ดีไซน์หัวใจ รักไร้แบบร่าง
เมื่อนักกฏหมายสาวมั่นเจ้าหลักการอย่าง "อนิสสา" เกิดจำใจต้องโดนบังคับรับมรดกของคุณป้าเป็นนิตยสารบันเทิงหัวเก่าแถมยังเชยสะบัด มันเลยต้องถึงเวลารีโนเวทเสียใหม่ แถมบรรดาคนงานก็เก่าและแก่ด้วยวัยรุ่นลุงรุ่นป้า เธอเลยต้องหาทางเดินหน้าแบบถนอมน้ำใจ แถมมีไฟท์บังคับว่าเธอจะรับคนงานใหม่ได้แค่ 3 คนไม่เกินนั้น

เรื่องราวเลยอลหม่านไปใหญ่เมื่อคอลัมนิสต์สาวเจ้ากราฟฟิคแถมเกลียดผู้ชายชีกอสุดๆ อย่าง "อัสสร" ต้องโคจรมาร่วมงานกับ "ปกรณ์" ช่างภาพหนุ่มหัวหน้าฝ่ายอาร์ตสุดตีสต์ที่แอบจีบเพื่อนร่วมงานสาวอย่างไม่ยอมให้เธอรู้ตัว

แถม "อนิสสา" ยังริอ่านตกหลุมรัก???? "ณพัฒน์" สถาปนิกหนุ่มหัวดื้อที่มาตกแต่งออฟฟิศให้ใหม่เข้าโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว.... แถมยังกล้าๆ กลัวๆ ที่จะคิดว่าเขาชอบเธอ???? หรือเปล่าเสียอีก...

งานนิตยสารรึก็ไม่เป็น บริหารคนก็ไม่เก่ง ยังต้องมาบริหารใจอีก... แบบนี้จะไหวไหมนะ....อนิสสา???
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 1 มือใหม่ออกตัว

1. มือใหม่ออกตัว

สำนักพิมพ์บันเทิงใจ...

ประภาพิมพ์เข้าตึกมาตั้งแต่เช้า เธอมักอาศัยรถมอเตอไซค์วินใต้ถุนคอนโดฯเสมอ เจ้าเหน่ง หนุ่มวินตัวป่วนก็ดีเหลือหลายพาเธอลัดเลาะปรู๊ดปร๊าดชวนให้หัวใจวายเป็นประจำ แต่ก็ได้เจ้านี้ช่วยงานส่งและรับเอกสารที่สำนักพิมพ์อยู่บ่อยครั้ง

วันนี้ประภาพิมพ์ต้องมาเตรียมทำบัญชีเงินเดือนให้ลูกน้อง ซึ่งเป็นหนึ่งในงานที่เธอต้องทำเอง ไม่ใช่เพราะไม่ไว้วางใจใครแต่เพราะช่วงใกล้สิ้นเดือนเอกสารการเงินที่ศรีสมัยรับผิดชอบจะประดังเข้ามาจากหลายทาง เธอก็ถือว่าแบ่งเบางานลูกน้องบ้าง

ระหว่างทำไปก็นึกไปว่าถ้าเธอวางมือแล้ว ลูกน้องแต่ละคนที่อยู่กับเธอมาก็นานปี ทั้งสมพิศ ศรีสมัย และทักษิณจะอยู่อย่างไรต่อ ทุกคนล้วนต่างมีบุญมีคุณ ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาตั้งแต่แรกแต่เริ่มตั้งสำนักพิมพ์ แล้วไหนจะปกรณ์กับอุศเรศที่แม้จะเข้ามาที่หลัง แต่คนเหล่านี้ก็ช่วยประคับประคองเธอไว้ในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี ไหนจะนักเขียนที่เคยได้อาศัยพึ่งพิงกันอีกตลอดช่วงหลายสิบปีนี้อีก

คิดแล้วประภาพิมพ์ก็เหนื่อยใจและท้อแท้ เธอรู้ว่าเศรษฐกิจมันไม่ได้ดี และสังคมก็เปลี่ยนแปลงไปมากเสียจนความบันเทิงล้วนมีราคาค่างวดที่สูง แม้นิตยสารจะได้อานิสงส์ด้านความบันเทิงด้วยแต่ก็ไม่ถึงขนาดที่นิตยสารนิยายรายปักษ์จะเป็นตัวเลือกที่สำคัญ ภาพยนตร์ในโรงหนังติดแอร์ ละครทีวีและซีรี่ย์เกาหลี รายการในเคเบิ้ลทีวี อินเตอร์เน็ตต่างหากที่เป็นที่สนใจของผู้คนสมัยใหม่ ก็คงจะมีแต่คนหัวเก่า นักอ่านสูงอายุที่ยังตามอ่านนิยายจากนิตยสารอยู่

ยังไม่ทันจะเคลียร์บัญชีให้เสร็จ โทรศัพท์ข้างมือก็ดังขึ้นมา หญิงสูงวัยเอื้อมมือรับมาแนบหู

“ฮัลโหล... จำได้มั้ยว่านี่ใคร? ”ฝ่ายนั้นถามทวงความจำ ประภาพิมพ์ฟังเสียงดูก็รู้สึกคุ้นๆ ว่าเสียงนี้ช่างฟังดูคุ้นเคยนัก พลางนึกในใจถึงหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกันหนึ่งคน
“พี่แตน?” เธอลองเดา
“ต๊าย...จำแม่นจริงๆ คนเก่ง” ฝ่ายนั้นเปล่งเสียงดีใจ

พี่แตนหรือธิติมาศ สุคล นักเขียนคนเก่าคนแก่ที่มีผลงานลงในนรีสารอย่างต่อเนื่องมาเป็นสิบปี ก่อนจะวางมือไปเมื่อซักสองปีก่อน หนึ่งในนักเขียนคนสนิทของประภาพิมพ์ ความสนิทสนมคุ้นเคยนั้นน่าจะเรียกได้ว่าเพื่อนร่วมแก๊งค์เสียมากกว่า

ประภาพิมพ์ยังจำบรรยากาศรวมตัวกันสมัยนั้นได้ สาวโสดโคตรไฉไลทั้งกลุ่มที่ได้ทำอะไรสนุกสนาน ได้ใช้เสียงหัวเราะอย่างล้างผลาญ บ่อยครั้งที่มักนัดพบเจอเพื่อพูดคุยและสังสรรค์ตามประสาพี่ๆ น้องๆ คนรักตัวอักษรด้วยกัน แม้ฝ่ายหนึ่งและส่วนใหญ่จะเป็นนักเขียน และมีเพียงบางคนอย่างประภาพิมพ์ที่เป็นคนทำหนังสือ วันเวลานาทีที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น สนุก สบายใจและผ่อนคลายด้วยความอบอุ่นประสาคนที่รักและเข้าใจกันยังย้อนให้เธอนึกอยู่เป็นประจำ

“คิดถึงจังเลยค่ะพี่แตน อยู่ไหน ทำอะไร เป็นยังไงบ้างคะ หายไปไม่เห็นติดต่อกันเลยนะคะ” ประภาพิมพ์ดีใจมาก ปล่อยคำถามเป็นชุดจนอีกฝ่ายต้องเบรกไว้ เพราะมีเรื่องสำคัญที่อยากบอกยิ่งกว่า
“พวกพี่อยากให้พิมมาอยู่อเมริกากลับพวกพี่ซักระยะ” พี่แตนของประภาพิมพ์บอก
“อเมริกา???!!!” ประภาพิมพ์อุทานด้วยความประหลาดใจ
“ใช่... พวกพี่นัดกันว่าจะมาอยู่ที่นี่กันสักปี อย่างน้อยก็ 5-6 เดือน อาจจะท่องเที่ยว ปาร์ตี้หลังบ้าน พักผ่อนพูดคุย แล้วก็อาจจะเขียนนิยายเรื่องใหม่ๆ กัน”
“ทีนี้แม่พวกนั้นบอกว่าอยากให้พิมมาอยู่กับพวกเราด้วย”

ประภาพิมพ์ครุ่นคิดถึงคำเชิญนี้ นานปีแล้วที่เธอทำงานอยู่กับที่ไม่ได้พักผ่อนมากนักเพื่อประคับประคองสำนักพิมพ์ นานปีมากที่เธอไม่ได้พบเจอพี่ๆ น้องๆ กลุ่มนี้ แต่การที่จะไปอยู่อเมริกาเป็นปี-ครึ่งปีแบบนี้คงจะยาก

“พี่รู้ว่ามันตัดสินใจยากนะพิม แต่ลองวางมือแล้วให้คนอื่นดูแลต่อก็ได้นี่นา” พี่แตนแนะนำ
“เดี๋ยวน้องจะลองคิดดูนะคะ” ประภาพิมพ์ตอบ
“ได้จ้ะ แล้วพี่จะรอฟังข่าวดีนะ” ต้นสายจากแดนไกลบอกก่อนวางหูไป

ประภาพิมพ์นิ่งคิดกับข้อเสนอใหม่ในชีวิต
....................

ที่ตึกระฟ้าของโครงการกรุงเทพไฮสกาย ลิฟท์ความเร็วสูงพุ่งพรวดขึ้นจากชั้นล่างสุดเพื่อไปยังชั้นที่ 65 ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ เขารู้ว่าน่าจะใช้เวลาแค่ไม่กี่นาที ณพัฒน์ สุภาพันธุ์ แอนเดอร์สันอารมณ์ไม่ค่อยดีนักเพราะผู้ที่เขาต้องไปพบเป็นถึงกรรมการใหญ่ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์อันดับต้นๆ ของเมืองไทยที่เป็นเจ้าของตึกนี้

ณพัฒน์เป็นชายหนุ่มลูกครึ่งรูปร่างดี หน้าตาสะอาดสะอ้าน ด้วยความที่มีพ่อเป็นชาวอเมริกันดังนั้นเขาจึงดูสูงใหญ่กว่ามาตรฐานผู้ชายไทยทั่วไป โอลิเวอร์ จอห์น แอนเดอร์สันพ่อของเขาเป็นอดีตผู้บริหารบริษัทการเงินระดับท็อปของเมืองไทยเมื่อเกือบสามสิบปีก่อน พ่อมาตกหลุมรักกับแม่ซึ่งเป็นผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายการตลาดของบริษัทโฆษณาแห่งหนึ่งที่ต้องร่วมงานด้วย ตอนนี้ทั้งสองคนโยกย้ายกลับไปอเมริกาหลายปีแล้วเพราะต้องการไปอยู่ดูแลใกล้ชิดคุณปู่กับคุณย่าของเขา ดังนั้นตอนนี้เขาจึงอยู่เมืองไทยเพียงลำพัง เพราะพื้นเพแม่ไม่ใช่คนกรุงเทพฯ ดังนั้นแม้จะมีญาติห่างๆ เหลืออยู่บ้างก็ไม่กี่ครอบครัวก็ต่างอยู่ที่ต่างจังหวัดทั้งหมด

ในชุดสูทเข้ารูป ชายหนุ่มใช้นิ้วดึงเน็คไทด์ออกเล็กน้อย โดยนิสัยส่วนตัวที่เงียบขรึมและช่างคิด แววตาของเขาเลยดูกระด้างแข็งไปหน่อย แววตาคู่นั้นมองตัวเลขขยับอย่างรวดเร็วด้วยความไม่สบายใจ

หากเป็นเรื่องโครงการบ้านหรูริมทะเลสาบซึ่งเชื่อมต่อกับแม่น้ำสายหนี่งย่านพุทธมณฑลกับโครงการคอนโดมิเนียมตรงศรีนครินทร์ เขาก็คงไม่รู้สึกอึดอัดนัก จริงอยู่ว่าการก่อสร้างค่อนข้างล่าช้ากว่ากำหนดนิดหน่อยเพราะปัญหาเรื่องคนงาน แต่ก็เป็นเรื่องที่ฝ่ายก่อสร้างกำลังปรับโยกคนงานอยู่ แต่เพราะเขาคิดว่าเรื่องด่วนที่ทำให้เขาต้องมาในวันนี้คงไม่แคล้วจะเป็นเพราะหญิงสาวที่มาติดพันเขา นุจรินทร์—บุตรีคนเล็กของนายนภวัฒน์ เสถียรเสฐฐสาร ผู้เป็นหนึ่งในยี่สิบเจ้าสัวผู้มั่งคั่งที่สุดในเมืองไทยปัจจุบัน

ลิฟท์ร้องเตือนและประตูตรงหน้าก็เปิดออก ณพัฒน์ได้แต่สูดหายใจแรงแรงๆ เพื่อถอนหายใจอีกเฮือกก่อนก้าวออกไป
....................

ตอนเย็นของวันนั้น ประภาพิมพ์รีบจับรถไปหาน้องสาวที่บ้านทันที ผู้เป็นพี่สาวเปิดประตูเล็กเข้าบ้าน เข้าไปกอดและหอมแก้มผู้เป็นมารดาซึ่งต้องนอนอยู่บนเตียงเป็นส่วนใหญ่เพราะชราภาพมากแล้ว ผู้น้องสาวกำลังง่วนกับการเตรียมอาหารเย็น

“เล็ก หลานจะกลับมาทานข้าวเย็นหรือเปล่า?” ประภาพิมพ์เอ่ยถาม
“ไม่ค่ะพี่ใหญ่ ยัยนิดว่าจะไปทานข้าวกับเพื่อนที่ปิ่นเกล้าน่ะ” คนปรุงแกงอยู่หน้าเตาบอก

ระหว่างที่เตรียมทานมื้อเย็นไป สองพี่น้องก็คุยกันเรื่องคำชวนไปอเมริกา ประภาพิมพ์เล่าเรื่องนี้ให้ผู้เป็นน้องสาวฟังด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นปนเศร้าสร้อย เหมือนคนความคิดทะเลาะกันเองในหัว ประภัสสรเองก็รู้ดีว่าพี่สาวของเธอเหนื่อยมากขนาดไหน สำนักพิมพ์ก็สู้อุตส่าห์ฝ่าฟันมาตั้งนาน มันสมควรถึงเวลาพักผ่อนสักครั้ง

ขณะที่กำลังเห็นใจผู้พี่สาว แวบความคิดที่จะให้ลูกสาวคนสาวเลิกจากงานด้านกฎหมายเสียทีก็ผุดขึ้นมา

“พี่ใหญ่คะ” เธอเรียกพี่สาว
“ว่าไงเล็ก?” ผู้เป็นพี่ถามพลางเตรียมจานข้าวสำหรับผู้เป็นมารดาซึ่งต้องทานอาหารอ่อน
“พี่ก็ยกสำนักพิมพ์เป็นมรดกให้ยัยนิดไปเลยสิพี่” ประภัสสรพูดอย่างตื่นเต้น เธออดไม่ได้ที่จะคิดล่วงหน้าไปแล้วว่าลูกสาวจะรับช่วงงานนี้แน่ๆ
“แล้วพี่ก็ไปพักที่อเมริกาสักปี พี่แตนเค้าคงยินดีอยู่แล้ว เธอจะได้มีเพื่อนอยู่ด้วยกัน แล้วทางนี้ก็ให้หลานมันดูแล ที่นี้หลานก็ปฏิเสธไม่ได้ที่จะต้องทิ้งงานนั้นมาจับงานนี้” คนเป็นน้องอธิบายแผนการ
“มันจะดีเหรอ? ไปบังคับหลานแบบนั้น” คนสูงวัยกว่าว่า
“ดีสิพี่ ทีนี้แหละยัยนิดก็จะได้เลิกเป็นทนายเสียที” เธอพูดพลางกระหยิ่มยิ้ม
....................

ที่สตูดิโอของค่ายละคร เปรมอรลากอนิสสามาเป็นเพื่อนเพื่อถ่ายแบบสำหรับโปรโมทละครเรื่องหลังสุดที่เตรียมออกฉาย ขณะที่เปรมอรโพสต์ท่าทางในมุมต่างๆ ให้ช่างภาพถ่าย เสียงชัทเตอร์ทำงานประสานกับแสงแฟลชวึบวับจากกล้องถ่ายรูปทำเอาอนิสสาตาลาย เธอเลยเลี่ยงออกมายืนห่างๆ

หญิงสาวมองดูเพื่อนรักขยับตัวหมุนซ้ายทีขวาที รูปหน้าเรียวสวย ดวงตาที่เขียนสีไว้ฉูดฉาดดูเด่นดีทีเดียว ยิ่งเวลาที่แพทเอียงหน้าแล้วใช้หางตาจิกกล้อง หล่อนน่าจะเอาชนะใจหนุ่มๆ ได้ทั้งโลก—แต่นั่นอาจจะเป็นมุมมองของคนเห่อเพื่อนแบบเธอคนเดียวก็ได้

“อะแฮ่ม”

เสียงกระแอ้มไอดังอยู่ข้างหลัง อนิสสาหันกลับไป พบว่าคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเป็นชายค่อนข้างมีอายุมากกว่าอนิสสาพอดู หน้าตาดูเคร่งขรึมติดบึ้งตึงเล็กน้อย ถึงเขาจะยิ้มให้เธอแต่ก็ไม่อาจจะห้ามไม่ให้หญิงสาวรู้สึกประหม่าลงไปได้ บางทีเขาอาจจะเป็นผู้หลิกผู้ใหญ่ของค่ายผู้ผลิตนี้ แต่เธอสิ—เป็นคนนอกที่เข้ามาโดยไม่มีกิจธุระสำคัญ

“เธอเป็นเพื่อนของยัยแพทเหรอ?” ผู้ชายคนนั้นถาม
“ค่ะ” อนิสสาตอบแล้วก็ไม่ได้มองหน้าผู้ถาม แต่หันไปมองเพื่อนสาวแทน
“ดูดีๆ ก็หน้าตาดีนะ” อีกฝ่ายพูดต่อ
“ใช่ค่ะ” อนิสสาพูด สายตายังมองไปที่คนในแสงไฟ เธอพยายามทำตัวให้มีช่องว่างระหว่างตัวเองกับคนแปลกหน้าคนนี้ พูดตามตรงคืออนิสสาไม่ค่อยไว้วางใจคนที่มายืนข้างๆ นี่เท่าไหร่
“ไม่สนใจมาลองเทสต์หน้ากล้องสักหน่อยเหรอ? ผมช่วยให้ได้ลองเทสต์ได้นะ” ฝ่ายนั้นพูดเหมือนคนมีเส้นสาย
“หา??? หมายถึงหนู???” อนิสสาหันขวับกลับมา ทำหน้างง พลางชี้นิ้วเข้าหาตัวแบบไม่แน่ใจ
“หนู???” หญิงสาวยังคงไม่แน่ใจ
“อ้าว... ก็ใช่น่ะสิ”
“หนูนึกว่าคุณพูดถึงเพื่อนหนู”
“ยัยแพทน่ะเค้าสวยของเค้าอยู่แล้ว ไม่ต้องเทสต์หรอก ที่ว่าหน้าตาดีเนี่ย ผมหมายถึงหนูนี่แหละ” อีกฝ่ายว่าทั้งหัวเราะยิ้ม
“เอ่อ ขอบคุณค่ะ แต่หนูสวยสู้แพทมันไม่ได้หรอกค่ะ” เธอกล่าวอย่างเขินๆ
“ว้า... นึกว่าจะได้นางเอกใหม่อีกสักคน” ฝ่ายนั้นถอนหายใจ
“ไม่เป็นไรๆ เอานามบัตรไว้ก่อนแล้วกัน วันไหนอยากลองงานในวงการก็โทรมา” ฝ่ายนั้นล่วงหยิบกระดาษแผ่นเล็กๆ ยื่นส่งให้อนิสสา เธอรับมาแบบงงๆ

ผู้ชายคนนั้นผละไปเมื่อหัวหน้าช่างภาพตะโกนสั่งทุกคนว่าเรียบร้อย เปรมอรขยับเสื้อผ้าให้เข้าที่แล้วตรงดิ่งมาหาอนิสสาที่รออยู่

“นิด คุณการุณย์เค้ามาคุยอะไรกับแกเหรอ?” แพทถามทันทีที่เธอพักเบรกจากช่วงถ่าย
“ใครเหรอ?”
“ก็คนที่ยืนคุยกับแกเมื่อกี้ไง ฉันเห็นนะ คุณการุณย์เค้าเป็นผู้จัดละครของช่องสามไงนิด”
“อ๋อ...” หญิงสาวลากเสียงยาว ถึงจะไม่รู้จักแต่เธอก็เคยได้ยินชื่อนี้ผ่านหูมาบ้าง
“ว่าแต่จะบอกได้ยังว่าเค้าคุยอะไรกับแกล่ะ?” แพทไม่ลืมเรื่องที่ถามไว้
“เค้ามาถามว่าอยากลองเทสต์หน้ากล้องไหม? ฉันเลยปฏิเสธไป” อนิสสาตอบ
“ว้าว... โอกาสดีแบบนี้ทำไมนิดไม่คว้าไว้นะ เป็นฉันนะ!!!” สาวสวยบ่น
“เป็นฉันอะไรของแกยัยบ้า ก็ที่ถ่ายๆ อยู่นี่ไม่ใช่เพราะเป็นดาราอยู่แล้วหรือไง?” อนิสสาว่า
“เออ... ลืมไป” เพื่อนสาวทำหน้าบ๊องแบ๊ว
“จริงสิ เดี๋ยวแกกลับก่อนเลยก็ได้นะ ท่าทางจะต้องไปงานเลี้ยงของทีมกองถ่ายกับพวกดาราใหม่อ่ะ” เปรมอรบอก
“อืม... ไม่เป็นไร”
“งั้นกลับดีๆ นะตัวเอง เค้าไม่ไปส่งที่รถนะ” นางแบบคนสวยยั่วเย้า
“ยะ”
....................

กลับมาที่บ้าน อนิสสาได้แต่นั่งอึ้งรับฟังเรื่องราวจากปากผู้เป็นมารดา ดูเหมือนผู้เป็นแม่จะกำลังบังคับให้เธอจำเป็นต้องตกปากรับคำอย่างปฏิเสธไม่ได้ แม้เธอจะพยายามบอกว่าเธอไม่ได้มีความรู้อะไรเรื่องนี้เลยก็ตาม ผู้เป็นแม่ก็ยังอ้างได้ว่าสมัยก่อนป้าของเธอก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องทำหนังสือเหมือนกัน แถมนี่ลูกสาวยังมีคนเก่าคนแก่ของป้าไว้คอยช่วยงานอีกตั้งหลายคน

“แต่หนู...” หญิงสาวพยายามเกี่ยงงอน
“งานนี้ไม่มีแต่ นอกจากตามใจแม่แล้วยังได้ช่วยเหลือป้าใหญ่เค้าด้วยนะลูก” ประภัสสรกึ่งบังคับกึ่งขอร้อง
“เดี๋ยวหนูคิดดูก่อนไม่ได้เหรอคะ?” อนิสสายังพยายามบ่ายเบี่ยง
“ไม่ต้องคิด มีแต่ต้องทำเท่านั้น”
“แม่อะ...” อนิสสางอแง

คล้อยหลังมารดามาบอกเรื่องที่เธอต้องรับผิดชอบบริหารสำนักพิมพ์แทนผู้เป็นป้า หญิงสาวรีบโทรหาเพื่อนสาวคู่คิดอย่างเปรมอรทันที
อนิสสาเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนสาวแสนสนิทฟัง แทนที่จะได้คำแนะนำที่อยากได้ กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายเห็นดีเห็นงามด้วยกับบทบาทใหม่ที่เธอจะได้รับ สำคัญยังเสนอตัวเป็นผู้ช่วยเธอด้วยอีกคน แต่ที่จริงไม่มีอะไรมากไปกว่าเปรมอรเองเป็นแฟนนิยายนักเขียนรุ่นคุณน้าในนิตยสารของผู้เป็นป้าเพื่อนเธอเพียงแต่เธอไม่เคยบอกใคร

ถึงแม้จะหยิบยกเหตุนั้นเหตุนี้มาเทียบอ้าง แต่สุดท้ายเพื่อนสาวก็ยังคงยืนยันตามความคิดเดิมว่าอนิสสาควรรับภารกิจดูแลนิตยสารของป้าต่อไป ไม่ควรที่จะปล่อยให้มันสูญเปล่า

อนิสสาจนใจที่จะหาแนวร่วม สุดท้ายเธอก็พบว่าต้องยอมรับมรดกชิ้นสำคัญของผู้เป็นป้าอย่างเสียมิได้ แถมจะทำแบบเสียๆ หายๆ ก็ไม่ได้อีกด้วย เพราะนอกจากแค่สำนักพิมพ์แล้ว เธอยังต้องรับพ่วงดูแลคนงานเก่าแก่ของป้าไว้ด้วยทั้งหมด
....................

สัปดาห์ต่อมา

ครอบครัวทั้งหมดเดินทางมาส่งประภาพิมพ์ที่สนามบิน แม้จะเป็นการเดินทางไม่นานนัก แต่ทุกคนก็อดใจหายไม่ได้ ประภาพิมพ์เข้าไปกอดผู้เป็นมารดาซึ่งนั่งอยู่บนรถเข็น หญิงชราน้ำตาคลอ จากนั้นสองศรีพี่น้องก็กอดกันกลมด้วยความอาลัย อภิเชษฐ์ผู้เป็นสามีของน้องสาวยื่นมือมาจับมือของพี่สะใภ้แล้วบีบเบาๆ เชิงอวยพร

ประภาพิมพ์หยุดยืนหน้าหลานสาวคนสวย เธอมองหน้าหลานสาวด้วยความชื่นชม ประภาพิมพ์รักแววตาอันมุ่งมั่นของหลานสาวคนนี้ เธอรู้ดีว่าอนิสสามีความเป็นนักสู้ในตัวมากขนาดไหน

“ป้าขอโทษที่ทำให้หนูลำบากนะลูก” ประภาพิมพ์เอ่ยเสียงเศร้า สองมือยื่นมาจับไหล่หลานสาวไว้เบาๆ
“ป้าไม่ต้องห่วงนะคะ นิดจะทำให้ดีที่สุด” อนิสสาให้คำมั่น
“ป้าเชื่อว่าหนูทำได้จ้ะ”
“ค่ะ” อนิสสาตอบหนักแน่น แม้ตอนแรกเธอจะไม่อยากทำก็ตาม แต่หญิงสาวที่แสนมุ่งมั่นแบบเธอจะไม่ยอมแพ้อุปสรรคที่ต้องเจอแน่นอน
“มีอะไรให้ป้าช่วยหนูส่งข่าวหาป้าเลยนะ” ผู้เป็นป้าพูด
“หนูจะพยายามนะคะ” หญิงสาวกอดไปน้ำตาคลอไป เพราะนานมาแล้วที่เธอไม่เคยอยู่ห่างไกลผู้เป็นป้าเลย ทุกสัปดาห์ก็ได้เข้าไปรับนิยายต้นฉบับมาฝากลุงมิตรของเธอ งานบุญงานเลี้ยงที่สำนักพิมพ์ของผู้เป็นป้าได้รับเชิญ ป้าก็มักชวนเธอไปด้วยอยู่เสมอ สมบัติชิ้นนี้ที่ป้ามอบให้ก็หมายถึงความไว้วางใจอย่างยิ่งใหญ่ที่ป้าเชื่อในตัวของเธอ

ประภาพิมพ์ดึงหลานเข้ามากอดกระชับไว้แน่นในสองแขน อนิสสาบอกตัวเองว่าเธอจะทำมันให้ได้และให้ดีสมกับที่ป้าไว้ใจ

บรรดาลูกน้องเก่าแก่ที่สำนักพิมพ์ยืนน้ำตาซึมอยู่ไม่ห่าง คนเตรียมเดินทางฝากฝังให้ดูแลกันและกันให้ดี และฝากให้ช่วยดูแลหลานสาวของเธอด้วย
....................

คืนนั้นอนิสสานอนกระสับกระส่ายไปมาด้วยความครุ่นคิดกังวล กว่าจะหลับก็ปาเข้าไปค่อนคืน เธอไม่อยากทิ้งงานที่เธอฝัน แต่ความจำเป็นชนิดที่ต้องทำให้ทุกอย่างสำเร็จด้วยนี่สิ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย แถมต่อให้เธอโตมากับสำนักพิมพ์แห่งนี้ก็ใช่ว่าเธอจะเคยได้เข้าไปคลุกคลีสนิทสนมกับพวกป้าๆลุงๆในนั้นเสียหน่อย

อนิสสาคนสวยหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อนแล้วก็ฝันร้าย

แต่ชวนแปลกใจนัก... เธอดันฝันเห็นงูเหลือมตัวใหญ่รัดเธอจนหายใจไม่ออกเสียนี่...



นรมันร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ก.ค. 2556, 11:46:59 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ก.ค. 2556, 11:46:59 น.

จำนวนการเข้าชม : 846





<< บทนำ   คำมั่นสัญญา >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account