อุ่นไอรัก
ในชีวิตคนเราจะมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น...ที่ความรักจะวิ่งเข้าใส่ และทำให้ชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไปตามความรักนั้น...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: เรื่องราวในอดีต


อ๊อดดด!!!

ปังๆๆๆ

เสียงออดสลับกับเสียงทุบประตูดังไปทั่วห้องขนาดเล็ก ทำให้ร่างที่อาศัยอยู่ใต้ผ้าห่มหนาต้องยื่นมือออกมาอย่างสะเปะสะปะเพื่อควานหาต้นตอของเสียงที่ดังอยู่ขณะนี้ เมื่อเจอเจ้าสิ่งของที่คาดว่าน่าจะเป็นตัวการในการส่งเสียงรบกวนเวลานอนของเธอแล้ว มือเรียวบางก็จัดการกดปุ่มหยุดเสียงโดยทันทีจากนั้นจึงซุกตัวลงใต้ผ้าห่มหนาอีกครั้ง

ขณะที่กำลังครึ่งหลับครึ่งตื่นเสียงที่คาดว่าจะหยุดร้องกลับส่งเสียงขึ้นมาอีก แม้จะซุกหน้าลงใต้หมอนแล้วเอาผ้าห่มคลุมโปงทับไปอีกชั้น แต่เสียงนั้นก็ยังไม่หยุดกลับยิ่งดังขึ้นกว่าเดิมบ่งบอกว่าคนข้างนอกเริ่มใจร้อน

“มาแล้วคะ มาแล้ว” ส่งเสียงนำไปก่อนจากนั้นจึงลุกจากที่นอนแล้วเดินตรงไปเปิดประตูแต่ยังไม่ลืมหยิบเสื้อคลุมที่แขวนไว้หน้าตู้เสื้อผ้าสวมทับไปด้วย แม้ชุดนอนที่เธอใส่จะเป็นแบบเสื้อกับกางเกงขาสั้นดูไม่โป๊ะก็เถอะแต่ก็คงไม่เหมาะกับการรับแขกสักเท่าไหร่

ดูเหมือนคนที่อยู่นอกห้องคงจะมีความสุขกับเคาะประตูเพราะคนข้างในรู้สึกได้ถึงการเคาะที่ดังเป็นจังหวะสามช่าจนเธอเองอยากจะออกไปดูว่าใครกันที่มาทำแบบนี้โดยไม่คิดเกรงใจกันบ้าง อย่างน้อยก็น่าจะเกรงใจห้องข้างๆบ้าง

เหลือบดูผู้บุกรุกตรงช่องตาแมวพอเห็นเป็นเพื่อนสนิททั้งสองของเธอเอง อัญชันจึงถอนหายใจแล้วกรอกตาไปมา นึกรู้ได้ทันทีเลยว่าเสียงทุบที่ดังเป็นจังหวะเพลงเมื่อกี้นี้เป็นผลงานของใคร ยังไม่ทันเปิดประตูให้ออกกว้างเสียงแหลมของเพียงขวัญนำมาก่อน

“โอ๊ย!คุณนายไม่รอให้ถึงพรุ่งนี้เลยหละ ยืนรอจนขาแข็งแล้วเนี่ย แล้วดูซิยืนทุบประตูจนมือสวยๆของฉันแดงเถือกไปหมดแล้ว” เพียงขวัญยื่นมือให้เจ้าของห้องดูพลางเอะอะโวยวายตามประสาคนใจร้อน

“จะโวยวายทำไมขวัญ” อัญชันเอ็ดอย่างไม่จริงจังนัก “แล้วแกเล่นทุบประตูปังๆแบบนี้ไม่กลัวคนข้างห้องโผล่มาด่ารึไง” เจ้าของห้องเบี่ยงตัวหลบเพื่อให้เพียงขวัญและพันธิตราเดินเข้ามาให้ห้อง

อัญชันรีบหันซ้ายหันขวาถ้าหากเห็นเพื่อนข้างห้องหรือฝั่งตรงข้ามเปิดประตูออกมาเธอจะได้รีบขอโทษแทนเพื่อนฐานที่ส่งเสียงรบกวนแต่เช้าซึ่งนับว่าโชคยังเข้าข้างเธอที่ยังไม่มีใครเปิดประตูออกมา แล้วรีบจัดการปิดประตูห้อง

เพียงขวัญยักไหล่แล้วตอบ “กลัวสิ! อย่างมากก็เอ่ยขอโทษแล้วบอกว่าขอโทษคะพอดีว่าเจ้าของห้องนี้เค้าหูตึงเรียกแบบธรรมดาเธอไม่ค่อยได้ยินดิฉันเลยต้องเคาะเรียกเป็นแบบจังหวะเพลงเขาถึงจะได้ยินยังไงต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะคะ”

“เซี้ยวใหญ่แล้วขวัญ” พันธิตรากลั้นยิ้มกับท่าทางจีบปากจีบคอกับกิริยาการขอโทษของเพียงขวัญ

“เชอะ!” เพียงขวัญหันมาค้อนคนพูด “แล้วโทรศัพท์แกมีไว้ทับกระดาษรึไง โทรมาก็ปิดเครื่องบอกแต่ให้ฝากข้อความไว้ รู้มั้ยว่าพวกฉันเป็นห่วง นี่เลยรีบไปรับยายแพทมาแต่เช้า” ยังไม่ได้ทันจะได้นั่งเสียงลอยลมของเพียงขวัญก็ดังขึ้นอีกครั้ง “แต่ดูจากหน้าตาของแกแล้วคงไม่ต้องเป็นห่วงแล้วละมั้งแบบนี้ ” เพียงขวัญส่งค้อนมาให้อัญชันหลังจากที่ได้สังเกตดูแล้วว่าเพื่อนเธอคงไม่เป็นอะไรมาก นอกจากหน้าตาของคนพึ่งตื่นนอน ยังไม่ซึมเศร้าอย่างที่คาดการไว้แสดงว่าคงเริ่มจะทำใจได้

“อ้าวบ่นเข้าไป บ่นมากระวังแก่เร็วนะขวัญ“ พันธิตราล้อเพื่อนสนิทอีกครั้งในขณะที่เพียงขวัญได้แต่ส่งค้อนไปให้แต่ก็ไม่ทำให้พันธิตรากลัวติดจะดูตลกด้วยซ้ำ

คงจะเป็นห่วงจริงเพราะตั้งแต่เดินเข้ามาในห้องเพียงขวัญยังไม่หยุดบ่นซึ่งคงต้องบอกว่าเป็นเรื่องปรกติที่พวกเธอชินแล้ว ถ้าเป็นเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับเพื่อนในกลุ่มไม่ว่าจะเรื่องดีหรือเรื่องร้ายเพียงขวัญจะเป็นคนแรกที่ออกอาการก่อนทุกครั้ง เพียงขวัญอายุมากกว่าหนึ่งปีส่วนพันธิตราและอัญชันนั้นอายุเท่ากัน เพียงขวัญชอบมองว่าเธอและอัญชันเป็นน้องเล็ก และทั้งคู่ก็รู้ดีว่าเสียงที่บ่นนั้นมักมีความห่วงใยปนมาให้ด้วยทุกครั้งจึงไม่คิดถือสา

“เค้าไม่ได้เรียกบ่น เค้าเรียกว่าเป็นห่วงย่ะกลัวยายอันจะเสียใจร้องไห้ขี้มูกโป่งแล้วเกิดอยากคิดสั้นฆ่าตัวตายผูกคอใต้ต้นมะเขือขึ้นมา ฉันขี้เกียจมาเก็บศพต่างหาก” ยังไม่วายปล่อยมุกที่แม้จะแป้กแต่ก็ทำให้เกิดรอยยิ้มเล็กๆ บนใบหน้าของคนที่ถูกคาดว่าจะฆ่าตัวตาย

“บ้า! ใครบอกต้นมะเขือ ต้นผักชีต่างหากเนอะแพท” อัญชันรีบแก้ความเข้าใจผิดของเพื่อนแล้วหันไปพยักหน้าขอเสียงสนับสนุนจากพันธิตราซึ่งฝ่ายนั้นก็รีบพยักหน้าทันทีจึงได้รับการแจกค้อนอย่างถ้วนหน้าทั้งสองคนจากเพียงขวัญ

“แหม!เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยจริงนะคู่นี้” เพียงขวัญเอ่ยประชดอย่างไม่จริงจังนักทำให้เกิดเสียงหัวเราะเล็กๆ ดังขึ้นภายในห้อง

ถึงแม้อัญชันจะรู้ว่าเพียงขวัญพูดเล่นไม่ได้คิดจริงจังอะไรแต่เธอเองก็ไม่เคยคิดจะฆ่าตัวตายสักครั้ง ก็แค่อาการ ‘อกหัก’ ชีวิตเธอยังมีค่าไม่เหมาะที่จะเอามาทิ้งเพราะผู้ชายคนเดียวที่ไม่เห็นคุณค่าของเธอ ที่สำคัญเธอยังใช้ชีวิตนี้ยังไม่คุ้ม เธอยังมีอะไรให้ต้องทำอีกมากมาย มันดูเหมือนเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยาก ไม่โดนกับตัวก็ไม่รู้หรอก ว่าอาการ ‘อกหัก’ มันเป็นอย่างไร แต่สุดท้ายแล้วเธอก็ผ่านมันมาได้ ด้วยกำลังใจจากครอบครัวและเพื่อนสนิททั้งสองที่ยืนอยู่ข้างๆ นับตั้งแต่วันแรกที่รู้ว่าเธอเสียน้ำตาจนถึงวันนี้ที่เธอยิ้มได้กลับมาเป็นอัญชันคนเดิม


สำหรับมิตรภาพของพวกเธอทั้งสามนั้นเริ่มจากอัญชันและเพียงขวัญเป็นเพื่อนกันก่อนสนิทกันมาตั้งแต่เด็กเรียนหนังสือด้วยกันมาตั้งแต่อนุบาลจนถึงมัธยมต้น ก่อนจะขึ้นมัธยมปลายบิดาของเพียงขวัญก็ทำเรื่องขอย้ายมารับราชการที่บ้านเกิดที่นนทบุรีด้วยเหตุผลคือกลับมาดูแลคุณย่าซึ่งท่านแก่มากแล้วไม่มีใครดูแลคุณพ่อเลยต้องกลับมาทำหน้าที่ ทำให้อัญชันและเพียงขวัญต้องแยกกันตั้งแต่นั้นมา แต่นั่นก็เป็นเพียงการห่างแค่ตัวแต่ใจไม่ห่างตามพี่เพียงขวัญเคยพูดประจำ ‘ห่างแค่ตัวแต่ใจใกล้กัน’ มิตรภาพที่ทั้งสองมีให้กันยังคงเหมือนเดิมหรืออาจจะมากกว่าเดิมด้วยซ้ำไป ด้วยทั้งสองยังคงติดต่อกันเป็นประจำ ด้วยเครือข่ายของสัญญาณโทรศัพท์ จดหมาย โปสการ์ด ฯลฯ ทั้งของขวัญวันเกิดหรือของขวัญในแต่ละเทศกาล ซึ่งทั้งสองยังคงส่งหากันอย่างสม่ำเสมอ เมื่อทั้งคู่สอบติดมหาวิทยาลัยในกรุงเทพในคณะเดียวกันนั่นยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่กลับมาแน่นแฟ้นเหมือนเดิม

หลังจากเสร็จสิ้นวันรับน้องสองสาวคู่ซี้ก็ได้สมาชิกใหม่เพิ่มอีกหนึ่งคนนั่นก็คือพันธิตราสาวน้อยมาดคุณหนูที่ดูใสๆ ซนๆ เหมือนเด็กที่ยังไม่โต ถึงแม้ทั้งสามจะต่างที่มา แตกต่างในฐานะ แม้แต่บุคลิกและรสนิยมของทั้งสามจะไม่เหมือนกันหรืออาจจะมีบางอย่างที่คล้ายคลึงกัน แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคในการคบหาเป็นเพื่อนสนิทกันนับแต่นั้นมา

อัญชันสวยหวานนัยน์ตาชวนฝัน

เพียงขวัญสาวห้าว เปรี้ยวซ่า ประจำกลุ่ม

พันธิตราสาวน้อยมาดคุณหนู ชอบออดอ้อน ช่างเอาใจ เจ้าเล่ห์

พันธิตราถอนหายใจแล้วกรอกตาไปมา ดูสองคนนี้ซิอายุก็ไม่ใช่น้อยแต่ยังชอบยิงมุกใส่กันประจำ เอาน่าถึงมันจะขำหรือจะไม่ขำถ้ามันทำให้อัญชันยิ้มได้อย่างน้อยมันก็ทำให้พวกเธอรู้สึกได้ว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อคืนนี้ไม่ได้ส่งผลกับอัญชันมากนัก อันที่จริงเธอนั้นก็เป็นห่วงอัญชันไม่น้อยไปกว่าเพียงขวัญเหมือนกันหลังจากที่ทั้งสามต้องเผชิญหน้ากับ ‘อดีตคนรัก’ ของอัญชัน

ด้วยบุคลิกของอัญชันที่ดูสวยหวานนัยน์ตาชวนฝันทำให้มีหนุ่มๆ มาวนเวียนขายขนมจีบอยู่ไม่ขาดแต่สุดท้ายอัญชันก็แพ้คารมของปกรณ์รุ่นพี่ผู้ซึ่งมีดีกรีเป็นถึงนักกีฬาประจำมหาวิทยาลัยและเป็นที่หมายปองของสาวแท้สาวเทียมทุกชั้นปี ในที่สุดอัญชันและปกรณ์ต่างตกลงที่จะคบหาดูใจและเลื่อนฐานะมาเป็น ’คนรัก’ โดยที่เพียงขวัญและพันธิตราไม่ห้ามและไม่สนับสนุน ซึ่งทั้งสองสาวต่างเคารพในการติดสินใจซึ่งกันและกัน แต่ก็สัญญาว่าจะช่วยสอดส่องดูแลความประพฤติของชายหนุ่มให้และนั่นทำให้หนุ่มๆและสาวๆ ที่ต่างหมายปองชายหนุ่มและหญิงสาวคู่นี้ต่างกินแห้วไปตามระเบียบ

ปกรณ์เรียนจบและได้งานทำทันทีที่บริษัทผลิตอะไหล่เครื่องยนต์ ส่วนอัญชันลงเรียนโทต่อพร้อมกับเพียงขวัญและพันธิตราทันทีที่เรียนจบหลังปกรณ์หนึ่งปี แรกๆ ปกรณ์ยังคงมีเวลาให้อัญชันเหมือนปรกติ แต่หลังจากทำงานได้เกือบสองปีตำแหน่งหน้าที่ของปกรณ์ก็สูงขึ้นความรับผิดชอบต่องานก็เพิ่มมากขึ้นเป็นเงาตามตัว และนั่นทำให้เวลาในการเจอกันแต่ละครั้งของทั้งสองคนเริ่มไม่ค่อยตรงกันสังคมของทั้งคู่เริ่มไม่เหมือนกัน แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเพราะอัญชันพยายามลดช่องว่างระหว่างเวลาให้แคบที่สุดโดยพยายามนัดเจอกันให้บ่อยที่สุดแต่ดูเหมือนนั่นเป็นความพยายามของอัญชันฝ่ายเดียว

ด้วยปกรณ์เป็นคนที่เรียกได้ว่านอกจากจะหน้าตาดีแล้วยังคงมีอัธยาศัยดีด้วย ปากหวานและช่างเอาใจ จึงเป็นที่รักของสาวๆ มาแต่ไหนแต่ไร จึงทำให้รอบๆ ตัวของชายหนุ่มเริ่มมีหญิงสาวมาติดพัน เมื่อมีหญิงสาวห้อมล้อมมากขึ้น ชายหนุ่มเริ่มหลงในความหล่อของตัวเองและผู้หญิงแต่ละคนที่มาแสดงความสนใจต่างก็ยอมทอดสะพานให้แม้จะรู้ว่าเป็นแค่ของเล่นของชายหนุ่ม สุดท้ายแล้วต่างก็ยอมทอดตัวให้เชยชม ทำให้ชายหนุ่มกลายเป็นคนเจ้าชู้ อัญชันไม่เคยระแคะระคายมาก่อนว่าชายหนุ่มจะแอบคบผู้หญิงคนอื่นลับหลัง จนวันที่เธอได้มารับรู้ด้วยตนเอง




วันนั้นเธอเกิดนึกได้ว่าลืมหนังสือที่ขอยืมมาจากห้องสมุดไว้ที่ห้องของชายหนุ่ม และถึงกำหนดที่จะต้องส่งคืนแล้ว ขณะที่เธอกำลังขับรถเพื่อมุ่งหน้าไปยังบริษัทของพันธิตรา เป็นเส้นทางผ่านคอนโดของแฟนหนุ่มอัญชันจึงตัดสินใจเลี้ยวรถเข้าไปยังคอนโดของชายหนุ่มทันทีโดยไม่ได้โทรไปขออนุญาต เพราะคิดว่าขึ้นไปไม่นาน และชายหนุ่มคงกำลังทำงานอยู่ด้วยยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน ด้วยความรีบร้อนเพราะใกล้ถึงเวลานัดทำให้อัญชันไม่ได้สังเกตรถของชายหนุ่มที่จอดอยู่ถัดจากที่เธอจอดไปอีกประมาณห้าช่อง

หากอัญชันโทรบอกล่วงหน้าสักนิด เธอก็คงจะไม่ได้เห็นธาตุแท้ของชายหนุ่ม

อัญชันไม่ลืมหยิบกุญแจสำรองที่ปกรณ์เคยลืมไว้ในรถเธอเมื่อครั้งที่แล้วเมื่อจัดการล็อครถเรียบร้อยร่างสูงราวกับนางแบบก็รีบก้าวเดินเข้าไปในตึก จากนั้นกดเรียกลิฟต์เพื่อที่จะไปยังชั้นที่ต้องการ เมื่อไปถึงหน้าประตูอัญชันจัดการสอดกุญแจเข้าไปแล้วรีบเดินไปยังโซฟารับแขกที่เธอจำได้ว่าวางหนังสือทิ้งไว้

เมื่อได้หนังสือที่ต้องการขณะหันหลังกลับจะเดินไปที่ประตู เสียงหอบและเสียงหายใจที่ติดขัดดังเล็ดลอดออกมาจากฝั่งที่เป็นห้องนอนของแฟนหนุ่ม ประตูที่เปิดแง้มไว้นิดๆ เหมือนกับคนในห้องรีบร้อนทำให้ปิดประตูไม่สนิท อัญชันเกิดเอะใจจนต้องเดินตามเสียงที่ได้ยินเข้าไป

คราเรียกคิดว่าเป็นเสียงของปกรณ์ที่อาจจะไม่สบายแล้วนอนพักอยู่ในห้องหากเป็นแบบนั้นจริงเธอจะได้พาชายหนุ่มไปโรงพยาบาลแล้วขอเลื่อนนัดกับเพื่อนออกไปก่อน มือบางที่กำลังผลักประตูห้องนอนเข้าไปถึงกับชะงักกับภาพที่ปรากฏเบื้องหน้า ภาพชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังกอดรัดกันโดยไม่มีเสื้อผ้าติดกายแม้แต่ชิ้นเดียว เธอไม่ได้ไร้เดียงสาจนมองไม่ออกว่าที่ทั้งสองคนนั้นทำคืออะไร สมองไม่สามารถสั่งการได้ชั่วขณะ ร่างกายเธอเย็นเฉียบตั้งแต่หัวจรดเท้า เหมือนฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาโดยที่ไม่มีเมฆตั้งเค้า

หนังสือที่อัญชันถือติดมือเข้ามาในห้องถูกปล่อยออกจากมือโดยที่เจ้าตัวไม่รู้สึก ‘ตุ้บ’ เสียงนั้นเหมือนเป็นเสียงระฆังช่วยให้คู่ชกบนสังเวียนที่นอนได้รับรู้ถึงการมาของบุคคลที่สาม ทั้งสองร่างผละออกจากกันโดยอัตโนมัติเหมือนแม่เหล็กขั้วเดียวกันที่จะผลักตัวออกจากกัน

“ว้าย!” “อัน” ทั้งสองร้องออกมาพร้อมกันจากนั้นรีบดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดร่างที่กำลังเปลือยเปล่าของทั้งคู่

“อันมาได้ยังไง” เสียงของปกรณ์ดังขึ้นด้วยความตกใจไม่คาดคิดว่าแฟนสาวจะแวะมาที่คอนโด แต่ก่อนแต่ไรหากอัญชันจะแวะมาหาที่ห้องซึ่งแทบจะนับครั้งได้ เธอจะต้องโทรบอกล่วงหน้า ทำให้เขาย่ามใจคิดว่าผู้หญิงทั้งสองคนคงไม่มีทางที่จะมาเจอกันได้ และไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้

“ขะ…ขอโทษคะ” อัญชันรีบเอ่ยตะกุกตะกักก่อนจะก้มลงเก็บหนังสือที่เธอเผลอทำตกแล้วรีบออกจากห้องชายหนุ่มทันทีโดยไม่หันกลับไปมองข้างหลัง

รีบกดเรียกลิฟต์ให้พาตัวเองออกไปจากสถานที่แห่งนี้โดยเร็วที่สุด เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกเธอรีบพาร่างอันสั่นเทาเหมือนลูกนกตกน้ำเข้าไปในลิฟต์แล้วกดปุ่มปิดประตูทันทีที่เห็นปกรณ์วิ่งตามมาด้วยสภาพที่ไม่เรียบร้อย
เมื่อเข้ามานั่งในรถเรียบร้อยแล้วอัญชันไม่สามารถสั่งการให้เคลื่อนรถออกจากที่นี่ได้ ราวกับสติได้หลุดออกจากร่าง นานนับนาทีเลยทีเดียวที่ในหัวมีแต่ภาพของชายหนุ่มกับหญิงสาวที่กำลังกอดรัดกันอยู่บนเตียงราวกับหนังที่ฉายซ้ำไปซ้ำมา กระบอกตาร้อนผ่าวด้วยน้ำตาที่กำลังรินไหลออกมาไม่หยุด หูอื้อไม่ได้ยินเสียงอะไรเหมือนกับทุกอย่างกำลังหยุดเคลื่อนไหวจนกระทั่งรปภ.มาเคาะกระจกเรียกทำให้อัญชันได้สติ

“คุณครับเป็นอะไรรึเปล่าครับ” รปภ.เดินเข้ามาถามเนื่องจากเห็นหญิงสาวเข้าไปนั่งในตำแหน่งคนขับนานแล้วแต่ยังไม่สตาร์ทรถและไม่ยอมเคลื่อนตัวออกจากลานจอดรถ

อัญชันรีบยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาแล้วลดกระจกลงเพื่อจะตอบคำถาม “เอ่อ…ไม่เป็นไรคะขอบคุณนะคะ”

“ครับผม” รปภ.ร่างสูงทำท่าตะเบ๊ะก่อนจะเดินไปปฏิบัติหน้าที่ต่อ


ความจริงเย็นนี้อัญชันมีนัดทานข้าวเย็นกับ เพียงขวัญ พันธิตรา แต่ในสภาพแบบนี้เธอคงไปเจอสองคนนั้นไม่ได้แน่ด้วยไม่อยากให้เพื่อนทั้งสองคนเป็นห่วง ขอเวลาให้เธออยู่คนเดียวก่อนสักพักก็ยังดี ดังนั้นอัญชันจึงโทรเลื่อนนัดโดยบอกว่าติดธุระคงไปทานข้าวด้วยไม่ได้ อัญชันเลือกที่จะโทรบอกพันธิตราแทนที่จะเป็นเพียงขวัญเพราะหากรายนั้นรู้ว่าเธอไม่ไปตามนัดคงได้ล้งเล้งใหญ่และตอนนี้เธอเองยังไม่พร้อมที่จะรับมือกับอาการนั้น เมื่อได้ยินเสียงพันธิตรากลับเป็นเธอเองที่ไม่สามารถพูดได้อย่างปรกติ พูดตะกุกตะกักด้วยน้ำเสียงที่สั่นแล้วยังมีอาการกลั้นสะอื้นมาเป็นระยะ ทำให้พันธิตาทั้งขู่ทั้งปลอบจึงทำให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่นานหลังจากนั้นทั้งเพียงขวัญและพันธิตราก็มายืนอยู่หน้าห้อง

ไม่รู้ว่าเธอขับรถพาตัวเองออกมาจากคอนโดของชายหนุ่มได้อย่างไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น รู้แต่ว่าเธอต้องการไปให้ไกลที่สุดไปที่ไหนก็ได้ที่ไม่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ตอนนี้เธอยังไม่พร้อมคุยกับใคร ไม่รู้ว่ากลับมาถึงห้องพักของตัวเองได้อย่างไร มารู้สึกตัวอีกทีคือตอนที่เธอเห็นเพื่อนรักทั้งสองยืนอยู่หน้าประตู และโดยไม่ต้องพูดอะไรออกมาให้มาความแค่ได้มองตา แค่ได้อยู่ในอ้อมกอดของเพื่อนรักทั้งสอง ความรู้สึกที่ว่าถูกทรยศหักหลัง ก็บรรเทาเบาบางและคลายความเจ็บปวดลงไปได้บ้าง อาจจะไม่ทั้งหมดแต่อย่างน้อยเธอก็ยังมีคนที่รักเธอจริงๆ และไม่คิดทรยศกับความรักของเธอเป็นแน่อยู่ข้างๆ ในเวลานี้ จากนั้นน้ำตาที่คิดว่าเหือดแห้งไปแล้วจากการร้องไห้เพียงลำพังเป็นเวลานาน กลับไหลออกมาอย่างกับทำนบพัง เรื่องราวต่างๆ ที่เธอได้เจอมาถูกถ่ายทอดออกมาให้เพื่อนสนิทรับรู้ทั้งหมด

หากอัญชันมีญาณวิเศษที่สามารถรู้เรื่องราวได้อัญชันคงเจ็บปวดมากกับการที่ได้เห็นว่า เมื่อเธอออกจากห้องนั้นมาแล้วเกิดอะไรขึ้น

ทางด้านชายหนุ่มเมื่อตั้งสติได้ก็รีบลุกจากที่นอนหยิบกางเกงบ๊อกเซอร์มาใส่อย่างรวดเร็วแล้ววิ่งตามหญิงสาวออกมาทันที แต่ก็ไม่ทันเมื่อวิ่งมาถึง ประตูลิฟต์ก็ถูกกดปิดทันทีจากข้างใน

ปกรณ์หัวเสียทันทีที่อัญชันมาเห็นเขาอยู่กับผู้หญิงคนอื่น ปรกติแล้วอัญชันไม่ใช่คนแบบนี้ ถึงเธอและเขาจะเป็นแฟนกันแต่ถ้ามีธุระที่จะต้องไปคอนโดของแต่ละฝ่ายจะต้องมีการโทรบอกล่วงหน้าให้อีกฝ่ายได้รับรู้อยู่เสมอ แล้วนี่วันนี้มันเป็นวันอะไร ทำไมเธอถึงไม่โทรมาบอกล่วงหน้า ทำแบบนี้มันเหมือนเป็นการจับผิดเขาชัด ๆ หรือว่าเธอระแคะระคายมาก่อนว่าเขาคบผู้หญิงอีกคน แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดของเขาซะหน่อยที่จะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้หญิงอื่น ถ้าหากอัญชันยอมให้เขาเหมือนที่ผู้หญิงคนอื่นยอม เขาก็คงไม่คิดจะมีผู้หญิงอื่นนอกจากเธอหรอก นี่อะไรเป็นแฟนเขามาก็หลายปีอย่าว่าแต่เรื่องพรรค์อย่างนั้นเลย แม้แต่การจับมือถือแขนกันในที่สาธารณะกับชายหนุ่มก็แทบจะนับครั้งได้ เมื่อก่อนเขาก็คิดว่ารับได้ที่มีแฟนรักนวลสงวนตัว แต่นานไปมันก็ไม่ไหว เขาก็เป็นแค่ผู้ชายธรรมดาที่มีเลือดเนื้อ มีอารมณ์ มีความต้องการ เมื่อแฟนให้ความสุขไม่ได้ก็ไม่ผิดที่จะไปหาคนอื่น เมื่อก่อนเขาก็เข้าใจว่ายังเรียนอยู่ยังไม่พร้อม แต่นี่ต่างฝ่ายต่างเรียนจบทำงานมาเป็นปีเธอก็ยังไม่ยอมให้เขาทำมากกว่าจับมือแบบนี้จะโทษเขาฝ่ายเดียวก็ไม่ได้อย่างน้อยก็ต้องแบ่งโทษกันคนละครึ่ง ชายหนุ่มคิดแบบคนเห็นแก่ตัวแล้วโยนความผิดไปให้อัญชัน

จากนั้นปัดความคิดที่จะง้อหญิงสาวเอาไว้ก่อนเพราะยังไงอัญชันก็เปรียบเสมือนของตายสำหรับเขา โทรไปออดอ้อนด้วยคำหวานสักหน่อย ขี้คร้านจะยกโทษให้เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ตอนนี้เขาต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก่อนหญิงสาวอีกคนที่อยู่ในห้องตอนนี้เป็นคนเดียวที่จะหยิบยื่นทุกอย่างให้แก่เขาได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินทอง หน้าที่การงาน ก่อนเปิดประตูเข้าไปในห้องชายหนุ่มหยุดยืนอยู่หน้าประตูหายใจเข้าลึกๆ แล้วนับหนึ่งถึงสิบเพื่อปรับสีหน้าให้เป็นปรกติที่สุด

เอวิกา หรือ วิกา ลูกสาวคนเดียวของเจ้าของบริษัทที่ชายหนุ่มทำงานด้วยตอนนี้ หญิงสาวพึ่งจบจากต่างประเทศเป็นที่หมายปองของหนุ่มๆ ด้วยบุคลิกที่มั่นใจในของตัวตามแบบฉบับของสาวนักเรียนนอก สวย เริด เชิด หยิ่ง นี่คือสูตรสำเร็จของเอวิกาและเมื่อตอนนี้ดูเหมือนเอวิกากำลังหลงใหลในตัวเขา ปกรณ์ก็จะใช้โอกาสนี้แหละที่จะขอความก้าวหน้าในการทำงานและชื่อเสียง และเก็บตุนเงินทองมาจากหญิงสาวหากเมื่อวันที่หญิงสาวเกิดอยากสลัดเขาทิ้งเหมือนที่เธอสลัดชายหนุ่มคนอื่นมาก่อนหน้านี้เขาก็จะได้มีหลักประกันความมั่นคงให้กับตัวเอง ใครจะว่าเขาเกาะผู้หญิงกินเขาก็ยอมก็ในเมื่อโอกาสมันลอยมาอยู่ในมือถึงแม้โอกาสที่ว่านี้จะไม่ค่อยขาวสะอาด แต่จะเป็นไรในเมื่อเขาเป็นผู้ชายไม่มีอะไรต้องเสียเรียกว่ามีแต่ได้กับได้ ถ้าเป็นคนอื่นก็คงจะทำเหมือนอย่างที่เขาทำนั่นคือการคว้าโอกาสที่หญิงสาวหยิบยื่นให้

“ผู้หญิงคนนั้นใครคะ” หญิงสาวที่นอนทอดร่างอยู่บนเตียงมีผ้าห่มคลุมร่างอวบเปลือยเปล่าเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่เอ่ยถาม

เมื่อชายหนุ่มเปิดประตูห้องนอนเข้ามาเอวิกาก็สังเกตท่าทางของชายหนุ่มเหมือนไม่ยี่หระกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้สักเท่าไหร่ ก็ทำให้เธอยิ้มกริ่มขึ้นมาเลยทีเดียว แสดงว่าผู้หญิงคนนั้นคงไม่มีความสำคัญกับชายหนุ่มที่เธอกำลังหมายปองอยู่ เรียกว่าปกรณ์เป็นชายหนุ่มที่ถูกใจเธอที่สุดเวลานี้ เป็นชายหนุ่มที่ อ่อนโยน ช่างออดอ้อน ช่างเอาใจ ทำให้เธอหลงใหลในขณะนี้ และเธอคิดว่ากำลังตกหลุมรักปกรณ์อยู่เป็นแน่แท้

“เพื่อนน้องสาวครับเค้าแวะมาเอาของที่ลืมไว้” ชายหนุ่มโกหกแล้วทำทีก้าวขึ้นเตียงไปนอนซ้อนอยู่ข้างหลังหญิงสาวยกแขนหนากอดเอวหญิงสาวไว้เพื่อไม่ต้องการให้เอวิกาสงสัยว่าอัญชันเป็นใครและมีความสัมพันธ์อะไรกับเขา

“ไม่ใช่แฟนหรอกหรือหน้าตาน่ารักดีนี่” เอวิกาเอ่ยทีเล่นทีจริงชั่วขณะหนึ่งที่เธอได้เห็นผู้หญิงคนนั้น บอกได้คำเดียวว่าเป็นผู้หญิงที่หน้าตาดี ถ้าจับมาแต่งนิดเสริมหน่อย ขี้คร้านผู้ชายจะมองจนเหลียวหลัง

“ไม่ใช่ครับผู้หญิงคนนั้นชื่ออัญชันเป็นเพื่อนสนิทของน้องสาวเห็นว่าเรียนที่มหาลัยเดียวกัน เมื่อกี้เธอบอกว่าน้องสาวผมติดธุระมาเอาหนังสือไม่ได้เธอก็เลยอาสาแวะมาเอาให้”

“ไม่ใช่แฟนแน่นะวิกาไม่อยากแย่งแฟนของใคร” เอวิกาถามย้ำอีกครั้งซึ่งเธอไม่อยากมีปัญหา แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เธอยอมรับว่าผู้ชายคนนั้นเป็นคนของเธอไม่ว่าใครก็แย่งไปจากเธอไม่ได้ จนกว่าเธอจะเบื่อแล้วปล่อยเขาเหล่านั้นไปเอง

“ไม่ใช่แฟนแน่นอนครับผมสาบานได้ผมยังโสดแต่ถ้าคุณวิกาจะตกลงใจยอมมาเป็นแฟนผมก็ได้นะครับผมยังไม่เห็นมีใครดีเหมือนคุณวิกาเลยสักคน” ปกรณ์ปากหวานเอาใจเอวิกาเขาไม่อยากให้ปลาที่กำลังติดเบ็ดรู้ตัวก่อนว่าอัญชันเป็นแฟนเขาไม่อย่างนั้นที่เขาลงทุนลงแรงไปจะเสียเปล่าจากนั้นชายหนุ่มยกมือบางขึ้นมาจูบที่หลังมืออย่างเอาใจทำให้หญิงสาวต้องตีมือเขาเบาๆ เป็นการแก้เขิน

“คุณนี่! แล้วทำไมเธอถึงมีกุญแจเปิดเข้ามาได้คะ” เอวิกาหันไปถามด้วยน้ำเสียงที่ยังไม่หายสงสัยหากเป็นเพื่อนน้องสาวจริงทำไมถึงกล้ามาถึงคอนโดชายหนุ่มได้ แล้วกุญแจอีกหละหากชายหนุ่มไม่ให้แล้วผู้หญิงคนนั้นจะเข้ามาในห้องได้ยังไง

“นั่นซิ! ผมก็ยังสงสัยอยู่ว่ากุญแจห้องไปอยู่กับเธอได้ยังไงสงสัยว่าน้องสาวผมคงจะให้กุญแจสำรองไป เพราะผมเคยให้น้องไว้เผื่ออยากแวะมาหาอย่างนี้ต้องโทรไปต่อว่าหน่อยละหากวันนี้ไม่มีใครอยู่แล้วฉวยหยิบข้าวของในห้องไปจะทำยังไงยายเกดนี่ใช้ไม่ได้จริงๆ” ปกรณ์ทำทีเป็นโวยวายส่งเสียงดังกลบเกลื่อนแล้วยื่นมือที่กอดเอวหญิงสาวออกมาคว้าโทรศัพท์ที่วางอยู่บนหัวเตียงจากนั้นทำทีจะกดโทร

“ช่างมันเถอะคะ” เอวิกาเอ่ยพลางแย่งโทรศัพท์ในมือชายหนุ่มกลับไปไว้ที่เดิมแล้วเอ่ย “ยังไงวิกาว่าคุณยกห้องนี้ให้น้องสาวไปเลยดีกว่าทีนี้ทั้งน้องสาวและเพื่อนๆแกจะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายกับคุณ วิกาไม่ชอบคนเยอะ”

“แล้วผมจะไปอยู่ไหนละครับจะให้ผมไปซื้อห้องใหม่ผมคงไม่มีเงินหรอกที่มีอยู่ก็เอามาดาวน์ห้องนี้จนหมดส่วนเงินเดือนก็แบ่งมาจ่ายที่ห้องนี้หากต้องผ่อนสองห้องผมคงไม่ไหวแน่ๆ” ชายหนุ่มทำเสียงเศร้า

“ใครว่าจะให้คุณซื้อ เดี๋ยวเรื่องนี้วิกาจัดการเองเมื่ออาทิตย์ที่แล้วยายเอมเพื่อนสนิทของวิกาพึ่งโทรมาบอกว่ากำลังจะเปิดคอนโดเฟสใหม่หากวิกาสนใจยายนั่นคงจะเลือกห้องที่ดีที่สุดให้เลยทีเดียว เดี๋ยวอาทิตย์หน้าเราไปดูกันหากคุณสนใจเดี๋ยววิกาซื้อให้เองสักห้องคะ” เอวิกาเอ่ยอย่างใจป้ำเธอไม่อยากให้ใครต่อใครต่าง
พาเหรดมาที่ห้องของชายหนุ่มซึ่งวันดีคืนดีไม่รู้จะมีใครโผล่มาอีกรึเปล่าเพราะฉะนั้นป้องกันไว้ก่อนดีกว่า

“ผมขอโทษที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แต่บอกตรงๆ เลยนะครับว่าผมไม่อยากย้ายออกจากที่นี่สักเท่าไหร่ด้วยว่ามันเป็นสมบัติชิ้นแรกที่ผมหามาเอง” ปกรณ์ยังตีหน้าเศร้าอาลัยอาวรณ์แล้วกวาดตามองไปรอบๆ ห้องแต่ลึกลงไปกลับตีปีกดีใจที่จะได้ย้ายไปอยู่คอนโดใหม่ที่คงจะหรูหราตามรสนิยมของเอวิกา

แม้ว่าห้องนี้จะไม่หรูหราแต่ก็เรียกได้ว่าพอใช้ในระดับหนึ่งสำหรับมนุษย์เงินเดือน ซึ่งเขาเองก็ซื้อด้วยน้ำพักน้ำแรงนับตั้งแต่ทำงานมาจะว่าไม่อาวรณ์ห้องนี้ก็ดูจะไม่ใช่แต่ถ้าได้สิ่งที่ดีกว่าเขาก็ต้องคว้าไว้ สำหรับห้องนี้อาจฝากเจ้าของคอนโดประกาศเช่าซึ่งเขาก็จะเอาเงินที่คนเช่ามาผ่อนห้องนี้ต่อ ส่วนตัวเขาเองก็ย้ายไปอยู่กับเอวิกาโดยทีไม่ต้องเสียเงินแม้แต่บาทเดียว ปกรณ์รีบวาดแผนการสำหรับอนาคตไว้อย่างเงียบๆ

“แหม! วิกาไม่ได้ให้คุณขายสักหน่อยนี่คะ ยังไงห้องนี้ก็ยังเป็นของคุณอยู่เพียงแค่วิกาอยากให้คุณย้ายไปอยู่ที่ใหม่ด้วยกันที่มันเป็นส่วนตัวมากกว่านี้คะ” เอวิกาเอ่ยอย่างเอาใจห้องนี้ถึงแม้จะเป็นคอนโดใหม่ที่พึ่งสร้างเสร็จได้ไม่นานแต่ก็เป็นห้องขนาดเล็กถ้าเทียบกับคอนโดที่เพื่อนเธอทำอยู่ตอนนี้เรียกว่าสวรรค์บนดินเลยทีเดียว

“แต่…”ปกรณ์ยังพูดไม่ทันจบมือเล็กบางก็ยกมาปิดปากหนาของชายหนุ่มทันที

“ไม่มีแต่คะวิกาตัดสินใจแล้วและถ้าคุณรักวิกาจริงคุณต้องตามใจวิกาสิคะย้ายไปอยู่ด้วยกัน” เอวิกาอ้อนชายหนุ่มขณะที่มือบางก็กำลังลูบแผงอกของชายหนุ่มเล่น “หรือว่าคุณมีคนอื่นนอกจากวิกาคุณเลยไม่อยากไปอยู่กับวิกาเพราะกลัวจะจู่จี๋กับแฟนได้ไม่ถนัดคะ” เอวิกาเอ่ยอย่างมีแง่งอนแล้วพลันมือที่กำลังลูบอกหนาก็ซัดเพี๊ยะเข้าอย่างแรงทำให้ชายหนุ่มร้องซี๊ดเลยทีเดียว

“อูย!!เจ็บ”ปกรณ์ยกมือบางออกจากตัวแล้วยกขึ้นจูบกลางฝ่ามือ “บอกแล้วไงว่ามีแค่คุณเอวิกาคนนี้คนเดียวเท่านั้นคนอื่นคนไหนไม่มีหรอก ตกลงผมย้ายไปอยู่คอนโดที่ว่านี้ก็แล้วกัน หายงอนหรือยังครับหรือต้องทำยังไงคนสวยคนนี้ถึงจะหายงอน เอ..หรือต้องสานต่อจากเมื่อกี้ก่อนถึงจะหาย” ปกรณ์เอ่ยพาดพิงถึงเหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้อย่างกระเซ้าแล้วดึงผ้าห่มที่คลุมร่างอวบออกทันทีแล้วจัดการกับภารกิจที่ค้างไว้ก่อนที่อัญชันจะเข้ามาทันที

“บ้า! หายแล้วคะ” เอวิกาเขินอายจากคำพูดและสายตาที่ปกรณ์ส่งมาโอ้โลมหญิงสาวรู้ได้ทันทีว่าชายหนุ่มต้องการอะไรและเธอเองควรปฏิบัติตัวเช่นไรเมื่อต่างฝ่ายต่างพร้อมไฟที่คิดว่ามอดดับไปแล้วกลับติดขึ้นมาอย่างง่ายดาย


ปกรณ์ทิ้งปัญหาระหว่างเขาและอัญชันไว้เบื้องหลังในเมื่อตอนนี้มีสิ่งที่น่าสนใจกว่ารออยู่ข้างหน้าหรือบางทีอาจถึงเวลาแล้วที่เขาต้องเลือกระหว่างอัญชันและเอวิกา



เหตุการณ์ปัจจุบัน...หลังจากที่เลิกรากันไปนี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่โคจรมาเจอกัน…

เมื่อคืนพวกเธอทั้งสามได้ชวนกันไปทานข้าวที่ร้านอาหารกึ่งผับในวันหยุดสุดสัปดาห์ซึ่งพวกเธอนัดกันเป็นประจำตามปรกติของสาวโสดที่ยังไม่มีเจ้าของหัวใจ เมื่อเสร็จจาการรับประทานอาหาร ขณะที่พวกเธอกำลังเดินออกมาจากร้านเพื่อเดินไปยังที่จอดรถ ไม่รู้ว่าเป็นโชคร้ายของอัญชันมาแต่หนไหนทำให้ต้องพบกับ ’อดีตคนรัก’ที่เลิกรากันไป ทฏษฏีโลกกลมนี่ใช้ได้จริงๆ

ปกรณ์อดีตแฟนของอัญชันเดินโอบเอวมากับหญิงสาวรูปร่างอวบอัด สวย เซ็กซ์ ซะขนาดนี้ มิน่าหละ ชายหนุ่มถึงเปลี่ยนใจ หญิงสาวทั้งสามลอบสังเกตหญิงสาวเสื้อผ้าเครื่องประดับมองอย่างไรก็รู้ว่าต้องเป็นสินค้าแบรนด์เนม แสดงว่าฐานะของผู้หญิงคนนี้ต้องร่ำรวยพอที่จะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ทุกอย่างให้กับชายหนุ่มได้ ไม่อย่างนั้นปกรณ์คงไม่ตีตัวออกห่าง

ชายหนุ่มถึงกับชะงักเมื่อต้องเจอกับอดีตคนรักโดยไม่ทันตั้งตัว แต่เขาก็ทำทีเดินผ่านหญิงสาวทั้งสามโดยที่ไม่ได้ทักทายเสมือนคนไม่รู้จักกัน ไม่แม้แต่จะปรายตามามองพวกเธอด้วยซ้ำและนั่นทำให้เพียงขวัญโมโหเป็นอย่างมาก จากนั้นอัญชันจึงขอตัวกลับแม้จะรู้ว่าทั้งเพียงขวัญ พันธิตรา จะเป็นห่วงและอาสาจะมานอนเป็นเพื่อนคืนนี้แต่เป็นเธอเองที่บอกกับเพื่อนว่าไม่ต้องเป็นห่วงเธอสามารถดูแลตัวเองได้

“สงสัยแบตจะหมด เมื่อวานตอนที่กินข้าวเปิดสั่นไว้ พอมาถึงห้องว่าจะเปิดก็ลืม” อัญชันเดินไปค้นโทรศัพท์จากกระเป๋าที่วางอยู่ข้างทีวีหยิบโทรศัพท์มาเปิดเสียงจึงเห็นสายที่ไม่ได้รับเกือบห้าสิบสายเป็นเบอร์ของเพียงขวัญและพันธิตราทั้งหมด

“แกจะกระหน่ำโทรมาอะไรหนักหนาขวัญฉันไม่เป็นอะไรหรอกน่า” อัญชันส่งยิ้มให้เพื่อนเพื่อให้รู้ว่าตนเองไม่เป็นไรจริงๆ กับเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ พลางเดินไปที่ตู้เย็นเพื่อรินน้ำหวานใส่แก้วแล้วยกมาให้เพื่อน

“ไม่เป็นไรจริงๆ แพท ขวัญ เรื่องมันผ่านมาเกือบปีแล้ว ยังไงเส้นทางเดินของอันกับกรณ์คงไม่มีทางมาบรรจบกันได้ ที่สำคัญอันไม่อยากกลับไปเป็นคนโง่อีกแล้ว อันเป็นคนเจ็บแล้วจำ ที่เจอกันเมื่อคืนก็คงเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า” อัญชันย้ำกับเพื่อนอีกครั้งเมื่อเห็นสายตาที่มองเหมือนไม่เชื่อว่าเธอจะไม่เป็นไรกับเรื่องเมื่อคืนจริงๆ

“เอาหละ! ถ้าแกยืนยันว่าไม่เป็นอะไร งั้นวันนี้เราไปเที่ยวกัน ไหนๆ พวกเราก็ได้หยุดอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน แกไอ้อันไปอาบน้ำแปรงฟันได้แล้วเหม็นขี้ฟันมาก” เพียงขวัญเน้นเสียงเพื่อให้เพื่อนเห็นภาพ พร้อมกับทำหน้าตายู่ใส่คนที่ยังอยู่ในชุดนอนและคาดว่าคงยังไม่ได้ทำธุระส่วนตัวเป็นแน่ “ส่วนคุณหนูแพทตามข้าพเจ้ามาในครัวเราจะแกะโจ๊กรอไอ้อันอาบน้ำแต่งตัว แล้วหลังจากนั้นเราจะไปอยุธยากัน” เพียงขวัญแจกแจงหน้าที่ให้แต่ละคนแล้วเดินนำพันธิตราเข้าไปในส่วนที่แยกเป็นห้องครัว

“ขวัญไปทำไมอยุธยา” พันธิตราถามพลางเดินตามหลังเพียงขวัญเหมือนลูกเป็ดที่เดินตามหลังแม่เป็ดเข้าไปในห้องครัว จากนั้นอัญชันก็เดินกลับไปห้องนอนเพื่อหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วเดินตรงไปยังห้องน้ำแต่ยังได้ยินเสียงของแม่เป็ดเอ่ยบอกกับลูกเป็ดว่า

“จะชวนไปเที่ยวและไปไหว้พระครั้งที่แล้วไปกับที่บ้านมายังเที่ยวไม่ทั่วเลย” เพียงขวัญตอบขณะที่มือก็ทำหน้าที่แกะโจ๊กเจ้าอร่อยที่แวะซื้อมาจากปากซอยข้างคอนโดของอัญชันแล้วจัดการยื่นให้พันธิตราเตรียมยกออกไปตั้งโต๊ะ

“อื้อ..ดีเลย” นั่นไงหละสุดท้ายแล้วลูกเป็นก็เห็นดีเห็นงามไปกับแม่เป็ด




***************************************************

เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกของเจี๊ยบฝากเพื่อนๆพี่ๆนักอ่านช่วยคอมเม้นท์ แนะนำ ติชม และช่วยเป็นกำลังใจให้น้องใหม่(หัดเขียน)คนนี้ด้วยนะคะ น้อมรับทุกคำวิจารณ์คะ :)



มีสุข
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 มิ.ย. 2554, 15:57:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 มิ.ย. 2554, 15:57:27 น.

จำนวนการเข้าชม : 1537





   ตอนที่ 2 เจอกันครั้งแรก >>
ปูสีน้ำเงิน 5 มิ.ย. 2554, 19:45:21 น.
น่าอ่านนะคะ


มีสุข 5 มิ.ย. 2554, 22:55:39 น.
ขอบคุณนะคะ คุณปูสีน้ำเงิน ที่เข้ามาอ่าน (แอบคิดเข้าข้างตัวเองว่ามันสนุก) คริคริ


กระเจี๊ยบซ่า 12 มิ.ย. 2554, 18:04:09 น.
สนุกดี น่าอ่าน รอตอนต่อไปอยู่นะค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account