สะพานแห่งคำสัญญา
พายุกับน้ำฝน เด็กวัยรุ่นหนุ่มสาวที่มีความแตกต่างกันมากที่สุด ต้องมีวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป เมื่อการเรียนและชีวิตวันหยุดของทั้งสองต้องมาข้องเกี่ยวกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ความเฉยชากลายเป็นความสัมพันธ์ กลายเป็นความรัก ความรักที่ยากจะดึงทั้งสองออกจากกัน
Tags: คำสัญญา หนุ่มเกเร สาวเรียบร้อย

ตอน: สะพานแห่งคำสัญญา ตอนที่ 7

ผมผ่านช่วงเวลานั้นไปอย่างไม่ค่อยจะสุขใจนักเพราะโดนล้อเช้ายันเย็นทั้งวัน แต่ในอีกมุมมองหนึ่ง ผมกลายเป็นคนดีขึ้นมาในสายตาหลายๆคน เรื่องนี้ผมไม่รู้ว่าถึงหูอาจารย์หรือเปล่า แต่มีใครหลายๆคนเข้ามาไถ่ถามว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วผมมาเจอน้ำฝนที่นั่นได้อย่างไร ผมได้แต่บอกความจริง ใครจะเชื่อหรือไม่ ผมเองก็ไม่สามารถจะรู้ได้และผมไม่ค่อยสนด้วย
ผมต้องไปบ้านอาจารย์ฉกรรจ์ในวันพรุ่งนี้ คนที่ไปด้วยก็มีน้ำฝนกับเหมียว ผมเป็นผู้ชายคนเดียวที่ไปและจะต้องกับผู้หญิงสองคนนั้นที่บ้านของอาจารย์พร้อมด้วยครอบครัวของอาจารย์ที่มีผู้หญิงอีกสามคน จำนวนผู้ชายที่อยู่ในบ้านช่วงสุดสัปดาห์นี้คือสามคน คือตัวผม อาจารย์ฉกรรจ์ และลูกชายตัวกระเปี๊ยกของอาจารย์ ไม่อยากนึกภาพเลย ผมเริ่มนึกว่าตัวเองกำลังคิดผิดอยู่หรือเปล่าที่พาตัวเองไปอยู่ในสภาพนี้คืนกับอีกหนึ่งวัน

พ่อเป็นคนขันอาสาพาเราไปส่งที่บ้านอาจารย์ฉกรรจ์ก่อนที่จะไปทำงานต่างอำเภอ โดยขากลับพี่ชายของน้ำฝนจะเป็นคนมารับ
ผมได้แต่นั่งเงียบอยู่ในรถ โทรศัพท์ที่พอจะฟังเพลงได้ช่วยให้ผมหลีกลี้หนีการสนทนาพาทีกับพวกผู้หญิงที่นั่งกันข้างหลังได้(อันที่จริงพวกเขาก็ไม่ไดสนใจจะคุยกับผมนักหรอก) พ่อหันมามองผมหลายครั้งแต่ไม่พูดอะไร ผมว่าคนเป็นพ่อน่าจะมีพลังบางอย่าง พวกคุณพ่อทุกคนมักจะมองเห็นสิ่งผิดปกติที่อยู่ในตัวเรา แต่ไม่เคยพูดอะไร พ่อผมเองก็ทำอย่างนั้น ท่านหันมามองอีกครั้ง ผมเลยแสร้งหลับซะ แม้จะรู้ว่าระยะทางจากบ้านเราไปบ้านอาจารย์ไม่ห่างไกลกันเท่าไหร่เลย จากบ้านเรา ขับรถครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว

รถของเราจอดในที่สุด ผมเงยหน้าขึ้น รู้สึกถึงความยากลำบากในการเปิดประตูรถลงไป ผิดกับสองสาวที่นั่งข้างหลัง สองคนนั้นลงรถไปอย่างเร็วนี่และยืนคุยกับอาจารย์อยู่ตรงทางเข้าบ้าน ผมรวบรวมสัมภาระทั้งเป้ของทุกคนและขาตั้งกล้อง เอาลงมาวางไว้ตรงชุดโต๊ะไม้ทำเองของอาจารย์ที่ตั้งใกล้ทางเข้าบ้าน
“พ่อไปนะยุ”
ผมพยักหน้า พ่อยิ้มและเดินขึ้นรถ ติดเครื่องยนต์ ผมยืนมองพ่อขับรถออกไปก่อนจะขนข้าวของตามทุกคนเข้าไปในบ้าน

อาจารย์ผู้เป็นเจ้าของบ้านจัดแจงที่นอนให้อย่างดีสำหรับสองสาว ส่วนผมซึ่งมีชื่ออยู่ในกลุ่มนักเรียนที่ไม่ค่อยดีเท่าใดนักสมัยเรียนกับอาจารย์ฉกรรจ์ ได้เตียงเล็กๆในห้องรับแขกเป็นที่นอน อาจารย์หยอกว่าผมได้ที่นอนตรงนี้ก็ดีแล้ว หรืออยากจะเข้าไปปูที่นอนข้างล่างเตียงของอาจารย์ ซึ่งผมปฏิเสธในทันทีที่อาจารย์ยื่นข้อเสนอให้
“มีที่อื่นอีกไหมครับครู”ผมติดเรียนอาจารย์แบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
“มี ใต้ยุ้งฉางเก็บข้าว มีเปลผูกอยู่ จะนอนไหม”อาจารย์ยังหยอกตามประสา
“นอนที่เปลดีกว่าครับ”ผมตอบรับข้อเสนอนี้อย่างไม่ลังเล ผมสบายใจกว่าที่จะนอนตรงนั้น แม้ว่ามันจะลำบากและเสี่ยงโดนยุงหามก็ตามที
อาจารย์มองผมอย่างไม่เชื่อ แน่ล่ะ ใครที่ไหนจะบ้าออกไปนอนเปลนอกบ้านให้ยุงหาม
“เธอแน่ใจนะ”
“ครับผมแน่ใจ”
“ยุงนะ”
“ครับ”
“แล้วจะรู้ ว่ายุงที่นี่ดุขนาดไหน”อาจารย์ขู่แล้วหัวเราะอย่างมีเลศนัย ผมได้แต่ยิ้มตอบ
“ข้างนอกมีห้องน้ำใช่ไหมครับครู”
“มีซิ เดินเลยไปทางหลังบ้าน”
“ขอบคุณครับ”
“กลางคืนระวังนะ แถวนี้ผีดุ”
“ครูอย่าพูดงั้นซิ”ผมทำหน้ายุ่ง อาจารย์แกหัวเราะใส่ผมก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน

ผมเดินไปยังเปลที่อาจารย์บอก เปลนั้นผูกไว้อย่างดีใต้ยุ้งฉาง ผมเงยหน้ามองกระดานไม้ข้างบนด้วยกลัวว่าถ้ามันห่างไป เศษผงฝุ่นจะร่วงใส่หน้าใส่ตาตัวเองตอนนอน ต้องชมอาจารย์ฉกรรจ์ที่จัดการเอาผ้าใบพลาสติกปูพื้นยุ้งฉางตำแหน่งนั้นไว้อย่างดี เปลที่ผมเลือกเอาเป็นที่นอนในคืนนี้ดูแล้วมันเหมาะกับการนอนกลางวันมากกว่า แต่เมื่อเลือกแล้วก็ต้องสำรวจเสียหน่อย ผมเลยลองดึงเปลที่ผูกไว้เพื่อดูให้แน่ใจว่าคืนนี้จะไม่ขาดตกลงมาหลังเดาะ บริเวณใกล้ๆมีม้ายาวอยู่ตัวหนึ่ง เหมาะจะว่างน้ำและข้าวของส่วนตัวได้ โชคดีที่ผมเป็นคนชอบคิดอะไรเผื่อความจำเป็นสักหน่อย ผมติดกระเป๋าสะพายใบเล็กๆใบหนึ่งมาด้วย มันพอจะใส่กระเป๋าเงินและโทรศัพท์ตอนที่ผมนอนเวลากลางคืนได้โดยไม่ต้องวางไว้ที่ม้ายาวซึ่งเอื้อมมือไปหยิบได้ยาก

“เธอจะนอนที่นี่จริงๆเหรอยุ”
ผมเหลียวไปมองตามเสียง แน่ล่ะคำถามเป็นห่วงเป็นใยและการพูดอย่างสุภาพแบบนี้ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากน้ำฝนคนเดียวเท่านั้น
“อืม นอนที่นี่แหละ”
“แต่กลางคืนยุงเยอะนะ”
“ไม่เป็นไร เราชอบที่นี่มากกว่า”ผมแถ
“เธอแน่ใจเหรอ ไปนอนข้างในดีกว่านะ”
“ไม่เป็นไรหรอก เรานอนนี่แหละ อากาศดีด้วย”
แม้สีหน้าเธอจะยังดูนิ่งๆ แต่ผมพอจะเดาได้ว่าข้างในความคิดเธอคงไม่นิ่งอย่างที่เห็น เธออาจกำลังคิดบางอย่างเกี่ยวกับการที่ผมปลีกตัวออกมานอนข้างนอกแบบนี้

“จะสัมภาษณ์ครูกี่โมงล่ะ”ผมเอาเรื่องงานมาดึงการสนทนาของเราออกไปเรื่องอื่นก่อนที่ตัวเองจะอึดอัดมากไปกว่านี้ เธอจะทันรู้ตัวหรือเปล่า อันนี้ผมเองไม่รู้เหมือนกัน
“เดี๋ยวเราจะตามครูไปดูที่นาแล้วก็สวนทางหลังบ้าน”
“งั้นเดี๋ยวเราจะเตรียมกล้อง เธอกับเหมียวเตรียมงานที่จะสัมภาษณ์ก่อนเถอะ”
เธอยิ้มให้ มันทำให้ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองใจร้ายไปหรือเปล่า แล้วเธอเคยรู้สึกโกรธหรือรู้สึกไม่ดีกับใครบ้างหรือเปล่า เพราะเท่าที่เห็น เธอทำอยู่สองอย่างคือยิ้มและทำหน้านิ่ง เหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยทั้งสิ้น
“งั้นเราไปเตรียมของบ้างละนะ”
ผมพยักหน้าแล้วดูเธอหันหลังเดินกลับเข้าไปในบ้านอย่างโล่งอกโล่งใจ ผมเดินดูแถวนั้นอีกสักพัก แถวที่ผมนอนมีอะไรหลายอย่างน่าถ่ายรูปเก็บไว้ พอหาสิ่งที่อยากถ่ายได้มากพอสมควรแล้ว ผมเดินเข้าไปเอากล้องที่ฝากไว้ข้างในบ้าน มันวางอยู่ตรงเก้าอี้ข้างประตู จากตรงที่ผมเอากล้องวางไว้ ผมเห็นทุกคนกำลังง่วนอยู่กับการพูดคุยรายละเอียดเบื้องตนของสารคดีที่กำลังจะทำในสองวันนี้ ผมคว้ากล้องแล้วเดินกลับมาที่ยุ้งฉาง เดินถ่ายรูปละแวกนั้นอยู่พักใหญ่ กว่าอาจารย์กับสองสาวจะออกมา
“เรามาเริ่มทำงานกัน มานี่นายยุ มัวแต่ชักช้าอยู่ได้”เหมียวบอก ท่าทางอย่างกับนางร้ายหรือเพื่อนตัวแสบของนางเอกในละครหลังข่าวที่แม่ของผมชอบดู ซึ่งตรงข้ามกับน้ำฝนที่เดินตามมา รายหลังเหมือนางเอกซีรี่ย์เกาหลีที่ท่าทางมึนๆ หงิมๆ
“ไป ผู้ชายเดินไปก่อน”อาจารย์ฉกรรจ์สั่งผมที่กำลังจะเดินตาม ชี้ไปทางทุ่งนากว้างและเขียวขจีที่ห่างออกจากตัวบ้านเกือบ 100 เมตร ผมนิ่วหน้า กะว่าจะถ่ายรูปให้หนำใจขณะเดินตามหลัง แต่ในเมื่อเลือกไม่ได้ เลยจำเป็นต้องเดินนำไป



ทุ่งนาที่เราสี่คนกำลังทอดสายตามองนั้นจะเป็นของอาจารย์สักกี่ไร่นั้นผมเองยังไม่รู้เลย แต่ถ้าหากเป็นความงดงามของทุ่งนาอันเขียวขจีเหมือนหญ้าในสนามเวมบลีที่ทอดไปไกลจนถึงตีนดอยไกลลิบๆ ผมรู้และตอบได้ในทันที่เลยว่ามันสวยงามและน่าอัศจรรย์ใจแค่ไหน เพราะผมเองยังยกกล้องขึ้นถ่ายรัวๆโดยอัตโนมัติเมื่อเห็นทุกอย่างตรงหน้า งานของผมเริ่มแล้วโดยไม่ต้องให้ใครบอก
“ที่นาของครูมีอยู่20กว่าไร่ ตอนนี้แบ่งให้ชาวบ้านเขาเช่าไปทำถูกๆ 4 ไร่ นอกจากนั้นเป้นของชาวบ้านละแวกใกล้ๆนี่แหละ รวมกันก็ร้อยกว่าไร่”
งานเริ่มแล้วซินะ ผมบอกตัวเอง แม้จะยังอยากถ่ายภาพบรรยากาศอันสบายหูสบายตาและสดชื่น แต่งานก็คืองาน น้ำฝนเริ่มเปิดบทสัมภาษณ์ที่เตรียมตัวมา เหมียวคอยช่วยอีกแรงหนึ่ง คอยช่วยซักถามเพื่อให้น้ำฝนมีเวลามากพอจะจดบันทึกสิ่งที่เป็นใจความสำคัญของบทสัมภาษณ์ ผมพึ่งรู้พึ่งเห็นถึงความเก่งของสองสาว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทั้งสองคนถึงได้อยู่ห้องต้นๆ ทั้งสองทำการค้นคว้ามามากก่อนจะสัมภาษณ์ ทำให้บทสัมภาษณ์การถกเถียงและข้อสงสัย การยกตัวอย่าง ไม่ใช่การสัมภาษณ์และรับข้อมูลอย่างเดียว ด้านอาจารย์ฉกรรจ์ที่ถูกสัมภาษณ์ก็มีท่าทีสบายๆ ทำให้การทำงานไม่เครียด ผมที่เป็นคนถ่ายภาพก็เช่นกัน
งานของเรากล่าวถึงวิธีการและแนวคิดในการทำการเกษตรของอาจารย์ฉกรรจ์ที่เป็นทั้งครูสอนวิชาเกษตรและงานช่าง รวมถึงเป็นแกนนำชุมชนในเรื่องการพัฒนาเกษตรกรรมด้วยแนวทางที่ง่ายและสร้างสรรค์ตามพระราชดำริเกี่ยวกับทฤษฏีเกษตรพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
จากทุ่งนาเขียว เราตามอาจารย์ไปยังเล้าไก่ที่สร้างเหนือบ่อปลาขนาดพอเอาเรือไฟเบอร์ลงไปลอยเล่นได้ ด้านหนึ่งของบ่อปลาถูกกั้นด้วยรั้วไม้ไผ่อันแน่นหนา รั้วนั้นล้อมตีเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า อยู่กลางน้ำครึ่งหนึ่งและบนบกอีกครั้งหนึ่งและมีหลังคากันฝนเล็กน้อย ข้างในมีเป็ดอยู่สิบตัวโดยประมาณ นั่นยังไม่นับลูกเป็ดตัวเหลืองๆอีกหลายตัวที่วิ่งวนอย่างน่ารักในเล้าเป็ดแบบครึ่งบกครึ่งน้ำนั้น
เราสี่คนเดินจากเล้าเป็ดอ้อมย้อนกลับไปยังบ้าน ระหว่างทางมีแปลงพืชผักสวนครัว มีทั้งกะเพรา โหระพา ข่า ตะไคร้ พริก และผักใบเขียวอีกหลายอย่าง อาจารย์คอยอธิบายว่าผักชนิดไหนต้องได้รับการดูแลอย่างไร
“เดี๋ยวตอนเย็นให้นายพายุมาเก็บผัก เก็บเป็นไหม”อาจารย์หันมามองที่ผม ผมที่กำลังตั้งใจถ่ายรูปจำต้องเงยหน้ามามองคนถาม
“เก็บเป็นครับ”
“แน่ใจนะ ดูท่าจะเก็บไม่เป็น”คนถามย้ำอีก
“ยุทำได้ค่ะครู ที่บ้านยุก็มีแปลงผักเล็กๆหลังบ้าน”
ผมหันมองน้ำฝนที่ช่วยรับรองความสามารถให้ แม้ผมจะไม่ได้ร้องขอใดๆเลย
“จริงเหรอ ไม่อยากเชื่อ”
“โธ่ครู”ผมลากเสียง
“เอาเถอะ เดี๋ยวคืนนี้ครูจะโชว์ฝีมือ”
สองสาวออกท่าทางดีใจ มันตรงข้ามกับผมเลยทีเดียว
“ผมว่าเราทำงานกันก่อนเถะครับ เรื่องกินไว้ทีหลัง”ผมตัดบท คว้ากล้องเดินไปก่อน










สันติภาพวัฒนะ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ก.ย. 2556, 19:30:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ก.ย. 2556, 18:24:04 น.

จำนวนการเข้าชม : 943





<< สะพานแห่งคำสัญญา ตอนที่ 6    สะพานแห่งคำสัญญา ตอนที่ 8 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account