อสุขภาพ


ดารานิล 4 มิ.ย. 2554, 10:24:51 น.
ตื่นเช้ากว่าชั้นอีก ทำงานแปดโมง ตื่นเจ็ดโมงครึ่ง กร๊ากกกกกกกกกก


MYsister 4 มิ.ย. 2554, 12:47:01 น.
^^


หมูอ้วน 4 มิ.ย. 2554, 14:09:39 น.
น่ารักมาก ๆ ค่ะ ทั้งนายพลและหนูน้ำผึ้ง
สลับตำแหน่งกันแบบไม่ได้ตั้งใจ ฮิ...


ลูกกวาดสีส้ม 4 มิ.ย. 2554, 15:00:32 น.
น่ารักจริงๆเลยค่ะ


ปูสีน้ำเงิน 4 มิ.ย. 2554, 15:20:28 น.
เดี๋ยวจะตามไปอ่านที่อินเลิฟนะคะ


หนอนฮับ 4 มิ.ย. 2554, 15:46:04 น.
วี้ดวี้ววววว....อิอิ
เพิ่งจะอ่านคะ แต่น่ารักมากกก
ชอบค่าาา...น่ารักอ่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account