สาปรักซ่อนกล
เมื่อคำสาปรัก(ร้าย)ทำพิษ เปลี่ยนมิสเตอร์ไนซ์กายเป็นผู้ชายตบจูบ เรื่องรักวุ่นชุลมุนหัวใจจึงเกิด

***

เมื่อรวิสรา ดีไซเนอร์สาวเปรี้ยวเข็ดฟันที่ตาม ‘จับ’ พี่ชายสุดที่รักของเธออยู่ขับรถชนจนปุษยาตกอยู่ในสภาพโคม่า วิญญาณหลุดจากร่าง วิญญาณสาวน้อยจึงยอมปล่อยให้ตัวต้นเหตุลอยนวลไปไม่ได้!

ปัญหาคือคำสาปแช่งส่งเดชของเธอให้รวิสราต้องใช้ชีวิตเป็น ‘นางเอกน้ำเน่า’ กลับขลังเกินเหตุ ย้อนศรจนพี่ชายแสนดีของเธอกลายเป็น ‘พระเอกตบจูบ’ ที่คิดแต่จะแก้แค้น แล้วใคร ๆ ก็รู้กันทั้งนั้นแหละว่านิยายตบจูบลงเอยแบบไหน งานนี้ปุษยาจึงต้องบีบคอขอความช่วยเหลือจากใครก็ได้ที่เห็นเธอ (ต่อให้คนคนนั้นไม่เต็มใจ) เพื่อหยุดยั้งคำสาปก่อนผู้หญิงที่เธอเหม็นหน้าคนนั้นจะกลายเป็นพี่สะใภ้แบบถาวร!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 6

“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ คุณบ้าไปแล้วหรือไง!”

รวิสรากรีดเสียง พยายามดิ้นรนออกจาก ‘มุม’ ที่ปุรณะต้อนเธอเข้าไปจนอยู่ข้างรถเขา หลังเธอชนบานประตู ส่วนด้านหน้าถูกทั้งตัวและวงแขนของเขากักเอาไว้ ความใกล้ชิดที่ถ้าเป็นสถานการณ์อื่นคงชวนให้สาวที่แนบชิดเขาอยู่กรี๊ด อ่อนระทวย หรือ ‘ตีปีก’ แต่กลับทำให้เธอสติแตกและฉุนขาดในเวลานี้

หลังจากหลอกเธอให้มาเจอหน้าเขาอี๋อ๋อกับสาวอยู่อย่างไร้ยางอาย ปุรณะยังมีหน้ามารุกถึงเนื้อถึงตัวเหมือนเธอเป็นลูกไก่ในกำมือไม่มีผิด

เธอยอมรับว่าตัวเองผิดเรื่องปุษยา ยอมรับความบ้าคลั่งเสียใจเรื่องน้องสาวของปุรณะได้ระดับหนึ่ง แต่ ‘เอาคืน’ กันแบบนี้มันเกินไป!

เธอไม่ใช่นางเอกจำเลยรักนะยะจะได้ยอมให้เขาตบจูบได้ตบจูบเอา!

“บอกว่าปล่อยซี่!”

หญิงสาวขู่ฟ่อ พยายามขยับเท้าจะกระทืบหรือตีเข่าใส่เขาอีกรอบ แต่ผลที่ได้คือปุรณะแนบตัวเข้ามาใกล้ขึ้นอีก เขาเอาขาดันขาเธอไว้ มือข้างหนึ่งกดรวบมือเธอราวกับคีมเหล็ก ขณะที่ใช้ตัวดันมือเธออีกข้างไว้ไม่ให้ขยับได้

“ฤทธิ์มากนักนะ คุณคิดว่าคุณจะหนีไปไหนได้ อยากให้ผมปราบพยศนักใช่ไหม”

ปุรณะคำรามอยู่ข้างหูเธอ เขาล้วงกุญแจรถออกมาจากกระเป๋า กดรีโมทเปิดล็อกด้วยมือข้างเดียว ทำท่าจะดึงประตูเปิดและผลักเธอเข้าไปในรถ

หญิงสาวอ้าปาก...ทำท่าจะกรี๊ดขอความช่วยเหลือ แต่แล้วปากเขาก็ประกบลงมา...จาบจ้วงดุดันแบบที่ทำให้รวิสราอึ้ง หัวขาววูบไปชั่วครู่

มือของเขาบีบแน่นเข้ากับข้อมือเธอ จุมพิตนั้นกดลงดื่มด่ำลึกซึ้งขึ้น บังคับให้ริมฝีปากเธอเผยอออก เร่าร้อนราวจะลงทัณฑ์ ชั่วครู่เขาก็ถอนริมฝีปากออก หัวเราะเสียงกร้าวในคอปนเย้ยหยัน

“เงียบไปเลยหรือ ยัยตัวแสบ”

ถ้าจูบเมื่อครู่จะทำให้เธอรู้สึกรู้สาอะไรอยู่บ้าง คำพูดของเขาก็ทำลายมันลงแบบไม่เหลือรูป รวิสราจ้องหน้าเขาเขม็ง เปิดปาก กรีดเสียงร้องออกมาสุดเสียง ทว่าเขาเหมือนจะไม่สะทกสะท้านเมื่อเอามือหนึ่งตะปบปิดปาก แขนอีกข้างรัดตัวเธอไว้แน่น กระชากประตูรถเปิดออก รุนเธอจนเซเข้าไปข้างในอย่างไม่ปรานีปราศรัย

ปึง!

แรงผลักวับหายไปพร้อมกับที่ร่างของปุรณะถูกกระชากออกจากตัวเธอ ตามมาด้วยเสียงโครมลั่นเหมือนอะไรกระแทกเข้ากับตัวรถ หญิงสาวไม่ยอมเสียเวลากะพริบตาเลยเมื่อเธอถลันออกจากรถ เตรียมพร้อมจะรับมือกับอะไรก็ตามที่อาจเจอ

ภาพที่รวิสราเห็นคือไตรคว้าตัวปุรณะจับบิดแขนกระแทกเข้ากับรถ ฝ่ายหลังสูงกว่าไตรอยู่เล็กน้อย แต่เพียงเธอดูแวบเดียวก็รู้ว่าเมื่อถึงเรื่องต่อยตี ไตรเป็นฝ่ายได้เปรียบปุรณะอยู่หลายขุม

ไม่ใช่ว่าปุรณะอ่อนแอ แขนเธอยังเจ็บอยู่ด้วยซ้ำตรงที่เขาบีบเมื่อครู่ และหญิงสาวก็กล้าพนันเอาอะไรก็ได้ว่าเขาไม่ได้เก่งแต่กับผู้หญิง ทว่าไตรดูเหมือนมีประสบการณ์กับการ ‘มีเรื่อง’ มามากจนรู้แล้ว...ว่าจะต้องทำอย่างไร

ถ้าจะสรุปอย่างง่ายๆ คือเขาสู้เป็น ชายหนุ่มไม่เสียเวลาข่มขู่กระชากคอเสื้อใคร ไม่เสียเวลาให้โอกาสอีกฝ่ายสู้กลับอย่างสุภาพบุรุษ แต่ฉวยโอกาสเท่าที่จะฉวยได้เมื่อตนกำลังได้เปรียบ

อย่างไรก็ตาม ปุรณะดูเหมือนจะไม่ยอมจำนนเสียง่ายๆ แม้จะตกเป็นเบี้ยล่าง เขาขยับตัวเหมือนจะตอบโต้กลับตามสัญชาตญาณ แต่แล้วก็ชะงักไปเมื่อแลมาเห็นเธอ... ตาสบตา ก่อนตาคมคู่นั้นจะกะพริบถี่ ความงุนงงแล่นผ่านเข้ามาในสีหน้า แล้วจึงเปลี่ยนเป็นความละอายใจ

และแล้วชายหนุ่มก็ทิ้งมือลง ไม่เคลื่อนไหว ไม่พยายามสู้ต่อ อึดใจ...กว่าเขาจะเบือนหน้าไป... หลบตาเธอ นิ่งจำนนโดยสิ้นเชิง อาการยอมแพ้ซึ่งทำให้ไตรนิ่งไปเช่นกัน แม้จะยังไม่ปล่อยมือที่ตรึงอีกฝ่ายไว้

“ผมขอโทษ เชรี”

เสียงของปุรณะเบาจนเธอเกือบไม่ได้ยิน แต่เมื่อได้ยิน...มันก็ทำให้หญิงสาวรู้สึกจุกเหมือนถูกต่อยท้องเข้ากะทันหัน พูดไม่ออกบอกไม่ถูก เธอไม่รู้จะทำยังไงกับเขาดี กรีดร้องใส่หน้าเขา หรือหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง

หรือ...พระช่วย...ร้องไห้

“ขอโทษ? คุณไม่ต้องมาขอโทษฉัน”

“แต่ผม...”

“คุณบอกว่าคุณรู้สึกผิด คุณอยากให้ฉันยกโทษให้ คุณนัดฉันออกมา บอกว่าจะชวนไปเยี่ยมน้องปิ๊ง แล้วนี่มันอะไร” เธอชี้ไปที่แขนของตนซึ่งยังมีรอยนิ้วแดงเป็นปื้น และปุรณะก็หน้าซีดลงไปอีก เขาไม่ตอบ แม้เมื่อรวิสราพูดต่อ “คุณจะแก้แค้นฉันอีกแค่ไหนถึงจะสะใจคุณ จะต้องให้ฉันคุกเข่าลงไปกราบเท้าคุณ กราบเท้าน้องปิ๊งเลยไหมคุณถึงจะพอใจ คุณคิดเหรอว่าฉันสบายใจกว่าคุณที่เรื่องมันเป็นแบบนี้ ถ้าแลกตัวเองลงไปนอนโคม่าแทนน้องปิ๊งได้ฉันก็ทำไปแล้ว แต่ฉันทำไม่ได้...”

เธอส่ายหน้า เสียงสั่นพร่าขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

“...แล้วฉันก็จะไม่ยอมให้คุณมาแก้แค้นฉันบ้าๆ แบบนี้”

“ผมไม่ได้คิดจะแก้แค้นคุณ” ปุรณะขัดขึ้น “ผมไม่ได้โทษคุณเรื่องปิ๊ง...”

“แล้วที่ผ่านมานี่มันอะไร เมื่อกี้อะไร ที่คุณบอกจะให้ฉันชดใช้เรื่องปิ๊ง แล้ววันก่อนนั่น” รวิสราจ้องหน้าเขา “คุณเล่นตลกอะไรกับฉัน ทำตัวเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย...”

“ผม...” เสียงของปุรณะขาดเป็นห้วง เขาสั่นศีรษะ แววตาสับสน หน้าคมคายซีดเผือด แลเหมือนเจ้าตัวกำลังจะป่วยและอาจอาเจียนออกมาได้ทุกเมื่อ “ผมไม่รู้... เชรี ผมไม่รู้”

“คุณไม่รู้?” หญิงสาวทวนคำเสียงสูง เธอพยายามสงบสติอารมณ์ แต่ดูเหมือนว่าความพยายามใช้เหตุผลจะติดปีกบินหายไปกับคำพูดของเขา “คุณหมายความว่ายังไงที่ว่าไม่รู้ คุณทำเหมือนจะปล้ำฉัน แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าไม่รู้ว่าตัวเองคิดจะทำอะไรอยู่?”

“ผมขอโทษ เชรี” เสียงของปุรณะหนักขึ้น คราวนี้เขาไม่หลบตาเธอเมื่อสั่นศีรษะ ย้ำออกมาอีกรอบแม้หน้าจะยังไม่หายซีด “แต่ผมไม่รู้จริงๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมไม่ได้คิดอยากทำอะไรคุณ ผมไม่เคยคิดอะไรแบบนั้น ถ้าผมยังมีสติดีอยู่ผมคงไม่แตะตัวคุณ...”

เผียะ!

มือของรวิสราชาขึ้นมาทันที และเธอก็เพิ่งรู้สึกตัวในตอนนั้นเองว่าเธอเงื้อมือตบหน้าปุรณะไปเต็มรัก หญิงสาวชักมือกลับมาเหมือนโดนของร้อน พร้อมกับที่แววคลั่งแวบขึ้นมาในตาชายหนุ่ม ทว่ามันก็ลบหายไปในอึดใจถัดมา ปุรณะเพียงสั่นศีรษะอีกครั้ง ยกมือขึ้นลูบหน้าซีกที่เริ่มมีรอยแดงขึ้นมาเป็นปื้น และมองตรงมาด้วยแววตาที่เธออ่านไม่ออก เสียงทุ้มยังย้ำคำ

“ผมขอโทษจริงๆ เชรี...”

“คุณหุบปากไปเลย! หุบ-ปาก!”

หญิงสาวตะโกนใส่หน้าเขาอย่างลืมตัว ก่อนจะปิดปากลงเมื่อยั้งสติได้ เธอสะบัดหน้า กำมือแน่นเข้าเพื่อห้ามไม่ให้ตัวเองเอาเล็บจิกลูกตาเขาออกมา ยิ่งโกรธขึ้นอีกเมื่อชายหนุ่มทำหน้าเหมือนยังอยากขอโทษขอโพยต่อ “ถ้าฉันบอกให้คุณเงียบ คุณก็เงียบซะ เงียบ! ถ้าคุณรู้สึกผิดอะไรกับฉันจริงๆ ไม่ใช่แค่แกล้งมาปั่นหัวกันเล่น”

...ไม่ต้องมาทำเหมือนเขาไม่มีวันต้องการเธอ เหมือนถ้าไม่ใช่แค้นจนเลือดขึ้นหน้าก็ไม่อยากแตะเนื้อต้องตัวเธอให้เสียมือ!

“คุณเชรี”

เสียงทุ้มของไตรดังมาจากข้างตัวเธอ...กึ่งปลอบ และมือแข็งแรงก็ทาบลงบนท่อนแขน รั้งไว้เบาๆ เหมือนพยายามให้เธอสงบสติอารมณ์ สายตาที่มองมาบอกความเห็นใจ...แม้จะไม่เข้าใจเสียทีเดียวนักเมื่อเธอหันไปหา

“เอะอะไปก็ไม่เกิดอะไรขึ้นหรอกครับ เอาสถานการณ์เฉพาะหน้าก่อนดีกว่า คุณคิดจะเอาเรื่องอะไรเขาหรือเปล่า...”

หางเสียงของเขาขาดไปกะทันหัน และไตรก็ทำคอย่น ผงะเหมือนมีใครตะโกนใส่หู ทั้งที่เธอไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น ทว่าอึดใจถัดมาเขาก็รักษาท่าทีไว้ได้อีกครั้ง แม้จะไม่ก่อนเจ้าตัวชำเลืองมองไปในอากาศว่าง ทำตาเขียวใส่อากาศนั้นอย่างเอาเรื่อง

และรวิสราก็รีบชักแขนกลับจากการเกาะกุมของเขา แค่ปุรณะคลั่งใส่เธอคนเดียวก็มากพอแล้ว เธอไม่จำเป็นต้องเพิ่มคนบ้าคนที่สองเข้ามาในชีวิต ถึงแม้ ‘คนบ้า’ นั่นจะเพิ่งช่วยเธอไว้ก็เถอะ

“ไม่ค่ะ ฉันไม่อยากเอาเรื่องอะไรทั้งนั้น...เฉพาะคราวนี้” เธอรีบเสริมอย่างจงใจเมื่อเหลือบไปมองปุรณะ ย้ำคำให้เขาแน่ใจว่าเธอจะไม่ยอมทนกับสถานการณ์แบบนี้อีก “ขอแค่อย่ามีครั้งที่สามอีกก็แล้วกัน”

ไตรทำหน้าเหมือนอยากรู้ที่มาที่ไปของเรื่อง ถ้าครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก แต่รวิสราไม่คิดว่าตนอยู่ในอารมณ์อยากอธิบาย เธอถอนใจ รู้สึกเหนื่อยและปวดศีรษะขึ้นมาอย่างกะทันหันเมื่อถอยหลังกลับ

“ฉันว่าฉันกลับบ้านดีกว่า”

“ให้ผมไปส่งนะครับ”

“ให้ผมไปส่งเถอะเชรี”

ไตรกับปุรณะแทบจะประสานเสียงขึ้นพร้อมกัน และหญิงสาวก็พ่นลมออกจมูกดังพรืด สั่นศีรษะดิก ถอยหลังไปอีกก้าวพลางยกมือขึ้นห้าม

“ไม่ต้องค่ะ ฉันเอารถมา ฉันขับกลับเองได้”

“แต่ท่าทางคุณดูไม่ดีเลยนะครับ ถ้าคุณห่วงรถ ผมขับรถคุณไปส่งก็ได้ แล้วผมค่อยนั่งแท็กซี่กลับมาเอารถตัวเองที่ร้าน”

ไตรเสนออย่างไม่ยอมละลด ทว่ารวิสราก็ไม่ยอมแพ้เช่นกันเมื่อเธอโบกมือบอกปัดด้วยเสียงหนักขึ้นนิด

“ไม่ค่ะ ขอบคุณที่เสนอตัวช่วย แต่ฉันกลับเองได้จริงๆ”

“ให้ผมไปส่งคุณเถอะเชรี ถือว่าไถ่โทษ”

ไตรทำท่าสะดุ้งอีกรอบทันทีที่ปุรณะพูดจบประโยคนั้น เขายกมือขึ้นตะปบหูตัวเองข้างหนึ่งเหมือนพยายามกันเสียงอะไรบางอย่าง และรวิสราก็ยิ่งแน่ใจว่าเธอไม่อยากให้คนเป็นโรคหูแว่วหรือจิตหลอนขับรถพาเธอกลับบ้าน

...ส่วนข้อเสนอของปุรณะนั่น...

“คุณคิดว่าฉันบ้าหรือโง่คะ คุณเป้” เขาทำท่าเหมือนผงะกับคำพูดนั้น และเธอก็ตอกไปตรงๆ ไม่ยอมให้ตัวเองใจอ่อนกับสีหน้าที่เขาแสดงออกมานั่น “คุณหลอกฉันออกมาได้วันนี้ ยินดีด้วย แต่ฉันไม่โง่พอจะให้คุณหลอกครั้งที่สอง เกิดคุณเอาฉันไปปล้ำกลางทางแล้วบอกว่ามันสาสมกับที่ฉันทำกับปิ๊งฉันจะทำยังไง เชิญกลับไปวางแผนแก้แค้นของคุณใหม่ให้มันซับซ้อนกว่านี้เถอะค่ะ”

“ผมไม่ได้หลอกคุณ...”

รวิสราไม่ยอมอยู่ฟังประโยคนั้นต่อด้วยซ้ำ เธอหมุนตัวกลับ เร่งฝีเท้าก้าวออกมาจากตรงนั้น ตรงดิ่งไปยังรถของตนซึ่งจอดอยู่อีกทางหนึ่ง ได้ยินเสียงปุรณะสบถตามหลัง และถ้อยร้อนรน “เชรี คุณไม่เข้าใจ” แต่เขาไม่ได้ตามมา

บางทีไตรอาจจะรั้งเขาไว้ไม่ให้มาหาเรื่องเธอต่อ หรือบางทีเขาอาจแค่รู้ว่าการตามมาตอนนี้ไม่มีประโยชน์ แต่ช่างเขาเถอะ...เธอไม่สนใจ...

รวิสราจริงใจกับทุกคำที่ตนเองพูดออกไป เธอเสียใจจริงๆ เรื่องปุษยา และถ้ามีปาฏิหาริย์แบบไหนที่จะทำให้เธอย้อนเวลาไปในอดีต...หรือเป็นคนเจ็บแทนเด็กคนนั้นได้ เธอคงทำไปแล้ว แต่เธอยอมก้มหน้ารับการแก้แค้นของปุรณะไม่ได้... พฤติกรรมของเขาทำร้ายเธอมากเกินไป

และที่เจ็บที่สุดคือเธอเป็นคนทำให้เขาเปลี่ยน การกระทำของเธอเองที่ทำให้หนทางระหว่างเธอกับเขาเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป ปุรณะที่เธอเคยรู้จักไม่ใช่คนแบบนี้ เขามองโลกในแง่ดีหรืออย่างน้อยก็ใจเย็นเสมอ น้อยครั้งที่เธอจะเห็นเขาหัวเสีย...หรือหน้านิ่วคิ้วขมวด ทุกคนที่รู้จักปุรณะรู้ว่าเขามีอารมณ์ขัน ยิ้มง่าย

นั่นไม่ใช่ปุรณะที่เธอเห็นตอนนี้ เขาไม่ใช่ผู้ชายคนเดียวกับที่เธอตกหลุมรัก

...ตกหลุมรัก...

หญิงสาวยิ้มกับตัวเองอย่างไม่รู้สึกขัน นั่นเป็นความจริง แม้ตลอดเวลาเธอจะทำเป็นไม่จริงจัง ‘ผีเสื้อ’ อย่างเธอตกหลุมรัก ‘ก้อนหิน’ อย่างปุรณะ และมันเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอพยายามนักที่จะคว้าเขามา เป็นเหตุผลที่ทำให้เธอพยายามเหลือเกินที่จะสู้หน้าเขาแม้หลังจากเรื่องปุษยา ไม่ใช่เพราะเธอหน้าด้านหรือไม่สำนึกผิดเรื่องที่ทำ

เธอแค่ยังไม่อยากเสียเขาไป

แต่เหลวเปล่าทั้งเพ วันนี้เธอรู้แล้วว่าเขาคงไม่มีทางอภัยให้เธอ อาจได้เวลาตัดใจเสียที

รวิสราสูดหายใจเข้าลึก แม้จะรู้สึกเหมือนลมหายใจนั้นไม่เข้าปอด คำพูดของเขากลับมาหลอนเธออีกครั้ง เจ็บกว่าเดิม ...ถ้าผมยังมีสติดีอยู่ผมคงไม่แตะตัวคุณ...

เธอจะตีความว่าอะไรได้อีก นอกจากแทงบัญชีสูญไปอีกหนึ่งราย!

+++++

ปุรณะมองรวิสราเดินจากไป และเกลียดตัวเองขึ้นยิ่งกว่าเดิมอีก ท้องไส้เขาขยักขย้อนกับสิ่งที่เขาทำลงไป...แทบจะเรียกได้ว่าตรงข้ามกับความตั้งใจของตน

...หรือไม่ใช่?

เขาไม่คิดว่าเขารู้จักตัวเองอีกแล้ว ไม่...หลังจากเรื่องที่เขาทำลงไปวันนี้ ทั้งที่เขาคิดว่าทุกสิ่งเป็นไปอย่างราบรื่นเท่าที่จะราบรื่นได้หลังเกิดเรื่องมธุกร

อย่างน้อยก็ราบรื่นจนรวิสราเปรยขึ้นมา...กึ่งจริงกึ่งเล่น

‘เสียใจไหมคะ ที่แผนไม่สำเร็จวันนี้’

‘คุณพูดเรื่องอะไร เชรี’

‘ที่คุณอุตส่าห์นัดเชรีออกมาฉีกหน้านี่ไงคะ’ ตาคมปลาบคู่นั้นตวัดมา และเจ้าตัวก็ยิ้มหวาน...หวานจนเห็นได้ว่าเสแสร้ง ‘แย่หน่อยนะคะที่เชรีหน้าบางไม่พอ คุณกับเพื่อนคุณถึงฉีกไม่ขาด’

‘ผมไม่เข้าใจ เพื่อนผมอะไร คุณพูดถึงผู้หญิงเมื่อกี้น่ะหรือ ผมไม่ได้...’

‘คุณเป้คะ เชรีไม่ใช่เด็กอมมือ อย่ามาทำไขสือหลอกกันหน่อยเลย’ คราวนี้รอยยิ้มของหญิงสาวลบหายวับไปเหมือนเสก ‘เคลียร์กันตรงๆ ไปเลยตรงนี้ดีกว่านะคะ เชรีออกมาเจอคุณวันนี้เพราะคุณขอให้มา แต่ถ้าคุณยังโกรธเชรีไม่หายจนต้องมาหาทางฉีกหน้ากันในที่สาธารณะแบบนี้ เราอย่าติดต่อกันสักพักดีกว่า’

‘นี่คุณคิดว่าผมหลอกคุณออกมา...’ ปุรณะส่ายหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ ประหลาดใจจนต้องหลุดหัวเราะออกมานิด ‘ผมตั้งใจขอโทษคุณจริงๆ นะ แล้วผมก็ไม่ได้นัดแนะอะไรกับคุณคนเมื่อกี้นี้ด้วย เขาแค่เข้ามาทักผม บอกว่าเคยเจอในงาน...’

‘แล้วก็จับมือถือแขนอี๋อ๋อกันขนาดนั้นเลยเชียวเหรอคะ’ รวิสราถามเสียงสูง ‘ถ้าเชรีไม่มา ไม่รู้เขาจะเลื้อยขึ้นไปถึงไหน คุณเองก็ยอมให้เขาจับ นี่ถ้าคุณกับเขาแค่บังเอิญเจอกันจริง...’ หางเสียงนั้นขาดไป และริมฝีปากของเจ้าตัวก็เหยียดออกแบบที่ทำให้เขาอารมณ์กรุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด

เมื่อมองย้อนไป ปุรณะไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมเขาเดือดร้อนกับทีท่าของเธอขนาดนั้น ปกติเขาคงชี้แจงได้อย่างใจเย็น อาจขำเสียด้วยซ้ำที่เธอทำท่ากราดเกรี้ยวหวงเขาราวกับจงอางหวงไข่ เขาบริสุทธิ์ใจเรื่องมธุกร ไม่มีเหตุผลที่ต้องกินปูนร้อนท้อง แต่ไม่รู้ทำไม...ทุกวันนี้เมื่อเขาเข้าใกล้รวิสรา ทุกอย่างที่เธอทำดูจะขวางตาไปเสียหมด ทำให้เขา ‘ของขึ้น’ ได้โดยง่าย และก่อนจะรู้ตัว เขาก็ย้อนคำกลับไปด้วยเสียงที่แม้เบาแต่เจือกระแสเย็นเยียบ

‘คุณทำเสียงแบบนั้นใส่ผมหมายความว่ายังไง คิดว่าผมกับเขามีอะไรกันมานานแล้วงั้นหรือ’

‘คุณพูดเองนะคะ เชรีไม่ได้พูด’

‘ผมไม่มีอะไรกับเขา’ ปุรณะกดเสียงหนัก สบตาเธอแน่ว ตั้งใจจะอธิบายทุกอย่างให้ชัดเจนจนเธอหมดข้อกังขา แต่คำพูดที่หลุดออกมาจากปากถัดจากนั้นกลับเป็นคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง เขาไม่รู้ว่ามันหลุดมาจากไหน

‘แต่ถึงมี มันก็ไม่ใช่เรื่องของคุณเหมือนกัน ผมจะให้ใครจับอะไรตรงไหน เอาใครขึ้นเตียงเมื่อไรมันก็เรื่องของผม คุณไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวผมทั้งนั้น คุณเป็นคนเข้าหาผมก่อนแต่แรกนะเชรี ผมเคยบอกตั้งแต่เมื่อไรกันว่าผมเลือกคุณ?’

รวิสราเหมือนจะอ้าปากค้างไปอึดใจหนึ่ง และเมื่อตั้งสติได้ เจ้าตัวก็หน้าแดงก่ำ กระแทกเสียงหนักขึ้นบ้าง สรรพนามที่ใช้เปลี่ยนไปทันควัน

‘นี่...คุณเป้! ฉันไม่ได้อ้างสิทธิ์อะไรในตัวคุณเลยนะ! ฉันแค่... แค่...’

‘แค่?’ ปุรณะเลิกคิ้วขึ้น และหญิงสาวก็กัดฟันเข้า ชะโงกหน้ามาต่อคำอย่างไม่ยอมแพ้ ประกายในดวงตากลมโตวาววับราวกับไฟ

‘ฉันแค่สงสารน้องปิ๊ง คุณก็รู้ว่าน้องปิ๊งจะคิดยังไงกับผู้หญิงเจ้ามารยาอย่างแม่นั่น คิดยังไงกับการที่คุณมานั่งให้เขาลูบไล้อี๋อ๋อ คุณทำเป็นเสียใจตั้งมากตั้งมายเรื่องอุบัติเหตุนั่น วันก่อนก็มาโทษฉันสารพัด ทำให้ฉันนึกเห็นใจว่าคุณห่วงน้องมากนัก แต่นี่อะไร น้องเข้าโรงพยาบาลไม่ทันไร คุณก็รี่มามั่วผู้หญิงเหมือนกลัวว่าช้าไปน้องคุณจะฟื้นขึ้นมาเป็นกอขอคอต่อ!’

คำพูดนั้นทำให้สติของเขาระเบิดผึง และปุรณะก็ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ สืบเท้ายาวเข้าคว้าตัวเธอดึงให้ลุกยืนตามขึ้นมาเช่นกัน เขาตรึงเธอไว้ตรงหน้า ออกปากเชือดเฉือนกลับอย่างไม่ปรานีปราศรัย

‘คุณไม่ต้องเอาน้องปิ๊งมาอ้าง! คนอย่างคุณมีหน้าอะไรมาพูดชื่อเธอ! แล้วใครกันแน่ที่เจ้ามารยา? คุณต่างหากเชรี คุณ คุณ คุณ! ไม่ต้องมาตีหน้านางฟ้าใส่ผม ผมน่ะเห็นไส้คนเจ้าเล่ห์...ใจดำอำมหิตอย่างคุณทะลุปรุโปร่งหมด!’

พนักงานร้านที่คงถูกสั่งให้จับตามองโต๊ะเขาอยู่ตั้งแต่ ‘เกิดเรื่อง’ ครั้งแรกปรี่เข้ามา ทำท่าจะขวาง แต่ชายหนุ่มเพียงหันไปทำตาเขียวใส่ เขาควักกระเป๋า โยนธนบัตรจำนวนหนึ่งลงบนโต๊ะ...เป็นจำนวนที่ทำให้ฝ่ายนั้นทำตาโต (และตอนนี้เขาเริ่มสงสัยว่าตัวเองโยนลงไปเท่าไรแน่) แล้วจึงลากแขนรวิสราออกมาจากร้านก่อนใครจะทันได้ตั้งสติจัดการอย่างไรต่อ และก่อนที่หญิงสาวจะได้สติกรีดร้องขึ้นมา

แล้วเขาก็...

แล้วเขาก็...

จูบปิดปากเธอ!

ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนอยากล้มตายไปตรงนี้เลย ใช่ เขาจูบเธออีกแล้ว เยี่ยมสุดๆ ใครช่วยเอาเขาไปมัดตราสังฝังทีก่อนเขาจะทำอะไรมากกว่านั้น... ไม่สิ... เขาทำไปแล้วต่างหาก

ปุรณะอยากหัวเราะหรือร้องไห้ให้ตายไปเลย เขาทำไปแล้ว!

รวิสราดิ้น ใช่ แล้วเขาก็ยิ่งหน้ามืด เธอตบ...ใช่ เธอตบ แล้วเขาก็ท้าทาย ‘คุณตบอีก ด่าอีก ผมก็จูบอีก เอาซี่’

‘ไอ้...’

หญิงสาวไม่จำเป็นต้องด่าต่อเมื่อเขาทำตามสัญญานั้นอย่างถึงพริกถึงขิงยิ่งกว่าละครหลังข่าวเรื่องฮิตที่เขาเคยเห็นน้องสาวนั่งดูกับคนใช้ที่บ้าน (พร้อมทำตาลอยเคลิ้มใส่พระเอกพอกันทั้งนายทั้งบ่าวจนเขาต้องสั่นหัว)

ตบจูบ! และเมื่อหลังจากนั้นเธอดิ้นหลุด วิ่งหนี...เขายังไปกระชากเธอกลับมา พยายาม...ปล้ำเธอ นี่ถ้าไตรไม่มาขวาง...

ปุรณะรู้สึกอยากอาเจียนขึ้นมาอีกรอบ ตั้งแต่เมื่อไรที่เขาใช้กำลังบังคับผู้หญิงได้อย่างหน้าตาเฉย? เขาไม่เคยเป็นคนแบบนั้น และเขาชังการกระทำแบบนั้น รังแกผู้หญิงเป็นเรื่องของคนขลาด

“คุณเป้ใช่ไหมครับ”

เสียงเรียกทำให้เขาเงยหน้าขึ้น และชายหนุ่มก็เห็นผู้ชายคนที่ชื่อไตรยืนมองเขาอยู่ด้วยท่าทางกระสับกระส่าย...คล้ายว่าถ้าเลือกได้เขาก็อยากเผ่นไปให้ไกลจากที่นี่ที่สุดแทนที่จะมายืนอยู่อย่างนี้ ทว่าสมองปุรณะตื้อเกินจะหาคำอธิบายได้ว่าท่าทีแบบนั้นเกิดจากเหตุใด

“ครับ คุณรู้จักผมหรือ”

“ก็ไม่เชิง”

ไตรถอนใจออกมาเหมือนลำบากใจเสียเต็มประดา และปุรณะก็ขมวดคิ้วเข้า เขาไม่ชอบท่าทีลับๆ ล่อๆ ของไตร แม้จะรู้สึกขอบคุณอยู่นิดหน่อยที่ฝ่ายนั้นเข้ามาขวางกลางระหว่างเขากับรวิสราก่อนเขาจะทำอะไรที่ตัวเองต้องเสียใจลงไป

“คุณหมายความว่ายังไงที่ว่าไม่เชิง แล้วคุณเรียกผมไว้มีอะไร ถ้าจะเตือนว่าไม่ให้ผมก่อเรื่องที่ร้านคุณอีกละก็...”

“ไม่ใช่เรื่องนั้น ผม...” ไตรสั่นศีรษะ ทำหน้าเหมือนเรียบเรียงเรื่องราวไม่ถูก ก่อนจะย่นหน้าเข้าเหมือนโดนอะไรเสียดแทงแก้วหู รีบเอ่ยออกมา “มีคน...เอ๊ย...ไม่เชิงว่าคน...บอกให้ผมมาคุยกับคุณ”

“คุณว่าอะไรนะ ไม่เชิงว่าคน คุณหมายความว่าไง” ปุรณะหรี่ตาลง กล้ามเนื้อเกร็งขึ้นอย่างระแวงระวัง เริ่มรู้สึกว่าเขาอาจจะบ้า แต่ดูท่าเหมือนไตรอาจจะบ้ากว่าเขาก็ได้

“ผมไม่รู้ว่าคุณจะเชื่อผมหรือเปล่านะ” ไตรออกตัว ยกมือขึ้นลูบหน้า มองตาเขาด้วยสีหน้าสุดแสนจะลำบากใจ ก่อนจะโพล่งออกมาด้วยถ้อยคำที่อีกร้อยปีปุรณะก็คงคิดไปไม่ถึงว่าจะได้ยิน “แต่ผีน้องสาวคุณอยู่กับผมที่นี่ แล้วบอกให้ผมบอกคุณว่าคุณต้องคำสาปอยู่แน่ะ”


+++

ตอบเมนต์ตอนที่แล้ว
คุณ pseudolife @ ปิ๊งเป็นคน (ผี) น่ารักน่าหยิกค่ะรายนี้ อิอิ



พัทธมน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ก.ย. 2556, 20:27:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ก.ย. 2556, 20:32:19 น.

จำนวนการเข้าชม : 1016





<< บทที่ 5   บทที่ 7 >>
ree 7 ก.ย. 2556, 04:41:17 น.
อ่านมาถึงตอนนี้ (แอบไปอ่านตอนต้นๆ มาจากเวปพันทิป) ขอยอมรับว่าฮามาก อยากอ่านต่อเร็วๆ คนเขียนออกแบบพล๊อตได้ฮากระจาย เดาไม่ออกว่าเรื่องจะลงเอยได้ยังไง


pseudolife 7 ก.ย. 2556, 14:44:42 น.
คุณเป้นี่อะไรเข้าสิงคะ เอะอะจูบเชรีตลอดเล้ย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account