ดวงใจจ้าวรัตติกาล โดย ภคพร (วางแผงแล้ว)
'นางคือจันทราสว่างไสว นางคือจอมใจเมื่ออยู่เคียงขวัญ นางคือคู่แท้แห่งนิรันดร์ นางคือชีวันจ้าวรัตติกาล'
เขาไม่เคยเห็นค่าของสิ่งที่มีจวบจนวันที่เสียไป สายไปไหมหากจะวอนขอให้จันทร์จ้าวกลับมาอยู่เคียงข้าง
เขาไม่เคยเห็นค่าของสิ่งที่มีจวบจนวันที่เสียไป สายไปไหมหากจะวอนขอให้จันทร์จ้าวกลับมาอยู่เคียงข้าง
Tags: โรแมนติก เจ้าหญิงเจ้าชาย พระเอกขรึม นางเอกขรึมกว่า ความรัก การเมืองเล็กๆ
ตอน: บทที่ 11 ท้าทาย
บทที่ 11 ท้าทาย
ไม่ทันเช้าข่าวเรื่องมีคนแอบเข้าไปในห้องสรงของจ้าวทิวาก็แพร่ไปทั่ววังทั้งสองฝั่ง แต่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นท่านหญิงกัลยาณีเพราะนางไปช่วยต้มน้ำจนเขม่าเปื้อนหน้ามอมแมม ตอนหนีก็มาก็ไม่มีใครเห็นหน้าชัด มีก็แต่หัวหน้านางกำนัลห้องสรงที่จำหน้าได้ แต่เมื่อสืบสาวราวเรื่องแล้วกลับไม่ใช่คนของวังฝั่งขวา ปากต่อปากมากเข้าก็กลายเป็นว่านางกำนัลจากวังฝั่งซ้ายเข้าไปยั่วยวนจ้าวทิวาถึงในห้องสรง
เมื่อเรื่องรู้ไปถึงคุณข้าหลวงใหญ่ของวังฝั่งขวา คุณข้าหลวงรยาจึงมาต่อคุณข้าหลวงฤดี คุณข้าหลวงใหญ่ของวังฝั่งซ้ายว่าอบรมคนไม่ดี คุณข้าหลวงฤดีจึงเรียกนางกำนัลรับใช้มาให้ชี้ตัวเพื่อนำตัวไปลงโทษ แต่ก็หาไม่เจออีก วังฝั่งขวาจึงโทษว่าวังฝั่งซ้ายปกป้องคนผิด ไม่ทันบ่ายเรื่องก็ร้อนไปถึงเจ้านิศามณีที่กำลังทรงงานอยู่ที่ตำหนักกลางของธิดาเทพ
เจ้านางทรงฟังคำของแต่ละฝ่ายโดยละเอียด ขณะที่กำลังสอบถามความนี้ท่านหญิงกัลยาณีก็อยู่ด้วย นางเพิ่งเล่นเพลงพิณถวายเจ้านางไป กลับลงไปไม่ทันไรก็ทรงเรียกมาเฝ้าอีก ด้วยทรงอยากให้ท่านหญิงมาฟังการตัดสินด้วย เพราะถือว่าเป็นการเรียนรู้อย่างหนึ่ง
“เจ้านางต้องให้ความเป็นธรรมแก่หม่อมฉันนะเพคะ คุณข้าหลวงฤดีเธอปกป้องหญิงหน้าด้านไร้ยางอาย ไม่ยอมมอบตัวให้ลงโทษ”
คุณข้าหลวงใหญ่ของวังฝั่งขวาเป็นคนเคร่งครัดเจ้าระเบียบ เจอเรื่องเช่นนี้เข้าย่อมโกรธเป็นธรรมดา ในขณะที่คุณข้าหลวงใหญ่ของวังฝั่งซ้ายเธออ่อนกว่ามาก จึงเหมือนจะถูกต่อว่าอยู่ฝ่ายเดียว
“เอาล่ะเราเข้าใจแล้ว คุณข้าหลวงฤดีมีอะไรจะแก้ตัวไหม” เจ้าทรงปรามเอาไว้เพื่อให้อีกฝ่ายได้ชี้แจงบ้าง
“หม่อมฉันจะไปปกป้องคนผิดทำไมเล่าเพคะ นางกำนัลรับใช้มีเท่าไรก็เรียกตัวมาให้ดูหน้าหมดแล้ว คุณข้าหลวงรยาเธอก็ยังไม่พอใจ ในเมื่อคนทำผิดไม่ใช่คนของหม่อมฉัน หม่อมฉันก็จนใจเพคะ”
ท่านหญิงที่หมอบกราบอยู่ข้างเจ้านางฟังแล้วก็สุดแสนจะคุ้นว่าเหมือนเรื่องของตนไม่มีผิด จะผิดกันก็ตรงนางไม่ได้เข้าไปยั่วยวนจ้าวทิวาเท่านั้น
“เจ้าเห็นว่าควรตัดสินเช่นใดกัลยาณี” อยู่ๆ เจ้านางก็ตรัสถาม
คนที่หมอบอยู่ข้างพระวรกายจึงเริ่มใจแป้ว แต่ก็ยังมีสติเข้าใจหาทางออก
“หม่อมฉันว่าบางทีอาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดก็ได้เพคะ เพราะมันเหมือนคล้ายกับเรื่องที่หม่อมฉันเคยได้ฟังมาเหมือนกัน หม่อมฉันขออนุญาตเล่าถวายได้ไหมเพคะ”
“เล่ามาสิ เราเองก็อยากฟัง”
เมื่อได้รับอนุญาตท่านหญิงก็เล่าเรื่องท่านหญิงคนหนึ่งที่ถูกเข้าใจว่าเป็นนางกำนัล แล้วผลัดหลงเข้าไปในห้องสรงโดยไม่ได้เจตนา ทำให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างฝ่ายในทั้งสองวัง
“แล้วผลเป็นเช่นใด” เจ้านางตรัสถามอย่างสนพระทัย
“ท่านหญิงผู้นั้นสารภาพกับจอมนางผู้เป็นใหญ่ของฝ่ายในเพคะ ส่วนผลจะเป็นเช่นใด ก็สุดแต่เจ้านางจะมีพระเมตตาเพคะ”
ได้ฟังแล้วเจ้านิศามณีก็ทรงทราบในทันทีว่า ที่แท้แล้วต้นสายปลายเหตุของเรื่องทั้งหมดเกิดมาจากท่านหญิงกัลยาณี เนื่องจากทรงประทับใจที่นางฉลาดเล่าและกล้ารับผิดจึงทรงอภัยให้
“เราเชื่อที่คุณข้าหลวงทั้งสองคนเล่ามา เราว่านี่คงเป็นเรื่องเข้าใจผิดอย่างที่กัลยาณีบอก คุณข้าหลวงรยาก็อย่าสืบสาวราวเรื่องอีกเลย ให้ความมันจบลงตรงนี้เถิด ถือเสียว่าเราขอ”
คุณข้าหลวงทั้งสองเข้าในสถานการณ์ได้ช้ากว่าเจ้านาง จึงรู้สึกไม่พอใจในทีแรก แต่เมื่อค่อยๆ ตรองดูแล้วก็เข้าใจว่าทำไมเรื่องถึงต้องจบ
หากคนผิดคนนั้นคือท่านหญิงกัลยาณีอย่างที่เดา ความจริงจะเป็นเช่นไรย่อมไม่สำคัญ นางเป็นถึงท่านหญิงและเป็นคนโปรดของเจ้านางใครเลยจะกล้าแตะ
พอคุณข้าหลวงทั้งสองออกไปแล้ว ท่านหญิงจึงหมอบกราบแทบเท้าเจ้านางขอพระราชทานอภัยโทษอีกครั้ง
“พอแล้วกัลยาณี ไม่ต้องขอโทษหรอก เรารู้ว่าเจ้าไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่ใช่แค่นั้นเพคะ ยังมีเรื่องที่หม่อมฉันไม่ได้กราบทูลอีก คือ…คือหม่อมฉันตบหน้าจ้าวทิวาเพคะ”
“องค์เทพทรงโปรด!/ตายแล้ว!” วิฬาร์กับบุหรงร้องอุทานออกมาอย่างพร้อมเพรียงทันทีที่ได้ยิน
ยืนค้ำหัวท่านจ้าวโทษยังเป็นการโบย แล้วนี่ถึงกับทำร้ายท่านจ้าวโทษคือประหารสถานเดียว
“เจ้าน่ะหรือตบหน้าจ้าวทิวา เรื่องมันเป็นอย่างไรกัน จ้าวทิวาทำอะไรเจ้ารึ เล่ามาโดยละเอียดซิ”
กัลยาณีเป็นคนอ่อนน้อมน้ำใจงาม พระนางจึงเชื่อว่าคงไม่ทำร้ายใครโดยไร้เหตุผล
คำถามของเจ้านางทำให้พวงแก้มเนียนใสแดงซ่าน นางไม่อยากนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานอีกเลยแม้แต่น้อย จึงต้องทำใจอยู่นานกว่าจะอ้อมแอ้มกราบทูลได้
“ตอนท่านจ้าวก็เข้ามาในห้องสรง หม่อมฉันเก็บของออกไปไม่ทันก็เลยหลบอยู่หลังม่านเพคะ ท่านจ้าวเห็นเลยมีรับสั่งให้ออกมาก หม่อมฉันไม่กล้าออกไป ท่านจ้าวก็เลยมาฉุดแขน หม่อมฉันกลัวก็เลยเผลอตบหน้าไปเพคะ”
“แล้วตอนท่านจ้าวสั่งให้ออกมาทำไมท่านหญิงไม่ออกมาดีๆ เล่าเจ้าคะ” บุหรงถามแทรกอย่างใคร่รู้
“ก็…ก็ท่านจ้าวไม่สวมอะไรเลย พอเห็นแล้วก็…”
ยิ่งเล่าหน้าท่านหญิงก็ยิ่งแดงก่ำ ดูน่ารักน่าสงสารอยู่ไม่น้อย คนที่จินตนาการตามอย่างคุณข้าหลวงทั้งสองก็เลยพลอยหน้าแดงไปด้วย
หญิงสูงศักดิ์ต่อให้ชายตามองบุรุษใส่เสื้อผ้าครบเขาก็ยังว่าไม่งาม สมัยรุ่นสาวคุณข้าหลวงเผลอไปเห็นองครักษ์เปลือยครึ่งท่อนยังกระดากใจแทบแย่ เก็บเอาไปคิดมากเสียหลายคืน จึงรู้สึกเห็นอกเห็นใจท่านหญิงกัลยาณีขึ้นมาทันที
หากเป็นปกติคงต้องไปมหาวิหารแนะนำให้เอาน้ำมนต์จากนักบวชมาล้างตา แต่นี่เป็นเรือนร่างท่านจ้าว เลยแนะนำไม่ถูกเพราะไม่มั่นใจว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่
“โถ…กัลยาณี! เจ้าคงขวัญเสียแย่ อย่าคิดมากเลย ขยับเข้ามาใกล้เราอีกหน่อยซิ” เจ้านิศามณีตรัสอย่างเห็นใจ
ทรงถอดพระหัตถาภรณ์ทองคำออกจากข้อพระกร แล้วประทานให้ท่านหญิงเพื่อเป็นการรับขวัญ
“ยื่นข้อมือมา เราจะใส่ให้”
“หม่อมฉันไม่กล้ารับเพคะ ก่อเรื่องให้เจ้านางร้อนพระทัยตั้งมาก จะมาเอารางวัลได้อย่างไร”
เจ้านิศามณีทรงทอดสายตามองท่านหญิงอย่างเอ็นดู นางไม่เหลิงไม่โลภ เหมาะแล้วที่จะเอามาไว้ข้างกาย
“ไม่ใช่รางวัล เป็นของรับขวัญต่างหาก เราอยากให้ อย่าให้เสียความตั้งใจเลย”
เจ้านางทรงอุตส่าห์ตรัสถึงขนาดนี้ ท่านหญิงกัลยาณีจึงรับสายสร้อยพระราชทานมาอย่างตื้นตัน นางไม่มีมารดาดูแล ไม่มีพี่น้องจึงรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นอย่างยิ่ง
“ต่อไปมีกิจการอันใดที่หม่อมฉันจะทำถวายให้ได้ โปรดเรียกใช้นะเพคะ หม่อมฉันยินดีทำให้ตามกระแสรับสั่งทุกอย่าง”
พูดไม่ทันจบคุณข้าหลวงด้านนอกก็เข้ามารายงานว่าจ้าวทิวาเสด็จมาเยี่ยม อึดใจเดียวก็ทรงมาถึงปากประตูทางเข้าแล้ว ท่านหญิงกัลยาณีหนีไม่ได้ก็เลยได้ก้มหน้านิ่งทำตัวลีบไม่ให้เป็นที่สังเกต
“มีอะไรรึทินกร ถึงมาหาพี่ได้”
“น้องเห็นว่าวันนี้พี่หญิงไม่มาหา น้องก็เลยเป็นฝ่ายมาเอง”
พระพี่นางไปเยี่ยมทุกสามวันไม่เคยขาด วันนี้ไม่เห็นหน้าจ้าวทิวาจึงทรงเป็นห่วงว่าพระพี่นางจะเจ็บไข้ไม่สบาย จึงเสด็จมาหาด้วยพระองค์เอง
“ฝ่ายในมีเรื่องวุ่นเล็กน้อย พี่เลยต้องจัดการก่อน บุหรงไปห้องเครื่อง ไปเอาขนมดอกบัวมาถวายให้จ้าวทิวาที”
“หม่อมฉันไปเองเพคะ” ท่านหญิงกัลยาณีขันอาสา
เมื่อครู่จ้าวทิวาทรงหันมามองนางแต่ก็มองผ่านอย่างไม่ใส่ใจ แสดงว่าทรงจำนางไม่ได้ นางจึงอยากหนีไปให้พ้น ไม่อยากเผชิญหน้าด้วยรู้สึกอิหลักอิเหลื่อเหลือทน
“ไม่ต้องหรอกกัลยาณี เรามีเรื่องจะใช้สอยเจ้า” เจ้านางตรัสห้าม
คนที่กำลังจะลุกออกไปจึงต้องกลับมานั่งกลุ้มอยู่ที่มุมเดิม
นามไม่คุ้นหูทำให้จ้าวทิวาทอดพระเนตรมองคุณข้าหลวงคนใหม่ของพระพี่นางอย่างสนพระทัย นางเอาแต่ก้มหน้าจึงเห็นแต่แพขนตากับเสี้ยวหน้าบางส่วนเท่านั้น
“กัลยาณีนี่คนใหม่หรือพี่หญิง เงยหน้าขึ้นซิ”
รับสั่งนี้ชวนให้รู้สึกเหมือนถูกพาขึ้นแท่นประหาร ท่านหญิงคนงามกำหมัดจิกเล็บลงบนฝ่ามือเพื่อปลุกปลอบใจตัวเอง แล้วฝืนเงยหน้าขึ้นมาครู่หนึ่งก่อนจะรีบก้มลงไป
“เงยดีๆ สิ มีตำหนิที่หน้ารึไรถึงไม่อยากให้มอง” จ้าวทิวารับสั่งเสียงห้วนอย่างเริ่มรำคาญ
พระเนตรสีครามของคนอารมณ์ร้อนบอกชัดเลยว่าหากนางไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาดีๆ พระองค์จะตรงเข้าไปเชยคางนางขึ้นมาดูให้ถนัดตา ท่านหญิงจึงต้องฝืนความอายเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง พลางภาวนาขออย่าให้ทรงจำนางได้
“หน้าตาก็งามดีไม่เห็นมีอะไรต้องอายนี่”
พอได้เห็นหน้าจ้าวทิวาก็หมดความสนใจในตัวคุณข้าหลวงคนใหม่ แต่ท่านหญิงกัลยาณีกลับไม่รู้สึกโล่งใจเลย เพราะบทสนทนายังคงวนเวียนอยู่ที่เรื่องของนาง
“พี่หญิงมีข้าหลวงสวยๆ อย่างนี้ไม่กลัวสวามีจะนอกใจหรือ น้องได้ข่าวแว่วมาว่าเจ้ากรมการทูตถวายหลานสาวให้จ้าวรัตติกาล แต่ท่านจ้าวไม่เก็บไว้เองกลับยกให้เป็นเพื่อนคุยพี่หญิง เห็นท่าว่าจะขี้ริ้วไม่งามอย่างคำเขาว่ากระมัง”
“เจ้าว่ากัลยาณีงามไหมล่ะ” เจ้านิศามณีทรงใบ้ให้
“ก็งามอยู่ แต่สู้พี่หญิงของน้องไม่ได้หรอก หรือว่า…” ทรงขมวดพระขนงแล้วเพ่งสายพระเนตรตาไปที่นางข้าหลวงคนใหม่อีกครั้ง “นางคือท่านหญิงที่ว่า”
ตอนแรกพระองค์ทอดพระเนตรนางอย่างผ่านๆ พอรู้ว่านางเป็นใครจึงทรงพิจารณาดวงหน้าแสนหวานนั้นอย่างละเอียดอีกครั้ง ข่าวลือที่ว่างามหนักหนาที่ทรงได้ฟังมาเป็นเรื่องจริง ทรงแอบเพิ่มคะแนนให้ท่านหญิงท่านนี้ไปเสียหลายแต้ม แต่ถึงอย่างไรในพระทัยของจ้าวทิวาพระพี่นางก็ยังเป็นที่หนึ่ง
“ถูกแล้ว นางเป็นหลานสาวของท่านเจ้ากรมทูตฝั่งซ้าย พี่ถูกใจเลยขอท่านจ้าวมา จริงสิ! พี่หาคนอ่านบันทึกราชกิจให้เจ้าได้แล้วนะ”
“ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ เป็นใครหรือ ให้รีบมารับใช้ก็ดี น้องขี้เกียจอ่านเองเต็มทน”
รับสั่งของพระพี่นางเมื่อคราวก่อนทำให้ทรงคิดได้และใช้งานราชเลขาน้อยลง ทรงพยายามฝืนอ่านบันทึกราชกิจเอง แต่ก็อ่านได้ไม่มากเท่าไร ต้องโยนทิ้งเสียทุกทีไป เพราะแค่อ่านฎีกาในแต่ละวันก็ทรงปวดหัวจะแย่แล้ว
“พี่จะให้กัลยาณีไปรับใช้เจ้า”
“เจ้านาง!” คนที่หมอบอยู่ก็เผลอตัวประท้วง แล้วก็ต้องตะครุบปากตัวเองเป็นการด่วน ก่อนเอ่ยขออภัยแล้วกลับไปก้มหน้าดังเดิม
น้ำเสียงคุ้นหูนี้บังเอิญไปสะกิดพระทัยของจ้าวทิวาเข้าอย่างจัง
ดวงตาสีนิล ผมสีดำ ผิวขาวๆ แล้วยังเสียงแบบนี้อีก ทรงเคยได้ยินมาจากที่ใดกันหนอ
ตรองดูไม่กี่อึดใจก็ทรงนึกออกก็จึงผุดลุกขึ้นชี้หน้านางทันที
“เจ้านี่เอง! พี่หญิงนาง…” จ้าวทิวาตั้งท่าว่าจะฟ้องแต่ก็ต้องชะงักโอษฐ์เอาไว้
ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยถูกสตรีหน้าไหนหยามโดยการตบหน้ามาก่อน เล่าไปก็เป็นที่อับอายเสียเปล่าๆ จึงทรงนิ่งไป แล้วคาดโทษนางเอาไว้ในใจแทน
“รู้จักกันแล้วรึ ดีจริง นางเป็นคนโปรดของพี่ ถึงพี่จะให้ไปรับใช้เจ้าแต่ก็ห้ามทำอะไรตามใจรู้ไหม”
เจ้านางตรัสแล้วทรงยิ้มหวานๆ เย็นๆ มาให้พระอนุชา บอกเป็นนัยว่าทรงทราบเรื่องระหว่างจ้าวทิวากับนางแล้ว ทั้งยังทรงเข้าข้างท่านหญิงอย่างออกนอกหน้า
แต่ไหนแต่ไรมาพระพี่นางไม่เคยเข้าข้างคนอื่น รักแล้วก็สนใจแต่พระองค์คนเดียว คนหวงพี่แถมยังขี้อิจฉาจึงอดหมั่นไส้ไม่ได้ พอรวมกับเรื่องที่ถูกตบหน้า จ้าวทิวาจึงทรงหาเรื่องแกล้งท่านหญิงโดยการท้าให้นางทดสอบความรู้ด้านต่างๆ กับคนของพระองค์
“แข่งกันสามอย่างคือดนตรี ศาสตร์การปกครองและไหวพริบ หากนางชนะน้องจะรับไว้ แต่ถ้าแพ้น้องขอคนอื่น น้องไม่อยากได้คนด้อยปัญญามารับใช้ข้างกาย”
ฟังแล้วท่านหญิงก็ใจชื้นขึ้นมาทันที ถึงจะไม่พอใจที่ถูกหยามแต่หากต้องรับใช้ใกล้ชิดจ้าวทิวาแล้ว นางยอมแกล้งแพ้ให้ถูกหมิ่นเสียดีกว่า
“น่าสนุกทีเดียว ถ้าเช่นนั้นให้เจ็ดองครักษ์แสงมาแข่งกับนางเป็นไร เจ้าจะเลือกใครมาก็แล้วแต่เจ้า พี่จะตั้งหัวข้อให้เอง”
เจ้านางรับสั่งอย่างมีแผนการ กัลยาณีอยากเป็นปราชญ์หญิงพระนางก็ทรงสนับสนุน แต่หากได้ออกเรือนด้วยก็คงดีไม่น้อย ที่ทรงให้ไปอ่านหนังสือถวายพระอนุชาก็เพราะต้องการให้นางได้พบเจอกับบรรดาองครักษ์แสง เจ็ดองครักษ์ล้วนเป็นหนุ่มโสดมากสามารถ หากได้ลงเอยกับหนึ่งในนั้นพระนางจะยินดีไม่น้อย
“น้องตกลงตามนั้น พี่หญิงคิดหัวข้อไว้แล้วแจ้งท่านราชเลขามาได้เลย อีกเจ็ดวันน้องจะจัดให้มีการแข่งหัวข้อแรก”
จ้าวทิวาตรัสอย่างกระตือรือร้นเพราะจะได้ทรงจัดการกับคนที่ไม่ชอบหน้า
“จ้าวทิวามั่นอกมั่นใจถึงเพียงนั้นเจ้าก็ต้องพยายามหน่อยแล้วกัลยาณี อย่าได้ยอมอ่อนให้เชียว เสมอก็ไม่เอานะ เราชอบชัยชนะ”
เจ้านิศามณีรับสั่งดักคอได้อย่างยอดเยี่ยม คนที่เตรียมตัวแกล้งแพ้จึงหน้าเจื่อนสนิท
มาอยู่ที่นี่ท่านหญิงกัลยาณีได้ฟังคนเขาล่ำลือกันว่าจ้าวรัตติกาลน่ากลัวที่สุดในวัง แต่เห็นทีจะลือกันผิดเสียแล้วกระมัง เจ้านางต่างหากที่น่าจะขึ้นแท่นรับตำแหน่งนี้ ทรงมีพลังจิตหรืออย่างไรหนอถึงได้อ่านใจนางได้ทะลุปรุโปร่ง
“หม่อมฉันจะพยายามเพคะ” ท่านหญิงตัดสินใจตอบรับอย่างฉะฉาน
จะทางไหนก็ไม่น่าเลือกอยู่ดี ดังนั้นขอชนะแบบมีเกียรติหน่อยก็แล้วกัน
ไม่ทันเช้าข่าวเรื่องมีคนแอบเข้าไปในห้องสรงของจ้าวทิวาก็แพร่ไปทั่ววังทั้งสองฝั่ง แต่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นท่านหญิงกัลยาณีเพราะนางไปช่วยต้มน้ำจนเขม่าเปื้อนหน้ามอมแมม ตอนหนีก็มาก็ไม่มีใครเห็นหน้าชัด มีก็แต่หัวหน้านางกำนัลห้องสรงที่จำหน้าได้ แต่เมื่อสืบสาวราวเรื่องแล้วกลับไม่ใช่คนของวังฝั่งขวา ปากต่อปากมากเข้าก็กลายเป็นว่านางกำนัลจากวังฝั่งซ้ายเข้าไปยั่วยวนจ้าวทิวาถึงในห้องสรง
เมื่อเรื่องรู้ไปถึงคุณข้าหลวงใหญ่ของวังฝั่งขวา คุณข้าหลวงรยาจึงมาต่อคุณข้าหลวงฤดี คุณข้าหลวงใหญ่ของวังฝั่งซ้ายว่าอบรมคนไม่ดี คุณข้าหลวงฤดีจึงเรียกนางกำนัลรับใช้มาให้ชี้ตัวเพื่อนำตัวไปลงโทษ แต่ก็หาไม่เจออีก วังฝั่งขวาจึงโทษว่าวังฝั่งซ้ายปกป้องคนผิด ไม่ทันบ่ายเรื่องก็ร้อนไปถึงเจ้านิศามณีที่กำลังทรงงานอยู่ที่ตำหนักกลางของธิดาเทพ
เจ้านางทรงฟังคำของแต่ละฝ่ายโดยละเอียด ขณะที่กำลังสอบถามความนี้ท่านหญิงกัลยาณีก็อยู่ด้วย นางเพิ่งเล่นเพลงพิณถวายเจ้านางไป กลับลงไปไม่ทันไรก็ทรงเรียกมาเฝ้าอีก ด้วยทรงอยากให้ท่านหญิงมาฟังการตัดสินด้วย เพราะถือว่าเป็นการเรียนรู้อย่างหนึ่ง
“เจ้านางต้องให้ความเป็นธรรมแก่หม่อมฉันนะเพคะ คุณข้าหลวงฤดีเธอปกป้องหญิงหน้าด้านไร้ยางอาย ไม่ยอมมอบตัวให้ลงโทษ”
คุณข้าหลวงใหญ่ของวังฝั่งขวาเป็นคนเคร่งครัดเจ้าระเบียบ เจอเรื่องเช่นนี้เข้าย่อมโกรธเป็นธรรมดา ในขณะที่คุณข้าหลวงใหญ่ของวังฝั่งซ้ายเธออ่อนกว่ามาก จึงเหมือนจะถูกต่อว่าอยู่ฝ่ายเดียว
“เอาล่ะเราเข้าใจแล้ว คุณข้าหลวงฤดีมีอะไรจะแก้ตัวไหม” เจ้าทรงปรามเอาไว้เพื่อให้อีกฝ่ายได้ชี้แจงบ้าง
“หม่อมฉันจะไปปกป้องคนผิดทำไมเล่าเพคะ นางกำนัลรับใช้มีเท่าไรก็เรียกตัวมาให้ดูหน้าหมดแล้ว คุณข้าหลวงรยาเธอก็ยังไม่พอใจ ในเมื่อคนทำผิดไม่ใช่คนของหม่อมฉัน หม่อมฉันก็จนใจเพคะ”
ท่านหญิงที่หมอบกราบอยู่ข้างเจ้านางฟังแล้วก็สุดแสนจะคุ้นว่าเหมือนเรื่องของตนไม่มีผิด จะผิดกันก็ตรงนางไม่ได้เข้าไปยั่วยวนจ้าวทิวาเท่านั้น
“เจ้าเห็นว่าควรตัดสินเช่นใดกัลยาณี” อยู่ๆ เจ้านางก็ตรัสถาม
คนที่หมอบอยู่ข้างพระวรกายจึงเริ่มใจแป้ว แต่ก็ยังมีสติเข้าใจหาทางออก
“หม่อมฉันว่าบางทีอาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดก็ได้เพคะ เพราะมันเหมือนคล้ายกับเรื่องที่หม่อมฉันเคยได้ฟังมาเหมือนกัน หม่อมฉันขออนุญาตเล่าถวายได้ไหมเพคะ”
“เล่ามาสิ เราเองก็อยากฟัง”
เมื่อได้รับอนุญาตท่านหญิงก็เล่าเรื่องท่านหญิงคนหนึ่งที่ถูกเข้าใจว่าเป็นนางกำนัล แล้วผลัดหลงเข้าไปในห้องสรงโดยไม่ได้เจตนา ทำให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างฝ่ายในทั้งสองวัง
“แล้วผลเป็นเช่นใด” เจ้านางตรัสถามอย่างสนพระทัย
“ท่านหญิงผู้นั้นสารภาพกับจอมนางผู้เป็นใหญ่ของฝ่ายในเพคะ ส่วนผลจะเป็นเช่นใด ก็สุดแต่เจ้านางจะมีพระเมตตาเพคะ”
ได้ฟังแล้วเจ้านิศามณีก็ทรงทราบในทันทีว่า ที่แท้แล้วต้นสายปลายเหตุของเรื่องทั้งหมดเกิดมาจากท่านหญิงกัลยาณี เนื่องจากทรงประทับใจที่นางฉลาดเล่าและกล้ารับผิดจึงทรงอภัยให้
“เราเชื่อที่คุณข้าหลวงทั้งสองคนเล่ามา เราว่านี่คงเป็นเรื่องเข้าใจผิดอย่างที่กัลยาณีบอก คุณข้าหลวงรยาก็อย่าสืบสาวราวเรื่องอีกเลย ให้ความมันจบลงตรงนี้เถิด ถือเสียว่าเราขอ”
คุณข้าหลวงทั้งสองเข้าในสถานการณ์ได้ช้ากว่าเจ้านาง จึงรู้สึกไม่พอใจในทีแรก แต่เมื่อค่อยๆ ตรองดูแล้วก็เข้าใจว่าทำไมเรื่องถึงต้องจบ
หากคนผิดคนนั้นคือท่านหญิงกัลยาณีอย่างที่เดา ความจริงจะเป็นเช่นไรย่อมไม่สำคัญ นางเป็นถึงท่านหญิงและเป็นคนโปรดของเจ้านางใครเลยจะกล้าแตะ
พอคุณข้าหลวงทั้งสองออกไปแล้ว ท่านหญิงจึงหมอบกราบแทบเท้าเจ้านางขอพระราชทานอภัยโทษอีกครั้ง
“พอแล้วกัลยาณี ไม่ต้องขอโทษหรอก เรารู้ว่าเจ้าไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่ใช่แค่นั้นเพคะ ยังมีเรื่องที่หม่อมฉันไม่ได้กราบทูลอีก คือ…คือหม่อมฉันตบหน้าจ้าวทิวาเพคะ”
“องค์เทพทรงโปรด!/ตายแล้ว!” วิฬาร์กับบุหรงร้องอุทานออกมาอย่างพร้อมเพรียงทันทีที่ได้ยิน
ยืนค้ำหัวท่านจ้าวโทษยังเป็นการโบย แล้วนี่ถึงกับทำร้ายท่านจ้าวโทษคือประหารสถานเดียว
“เจ้าน่ะหรือตบหน้าจ้าวทิวา เรื่องมันเป็นอย่างไรกัน จ้าวทิวาทำอะไรเจ้ารึ เล่ามาโดยละเอียดซิ”
กัลยาณีเป็นคนอ่อนน้อมน้ำใจงาม พระนางจึงเชื่อว่าคงไม่ทำร้ายใครโดยไร้เหตุผล
คำถามของเจ้านางทำให้พวงแก้มเนียนใสแดงซ่าน นางไม่อยากนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานอีกเลยแม้แต่น้อย จึงต้องทำใจอยู่นานกว่าจะอ้อมแอ้มกราบทูลได้
“ตอนท่านจ้าวก็เข้ามาในห้องสรง หม่อมฉันเก็บของออกไปไม่ทันก็เลยหลบอยู่หลังม่านเพคะ ท่านจ้าวเห็นเลยมีรับสั่งให้ออกมาก หม่อมฉันไม่กล้าออกไป ท่านจ้าวก็เลยมาฉุดแขน หม่อมฉันกลัวก็เลยเผลอตบหน้าไปเพคะ”
“แล้วตอนท่านจ้าวสั่งให้ออกมาทำไมท่านหญิงไม่ออกมาดีๆ เล่าเจ้าคะ” บุหรงถามแทรกอย่างใคร่รู้
“ก็…ก็ท่านจ้าวไม่สวมอะไรเลย พอเห็นแล้วก็…”
ยิ่งเล่าหน้าท่านหญิงก็ยิ่งแดงก่ำ ดูน่ารักน่าสงสารอยู่ไม่น้อย คนที่จินตนาการตามอย่างคุณข้าหลวงทั้งสองก็เลยพลอยหน้าแดงไปด้วย
หญิงสูงศักดิ์ต่อให้ชายตามองบุรุษใส่เสื้อผ้าครบเขาก็ยังว่าไม่งาม สมัยรุ่นสาวคุณข้าหลวงเผลอไปเห็นองครักษ์เปลือยครึ่งท่อนยังกระดากใจแทบแย่ เก็บเอาไปคิดมากเสียหลายคืน จึงรู้สึกเห็นอกเห็นใจท่านหญิงกัลยาณีขึ้นมาทันที
หากเป็นปกติคงต้องไปมหาวิหารแนะนำให้เอาน้ำมนต์จากนักบวชมาล้างตา แต่นี่เป็นเรือนร่างท่านจ้าว เลยแนะนำไม่ถูกเพราะไม่มั่นใจว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่
“โถ…กัลยาณี! เจ้าคงขวัญเสียแย่ อย่าคิดมากเลย ขยับเข้ามาใกล้เราอีกหน่อยซิ” เจ้านิศามณีตรัสอย่างเห็นใจ
ทรงถอดพระหัตถาภรณ์ทองคำออกจากข้อพระกร แล้วประทานให้ท่านหญิงเพื่อเป็นการรับขวัญ
“ยื่นข้อมือมา เราจะใส่ให้”
“หม่อมฉันไม่กล้ารับเพคะ ก่อเรื่องให้เจ้านางร้อนพระทัยตั้งมาก จะมาเอารางวัลได้อย่างไร”
เจ้านิศามณีทรงทอดสายตามองท่านหญิงอย่างเอ็นดู นางไม่เหลิงไม่โลภ เหมาะแล้วที่จะเอามาไว้ข้างกาย
“ไม่ใช่รางวัล เป็นของรับขวัญต่างหาก เราอยากให้ อย่าให้เสียความตั้งใจเลย”
เจ้านางทรงอุตส่าห์ตรัสถึงขนาดนี้ ท่านหญิงกัลยาณีจึงรับสายสร้อยพระราชทานมาอย่างตื้นตัน นางไม่มีมารดาดูแล ไม่มีพี่น้องจึงรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นอย่างยิ่ง
“ต่อไปมีกิจการอันใดที่หม่อมฉันจะทำถวายให้ได้ โปรดเรียกใช้นะเพคะ หม่อมฉันยินดีทำให้ตามกระแสรับสั่งทุกอย่าง”
พูดไม่ทันจบคุณข้าหลวงด้านนอกก็เข้ามารายงานว่าจ้าวทิวาเสด็จมาเยี่ยม อึดใจเดียวก็ทรงมาถึงปากประตูทางเข้าแล้ว ท่านหญิงกัลยาณีหนีไม่ได้ก็เลยได้ก้มหน้านิ่งทำตัวลีบไม่ให้เป็นที่สังเกต
“มีอะไรรึทินกร ถึงมาหาพี่ได้”
“น้องเห็นว่าวันนี้พี่หญิงไม่มาหา น้องก็เลยเป็นฝ่ายมาเอง”
พระพี่นางไปเยี่ยมทุกสามวันไม่เคยขาด วันนี้ไม่เห็นหน้าจ้าวทิวาจึงทรงเป็นห่วงว่าพระพี่นางจะเจ็บไข้ไม่สบาย จึงเสด็จมาหาด้วยพระองค์เอง
“ฝ่ายในมีเรื่องวุ่นเล็กน้อย พี่เลยต้องจัดการก่อน บุหรงไปห้องเครื่อง ไปเอาขนมดอกบัวมาถวายให้จ้าวทิวาที”
“หม่อมฉันไปเองเพคะ” ท่านหญิงกัลยาณีขันอาสา
เมื่อครู่จ้าวทิวาทรงหันมามองนางแต่ก็มองผ่านอย่างไม่ใส่ใจ แสดงว่าทรงจำนางไม่ได้ นางจึงอยากหนีไปให้พ้น ไม่อยากเผชิญหน้าด้วยรู้สึกอิหลักอิเหลื่อเหลือทน
“ไม่ต้องหรอกกัลยาณี เรามีเรื่องจะใช้สอยเจ้า” เจ้านางตรัสห้าม
คนที่กำลังจะลุกออกไปจึงต้องกลับมานั่งกลุ้มอยู่ที่มุมเดิม
นามไม่คุ้นหูทำให้จ้าวทิวาทอดพระเนตรมองคุณข้าหลวงคนใหม่ของพระพี่นางอย่างสนพระทัย นางเอาแต่ก้มหน้าจึงเห็นแต่แพขนตากับเสี้ยวหน้าบางส่วนเท่านั้น
“กัลยาณีนี่คนใหม่หรือพี่หญิง เงยหน้าขึ้นซิ”
รับสั่งนี้ชวนให้รู้สึกเหมือนถูกพาขึ้นแท่นประหาร ท่านหญิงคนงามกำหมัดจิกเล็บลงบนฝ่ามือเพื่อปลุกปลอบใจตัวเอง แล้วฝืนเงยหน้าขึ้นมาครู่หนึ่งก่อนจะรีบก้มลงไป
“เงยดีๆ สิ มีตำหนิที่หน้ารึไรถึงไม่อยากให้มอง” จ้าวทิวารับสั่งเสียงห้วนอย่างเริ่มรำคาญ
พระเนตรสีครามของคนอารมณ์ร้อนบอกชัดเลยว่าหากนางไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาดีๆ พระองค์จะตรงเข้าไปเชยคางนางขึ้นมาดูให้ถนัดตา ท่านหญิงจึงต้องฝืนความอายเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง พลางภาวนาขออย่าให้ทรงจำนางได้
“หน้าตาก็งามดีไม่เห็นมีอะไรต้องอายนี่”
พอได้เห็นหน้าจ้าวทิวาก็หมดความสนใจในตัวคุณข้าหลวงคนใหม่ แต่ท่านหญิงกัลยาณีกลับไม่รู้สึกโล่งใจเลย เพราะบทสนทนายังคงวนเวียนอยู่ที่เรื่องของนาง
“พี่หญิงมีข้าหลวงสวยๆ อย่างนี้ไม่กลัวสวามีจะนอกใจหรือ น้องได้ข่าวแว่วมาว่าเจ้ากรมการทูตถวายหลานสาวให้จ้าวรัตติกาล แต่ท่านจ้าวไม่เก็บไว้เองกลับยกให้เป็นเพื่อนคุยพี่หญิง เห็นท่าว่าจะขี้ริ้วไม่งามอย่างคำเขาว่ากระมัง”
“เจ้าว่ากัลยาณีงามไหมล่ะ” เจ้านิศามณีทรงใบ้ให้
“ก็งามอยู่ แต่สู้พี่หญิงของน้องไม่ได้หรอก หรือว่า…” ทรงขมวดพระขนงแล้วเพ่งสายพระเนตรตาไปที่นางข้าหลวงคนใหม่อีกครั้ง “นางคือท่านหญิงที่ว่า”
ตอนแรกพระองค์ทอดพระเนตรนางอย่างผ่านๆ พอรู้ว่านางเป็นใครจึงทรงพิจารณาดวงหน้าแสนหวานนั้นอย่างละเอียดอีกครั้ง ข่าวลือที่ว่างามหนักหนาที่ทรงได้ฟังมาเป็นเรื่องจริง ทรงแอบเพิ่มคะแนนให้ท่านหญิงท่านนี้ไปเสียหลายแต้ม แต่ถึงอย่างไรในพระทัยของจ้าวทิวาพระพี่นางก็ยังเป็นที่หนึ่ง
“ถูกแล้ว นางเป็นหลานสาวของท่านเจ้ากรมทูตฝั่งซ้าย พี่ถูกใจเลยขอท่านจ้าวมา จริงสิ! พี่หาคนอ่านบันทึกราชกิจให้เจ้าได้แล้วนะ”
“ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ เป็นใครหรือ ให้รีบมารับใช้ก็ดี น้องขี้เกียจอ่านเองเต็มทน”
รับสั่งของพระพี่นางเมื่อคราวก่อนทำให้ทรงคิดได้และใช้งานราชเลขาน้อยลง ทรงพยายามฝืนอ่านบันทึกราชกิจเอง แต่ก็อ่านได้ไม่มากเท่าไร ต้องโยนทิ้งเสียทุกทีไป เพราะแค่อ่านฎีกาในแต่ละวันก็ทรงปวดหัวจะแย่แล้ว
“พี่จะให้กัลยาณีไปรับใช้เจ้า”
“เจ้านาง!” คนที่หมอบอยู่ก็เผลอตัวประท้วง แล้วก็ต้องตะครุบปากตัวเองเป็นการด่วน ก่อนเอ่ยขออภัยแล้วกลับไปก้มหน้าดังเดิม
น้ำเสียงคุ้นหูนี้บังเอิญไปสะกิดพระทัยของจ้าวทิวาเข้าอย่างจัง
ดวงตาสีนิล ผมสีดำ ผิวขาวๆ แล้วยังเสียงแบบนี้อีก ทรงเคยได้ยินมาจากที่ใดกันหนอ
ตรองดูไม่กี่อึดใจก็ทรงนึกออกก็จึงผุดลุกขึ้นชี้หน้านางทันที
“เจ้านี่เอง! พี่หญิงนาง…” จ้าวทิวาตั้งท่าว่าจะฟ้องแต่ก็ต้องชะงักโอษฐ์เอาไว้
ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยถูกสตรีหน้าไหนหยามโดยการตบหน้ามาก่อน เล่าไปก็เป็นที่อับอายเสียเปล่าๆ จึงทรงนิ่งไป แล้วคาดโทษนางเอาไว้ในใจแทน
“รู้จักกันแล้วรึ ดีจริง นางเป็นคนโปรดของพี่ ถึงพี่จะให้ไปรับใช้เจ้าแต่ก็ห้ามทำอะไรตามใจรู้ไหม”
เจ้านางตรัสแล้วทรงยิ้มหวานๆ เย็นๆ มาให้พระอนุชา บอกเป็นนัยว่าทรงทราบเรื่องระหว่างจ้าวทิวากับนางแล้ว ทั้งยังทรงเข้าข้างท่านหญิงอย่างออกนอกหน้า
แต่ไหนแต่ไรมาพระพี่นางไม่เคยเข้าข้างคนอื่น รักแล้วก็สนใจแต่พระองค์คนเดียว คนหวงพี่แถมยังขี้อิจฉาจึงอดหมั่นไส้ไม่ได้ พอรวมกับเรื่องที่ถูกตบหน้า จ้าวทิวาจึงทรงหาเรื่องแกล้งท่านหญิงโดยการท้าให้นางทดสอบความรู้ด้านต่างๆ กับคนของพระองค์
“แข่งกันสามอย่างคือดนตรี ศาสตร์การปกครองและไหวพริบ หากนางชนะน้องจะรับไว้ แต่ถ้าแพ้น้องขอคนอื่น น้องไม่อยากได้คนด้อยปัญญามารับใช้ข้างกาย”
ฟังแล้วท่านหญิงก็ใจชื้นขึ้นมาทันที ถึงจะไม่พอใจที่ถูกหยามแต่หากต้องรับใช้ใกล้ชิดจ้าวทิวาแล้ว นางยอมแกล้งแพ้ให้ถูกหมิ่นเสียดีกว่า
“น่าสนุกทีเดียว ถ้าเช่นนั้นให้เจ็ดองครักษ์แสงมาแข่งกับนางเป็นไร เจ้าจะเลือกใครมาก็แล้วแต่เจ้า พี่จะตั้งหัวข้อให้เอง”
เจ้านางรับสั่งอย่างมีแผนการ กัลยาณีอยากเป็นปราชญ์หญิงพระนางก็ทรงสนับสนุน แต่หากได้ออกเรือนด้วยก็คงดีไม่น้อย ที่ทรงให้ไปอ่านหนังสือถวายพระอนุชาก็เพราะต้องการให้นางได้พบเจอกับบรรดาองครักษ์แสง เจ็ดองครักษ์ล้วนเป็นหนุ่มโสดมากสามารถ หากได้ลงเอยกับหนึ่งในนั้นพระนางจะยินดีไม่น้อย
“น้องตกลงตามนั้น พี่หญิงคิดหัวข้อไว้แล้วแจ้งท่านราชเลขามาได้เลย อีกเจ็ดวันน้องจะจัดให้มีการแข่งหัวข้อแรก”
จ้าวทิวาตรัสอย่างกระตือรือร้นเพราะจะได้ทรงจัดการกับคนที่ไม่ชอบหน้า
“จ้าวทิวามั่นอกมั่นใจถึงเพียงนั้นเจ้าก็ต้องพยายามหน่อยแล้วกัลยาณี อย่าได้ยอมอ่อนให้เชียว เสมอก็ไม่เอานะ เราชอบชัยชนะ”
เจ้านิศามณีรับสั่งดักคอได้อย่างยอดเยี่ยม คนที่เตรียมตัวแกล้งแพ้จึงหน้าเจื่อนสนิท
มาอยู่ที่นี่ท่านหญิงกัลยาณีได้ฟังคนเขาล่ำลือกันว่าจ้าวรัตติกาลน่ากลัวที่สุดในวัง แต่เห็นทีจะลือกันผิดเสียแล้วกระมัง เจ้านางต่างหากที่น่าจะขึ้นแท่นรับตำแหน่งนี้ ทรงมีพลังจิตหรืออย่างไรหนอถึงได้อ่านใจนางได้ทะลุปรุโปร่ง
“หม่อมฉันจะพยายามเพคะ” ท่านหญิงตัดสินใจตอบรับอย่างฉะฉาน
จะทางไหนก็ไม่น่าเลือกอยู่ดี ดังนั้นขอชนะแบบมีเกียรติหน่อยก็แล้วกัน
นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 มิ.ย. 2554, 06:20:17 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ก.พ. 2555, 14:54:46 น.
จำนวนการเข้าชม : 2155
<< บทที่ 10 พรหมลิขิต | บทที่ 12 สานสัมพันธ์ >> |
ชอบอ่าน 7 มิ.ย. 2554, 08:24:48 น.
ชอบจังรีบมาลงต่อเร็วนะคะ
ชอบจังรีบมาลงต่อเร็วนะคะ
dino 7 มิ.ย. 2554, 10:35:53 น.
ท่านหญิงกัลยาณีนี้คงจะคู่กับจ้าวทิวาแน่เลย
ท่านหญิงกัลยาณีนี้คงจะคู่กับจ้าวทิวาแน่เลย
แว่นใส 7 มิ.ย. 2554, 20:20:26 น.
คู่ปรับเจอกันแล้ว
คู่ปรับเจอกันแล้ว