ที่สุด...ของหัวใจ
คืนวันล่วง...ผ่านราว...สายน้ำไหล ดวงฤทัย...กลับมั่นคง...เฉกภูผา
ฝังลึกล้ำ...ความรัก...ปักวิญญา สายธารา...ความทรงจำ...ยังย้ำครอง
คือสองหัต...ถานี้...หรือมิใช่ โอบมลาย...ความเหว่ว้า...ในใจหมอง
ด้วยสองเนตร...อบอุ่น...ที่ทอดมอง เฝ้าปกป้อง...ปลอบประโลม...มาเนิ่นนาน

Tags: อาเรีย

ตอน: บทที่ 3

ทันทีที่สิ้นเสียงปืน วรองค์สูงหนาของเจ้าชายรัซเซลทรุดลงกับพื้นทันที สำนึกสุดท้ายที่จำได้คือภาพอาเรียที่พุ่งเข้ามาผลักพระองค์เต็มแรง หากแค่ทำให้ทรงเซออกไปเพียงเล็กน้อย ยังทรงทันเห็นมีดถูกซัดออกไปจากมือเจ้าของร่างบางอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะทรงรู้สึกถึงแรงปะทะอันสร้างความเจ็บปวดให้กับพระอุระเบื้องขวาจนยืนไม่อยู่ เสียงอุทานก้องของเนวินกับนาซิน และเสียงหญิงสาวตะโกนอะไรบางอย่างแว่วเข้าพระกรรณก่อนพระสติจะดับวูบ

อาเรียซัดมีดออกไปอีกเล่มเพื่อหยุดการยิงซ้ำของผู้ลอบประทุษร้าย ก่อนจะถลาเข้ามาประคองวรองค์หนาไว้กับตัก พร้อมตะโกนห้ามเสียงก้อง “อย่าฆ่ามันนะ !”

ทว่าช้าไป กระสุนจากปืนของนาซินพุ่งเข้าเจาะหัวใจของผู้บังอาจลอบยิงเจ้าชายแห่งเมลาวีอย่างแม่นยำ ก่อนที่ชายหนุ่มจะพุ่งตัวไปยังต้นไม้ซึ่งเป็นจุดหลบซ่อนตัว สายตากวาดมองไปรอบด้านอย่างรวดเร็วเพื่อหาว่ายังมีผู้ใดอยู่อีกหรือไม่ จากนั้นก็วิ่งกลับมาทรุดร่างลงข้างเนวินซึ่งถลันมายังร่างเจ้าชายของตนพร้อม ๆ อาเรีย

“ฝ่าบาท เป็นอย่างไรบ้างเนวิน” เสียงห้าวแหบเครือด้วยความเจ็บปวดร้าวรานและรู้สึกผิด

“กระสุนฝังใน” เนวินตอบด้วยน้ำเสียงเครียดเคร่ง หากมีร่องรอยเจ็บปวดมิแพ้เพื่อน

“ห้ามเลือดก่อนเถอะ” อาเรียบอกพร้อมกระตุกผ้าพันเอวอันเป็นผืนยาวส่งให้เนวินที่รับไปอย่างรวดเร็ว และลงมือห้ามเลือดให้กับองค์ผู้เป็นนายอย่างเร่งด่วน โดยมีร่างบางประคองพระองค์ไว้อย่างระมัดระวัง ดวงตาคู่สวยที่มีรอยเคร่งเครียดของหญิงสาวกวาดมองไปรอบ ๆ พื้น ก่อนหันไปหานาซิน

“ท่านนาซิน เอาของในถุงใบนั้นออกมาเร็ว !” เสียงใสร้องสั่งพร้อมชี้มือไปยังถุงที่ตกอยู่บนพื้นใกล้ตัวนาซิน อันเป็นใบเดียวกันกับที่หญิงสาวหยิบออกมาจากห่อสัมภาระก่อนหน้านี้

ชายหนุ่มหยิบถุงขึ้นมาอย่างงง ๆ หากคลี่ปากถุงแต่โดยดี ครั้นพอได้เห็นของข้างในก็พลันชะงัก ดวงหน้าเคร่ง ตาเหลือบมองหญิงสาวอย่างไม่แน่ใจปนระแวง พร้อมเสียงเข้ม “พลุสัญญาณ !!!”

เนวินเงยหน้าทันที หันไปมองนาซินและหันกลับมามองยังหญิงสาว ใบหน้าเครียดขรึมคิดไม่ต่างจากผู้เป็นเพื่อน ‘หญิงสาวตรงหน้า เชื่อได้แค่ไหน’

อาเรียอ่านความหวาดระแวงในสายตาของคนทั้งคู่ออก หญิงสาวจ้องตานาซินด้วยสายตามั่นคง ยามเอ่ยถ้อยประโยคน้ำเสียงหนักแน่นยิ่ง “ด้วยเกียรติของอาเรีย ลาเฟเนอร์เวียร์ แห่งกรมราชวัลลภพิเศษ ในพระนามเสด็จท่านผู้บัญชาการ เจ้าชายราเอล ซารัส ฟอนเอลส์ไมย่า”

นัยน์ตาของชายหนุ่มทั้งคู่พลันเบิกกว้าง แน่นอน...พวกเขาย่อมต้องรู้จัก ‘ลาเฟเนอร์เวียร์’ อันเป็นสกุลแห่งเสนาบดีกลาโหมของอาณาจักรเพื่อนบ้าน ยิ่งไปกว่านั้น...คงไม่มีผู้ใดที่จะกล้าถึงขนาดแอบอ้างพระนามแห่งเจ้าชายผู้บัญชาการที่ขึ้นชื่อเรื่องความเข้มงวดยิ่งนัก

“ยิงแดงสอง ขาวหนึ่ง ดำหนึ่ง ตามลำดับ ทิ้งระยะสามสิบวินาทีแล้วยิงอีกชุด” หญิงสาวบอกรวดเร็วเมื่อเห็นเนวินหันไปพยักหน้ากับนาซิน ด้วยความมั่นใจว่าชายหนุ่มจะทำตามแน่นอน โดยมิรอให้อีกฝ่ายถาม

เสียงพลุสัญญาณหวีดแหลมเล็กพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าเกิดเป็นแนวเส้นควันสีแดงสองเส้นยาวเป็นทาง ก่อนจะตามด้วยสีขาวและดำ อันมีรหัสความหมายเป็นที่รู้กันเฉพาะกรมฯ

สีแดง สัญญาณขอความช่วยเหลือ หากสองเส้นแสดงถึงภาวะวิกฤต สีขาวต้องการหมอ สุดท้ายสีดำแทนผู้บังคับบัญชาระดับสูงจากส่วนกลาง ยิงติดกันสอง ชุด เป็นการย้ำความเร่งด่วน

อาเรียก้มมองดวงพักตร์ซีดขาวของร่างที่ตนประคองอยู่ คิ้วขมวดมุ่นไม่คลายด้วยความวิตกกังวลกับพระอาการ ทั้งโมโหตนเองยิ่งนักที่ไม่ชอบพกปืนติดตัว มีดซัดของเธอเข้าเป้าหมายที่มือผู้ลอบยิงอย่างแม่นยำ หากเพราะระยะที่ห่างเกินไปทำให้แรงปะทะลดลง จึงไม่สามารถหยุดการลั่นไกลงได้ ทั้งยังนึกโมโหนาซินที่ดับลมหายใจของคนร้ายทำให้มิอาจเอาตัวไว้สอบสวน แต่..หากเป็นเธอก็คงไม่ทันคิดเช่นกัน

หากทรงเป็นอะไร ที่นี่ ‘ปัญหา’ จะตามมา ความวิตกกังวลหนักอึ้งเต็มหัวใจ มือบางเย็นเฉียบชื้นไปด้วยเหงื่อ ประสาทอันตึงเครียดก่อให้เกิดความรู้สึกหงุดหงิดที่ยังไม่เห็นผู้ใดปรากฏตัว หญิงสาวจึงร้องบอกขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงกร้าว “ท่านนาซินยิงอีกชุดเถอะ ให้ตายซิชักช้านัก มันน่าสั่งขังให้หมดจริง ๆ”

นาซินชะงักเล็กน้อย แล้วทำตามทันที ก่อนจะหันไปยิ้มฝืดเฝื่อนกับเพื่อน เมื่อได้เห็นอาการกรุ่นโกรธของหญิงสาวที่ท่าทางบ่งบอกว่า ‘ใจร้อน’ และ ‘โมโหร้ายไม่เบา’ ไม่แพ้เจ้านายของพวกตนที่นอนหมดสภาพอยู่นั่นเลย ก็อันที่จริงพลุนั่นเพิ่งยิงไปได้ไม่ถึงห้านาที แต่เอาเถอะ นี่มันผลประโยชน์ของพวกเขานี่นะ และแน่นอน พวกเขาเองก็ร้อนใจอย่างที่สุดเช่นเดียวกัน

เสียงฝีเท้าม้าหลายตัวดังก้องอยู่ไม่ไกล เสียงนกหวีดแหลมสูงเป่าเป็นจังหวะ อาเรียรีบล้วงเอานกหวีดของตนขึ้นเป่าบอกตำแหน่ง เพียงชั่วครู่หมู่ม้าสิบตัวของชายหนุ่มในเครื่องแบบสีดำปรากฏขึ้นอย่างเร่งร้อน

วามิส ผู้เป็นผู้บังคับการกองกำลังราชวัลลภพิเศษ กองร้อยที่สี่ ประจำเมืองนีซ เบิกตากว้างเมื่อมองเห็นร่างบางที่เคยคุ้นแต่ไกล พลุสัญญาณที่บ่งบอกถึงความเร่งด่วนโดยเฉพาะอย่างยิ่งพลุสีดำ ทำให้เขาต้องนำคนออกมาด้วยตนเองอย่างรีบร้อน ครั้นพอได้เห็นสัญญาณยิงครั้งที่สอง ยิ่งทำให้ตระหนก หากแต่เขาคิดไม่ถึงว่าเจ้าของพลุสัญญาณจะเป็นหญิงสาวผู้มีอำนาจในการบังคับบัญชาระดับสูงของฝ่ายการข่าว ทำให้ต้องเร่งฝีเท้าม้าเต็มเหยียดพร้อมเสียงอุทานอย่างตกใจ “ท่านอาเรีย”

“ช้าจริง ให้หมอมาดูคนเจ็บก่อนเร็ว !” เสียงตวาดดังด้วยอารมณ์ที่ร้อนดุจไฟ นัยน์ตาขุ่นเขียว

วามิสยกมือขึ้นเป็นสัญญาณบอก ม้าสองตัวถูกชักขึ้นนำกลุ่มพุ่งมาโดยเร็ว ก่อนกระโดดลงด้วยความคล่องแคล่ว ขณะที่กลุ่มคนที่เหลือพุ่งตามมาติด ๆ

แพทย์ทหารทั้งสองตรงเข้าไปทรุดตัวลงข้าง ๆ หญิงสาว ขณะที่นาซินลุกขึ้นยืนเป็นการหลีกทางให้ เสียงเนวินบอกเบา ๆ “ถูกยิง กระสุนฝังใน พยายามห้ามเลือดไว้อยู่”

แพทย์ทหารทั้งสองคนช่วยกันดูบาดแผล ก่อนที่หนึ่งในสองจะเงยหน้าบอกสั้น ๆ “ต้องผ่าตัดทันทีครับ”

“ที่อาควิลพร้อมไหม” อาเรียใช้คำเรียกขานกรมราชวัลลภพิเศษที่รู้จักกันทั่วไป อัน เนื่องมาจากสัญลักษณ์ประจำกรม ‘อินทรีโอบมงกุฎ’

“หมอและเครื่องมือที่ดีที่สุดของเราอยู่ที่นั่นครับ ท่านอาเรีย” เสียงวามิสที่ตามเข้ามาใกล้กล่าวขึ้น

“โอ วามิส!! ดีจริงที่มาเอง” หญิงสาวร้องออกมาเมื่อเพิ่งสังเกตเห็นชายหนุ่มที่เธอจำได้

“พอเห็นสัญญาณ ทางหน่วยแพทย์ก็เตรียมตัวรับเหตุฉุกเฉินแล้วครับ” ชายหนุ่มรายงาน

“ดี...ถ้าอย่างนั้น เราจะเชิญเจ้าชายรัซเซลเสด็จไปที่นั่น จำไว้ ลับสุดยอด อย่าให้ข่าวรั่วไหลได้เด็ดขาด” เจ้าของเสียงใสสั่งเฉียบขาด

วามิสชะงักเล็กน้อยกับประโยคคำสั่งของหญิงสาว อันเป็นการบอกอย่างชัดเจนถึงศักดิ์แห่งผู้รับบาดเจ็บ ความเข้าใจต่อความหนักหนาของเหตุการณ์ดียิ่ง การสั่งการลูกน้องจึงเป็นไปอย่างรวดเร็ว

“สามศพในบ้านกับอีกหนึ่งตรงโน้น...สืบให้ได้ว่าพวกมันเป็นใคร” หญิงสาวออกคำสั่งต่อผู้บังคับการหนุ่มอีกครั้ง “แล้วสั่งการลงไปให้ตรวจสอบคนเมลาวีที่เข้ามาอยู่ในนีซตอนนี้ให้หมด อย่างลับ ๆ อ้อ มีพ่อค้าที่อยากให้ตรวจสอบเป็นพิเศษ เดี๋ยวขอรายละเอียดกับท่านนาซินที่อยู่ตรงนั้นล่ะ”

นาซินและเนวินหันมาสบตากันปริบ ๆ ก่อนจะหันกลับไปมองยังผู้ที่เคยตกเป็นเชลยของพวกเขา ดูเหมือนว่า อำนาจในการสั่งการของหญิงสาวจะมากเกินกว่าที่ได้คาดไว้ นี่พวกเขาโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่นะ ที่ตกมาอยู่ในมือคนกลุ่มนี้

“เชิญเถอะท่านอาเรีย ทุกอย่างพร้อมแล้ว” วามิสบอกเมื่อเห็นทหารให้สัญญาณที่พร้อมจะเคลื่อนขบวน

หญิงสาวพยักหน้าก่อนเดินเข้าไปหาเนวินและนาซินที่ยืนสีหน้าเคร่งเครียด มือทั้งสองข้างตบหลังทั้งสองหนุ่มเบา ๆ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไปกันเถอะ พวกเราจะพยายามช่วยอย่างเต็มที่”

ชายหนุ่มทั้งคู่หันมามองด้วยสายตาขอบคุณ อาเรียยิ้มให้ก่อนดันหลังพวกเขาเบา ๆ ไปยังม้าที่ทหารจูงมาให้ และขี่ตามคนอื่นไปโดยทิ้งสถานที่ต้นเหตุและทหารอีกสามนายไว้ยังเบื้องหลัง



ที่ตั้งแห่งกองร้อยที่สี่ คือตึกขาวอันมีรูปลักษณ์เดียวกับกรมฯ ใหญ่ หากขนาดย่อมกว่ากันมาก บัดนี้ แม้ผู้ที่อยู่ภายนอกจะมองว่าไม่มีอะไรผิดปกติ หากแท้ที่จริงภายในกลับมีการรักษาการณ์ขั้นสูงสุด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่สับสนปรากฏชัดในทุกส่วนงาน

ทั้งอาเรีย เนวินและนาซินต่างยืนกอดอกนิ่งเงียบหน้าห้องผ่าตัด บรรยากาศหนักอึ้ง กดดันกระจายไปทั่ว จวบจนแพทย์ออกมารายงานผล ‘ปลอดภัย’ บรรยากาศจึงเริ่มคลายตัวลงเล็กน้อย อาเรียค่อยถอนหายใจยาวด้วยความโล่งใจ ส่วนชายหนุ่มทั้งคู่หันมาสบตากัน ต่างฝ่ายต่างมีประกายของหยาดน้ำในดวงตาของตนเอง

“จะไปพักสักนิดไหม หรือจะรออยู่ที่นี่” เสียงใสดังขึ้นถามอย่างอ่อนโยน

“ขออยู่ที่นี่เถอะ” เนวินตอบ ในขณะที่นาซินพยักหน้าเป็นการเห็นพ้อง

“ได้ จะให้คนจัดอาหารมาให้ แต่ว่า...เดี๋ยวท่านเนวินคงต้องออกไปกับทหาร ไปดูเรื่องพ่อค้าคนนั้น”

“จริงสิ ลืมไปเลย งั้นไปเดี๋ยวนี้เลย” ชายหนุ่มขยับตัวเมื่อถูกหญิงสาวเตือน

ทว่าอาเรียส่ายหน้าช้า ๆ พร้อมรอยยิ้มบาง “ทานอะไรก่อนค่อยไปก็ได้ ถึงอย่างไรก็มีทหารเฝ้าจับตาดูแล้ว ส่วนข้า...ยังมีเรื่องต้องไปจัดการ คงต้องขอตัวก่อน”

“ข้ายังไม่ได้ขอบคุณท่านเลย ในนามของชาวเมลาวี ข้าขอขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือครั้งนี้” นาซินพูด และโดยพร้อมกัน ชายหนุ่มทั้งสองก้มศีรษะให้เพื่อแสดงความขอบคุณ

“ไม่ต้องขอบคุณหรอก เรื่องเกิดในวินเทียร์ เราย่อมต้องช่วยอย่างเต็มที่ ข้าขอตัวก่อน” หญิงสาวยิ้มอ่อน ๆ ทว่าก่อนจะก้าวออกเดิน จู่ ๆ ร่างบางก็ทรุดฮวบลงกับพื้น

ชายหนุ่มทั้งคู่ก้าวเข้ามาทรุดตัวลงข้างร่างบางทันที เสียงร้องถามประสานกัน “เป็นอะไรไหม”

ดวงหน้าหวานของอาเรียมีรอยขัดเขินยามเงยขึ้นมองชายหนุ่มทั้งสอง เสียงเอ่ยบอกอาการตะกุกตะกัก “เอ่อ...คือ...ไม่ได้เป็นอะไรหรอก แค่...จู่ ๆ ขาก็ไม่มีแรงเสียอย่างนั้นน่ะ”

เนวินและนาซินกะพริบตาปริบ ๆ กับถ้อยประโยคที่ได้ยิน แล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก

“โธ่เอ๊ย...ก่อนหน้านี้ยังเห็นเก่ง สั่งการฉอด ๆ อยู่เลย ไหงหมดท่าเอาตอนนี้” นาซินพูด ในขณะที่เนวินหันมาส่งสายตาขุ่นเขียวให้กับความปากเสียของผู้เป็นเพื่อน

“ก็...มัน...”อาเรียยิ้มจืด พูดอะไรไม่ออก ดวงหน้าหวานซับสีระเรื่อ นี่เธอ ‘หมดท่า’ จริง ๆ นั่นละ ช่างน่าขายหน้าจริง ๆ ยังดีนะ ที่เธอไม่ออกอาการแบบนี้ต่อหน้าบรรดาลูกน้องทั้งหลาย ถ้าเป็นเช่นนั้น เธอคงต้องมุดดินหนีแน่ ๆ

เนวินพยุงร่างบางขึ้นไปนั่งที่เก้าอี้ พร้อมสายตาแสดงความเห็นใจด้วยรับรู้ต่อความเครียดที่หญิงสาวต้องเผชิญ เพราะหากเปลี่ยนเป็นเขาก็คงจะกดดันมิแพ้กัน “นาซินมันปากเสียอย่างนี้นั่นละ อย่าไปสนใจเลย ท่านคงจะเหนื่อยไม่น้อย ข้าว่า...ท่านสมควรจะไปพักสักหน่อยจะดีกว่า”

“ไม่เป็นไรหรอก นั่งพักสักเดี๋ยวก็คงหาย” หญิงสาวบอกเสียงอ่อย เธอเพิ่งรู้สึกว่ามือตัวเองสั่นน้อย ๆ และมีความรู้สึกกลัว เพราะนี่เป็นครั้งแรก ที่เธอต้องเผชิญกับเรื่องหนักหนาสาหัสแต่เพียงลำพังโดยปราศจากใครคนใดคนหนึ่ง ในใจพลันรู้สึกคิดถึงเจ้าชายราเอลขึ้นมา ปรารถนาจะให้พระองค์มาอยู่ที่นี่ด้วย

มือบางกำแล้วคลายอยู่อย่างนั้น สูดลมหายใจลึก ก่อนจะค่อย ๆ ออกแรงขยับขาดู เมื่อเห็นเป็นปกติก็ลุกขึ้นอย่างว่องไว “ดีขึ้นแล้วล่ะ ข้าไปก่อนละนะ”

อาเรียก้าวเดินด้วยความรวดเร็ว ครั้นพ้นอาณาเขตส่วนรักษาพยาบาลจึงได้เห็นผู้ที่ตนต้องการจะไปหากำลังเดินสวนมา “วามิส เจอพอดี” ถ้อยประโยคต่อมาเบาเสียงลง “มือสังหารที่ส่งมาตายหมด แต่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังต้องพยายามที่จะรู้ว่า ผลเป็นอย่างไร”

“ก็คงพยายามหาข่าวกันน่าดูละครับ และคงรู้ด้วยว่าทางเรามีการเคลื่อนไหว เพราะสัญญาณจากพลุนั่น ถึงจะไม่รู้ว่าเรื่องอะไร แต่น่าที่จะสงสัยว่าเราเข้าไปเกี่ยวข้องแน่นอน”

หญิงสาวยิ้มเหยียด “หึ ก็ให้สงสัยไป แต่จะให้รู้ไม่ได้ว่าทรงบาดเจ็บ เราจะทำลายข่าว ปล่อยข่าวให้หลุดไปอย่างลับ ๆ ว่า ข้าถูกยิงก็แล้วกัน” ก่อนพูดต่อ “ตามนาลีให้หน่อย พามาที่นี่เงียบ ๆ อย่าให้ใครผิดสังเกต ที่จริงไปเองจะดีกว่า แต่ต้องเล่นบทคนถูกยิงเสียแล้ว จะออกไปตอนนี้ก็คงไม่เหมาะ”

“ทราบแล้วครับ” ชายหนุ่มก้มหน้ารับคำสั่ง ก่อนจะแยกตัวไปอย่างรวดเร็ว

อาเรียถอนหายใจยาวเมื่อคล้อยหลังผู้บังคับการหนุ่ม หญิงสาวประหวัดคิดถึงเจ้าชายของตนและผู้เป็นเพื่อนที่แยกย้ายกันไป ...นี่คนทั้งสามจะเห็นพลุสัญญาณนั้นหรือไม่



กระท่อมหลังเล็กสองสามหลังที่ปลูกซ่อนเอาไว้ท่ามกลางแมกไม้ในหุบตื้น ๆ บนเขา กำลังถูกจับตามองจากคนในชุดสีสันกลมกลืนกับภูมิประเทศจำนวนสองคน ซึ่งซุ่มซ่อนตัวอยู่บนชัยภูมิสูงกว่า โดยคนเบื้องล่างมิสามารถมองเห็น

ร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อคลุมสีน้ำตาลเปลือกไม้ไต่ลัดเลาะขึ้นไปตามแนวต้นไม้ซึ่งทอดสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ มือเหนี่ยวกิ่งไม้บ้าง เถาวัลย์บ้าง พาตัวโหนขึ้นไปด้วยความคล่องแคล่ว ก่อนจะก้าวขึ้นมาหยุดนั่งลงบนก้อนหินใหญ่ พลางโบกมือให้สองคนที่อยู่ข้างบน แล้วรอให้หนึ่งในสองละออกจากตำแหน่งที่อยู่ไต่ลงมาหา

“เป็นอย่างไรบ้าง มีอะไรคืบหน้าไหม” คนนั่งรอเอ่ยปากถาม

“เมื่อคืนนี้มีคนขึ้นมาสามคน หนึ่งในสามดูบุคลิกท่าทางแล้วข้าว่า...เหมือนพวกทหาร ดูท่าทางน่าจะเป็นพวกตัวหัวหน้า พวกนั้นหายเข้าไปในบ้านเป็นนานสองนาน ก่อนจะกลับออกไป เราจะเข้าไปใกล้นักไม่ได้” คนที่เพิ่งไต่ลงมายกมือขยี้จมูกอย่างหงุดหงิด ก่อนจะพูดต่อ

“เจ้าก็รู้ เส้นทางด้านนี้มันไม่ใช่เส้นทางปกติที่คนทั่ว ๆ ไปใช้กัน แต่ไอ้พวกนั้นมันขึ้นลงกันเป็นว่าเล่น ดูยังไงมันก็เป็นคนพื้นที่ชัด ๆ ถ้าจะยุ่งล่ะงานนี้”

“เจ้าก็ส่งรายงานไปอย่าให้ตกหล่นก็แล้วกัน ทางหน่วยเหนือว่าอย่างไรล่ะ”

“ยังเงียบอยู่ ไม่มีคำสั่งมาเป็นพิเศษ ก็ไอ้ข่าวที่ส่งไปคราวที่แล้วมันไม่มีรายละเอียดอะไรเลย นอกจากมีกลุ่มคนน่าสงสัยปรากฏตัวขึ้น จะถูกมองข้ามหรือเปล่าก็ไม่รู้สิ เอลย่า...”

“อย่าดูถูกพวกหน่วยเหนือนัก กลาโหมน่ะไม่โง่หรอกนะ แต่ดูเหมือนว่าทางชายแดนด้านอัลโทเรียจะเริ่มไม่น่าไว้วางใจ คิดว่าคงมุ่งเป้าไปรับมือทางด้านนั้น เพราะถึงอย่างไรก็รู้อยู่ว่าทางด้านนี้มีการประสานงานเรื่องการข่าวกับหน่วยข่าวของอาควิล และทางกรมฯ คงไม่ปล่อยให้ผ่านตาไปง่าย ๆ ก็เลยวางใจ เพราะพวกนี้ร้ายจะตาย กลาโหมก็แค่รอสนับสนุนหากเกิดอะไรขึ้น เท่านั้นเอง” ผู้ถูกเรียกว่าเอลย่าพูดเรียบเรื่อย หากรอยยิ้มจุดมุมปากเล็กน้อย

“ฮื่อ...ร้าย เหมือนไอ้เจ้าเอ็ดการ์ข้างบนนั่นล่ะสิ” ชายหนุ่มพูดพร้อมชี้นิ้วโป้งข้ามไหล่ไปยังบุคคลที่อยู่ด้านบน

“หือ จับคู่กับเอ็ดหรือ แล้วทำอะไรอยู่ ไม่เห็นลงมา”

ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ “วาดรูป...รูปไอ้พวกในกระท่อมนั่นน่ะ รวมทั้งไอ้เจ้าสามคนเมื่อคืนนี้ ตอนแรกก็สงสัย...พวกอาควิลส่งใครมาให้ จะไปสอดแนมแต่กลับพกกระดาษกับชอล์กวาดรูปมาซะมากมาย เพิ่งจะรู้...ฝีมือดีฉิบ รู้จักกันหรือ”

“หึ...หึ ก็เคยร่วมงานกันน่ะ ยังไม่ได้นอนใช่ไหม งีบตรงนี้ก่อนก็ได้ ข้าจะขึ้นไปหาเอ็ด” พูดจบก็ไต่ขึ้นไปยังด้านบนอย่างรวดเร็วโดยไม่รอคำตอบ



ชายหนุ่มร่างเล็กผู้นั่งวาดรูปอยู่อย่างขะมักเขม้น เงยหน้ามองผู้ที่ขึ้นมาใหม่ชั่วครู่ ก่อนลงมือทำงานของตนต่อ “ว่าไงเอล”

“เพิ่งรู้ว่าเจ้าขึ้นมาด้วย ถ้าอาควิลส่งเจ้ามาตั้งแต่แรกก็ดี” ว่าพลางหยิบรูปบางส่วนขึ้นมาดู

เอ็ดการ์เหลือบตามองเพียงเล็กน้อย “ติดงานอื่นอยู่ สามใบนั้นน่ะ คนที่มาเมื่อคืน” คำบอกเล่าทำให้เอลย่าพิจารณาอย่างละเอียด

“ฝีมือยังดีเหมือนเดิม ได้ยินว่าบุคลิกเหมือนพวกทหาร”

“คิดอย่างนั้นเหมือนกัน เดี๋ยวส่งรูปไปให้พวกหน่วยตรวจสอบดูก็รู้ ว่าแต่หมอนั่นทำไมยังอยู่ข้างล่างล่ะ”

“ข้าจะขึ้นมาคุยกับเจ้าน่ะ ก็เลยให้เขางีบไปก่อน ”

“หึ หึ เห็นมองข้าตาค้างเลย ตอนที่เห็นข้าดึงกระดาษมาลงมือวาดรูป สงสัยในใจคงจะด่าพรรคพวกเราน่าดู ว่าส่งใครมา”

“เจ้าตัวก็บอกอย่างนั้นละ รูปพวกนี้ควรจะส่งถึงพวกหน่วยตรวจสอบให้เร็วที่สุด ข้าว่า ทางกรมฯ คงจะส่งคนมา ถึงตอนนั้นควรจะมีรายละเอียดเพิ่มเติมให้นอกเหนือจากข่าวที่ส่งไปก่อนแล้ว ไม่เช่นนั้น โดนอาละวาดแน่”

เอ็ดการ์ชะงักมือ เหลือบตามองคนตรงหน้าแล้วถาม “คิดว่าคนที่มาจะเป็นใคร”

“ใครจะรู้ อาจจะเสด็จเองก็ได้ มีความเป็นไปได้สูงเสียด้วย อีกอย่าง เราก็รู้ ๆ กันอยู่ สถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจ ไหนจะทางเมลาวี ยังอัลโทเรียอีก”

“แล้วถ้า...เป็นนาง เจ้าจะทำอย่างไร อย่าลืมนางอยู่ฝ่ายการข่าว” เอ็ดการ์ถามเบา ๆ

เอลย่าชะงักเล็กน้อย ก่อนตอบ “ก็...ไม่เห็นจะต้องทำอย่างไร ข้าเป็นแค่สายข่าว ส่งรายงานผ่านคนอื่นก็ได้ แต่ถ้าต้องพบ...ก็ไม่มีปัญหาอะไรนี่นา เรื่องงานสำคัญกว่า”

“เอล...ในฐานะที่เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก ข้าขอถามจริง ๆ เถอะ เจ้าเกลียดนางหรือไม่”

“ไม่...เราอย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย” นัยน์ตาสีนิลผิดปกติไปแวบหนึ่งโดยอีกฝ่ายไม่ทันสังเกต “เดี๋ยวข้าจะเลยขึ้นไปเนอร์ราห์ เจ้าจัดการรูปของเจ้าให้เสร็จโดยเร็วเถอะ ข้าจะไปปลุกรายโน้นให้กลับขึ้นมา ช่วงบ่ายอาควิลจะส่งคนอื่นมาเปลี่ยนกับเจ้า แต่ทางฝ่ายทหารข้ายังไม่แน่ใจว่าจะเป็นใคร”

“ไปเถอะ” ชายหนุ่มพยักหน้าง่าย

ร่างสูงโปร่งไต่ลงไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มที่นอนหลับอยู่ลืมตาขึ้นทันที “จะไปแล้วหรือ”

“ใช่ ช่วงบ่ายจะมีคนมาเปลี่ยน ข้าจะไปเนอร์ราห์ต่อ ไปล่ะ” พูดจบก็ไต่ลงไปจนถึงแนวเส้นทางที่เดินได้สะดวกกว่าเดิม เดินลัดเลาะไปตามต้นไม้ทึบอย่างชำนาญทาง



“หยุดเดี๋ยวนี้นะ !”

เสียงตวาดที่ดังขึ้น จากกลุ่มคนที่ขวางทางอยู่ด้านหน้า ทำให้เจ้าชายราเอลชะงักม้าทรง เนตรสีน้ำเงินแลกวาดไปยังทุกคน พระขนงเลิกขึ้นเป็นการแสดงคำถาม

“ทางนี้ผ่านไม่ได้”

“ใครเป็นคนห้าม” สุรเสียงตรัสถามราบเรียบ

“พวกข้าห้ามเอง เจ้าจะผ่านขึ้นไปไม่ได้เด็ดขาด”

“เจ้าเป็นเจ้าของเส้นทางนี้หรือ”

“ไม่ใช่ แต่ไม่ว่ายังไงก็ห้ามผ่าน ไปใช้เส้นทางอื่นแทน หากไม่เชื่อฟังกันล่ะก็เจ้าจะได้เห็นดีกัน”

โอษฐ์สวยเหยียดยิ้ม เนตรสีน้ำเงินมีประกายสนุก ทรงดำริในพระทัย ‘ไม่ได้ออกกำลังกายนานแล้ว สักนิดคงดีเหมือนกัน อืมม์ หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า กำลังเหมาะ’ จากนั้นก็กระโดดลงจากหลังอาชาทรง ตรัสเสียงกังวานปนหัวเราะ

“ข้าไม่อยากเปลี่ยนเส้นทาง และก็อยากเห็นอะไรดี ๆ ที่เจ้าว่าด้วย”

“หนอย ไอ้นี่ วอนซะแล้ว เฮ้ย ไปสั่งสอนมันหน่อยสิ” เสียงใครสักคนตะโกนสั่งพรรคพวก

“เข้ามาสิ” สุรเสียงร้องชวน หัตถ์หนึ่งกวักเรียก

หากก่อนที่จะมีอะไรเกิดขึ้น ทุกคนก็เห็นร่างสูงโปร่งไถลตัวลงมาจากเส้นทางลาดชันที่อยู่สูงขึ้นไปอย่างรวดเร็ว และก้าวตรงมายังพวกเขา

ผู้มาใหม่เหลือบตามองมาทางวรองค์สูง ก่อนจะเดินผ่านไปและมาหยุดต่อหน้ากลุ่มคนข้างหน้า “นี่พวกเจ้ามาเกาะกลุ่มขวางทางอะไรกันตรงนี้ เกะกะจริง” เสียงบ่นรำคาญ หากสายตากวาดมองพิจารณาดวงหน้าแต่ละคน

“เฮ้ย ! นางฟ้ามาว่ะ น้องสาวจ๋า ทางตรงนี้ห้ามผ่านนะจ๊ะ” หนึ่งในกลุ่มตะโกนบอกพรรคพวก ก่อนเอ่ยเสียงหวาน ในขณะที่แต่ละคนตาวาว ยามที่ได้เห็นใบหน้าเจ้าของร่างสูงโปร่งใกล้ ๆ

“ข้าอยากผ่านเสียอย่าง เจ้าจะทำอะไรได้ อีกอย่างเส้นทางแถวนี้มีพวกสุนัขมาเฝ้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ทำไมข้าไม่เห็นรู้” เสียงพูดเรียบเจือรอยเย็นชา ไร้ซึ่งปฏิกิริยาแสดงถึงความหวั่นเกรง

“เฮ้ย ! น้องสาว ทำไมเจ้าปากเสียจัง พวกข้าเห็นเป็นสาวสวยก็เลยพูดด้วยเพราะ ๆ หาเรื่องแล้วไหมล่ะ เดี๋ยวก็เจอดีหรอก”

สายตาหญิงสาวมองคนข้างหน้าขึ้นลงตั้งแต่หัวจดเท้า ริมฝีปากยิ้มเหยียด “ขอบใจที่อุตส่าห์ชมว่าข้าเป็นสาวสวย แต่เผอิญข้าไม่ชอบคนพูดจาเพราะ ๆ แบบพวกเจ้า ที่ฟังอย่างไรก็ไม่ต่างจากเสียงเห่าหอนไปวัน ๆ”

“หนอย...นังผู้หญิงคนนี้ มันจะมากเกินไปแล้ว กล้าด่าพวกข้าเป็นหมาไม่หยุดหย่อนเลยนะ”

สีหน้าหญิงสาวสลดลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินถ้อยประโยคของอีกฝ่าย น้ำเสียงแปรเปลี่ยนเป็นมีแววเสียใจ ”โอ ข้าพูดผิดไปจริง ๆ นั่นละ ไม่สมควรด่าพวกเจ้าว่าเป็นสุนัขเลย” ถอนหายใจเล็กน้อย “ข้าลืมไปว่า สุนัขเป็นสัตว์ที่ดี รักเจ้าของทั้งยัง ซื่อสัตย์ จะเหมือนพวกเจ้าได้อย่างไรกัน เพราะพวกเจ้าแย่กว่าเสียอีก”

“ปากร้ายนัก นังนี่” กลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านั้นโกรธจัด ขยับเข้ามาล้อมกรอบหญิงสาวเอาไว้

“นี่ ! พวกเจ้าลืมข้าไปหรือเปล่า” สุรเสียงนุ่มของเจ้าชายราเอลที่ทรงยืนทอดพระเนตรเหตุการณ์อยู่ดังขึ้น เมื่อเริ่มรู้สึกว่าคนเหล่านั้นไม่สนใจพระองค์เลย ทั้ง ๆ ที่ทรงหมายพระทัยไว้ว่าจะยืดเส้นยืดสายสักเล็กน้อย

“เจ้ายังอยู่อีกเรอะ ท่าทางจะอยากเจ็บตัวมากละสินี่ เฮ้ย...ไปจัดการไอ้หมอนั่นก่อน แล้วค่อยมาเล่นกับนังคนนี้” เสียงร้องสั่งของผู้ที่ดูคล้ายจะเป็นหัวหน้าทำให้ชายสองคนเดินรี่จะเข้าไปหาเจ้าชายหนุ่ม หาก…

“โอ๊ย !” เสียงร้องดังขึ้น เมื่อหัวเข่าของคนทั้งสองถูกหญิงสาวหนึ่งเดียวในที่นั้นเตะอัดเข้าทางด้านหน้า แม้ไม่แรงขนาดที่จะทำให้หัวเข่าหลุด แต่รุนแรงพอที่จะส่งผลกับเส้นเอ็น ซึ่งสามารถหยุดยั้งคนทั้งคู่ได้อย่างชะงัดนักหนา จนลงไปนอนร้องครวญครางอยู่กับพื้น

“พวกเจ้าจะสนุกกับข้ามิใช่หรือ” หญิงสาวพูดเสียงเย็น ทอดสายตามองยังแต่ละคนที่มีอาการโมโห

เจ้าชายหนุ่มจุโอษฐ์พร้อมถอนพระปัสสาสะโดยแรง ทำพักตร์เศร้าด้วยความเสียดาย ‘เหยื่อ’ หากเนตรสีน้ำเงินจับตามองหญิงสาวเบื้องหน้าด้วยความสนพระทัย

“พวกเจ้าถอยไป” เสียงพูดดังมาจากชายร่างใหญ่ที่แทรกเข้ามาผลักพรรคพวกของตนเองให้พ้นจากการขวางทาง หลังจากที่นั่งเอนหลังพิงต้นไม้หลับตาฟังเหตุการณ์ต่าง ๆ โดยไม่เข้ามาร่วมด้วยในคราแรก ดวงหน้าสี่เหลี่ยม นัยน์ตาลึก จับจ้องหญิงสาว ก่อนหัวเราะเย็น

“หึ...นึกว่าสาวสวยที่ไหน ที่แท้ก็เอลย่าจากเผ่าเนอร์ราห์นี่เอง มิน่าถึงได้กล้าขนาดนี้” จากนั้นปรายตามองสองคนที่ยังกองอยู่บนพื้น “ถือเป็นความโชคร้ายของเจ้าสองคนนี้ที่ไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร”

ชื่อของเนอร์ราห์ที่ได้ยิน ทำให้เจ้าชายราเอลทอดพระเนตรหญิงสาวอย่างพิเคราะห์มากขึ้น

“ข้าไม่รู้จักเจ้า...” หญิงสาวยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเช่นเดิม หากดวงตาจับจ้องอีกฝ่ายเขม็ง ความรู้สึกบอกว่า คนตรงหน้าต่างจากพรรคพวกของเขา และน่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่ม

“การประลองระหว่างหมู่บ้านเมื่อสองปีก่อน พี่ข้าพ่ายแพ้ให้กับเจ้า” นัยน์ตาลึกคู่นั้นดูจะวาววับยามทบทวนความจำของสตรีตรงหน้า

“อ้อ ! ถ้าพี่ของเจ้าเป็นตัวแทนหมู่บ้าน เจ้าก็น่าจะฝีมือด้อยกว่าพี่ล่ะสิ” หญิงสาวตอบสวนออกไป รู้สึกพอใจในสิ่งที่ได้รับรู้อย่างเงียบ ๆ ...ที่มาของกลุ่มบุคคลตรงหน้า

“อย่าปากเก่งนัก จริงอยู่ว่าพี่ข้าได้เป็นตัวแทน แต่นั่นเพราะตอนนั้นข้ามีธุระที่อื่น มิเช่นนั้นคนที่จะต้องประลองกับเจ้าก็คือข้า”

“แล้วอย่างไร เจ้าจะขอประลองกับข้าอย่างนั้นสิ” เอลย่าเหยียดยิ้มเยาะ

“ถูกต้อง ที่นี่ เวลานี้ ถ้าเจ้าชนะ ข้าจะให้เจ้าผ่านทางขึ้นไป พร้อมไอ้หมอนั่นด้วยก็ได้” ปลายนิ้วชี้มายังเจ้าของวรองค์สูงที่ทรงยืนกะพริบพระเนตรปริบรับฟังการสนทนาเงียบ ๆ ด้วยไม่มีช่องให้สอดแทรก

“เฮ้ย ! ลูกพี่ แบบนั้นไม่ได้นะ….” เสียงร้องค้านดังขึ้น

“พวกแกหุบปาก !” ชายหนุ่มตวาดลูกน้องเสียงดัง ก่อนจะหันมาพูดกับหญิงสาวด้วยน้ำเสียเหี้ยม “แต่ถ้าแพ้ เจ้าเตรียมตัวเป็นของเล่นให้ไอ้พวกนี้ได้เลย ว่าอย่างไร ถ้ากลัวก็กลับลงไปเสีย และต่อจากนี้ไปห้ามเจ้าจับดาบอีกเป็นอันขาด”

“จะอย่างไรก็ต้องสู้ล่ะสิ แต่ดูเหมือนเงื่อนไขไม่ค่อยจะยุติธรรมเลยนะ” พระสุรเสียงนุ่มดังเปรยแทรกขึ้น

“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า อยู่เฉย ๆ ไปดีกว่า แต่ถ้าจะลอง เดี๋ยวข้าจัดการทางนี้เสร็จแล้วค่อยเล่นกับเจ้าก็ได้ เจ้าหนุ่ม” แววตากร้าวจับจ้องเจ้าชายหนุ่มอย่างเยาะหยัน

เอลย่าผินหน้ามามองเจ้าของวรองค์สูง “เจ้าอยู่เฉย ๆ เถอะ ข้าจัดการเองได้ ว่าแต่...ข้าขอถามหน่อย เจ้าจะขึ้นไปเนอร์ราห์หรือ”

“หือ...รู้ได้อย่างไรว่าข้าจะไปที่นั่น”

“ก็เส้นทางนี้ มันเป็นทางลัดขึ้นไปเนอร์ราห์ได้ แต่ไม่ค่อยมีใครขึ้นมาใช้กันหรอก ยกเว้นไอ้พวกมีชนักอย่างพวกนี้จะแอบขึ้นมาทำอะไรกัน แต่ดูแล้วเจ้าก็ไม่เกี่ยวกับพวกมันนี่” หญิงสาวพูดพร้อมปรายตามองคนเหล่านั้นอย่างมีนัย

“หึ หึ” ไม่มีคำตอบจากเจ้าของวรองค์สูงสง่า นอกจากพระสุรเสียงสรวลเบา

“เอาละ เรามาเริ่มกันดีกว่า” ผู้เป็นหัวหน้าของอีกฝ่ายเอ่ยด้วยเสียงกร้าว “จำไว้ ชื่อข้าคือ เซ็ต”

“ไว้เจ้าชนะข้าได้ แล้วข้าจะจำ เพราะถ้าให้มานั่งจำชื่อคนแพ้ สมองข้าคงรับไม่ไหว” หญิงสาวพูดอย่างไม่ให้ความสำคัญ สร้างความขุ่นเคืองให้ชายหนุ่มนามว่าเซ็ตยิ่งนัก

รู้จักเล่นจิตวิทยาก่อนสู้เสียด้วย...ไม่เลว ทรงพระดำริอย่างถูกพระทัย จากนั้นทรงขยับย้ายมาอีกด้านหนึ่ง แล้วทรงยืนกอดพระอุระมองการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้น เนตรทรงอำนาจแลเห็นเอลย่ากระตุกผ้าคลุมออก จากมุมนี้ ทำให้ทรงเห็นวงหน้าของหญิงสาวได้อย่างถนัดชัดเจน

ดวงหน้านั้นสวยดุ ดวงตาคมดำสนิท จมูกโด่งงาม ผิวสีน้ำผึ้งเข้ม ผมดำยาวกำลังถูกหญิงสาวรวบขึ้นผูกสูง เผยให้เห็นลำคอเรียวระหงรับกับเรือนร่างสูงโปร่ง มือที่ละจากการรวบเส้นผมเลื่อนไปกระดาบดาบของตน

ดาบถูกชักออกจากฝัก ใบดาบเรียวบาง โค้ง ในขณะที่อีกฝ่ายก็ใช้ดาบประเภทเดียวกัน จุมพิตเบาถูกแตะลงบนใบดาบของแต่ละฝ่าย ก่อนชูขึ้นฟ้าสุดแขนแล้วสะบัดฟันลงด้านล่าง เสียงใบดาบแหวกอากาศดัง ‘ขวับ’ เป็นการแสดงความเคารพซึ่งกันและกันอย่างงดงาม

เจ้าชายราเอลหรี่พระเนตรลงเล็กน้อย เพียงเห็นพิธีแสดงความเคารพของคนทั้งคู่ ก็ทรงบอกกับองค์เอง การต่อสู้ของคนคู่นี้ ‘น่าดู’ แน่นอน ทรงรู้ดีเฉกเช่นผู้ใช้อาวุธทุกคนควรรู้ว่า ‘ระยะ’ มีความหมายสำคัญแค่ไหน ดาบของคนทั้งคู่มีความสั้นยาวต่างกันนัก และดาบของเอลย่า ‘สั้น’ กว่าเกือบครึ่ง นั่นย่อมหมายถึง หญิงสาวจะมีความได้เปรียบมากกว่าเมื่อสามารถเข้ามาอยู่ในระยะประชิด หากแต่...สิ่งที่หญิงสาวจะมีมากกว่าด้วยอีกอย่างหนึ่งก็คือ...อันตราย !!!



เพียงรอยฝัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 เม.ย. 2554, 12:52:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 เม.ย. 2554, 18:17:26 น.

จำนวนการเข้าชม : 1830





<< บทที่ 2   บทที่ 4 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account