ดวงใจจ้าวรัตติกาล โดย ภคพร (วางแผงแล้ว)
'นางคือจันทราสว่างไสว นางคือจอมใจเมื่ออยู่เคียงขวัญ นางคือคู่แท้แห่งนิรันดร์ นางคือชีวันจ้าวรัตติกาล'
เขาไม่เคยเห็นค่าของสิ่งที่มีจวบจนวันที่เสียไป สายไปไหมหากจะวอนขอให้จันทร์จ้าวกลับมาอยู่เคียงข้าง
Tags: โรแมนติก เจ้าหญิงเจ้าชาย พระเอกขรึม นางเอกขรึมกว่า ความรัก การเมืองเล็กๆ

ตอน: บทที่ 9 กัลยาณี

บทที่ 9 กัลยาณี

องครักษ์เงารนรานวิ่งหาดอกไม้ที่เจ้านางโปรดเสียทั่ววัง ทว่าก็พบแต่ต้นไม่มีดอกเลยสักนิด กระนั้นจรีก็ยังไม่ละความพยายาม หาที่วังฝั่งซ้ายไม่ได้ก็ย้ายไปหาที่วังฝั่งขวาต่อ ประจวบเหมาะได้พบกันองครักษ์แสงเข้าพอดี ฝ่ายนั้นจึงมีน้ำใจแนะนำว่าดอกปันหยีมีอยู่ที่เมืองเขมทัศน์ทางแดนเหนือ ตอนนี้กำลังบานสวย ระยะทางจากเมืองหลวงไปก็ราวๆ สองร้อยกิโลเมตร ใช้ม้าเร็ววิ่งสักสี่ชั่วโมงก็ไปถึง

คำนวณแล้วไปกลับใช้เวลาแปดชั่วโมงพอดิบพอดี ป่านนั้นคงใกล้เช้าแล้ว ขืนทำอะไรชักช้าท่านจ้าวจะกริ้วเอาปะไร ราชองครักษ์หนุ่มจึงหามุมลับตาคนแปลงร่างเป็นเหยี่ยวสยายปีกโผบินขึ้นท้องฟ้าไป

เหยี่ยวได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งความเร็วอยู่แล้ว ยิ่งมีกระแสลมเป็นตัวช่วยความเร็วจึงเหนือกว่าม้าถึงหกเท่า ไม่ถึงสองชั่วโมงเหยี่ยวแปลงก็กลับมายังเมืองหลวงพร้อมช่อดอกปันหยี

ช่วงที่บินเข้าวังมาเป็นช่วงหัวค่ำพอดี ราชองครักษ์จึงสบโอกาสใช้ความมืดพรางกายบินลัดตัดตรงไปยังตำหนักของเจ้านิศามณีเลย ตั้งใจว่าจะหามุมมืดสักมุมคืนร่างแล้วค่อยนำดอกไม้ไปถวาย

ขณะที่กำลังจะร่อนลงบนกิ่งไม้ใกล้หน้าต่างห้องของพระชายา เหยี่ยวแปลงผู้อาภัพก็ถูกศรโปร่งแสงยิ่งทะลุร่างชุดใหญ่

คราวก่อนดอกเดียวยังร่วง นี่เจอเป็นชุดจึงสลบเหมือดไปทั้งที่ยังอยู่ในร่างเหยี่ยว มือธนูเห็นดังนั้นก็หิ้วปีกเหยี่ยวแปลงไปถวายให้เจ้านางทั้งในสภาพเช่นนั้น

เคราะห์หามยามซวยของจรีโดยแท้ที่กรวินท์บังเอิญกลับจากการสืบข่าวให้เจ้านางพอดิบพอดี เมื่อรู้ว่ามีเหยี่ยวแปลงที่เคยอาฆาตไว้บินโฉบมาใกล้ที่ประทับ มีหรือข้าเบื้องบาทผู้ภักดีจะปล่อยให้หลุดรอดไป

“มันมาด้อมๆ มองๆ ที่แถวหน้าต่างพระเจ้าค่ะ กรวินท์เห็นไม่ชอบมาพากลจึงจับกลับมาถวายเจ้านาง”

ขมังเวทมนตร์ดำโยนโครมร่างแปลงขององครักษ์เงาลงพื้นไปอย่างไม่ไยดี สำหรับกรวินท์แล้วการไม่หักคอฆ่าทิ้งถือเป็นเมตตาอย่างที่สุด

“ขอบใจที่ห่วงเรานะกรวินท์ แต่เราว่าเขาไม่ได้มาร้ายอย่างเจ้าคิดหรอก พบท่านองครักษ์ตรงที่ใดก็พาท่านกลับไปที่จุดเดิมแล้วคลายมนต์ให้เถิด จะได้รู้เจตนาที่แท้จริงอย่างไรเล่า”

เจ้านิศามณีทรงรู้จากบรรดาคุณข้าหลวงว่าองครักษ์เงากำลังเที่ยวตามหาดอกปันหยีมาถวาย ที่แปลงเป็นเหยี่ยวคงเพราะไปเที่ยวเสาะหาดอกไม้มาให้ ถึงคาดการณ์ได้เช่นนั้นก็ไม่ทรงประมาท พระนางมีเรื่องปิดบังจ้าวรัตติกาลอยู่ จะระแคะระคายขึ้นมาเมื่อใดก็มิอาจรู้ได้ ดังนั้นจึงต้องระวังตัวเอาไว้ให้จงหนัก

ใบหน้าภายใต้หน้ากากของกรวินท์ดูไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที เหตุเพราะเกรงว่าความลับของเจ้านางจะรั่วไหล หากไม่กลัวว่าเจ้านางกริ้วแล้วล่ะก็ คงฆ่าทิ้งให้จบเรื่องไปนานแล้ว

ขมังเวทมนตร์ดำร่ายคาถาใช้สายลมหอบเอาร่างเหยี่ยวแปลงกลับไปไว้ที่เดิมแบบหมิ่นเหม่จะตกแหล่ไม่ตกแหล่ พอดีดนิ้วคลายมนต์เหยี่ยวแปลงก็ล่วงตุ๊บลงพื้นคืนร่างในบัดดล

โชคดีที่กิ่งไม้นั้นอยู่ไม่สูง ราชองครักษ์หนุ่มจึงแค่ฟกช้ำดำเขียวเล็กน้อย เรื่องเจ็บตัวสำหรับจรีแล้วเรื่องเล็ก แต่ช่อดอกไม้ช้ำนี่สิเรื่องใหญ่ กลีบดอกปันหยีสีขาวบอบบางร่วงไปเสียหลายกลีบ

ของมีตำหนิใครเลยจะกล้านำขึ้นถวาย ราชองครักษ์หนุ่มจึงต้องบรรจงเด็ดดอกที่ช้ำหรือกลีบร่วงออกเสีย ตอนนำขึ้นถวายเจ้านางในช่อจึงมีแต่ใบเหลือดอกไม้อยู่หลอมแหลม

การถวายของให้เจ้านางต้องผ่านนางกำนัลและคุณข้าหลวงหลายชั้น แต่บังเอิญเหลือเกินที่เจ้านางเสด็จมาตอนจะฝากของพอดี จรีจึงได้ถวายดอกไม้ที่สู้อุตส่าห์บินไปเก็บถึงพระหัตถ์

“ขอบใจท่านมากนะจรี หน้านี้ไม่มีปันหยีก็ยังอุตส่าห์หามาให้ แล้วนึกอย่างไรเล่าจึงเก็บดอกไม้มาให้เรา”

เจ้านิศามณีทรงรับดอกไม้เอามาไว้ในมืออย่างถนอม

“ข้าพระองค์รับฝากท่านผู้หนึ่งมาพระเจ้าค่ะ ไม่ได้คิดอ่านเก็บมาถวายเอง”

“ท่านจ้าวหรือ” ทรงแกล้งถามด้วยอยากรู้ว่าราชองครักษ์จะตอบกลับมาเช่นไร

“เจ้านางเข้าใจผิดแล้วพระเจ้าค่ะ ดอกไม้นี้ไม่ได้มาจากท่านจ้าว” จรีรีบพูด

จ้าวรัตติกาลรับสั่งมาว่าห้ามบอกเจ้านางเป็นอันขาดว่าพระองค์มีรับสั่งให้ส่งดอกไม้ไปให้ ไม่รู้ว่าจะปิดบังไปทำไม ถึงอย่างไรเจ้านางก็ทรงจับได้อยู่ดี

“ไม่ใช่ท่านจ้าวแล้วใครกันส่งดอกไม้ให้เรา บุรุษหรือสตรี แล้วมิรู้หรือบังอาจเอาดอกไม้มาเกี้ยวพาเรามีโทษสถานใด”

สุรเสียงที่แข็งขึ้นทำราชองครักษ์ถึงกับเหงื่อแตกมือเย็น จะโกหกหรืออ้างใครก็ทำไม่เป็นจึงสารภาพเสียงอ่อยออกมา

“ท่านจ้าวมีรับสั่งว่าไม่ให้บอกเจ้านางว่ามาจากท่านจ้าวพระเจ้าค่ะ ขอได้โปรดทรงอภัยด้วย ข้าพระองค์ไม่ได้มีเจตนาจะโป้ปด”

เจ้านิศามณีทรงยิ้มขำราชองครักษ์คนซื่อในใจ หากตรองดูหน่อยก็จะรู้ว่าเมื่อครู่ทรงแสร้งทำเสียงแข็งไปอย่างนั้นเอง แต่จรีก็ยังสู้อุตส่าห์เข้าใจว่าทรงเคืองจริง เซ่อเสียจนน่าแกล้งจริงเชียว คนแบบนี้หาได้ยากนัก ที่จ้าวรัตติกาลทรงเก็บไว้ข้างกายก็คงเพราะความซื่อตรงนี่กระมัง

“ถ้าเช่นนั้นฝากขอบพระทัยท่านจ้าวด้วย บอกว่าเราปลื้มใจมาก เราชอบดอกไม้ตามฤดูกาลทุกชนิด ที่ชอบที่สุดคือดอกไม้ที่อยู่กับต้น ดูงามจนเด็ดมาไม่ลง เจ้าว่าไหม”

พระนางดีใจที่พระสวามีทำดีด้วยแต่ก็เวทนาราชองครักษ์อยู่ไม่น้อย จึงตรัสบอกเอาไว้เพื่อที่จ้าวรัตติกาลจะได้ไม่ต้องใช้องครักษ์เงาไปเสาะหาดอกปันหยีจากแดนไกลมาอีก

หมดเรื่ององค์รักษ์เงาก็ย่อกายถวายความเคารพ แล้วมุ่งหน้าไปรายงานจ้าวรัตติกาลที่ห้องทรงพระอักษร

เมื่อเห็นว่าองครักษ์เงาไปแล้วกรวินท์จึงลอบติดตามไป เมื่อพบว่าคนที่เขาตราหน้าว่าไม่น่าไว้ใจเป็นแค่คนส่งดอกไม้จริงๆ กรวินท์จึงกลับมากราบทูลให้เจ้านางทรงทราบ แต่อย่าได้นึกเชียวว่ามาดีแล้วจะมีสิทธิ์มาป้วนเปี้ยนใกล้เจ้านางของกรวินท์ มาอีกก็จะสอยให้ร่วงอีก คราวนี้จะเอาให้ปีกหักเลยทีเดียว

“ข่าวที่เราให้เจ้าไปสืบเล่า ได้ความว่าอย่างไร” เจ้านางตรัสถามเมื่อเข้ามาในที่ลับปลอดคน

“เจ้าปัชชุนถูกสงสัยว่าเป็นกบฏพระเจ้าค่ะ จึงทรงขอความช่วยเหลือจากจ้าวทิวา และตอนนี้องครักษ์เงากำลังเดินทางไปคุมตัวเจ้าปัชชุนมายังเมืองหลวง”

ข่าวสหายสนิททำให้ทรงตกพระทัยจนสีพระพักตร์เปลี่ยน ที่ผ่านมามีข่าวเกี่ยวกับพฤติกรรมกบฏของเจ้าปัชชุนบ่อยครั้ง แต่ก็ล้วนไม่มีมูลความจริง หากจ้าวรัตติกาลพบเหตุระแคะระคายคงเรียกตัวกลับเมืองหลวงนานแล้ว แต่นี่ยังวางพระทัยให้ดูแลแดนหรดีโดยไม่เคยเรียกกลับเลยตลอดแปดปี แสดงว่ามีพระทัยหนักแน่นมาก มาครานี้ถึงกับให้องครักษ์เงาไปคุมตัว ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่

หากเป็นปัชชุนที่พระนางรู้จักล่ะก็ ปัชชุนคนนั้นไม่มีวันคิดคดทรยศใครได้ เวลาเล่นตลกกับใจคนแล้วหรือไร

‘บางทีอาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิด’

เจ้านิศามณีปลุกปลอบตัวเองแล้วหันมารับสั่งกับกรวินท์ต่อ

“เจ้าปัชชุนก่อเรื่องอันใด”

“ตื้นลึกหนาบางกรวินท์ไม่รู้ แต่ตอนนี้มีการเรียกระดมพลทั่วแดนหรดี เจ้านางเชิญทอดพระเนตร”

ขมังเวทมนตร์ดำหลับตาร่ายคาถาแล้วสร้างภาพจากความทรงจำให้ได้เห็น กรวินท์อธิบายแต่ละภาพให้เจ้านางฟังอย่างละเอียด ทำให้ทรงทราบว่าเมืองขึ้นกำลังแข็งเมือง แคว้นคมิกก็กำลังรุกเข้ามา ช่างน่าแปลกที่ทัพของกาลัญญุกลับนิ่งเฉยไม่ส่งทหารไปสกัด

“กรวินท์ เราไหว้วานเจ้าไปแคว้นคมิกสืบข่าวให้เราทีว่าปัชชุนสมคบคิดกับเจ้าเมืองคมิกหรือไม่ กำลังทหารของแต่ละฝ่ายมีเท่าใด แล้วมีสรรพาวุธอะไรบ้าง สืบได้แล้วให้รายงานผ่านแหวนมาให้เราด้วย เราต้องการรู้สถานการณ์ชายแดนอย่างละเอียด”

สิ่งที่ทรงได้เห็นกับข้อมูลที่รับรู้มาทำให้ไม่อาจคิดว่านี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดได้อีก ด้วยตำแหน่งธิดาเทพแล้วความเป็นไปในราชอาณาจักรล้วนต้องผ่านพระเนตรพระกรรณ ไม่แปลกไปหน่อยหรือที่เหล่าขุนนางจากทั้งสองวังกลับไม่เคยเอ่ยถึง

ถึงกรวินท์ไม่แจ้งข่าวเจ้าเมืองในแดนหรดีก็ต้องแจ้งสถานการณ์มายังเมืองหลวงอยู่ดี ประเมินในทางร้ายที่สุดคือเจ้าเมืองเองก็ให้ความร่วมมือด้วย หากเป็นเช่นนั้นจริงก็จะสามารถวิเคราะห์ได้ว่าปัชชุนกำลังวางแผนทำสงครามเพื่อแยกแดนหรดีออกมาจากกาลัญญุ

“เป็นไปไม่ได้” ทรงทรุดกายลงกับพระแท่นอย่าอ่อนแรง

พระนางมองออก มีหรือจ้าวรัตติกาลที่เจนการศึกสงครามกว่าจะมองไม่ออก ก็ต้องรอดูกันต่อไปว่าปัชชุนจะยอมกลับมาหรือไม่ หากไม่ก็หมายถึงสงครามทันที แต่การยอมกลับมาก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี จะรอดหรือไม่ขึ้นอยู่กับพระเมตตาของจ้าวรัตติกาลแล้ว

ทางฝั่งทินกรก็คงรู้แล้วเช่นกันแต่ปิดเงียบไว้ไม่บอกพระนาง เจ้านิศามณีนึกตำหนิพระอนุชาแต่ก็มิได้โกรธเคือง ทรงเข้าใจดีว่าพระอนุชาไม่อยากให้เรื่องนี้ทำให้กังวลใจ ทินกรเคารพรักปัชชุนเหมือนพี่คงเชื่อหมดใจไปแล้วกระมังว่าปัชชุนถูกใส่ร้าย ยังดีที่รู้จักส่งหน่วยลับไปสืบที่แดนใต้ ไม่หลับหูหลับตาเชื่อไปเสียหมด

ดังนั้นเรื่องในครั้งนี้ทินกรจะออกหน้าหรือไม่ พระนางจะไม่ขอสอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยว จะแสร้งทำเป็นไม่รู้และเคารพการตัดสินใจของพระอนุชาในฐานะกษัตริย์


ในขณะที่เจ้านิศามณีกำลังเคร่งเครียดเรื่องบ้านเมืองอยู่นั้น ฝ่ายในกลับมีเรื่องข่าวลือหนาหูว่าเจ้ากรมทูตฝั่งซ้ายกำลังทูลเกล้าถวายหลานสาวให้จ้าวรัตติกาล ล่ำลือกันว่าโฉมงามสะคราญตายิ่งนัก ทั้งยังถูกส่งไปร่ำเรียนที่แคว้นกะลันตาตั้งแต่ยังเล็ก

แคว้นนี้ขึ้นชื่อเรื่องสถาบันการศึกษาสำหรับสตรี สตรีที่ร่ำเรียนจบมาจากที่นี่ได้ไม่เป็นปราชญ์หญิง ก็เป็นกวีเลื่องชื่อหรือคีตศิลป์ฝีมือฉมัง ว่ากันว่าเสนาธิการหญิงของวังฝั่งซ้ายก็จบมาจากสถาบันนี้

“หากท่านจ้าวทรงรับนางไว้ เจ้านางต้องรีบทัดทานนะเพคะ” บุหรงกราบทูล

นอกจากหน้าที่คุณข้าหลวงแล้วบุหรงยังสมัครใจเป็นหน่วยข่าวให้ด้วย แต่หน่วยข่าวนี้ไม่ค่อยจะกรองนัก พูดอะไรมาเจ้านางจะต้องเอาสามเอาสี่หารเสมอ

“ทัดทานทำไม หากท่านจ้าวพึงใจก็ปล่อยพระองค์เถิด”

ตามกฎมณเฑียรบาลถึงจะรับมาเป็นสนมไม่ได้ แต่ก็ใช่ว่าจะห้ามไม่ให้กษัตริย์มีเล็กมีน้อย เพียงแต่ห้ามไม่ให้แต่งตั้งออกนอกหน้านอกตา เพื่อเป็นการให้เกียรติพระชายาที่เพิ่งเข้าพิธีอภิเษกสมรส

“ได้อย่างไรเพคะ เพิ่งอภิเษกกันได้ไม่กี่เดือน ทำเช่นนั้นก็หักหาญน้ำใจกันเกินไปแล้ว มิน่าเล่าสองสามวันนี้ถึงได้ดีกับเจ้านางนัก ที่แท้หว่านพืชหวังผล”

จ้าวรัตติกาลชอบหาเรื่องติเรื่องติเจ้านางของบุหรงเป็นประจำ นางก็เลยอคติกลับไปบ้าง

“บุหรง! พูดเพ้อเจ้อไปใหญ่แล้วนะเจ้า รีบขออภัยเจ้านางเสีย” วิฬาร์ตำหนิ แล้วหยิกแขนลงโทษแม่คนช่างเจื้อยแจ้วแรงๆ หนึ่งที

“โอ้ย! ผิดไปแล้วจ้ะพี่วิฬาร์ ไม่พูดแล้ว ดุจริง” คนถูกหยิกลูบแขนป้อยๆ แล้วหันไปกราบทูลเสียงอ่อยกับเจ้านาง “ขออภัยเพคะ หม่อมฉันปากบอนอีกแล้ว”

“ช่างเถอะ เรารู้ว่าเจ้าห่วงจึงเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเรา แต่เราไม่อยากเป็นอย่างเสด็จแม่ ขออยู่อย่างนี้จะดีกว่า”

เจ้านางศศิธรหรือเสด็จแม่ของพระนางทรงเป็นพระมารดาที่ดี แต่ในฐานะมเหสีแล้วกลับเป็นตรงข้าม ทรงใจร้อนเอาแต่พระทัย เรื่องหึงหวงนั้นมาเป็นอันดับหนึ่ง เสด็จพ่อยังไม่ทันรับใครมาก็อาละวาดเสียไม่มีดี ชีวิตไม่เคยเป็นสุขเพราะคอยหวาดระแวงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน นานวันเข้าทุกสิ่งก็ยิ่งเลวร้าย บ้านที่มีแต่ความร้อนรุ่มใครเลยจะอยากอยู่ เจ้านิศามณีจึงไม่เคยโทษพระบิดาที่หนีร้อนไปพึ่งเย็นที่อื่นเลย

ที่เย็นที่ว่าคือพระสนมนัชชา พระมารดาของทินกร นางเป็นคนอ่อนหวานช่างเอาใจ แม้ไม่งามเลอเลิศอย่างพระสนมผาแก้ว พระมารดาของอรุณา แต่ก็ยังเป็นที่รัก

ส่วนหนึ่งที่ทำให้เสด็จพ่อไม่โปรดพระสนมผาแก้วเท่าไรทั้งที่นางก็อ่อนหวาน คงเป็นเพราะนางเป็นคนของเสด็จแม่ ทั้งซื่อสัตย์และอยู่ในอาณัติเสด็จแม่ทุกประการ จึงมีบางครั้งที่ทำให้รู้สึกอึดอัดเวลาอยู่ด้วย

เสด็จแม่ริษยาพระสนมนัชชาที่ให้กำเนิดพระโอรส ทั้งยังได้รับความรับความรักจากพระสวามีอย่างเหลือล้น จึงทรงกลั่นแกล้งนางที่ร่างกายอ่อนแอจนสิ้นชีวิต ทั้งยังตามจองล้างจองผลาญทินกรไม่เลิกรา พอทินกรซึ่งไม่ใช่ลูกตนได้เป็นใหญ่ขึ้นครองบัลลังก์ ก็ตรอมใจจนสิ้นชีวิต

ความสุขของเสด็จแม่อยู่ที่ไหน ที่ผ่านมาทรงมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งใดกัน พระนางไม่เข้าใจเลย

เสด็จพ่อเคยตรัสไว้ว่าฐานะอย่างพระนางยากนักจะได้อภิเษกเพราะความรัก เมื่อถึงเวลานั้นก็จงเป็นน้ำเย็น อย่าได้หึงหวงเกินงาม ใช้สติมากกว่าเหตุผล ต่อให้พระสวามีไปลุ่มหลงใครสุดท้ายก็จะกลับมา

‘ความรักความใคร่มันก็ชั่วครั้งชั่วคราว ความเข้าใจต่างหากที่จะทำให้ชีวิตคู่ยั่งยืน’

เจ้านิศามณีทรงจำรับสั่งของเสด็จพ่อได้อย่างแม่นยำ ทว่าคนอย่างพระนางคงจะเป็นน้ำเย็นไม่ไหว ในสายพระเนตรของพระสามีแล้ว นางไม่ต่างอะไรกับน้ำแข็ง ถึงกระนั้นก็ยังสุขใจกว่าการเป็นเปลวเพลิงเป็นไหนๆ จ้าวรัตติกาลจะมีใครก็ตามแต่ ตราบใดที่ยังไม่ล้ำเส้นจนเป็นภัยต่อพระนาง ก็จะทรงปล่อยไปทำไม่รู้ไม่เห็นเสีย

เจ้านางมิได้สนพระทัยเรื่องนี้อีกเลย พระนางทรงงานตามปกติ พอรู้สึกว่าสายพระเนตรล้าก็เสด็จออกมาเดินเล่นผ่อนคลายพระอิริยาบถที่อุทยานด้านหลัง แล้วมีรับสั่งไม่ให้นางกำนัลตามเสด็จเนื่องจากทรงอยากอยู่ลำพัง

ในระหว่างที่ทรงนั่งทอดอารมณ์อยู่เพลินๆ สตรีนางหนึ่งก็ปราดเข้ามาแล้วเอาหินทุ่มเข้าใส่พระนาง ทีแรกก็ทรงตกพระทัย แต่เมื่อเห็นว่าสิ่งที่สตรีแปลกหน้าทุ่มใส่คือแมงป่องตัวโตก็ทรงคลายความตระหนกลง

“เป็นอะไรรึเปล่า หินโดนเจ้าไหม” สตรีแปลกหน้าเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย

“เราไม่เป็นไร ขอบใจเจ้ามาก”

ดูจากที่นางพูดกับพระนางแบบไม่ใช่ราชาศัพท์แล้ว ก็พอเดาได้ว่านางคงไม่รู้ว่าพระนางเป็นใคร จึงทรงนึกสนุกไม่รีบเปิดเผยตัว

“เห็นคนมีอันตรายไม่ช่วยได้อย่างไร พุ่มไม้แถวนี้สัตว์มีพิษกับแมลงเยอะ พวกตัวบุ้งก็มี เจ้าต้องระวังไว้นะ” หญิงสาวว่าแล้วหมุนตัวลงมานั่งข้างๆ เจ้านางเพื่อชวนคุย

“ข้ากำลังรอท่านตาประชุมเสร็จ ก็เลยมาเดินเล่น เจ้าเป็นนางกำนัลในนี้หรือเป็นพระสนมของท่านจ้าวกัน ไม่ใส่เครื่องแบบ เช่นนั้นต้องเป็นพระสนมแน่ๆ ตายล่ะ! หม่อมฉันขออภัยเพคะพระสนม”

นางกล่าวแล้วย่อกายถวายความเคารพอย่างงดงาม แถมยังลดตัวลงไปนั่งระดับต่ำกว่าเสียหลายระดับ

เจ้านิศามณีเห็นดังนั้นก็ทรงพระสรวล แล้วตรัสถามกลับไปว่าไม่รู้หรือว่าท่านจ้าวทั้งสองไม่มีพระสนม

“ข้ามาจากกะลันตาไปอยู่ที่นั่นแต่เล็ก เพิ่งกลับมาไม่นานนี้ ความเป็นไปในวังข้าไม่รู้หรอก ที่คิดว่าท่านเป็นพระสนมก็เพราะว่าท่านงามมาก งามจริงๆ นะ ข้าไม่ได้แกล้งชม ทีแรกคิดว่าเจ้าเป็นนางไม้เสียอีก หากข้าเป็นกษัตริย์คงต้องหลงเสน่ห์เจ้าเป็นแน่”

นางพูดไปยิ้มไปอย่างน่ารัก ชวนให้นึกถึงอรุณาขึ้นมา จึงทรงอดเอ็นดูหญิงสาวแปลกหน้าผู้นี้ไม่ได้ คุยไปคุยมาถึงได้รู้ว่าที่แท้นางคือหลานสาวของเจ้ากรมทูตที่เขาโจษจันกัน

พิจารณาดูรูปโฉมของสตรีนางนี้ก็ต้องยอมรับว่าสมคำล่ำลือ ผิวนางขาวใสอมชมพู เครื่องหน้าหวานตรึงใจ ดวงตากลมรับกับรูปคิ้วได้รูป มีเสน่ห์สดใสราวกุหลาบแรกแย้ม

“เขาว่าแคว้นกะลันตาขึ้นชื่อเรื่องการศึกษาของสตรี เจ้าคงร่ำเรียนศิลปะความรู้มามากสินะ” เจ้านิศามณีทรงอยากลองภูมินางจึงทรงเกริ่นขึ้น

“หากวัดกับสรรพวิชาทั้งลายบทโลกแล้ว ความรู้ของข้ามีเพียงเท่าหางอึ่ง ยังต้องเรียนรู้อีกมากนัก ไม่กล้าอวดอ้างหรอก”

คำตอบของนางเป็นที่ถูกพระทัยเจ้านางเป็นอย่างยิ่ง ทรงชอบผู้มีใจใฝ่เรียนเป็นทุนอยู่แล้ว จึงทรงทดสอบความรู้เกี่ยวกับการบริหารราชกิจและไหวพริบของนางอีกหลายเรื่อง แล้วก็ทรงไม่ผิดหวังเพราะนางตอบออกมาได้อย่างฉะฉานเป็นที่น่าพอใจ

“ข้าชื่อกัลยาณี ท่านล่ะชื่ออะไร”

คุยมาได้ตั้งสองนานเพิ่งจะมาถามชื่อกันตอนนี้เอง แต่เจ้านางก็ทรงเลี่ยงไม่ตอบ

“เจ้านั่นเอง หลานท่านเจ้ากรมทูตที่มีข่าวว่าท่านจะถวายให้จ้าวรัตติกาล”

พอได้ฟังกัลยาณีก็รีบส่ายหน้าเป็นการใหญ่ นางบอกว่านั่นเป็นเพียงข่าวโคมลอยเท่านั้น จริงอยู่ที่ท่านตาของนางอยากจะฝากฝังให้อยู่ในวังเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการออกเรือน แต่นางก็ไม่คิดจะแต่งกับใครหรือถวายตัวให้ท่านจ้าวคนไหน นางอยากเป็นปราชญ์หญิงมากกว่าแต่ท่านตากลับคัดค้าน

“ท่านว่าปราชญ์หญิงมีแต่ขึ้นคาน เก่งเกินจนชายกลัว ชีวิตนี้คงไม่ได้ออกเรือน”

“หากเจ้าได้เห็นจ้าวรัตติกาลคงไม่พูดเช่นนี้หรอก ฝ่าบาททรงพระสิริโฉม สง่าผ่าเผยสมเป็นกษัตริย์ งามอย่างเจ้าต่อไปคงได้เป็นพระสนม มีโอรสธิดาถวาย ลาภยศจะไหลมาไม่ขาดสาย ไม่เสียดายหรือ” เจ้านางทรงแกล้งถาม

ทรงทดสอบความละโมบของนางจากแววตา บางคนบอกว่าไม่แต่แววตากลับเป็นอีกเรื่อง เรื่องดูคนหรือลองใจคนพระนางฝึกหัดมาจากเสด็จพ่อจนเจนจัดทีเดียว

“เสียดายสิ ข้าก็โลภเป็นนะ แต่แต่งกันคนที่ไม่รักไม่เอาหรอก แล้วท่านจ้าวก็น่ากลัวจะตาย ตอนท่านตาพาไปเฝ้าท่านจ้าวทรงมองข้าตาขวางอย่างกับผีเข้า อยู่ด้วยแล้วหายใจไม่ทั่วท้องเลย ขอลาขาดดีกว่า”

ฟังจากคำพูดนางแล้วก็ทรงเดาออกว่าที่แท้เจ้ากรมทูตก็พานางไปถวายให้กับจ้าวรัตติกาลแล้ว พระสวามีของพระนางจะทรงรับไว้หรือไม่นั้นประเดี๋ยวคงได้รู้เอง

กัลยาณีซื่อตรงและซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองคล้ายจรี แต่หลักแหลมกว่ากันมาก น่าเสียดายนักหากต้องไปเป็นข้าบาทบริจาริกาของจ้าวรัตติกาลอย่างไม่เต็มใจ

เจ้านิศามณีทรงถูกพระทัยและต้องชะตากับกัลยาณี ทรงประทับใจที่นางกล้าช่วยพระนางจากสัตว์มีพิษ สติปัญญารึก็ปราดเปรื่อง ทรงอยากได้ราชเลขาเช่นนี้มานานแล้ว หากท่านจ้าวปรารถนาในตัวนาง เห็นทีครานี้คงจะต้องทำตัวเป็นพระชายาขี้หึงสักครั้งกระมัง




นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 มิ.ย. 2554, 08:16:08 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ก.พ. 2555, 14:54:41 น.

จำนวนการเข้าชม : 1951





<< บทที่ 8 อาทร   บทที่ 10 พรหมลิขิต >>
มะดัน 5 มิ.ย. 2554, 13:47:43 น.
ขยันมากกกกก อัพทุกวันเลยนะคะ ได้ใจๆ


หมูอ้วน 5 มิ.ย. 2554, 14:03:47 น.
อยากให้กัลยาณี คู่กับ องค์รักษ์จรี จังเลยค่ะ


saralun 5 มิ.ย. 2554, 23:21:56 น.
อ่านเพลินเลย อิอิ


แว่นใส 6 มิ.ย. 2554, 08:12:15 น.
จะจัดการยังไงกันต่อไปนะ


cherryfirm 12 มิ.ย. 2554, 16:48:06 น.
เห็นด้วยกะคุณหมูอ้วนคะ คนซื่อสัตย์อย่างจรีนั้นก็หายากซะด้วย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account