พรหมลิขิตสีดำ(สนพ.อินเลิฟ)
ภาพความใกล้ชิดระหว่างบ่าวสาว คนอื่นมองคงเห็นว่าทั้งสองกำลังกระซิบกระซาบบอกรัก หยอกเย้ากันเหมือนคู่รักคนอื่น แต่ความจริงแล้ว...กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๗




พรนภัสนอนไม่ได้สติเพราะพิษไข้อยู่นานเท่าใดก็สุดรู้ มารู้ตัวอีกทีก็ที่บ้านพักริมหาด ตรีทศนั่งอยู่ข้างเตียงพร้อมกับนั่งจ้องเธออย่างเอาเป็นเอาตาย ทว่าสีหน้าของเขาเป็นเช่นไรเธอบอกไม่ได้ เพราะดวงตาพร่ามัว ต้องกระพริบถี่ๆหลายครั้งจึงเห็นภาพตรงหน้าชัดเจน

“ไง”

เขาทักด้วยเสียงกระด้าง ไม่มีวี่แววความห่วงใยแฝงอยู่เลยแม้แต่น้อย

“ฉันหลับไปนานไหมคะ”

คนถูกถามก้มมองนาฬิกาข้อมือราคาแพง แล้วเอ่ยห้วนสั้น

“สองชั่วโมงเต็มๆ” สุ้มเสียงของเขาแฝงคำตำหนิไว้กลายๆ “เพราะเธอคนเดียว ทำให้ฉันต้องเสียเวลามานั่งเฝ้า”

พรนภัสไม่รู้ว่าจะซาบซึ้งใจหรือสมเพชเวทนาตัวเองดี จริงอยู่ การที่เขามานั่งเฝ้าย่อมเป็นสิ่งที่เธอไม่คาดคิด และแสดงถึงความมีน้ำใจและเมตตาที่เขามีต่อเธออยู่บ้าง แต่ถ้าสิ่งนี้ทำให้เขามาต่อว่าเธอ พรนภัสก็ขอนอนจับไข้เดียวดายอยู่ในห้องตามลำพังเสียยังจะดีกว่า

“ขอโทษที่ทำให้คุณเสียเวลานะคะ ตอนนี้ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว คุณอยากจะไปหาคุณแพรก็ไปเถอะค่ะ”

พรนภัสเอ่ยเสียงเรียบเรื่อย ในขณะที่สติค่อยๆกลับคืนมาจนสมบูรณ์ เมื่อนั้นเธอจึงได้สำเหนียกถึงความผิดปกติ

ภายใต้ผ้าห่มที่คลุมกายอยู่ พรนภัสรู้สึกว่าตนเองไม่ได้สวมอะไรทั้งสิ้น ผิวกายของเธอสัมผัสความเรียบลื่นและอุ่นจัดของผ้าห่มผืนใหญ่อย่างชัดเจน หญิงสาวรีบยกผ้าห่มขึ้นแล้วก้มมองตัวเอง ก่อนจะใจหายวาบเมื่อพบว่ากายของตนเปลือยเปล่าอย่างที่คิดไว้จริงๆ

ร่างเล็กรีบกระชับผ้าห่มปิดบังเรือนร่างของตนไว้ดังเดิม ดวงตากลมโตตื่นตระหนกจับจ้องดวงตาสีดำสนิทที่เต้นระริกราวกับสาแก่ใจในบางอย่าง

“คุณ!...”

เปล่งเสียงออกมาได้เพียงคำเดียวก็ลิ้นแข็ง เอื้อนเอ่ยอะไรไม่ได้อีกเลย ทำได้เพียงจ้องมองคิ้วเข้มข้างขวาที่ยกขึ้นสูง ตามมาด้วยรอยยิ้มมุมปากราวกับหยามเหยียดเยาะหยัน

“ตกใจทำไม” เขาเท้าแขนลงบนเตียงแล้วก้มหน้าลงมาหา ก่อนกระซิบถ้อยคำที่เสียดแทงหัวใจคนฟังอย่างที่เคยทำตลอดมา “ฉันไม่ใช่ผู้ชายคนแรกที่เห็นเธอเปลือยสักหน่อยนี่!”

ดวงตากลมโตเบิกกว้างกว่าเดิม ก่อนผู้เป็นเจ้าของจะเบนศีรษะไปทางอื่น ข่มกลั้นโทสะของตัวเองอย่างสุดความสามารถ มือที่กำผ้าห่มไว้สั่นระริก เฉกเช่นเดียวกับริมฝีปากแตกระแหง

ถ้อยคำดูถูกเหล่านี้ ใช่ว่าเธอไม่เคยได้ยิน ตรงกันข้ามเธอได้ยินมาหลายร้อยครั้งแล้วกระมัง ถึงกระนั้นก็ไม่อาจทำใจให้ชินได้อยู่นั่นเอง

พรนภัสไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงมองเธอในแง่ร้าย ไม่เข้าใจด้วยซ้ำไปว่าพฤติกรรมของเธอในสายตาของเขามันส่อไปในทางเสื่อมเสียมากนักหรือ! คิดมาถึงตรงนี้ก็ต้องแค่นยิ้ม อยากหัวเราะให้กับอคติอันเต็มหัวใจของตรีทศ ในขณะเดียวกันก็สมเพชตัวเองที่ยังหลงรักผู้ชายคนนี้แม้ว่าเขาจะไม่เคยมองเธอในแง่ดีเลยก็ตาม

“อย่าห่วงเลยพรนภัส ฉันไม่พิศวาสผู้หญิงอย่างเธอหรอก ที่ทำนี่...ก็แค่จะเช็ดตัวให้ไข้เธอลดก็เท่านั้น”

พรนภัสเม้มริมฝีปากแล้วสูดลมหายใจลึกยาว จากนั้นจึงโพล่งออกไปโดยบังคับไม่ให้เสียงสั่นจนเกินไปนัก

“ขอบคุณที่ดูแลฉันค่ะ แต่...ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะคะ”

ตรีทศนิ่งไปอึดใจ ก่อนเค้นเสียงถาม ฟังแล้วไม่ต่างจากเสียงคำรามเลยแม้แต่น้อย “ทำไม”

“เพราะ...ไม่ควร”

“ไม่ควร? ไม่ควรยังไง” ยังไม่ทันที่พรนภัสจะตอบ เขาก็ครางลึกในลำคอ ก่อนดึงตัวเธอให้ลุกขึ้นนั่ง หญิงสาวรีบยอกมือกอดผ้าห่มไว้มั่น ขณะที่มือใหญ่ซึ่งเกาะกุมต้นแขนเปลือยเปล่าบีบแรงเสียจนเธอต้องนิ่วหน้า

“ฉันไม่ควร แต่กับผู้ชายคนอื่น เธอคงไม่เกี่ยงงอนเลยงั้นซิ!”

คนถูกเหยียดหยามส่ายหน้าน้อยๆ ริมฝีปากเผยออ้าราวกับจะแก้ต่างให้กับตนเอง หากเสี้ยววินาทีถัดมาเจ้าตัวกลับเม้มริมฝีปากแน่น ไม่เอื้อนเอ่ยอะไรแม้เขาจะเกรี้ยวกราดเข้าใส่เธอก็ตาม

“จำไว้ พรนภัส อีกไม่นานฉันจะมีสิทธิ์ในตัวเธอมากกว่าผู้ชายคนอื่น ทุกตารางนิ้วบนตัวเธอเป็นของฉัน ฉันมีสิทธิ์มองมัน...ไม่ว่าเมื่อไหร่ หรือแม้แต่ทั้งวันทั้งคืนด้วยซ้ำไป!”

เขาผลักตัวเธอให้นอนลงบนเตียงตามเดิม ก่อนลุกขึ้นยืน ยกมือเสยผม ส่วนมืออีกข้างเท้าสะเอวไว้ ท่าทางเหมือนหนุ่มเกเรที่กำลังจะท้าตีท้าต่อยกับใครสักคน หาใช่นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงไม่

“ข้าวต้มกับยาอยู่บนหัวเตียง รีบกินแล้วนอนสักงีบ เธอตื่นเมื่อไหร่ ฉันจะกลับบ้านทันที!”

พูดจบก็ผลุนผลันออกจากห้องไป พลันที่ประตูปิด น้ำตาที่พรนภัสเฝ้ากลั้นไว้ก็ค่อยๆหยาดหยด หญิงสาวไม่ปล่อยให้มันเปรอะเปื้อนใบหน้าเมื่อรีบใช้หลังมือเช็ดออกโดยเร็ว เจ้าตัวสูดจมูกฟุตฟิตสองสามที ก่อนเอี้ยวตัวไปมองชามบรรจุข้ามต้มที่เริ่มเย็นชืด กับซองยาแก้ไข้ที่วางข้างๆแก้วน้ำ

พรนภัสไม่รู้สึกหิว ไม่อยากรับประทานอะไรทั้งนั้น แต่เพราะไม่อยากให้เขามาค่อนขอดต่อว่าเธอได้อีก จึงจำใจเอื้อมชามข้าวต้มมาถือไว้ แล้วใช้ช้อนตักใส่ปาก รสชาติของมันจืดชืดจนเธอทานไปได้เพียงสามสี่คำก็อยากจะวางช้อนเสียแล้ว หากก็ยังใจแข็งฝืนทานเข้าไปจนครึ่งชาม จากนั้นจึงทานยา และดื่มน้ำตามเข้าไปอึกใหญ่

หญิงสาวนั่งนิ่งอยู่บนเตียงอีกพักใหญ่ จึงสลัดผ้าห่มออก เดินไปคว้าเสื้อผ้าที่วางพาดอยู่บนโซฟาริมหน้าต่างมาสวม ก่อนจะกลับมาที่เตียง ซุกกายใต้ผ้าห่ม แล้วหลับไปอย่างอ่อนเพลีย



หลังจากกลับกรุงเทพสามวัน อาการของพรนภัสดีขึ้นเป็นลำดับ ทว่าอาการทางใจนั้นกลับไม่ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามยิ่งใกล้วันงานเท่าไหร่ยิ่งแย่ลงทุกที ป้าแสงที่เคยดูแลเธอมาตั้งแต่เด็กแม้จะรู้ว่าเธอกลัดกลุ้มไม่สบายใจ หากก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก ทำได้เพียงหยิบยื่นกำลังใจให้เท่านั้น

‘คุณฟ้าต้องเข้มแข็งนะคะ ถ้ามีอะไรให้ป้าช่วยก็บอก ป้ายินดีช่วยเต็มที่’

ป้าแสงมักเอ่ยคำนี้เป็นประจำ แต่พรนภัสก็ได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน รู้ดีว่าเรื่องที่เธอกังวลนั้นป้าแสงไม่อาจยื่นมือเข้ามาช่วยได้เลย สิ่งที่จะทำให้เธอรอดพ้นจากความทุกข์นี้ได้ล้วนขึ้นอยู่กับตัวเธอเองทั้งนั้น

อีกห้าวันจะถึงวันงาน พรนภัสต้องแวะไปลองชุดแต่งงานอีกสองสามครั้ง ส่วนตรีทศนั้น จะเป็นอย่างไรเธอไม่รู้ เพราะหลังกลับจากหัวหิน เธอเห็นหน้าเขานับครั้งได้ ส่วนใหญ่แล้วเขามักจะหมกตัวอยู่ที่บริษัท หรือบางคืนอาจจะไปหาแพรวาก็เป็นได้

วันนี้หลังจากลองชุดครั้งสุดท้าย พรนภัสก็ออกจากร้าน ขึ้นรถเมล์สายประจำมุ่งหน้ากลับบ้าน โดยไม่ได้ย้อนกลับไปที่ร้านอีกเพราะเธอให้อิสรียาคอยดูแลร้านแทนเรียบร้อยแล้ว

ใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะถึงบ้าน พรนภัสลากขาเดินเข้ามาในซอยตามเส้นทางที่เคยคุ้น ยังไม่ทันถึงหน้าบ้านรถคันหนึ่งก็แล่นเข้ามาจอดเทียบบาทวิถี พร้อมกับชายผู้หนึ่งก้าวลงจากรถแล้วร้องทัก

“ฟ้า!”

คนที่ก้มหน้าก้มตาเดินชะงักฝีเท้า หันขวับกลับไปมองคนเรียก ฉีกยิ้มกว้างอย่างดีใจ

“พี่โมกข์!”

ร่างเล็กแทบจะถลาเข้าไปหาเขา ใบหน้าที่เคยเรียบเฉย หรือยามอยู่คนเดียวมักจะขมขื่น โศกเศร้า ยามนี้มีรอยยิ้มประดับขับให้กระจ่างสดใสชวนมอง

“กลับจากเชียงใหม่แล้วหรือคะ”

คนถูกถามยิ้มตอบ พร้อมกับพยักหน้าหงึกหงัก

“อื้อ เพิ่งกลับมาถึงเมื่อวาน”

โมกข์เป็นรุ่นพี่ อายุมากกว่าพรนภัสหนี่งปี สมัยที่เรียนมหาวิทยาลัยเขาดูแลและคอยให้คำปรึกษาหญิงสาวมาตลอด เขาเป็นเหมือนพี่ชายที่แสนดี ขณะที่ใครอีกคนมักจะทำให้เธอเจ็บช้ำเสมอ จึงไม่น่าแปลกใจที่เธอจะมอบความสนิทสนมให้กับผู้ชายคนนี้มากกว่าใคร

“เสียดายหลังจากกลับเมกา พี่ก็ต้องเดินทางไปนู่นมานี่ กว่าจะมาหาฟ้าได้ก็ปาเข้าไปเป็นอาทิตย์”

เขาปรารภพร้องกับเอนกายพิงรถในท่วงท่าสบาย พรนภัสมองคนตรงหน้าอย่างพิจารณาหลังจากไม่ได้พบกันหลายปี โมกข์ยังคงเป็นคนเดิม...เป็นพี่โมกข์ที่สาวๆรุ่นน้องต่างขนานนามเขาว่า 'หนุ่มหน้าหยก’ ไม่เปลี่ยน

“เป็นไงบ้าง สบายดีไหม”

แม้สุ้มเสียงของเขายังอ่อนโยนเหมือนเดิม หากแววตาของเขา กลับมีความหม่นเศร้าแฝงเร้นอยู่ พรนภัสสัมผัสได้ แต่ก็ยังไม่อาจหาญถึงขั้นโพล่งถามออกไป

“สบายดีค่ะ พี่โมกข์ล่ะคะ”

“อืม...จะเรียกว่าสบายดีก็คงได้”

คำตอบกำกวมจนคนฟังต้องขมวดคิ้ว จ้องเขาด้วยแววตาคาดคั้น

“พี่โมกข์หมายความว่ายังไงคะ”

“ก็...สบายกาย” ชายหนุ่มยักไหล่ ยกมือข้างหนึ่งนวดต้นคอ ก่อนเอ่ยต่อด้วยเสียงเรียบรื่น “แต่ใจ...คงไม่สยายเท่าไหร่”

“อ้าว ทำไมล่ะคะ”

คนตัวสูงหัวเราะในลำคอ โบกสะบัดมือไปมาราวกับต้องการปัดคำถามนั้นให้พ้นไป

“ช่างเถอะ อย่าพูดเรื่องของพี่เลย พี่อยากรู้เรื่องของเรามากกว่า” เขายืดตัวตรง เดินอ้อมไปยังฝั่งคนขับ ดึงประตูให้เปิดออก ก่อนร้องเรียก

“มา! พี่จะไปส่ง”

พรนภัสไม่คิดปฏิเสธ วันนี้เธอรู้สึกเหนื่อยจนแม้แต่ก้าวขาก็แทบจะไม่ออก ดังนั้นเมื่อมีคนเสนอตัวไปส่งเธอ เจ้าตัวก็ยิ้มยินดีและไม่ดื้อดึงแต่อย่างใด

ร่างเล็กกระชับกระเป๋าถือของคนเอง สาวเท้าไปอีกฝั่งของตัวรถ กำลังจะก้าวขึ้นนั่งก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงแตรดังขึ้นถี่ๆจนแสบแก้วหู หนำซ้ำรถคันนั้นยังแล่นเข้ามาจอดชิดด้านหลังรถของโมกข์เสียด้วย

พรนภัสหันไปมอง พลันใจหายวาบเมื่อพบว่ารถคันนั้นเป็นของใคร หญิงสาวเงยหน้ามองคนข้างกายกำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่าง เสียงห้าวต่ำที่มีอิทธิพลต่อหัวใจของเธอมากกว่าใครก็ดังขึ้น เป็นเสียงตวาด คาดคั้น ขู่เข็ญตามแบบฉบับของตรีทศ ปัจจภาคย์นั่นละ

“พรนภัส!”

คนถูกถามหน้าซีดลงเล็กน้อย ใจสั่นจนตัวเองนึกว่าจะจับไข้ขึ้นมาอีกรอบ

“ใครน่ะฟ้า ท่าทางขวางโลกไงไม่รู้”

ถ้อยคำของโมกข์ทำให้พรนภัสผ่อนคลายจนเกือบจะโพล่งหัวเราะออกมาเสียด้วยซ้ำ หน้าที่ซีดเซียวพลันซับสีเรื่อ ปรากฏเป็นรอยเลือดฝาดบนแก้มทั้งสองข้างราวกับเธอปัดบรัชออนสีหวาน ทั้งที่ความจริงแล้ววันนี้เธอไม่ได้แต่งหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว

“พี่โมกข์พูดเหมือนรู้ใจฟ้าเลย”

พูดพลางอมยิ้มให้กัน โดยไม่รู้เลยว่าภาพนั้นขวางหูขวางตาคนมองมากเพียงใด

“พรนภัส! ฉันเรียกเธอ เธอไม่ได้ยินรึไง”

หญิงสาวสูดลมหายใจลึกยาว ข่มความขบขันไว้ในใจ ก่อนจะหันไปมองผู้ชายหน้าตาถมึงทึงด้วยสีหน้าตรงกันข้าม...เรียบเฉย เยือกเย็นราวน้ำแข็ง

“ได้ยินค่ะ”

ร่างสูงก้าวอาดๆเข้ามาใกล้ พร้อมกับยึดข้อมือเธอไว้แล้วกระชากจนเธอแทบคะมำ โมกข์เห็นดังนั้นก็ผวาเข้ามาเหมือนจะกอดเธอไว้ แต่ตรีทศหาได้ยอมไม่เขาออกแรงมากกว่าเดิม บังคับให้เธอเซซวนซบลงบนอกเขา

“เธอมาทำอะไรตรงนี้”

เขาเค้นเสียงออกจากลำคอ ฟังแล้วละม้ายเสียงคำราม

“กำลังจะกลับบ้านค่ะ” พรนภัสพยายามทรงตัว และยืนให้ห่างเขามากที่สุด “พี่โมกข์กำลังจะไปส่ง...”

หญิงสาวไม่รู้ว่าเหตุใด ยังพูดไม่ทันจบ ตรีทศก็มีน้ำโหขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“เธอไปกับมันไม่ได้!”

มือที่บีบข้อมือเธออยู่บีบแรงจนเธอร้องคราง คิ้วขมวดจนแทบเป็นปม หากเขาไม่ได้สนใจ กลับเอาแต่จ้องโมกข์เขม็งราวกับโกรธกันมาแต่ชาติปางไหน

“ไป!”

ไม่พูดพล่ำทำเพลงอีกต่อไป ตรีทศทั้งลาก ทั้งกระชาก จับตัวเธอยัดเข้าไปในรถคันหรูของเขา

“ฉันจะไปกับพี่โมกข์”

“ไม่ได้!” เขาตวาดใส่หน้า ดวงตาสีนิลวาวโรจน์แทบจะแผดเผาเธอเป็นจุณ



“ถ้าอยากคุยกันนักก็ไปคุยกันที่บ้าน...” ว่าพลางก้มตัวลงมากระซิบ “...ต่อหน้าฉัน!”





ตรีทศเอ่ยชวนโมกข์ไปที่บ้าน ต้อนรับขับสู้เช่นเจ้าบ้านที่ดี ถึงกระนั้นผู้มาเยือนก็ตะขิดตะขวงใจ เมื่อสายตาของอีกฝ่ายยามตวัดมองมาเปรียบดั่งคมมีด บางคราก็ดั่งกองเพลิงที่พร้อมจะแผดเผาเขาให้เป็นจุณ หนำซ้ำตรีทศยังไม่ยอมให้เขากับพรนภัสคุยกันตามลำพังอีกด้วย กลับตามติดราวกับเงาตามตัวเลยทีเดียว

ตอนแรกหญิงสาวชวนเขานั่งคุยที่ห้องรับแขก แต่เมื่อเห็นตรีทศนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ เธอจึงชักชวนให้ไปนั่งคุยที่สวน แต่ใครจะคิด เจ้าของบ้านกลับตามไปเดินวนๆเวียนๆทำท่าชมนกชมไม้อย่างเพลิดเพลินราวกับไม่ใช่เจ้าของสวนอย่างไรอย่างนั้น!

“พี่โมกข์จะกลับไปเมกาอีกไหม” พรนภัสพยายามไม่สนใจคนที่ยืนเอามือไพล่หลัง ทอดสายตาชมความงามของดอกไม้ที่บานสะพรั่งอยู่ไม่ห่าง

“คงไม่กลับแล้ว”

ถ้อยคำนั้นบอกชัด...ชายหนุ่มน่าจะมีปัญหากับคนรักอย่างไม่ต้องสงสัย แต่จะถึงขั้นแตกหักเลิกรากันหรือไม่ เธอไม่กล้าถาม ด้วยเกรงว่าต่อหน้าบุคคลที่สาม โมกข์อาจรู้สึกกระอักกระอ่วน อึดอัดใจ หรืออาจจะเสียหน้าขึ้นมาไม่ทราบได้ หญิงสาวจึงสงบปากสงบคำเข้าไว้

“พี่กำลังหางานอยู่ มีคนติดต่อให้พี่ไปเป็นเชฟอยู่สองสามที่”

ฟังแล้ว พรนภัสถึงกับตาโต เอ่ยแสดงความยินดีกับเขาด้วยน้ำเสียงสดใสแบบที่เจ้าตัวไม่เคยใช้กับตรีทศมาแสนนาน

“ยินดีด้วยค่ะพี่โมกข์ แบบนี้เรียกว่าเนื้อหอมได้ไหมเนี่ย!”

ว่าพลางเปล่งเสียงหัวเราะที่กังวานใสราวเสียงระฆัง เมื่อประสานกับเสียงทุ้มนุ่มของโมกข์ สวนที่งดงามแต่ดูแห้งแล้งในความรู้สึกพลันมีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

และไม่รู้ว่าเสียงเหล่านั้นสร้างความรำคาญใจให้กับเจ้าของบ้านหรือไร ตรีทศจึงได้ทำเสียงกระแอมกระไอที่น่าจะเรียกว่าดังไปสามบ้านแปดบ้าน ดังเสียจนพรนภัสสะดุ้ง รอยยิ้มหุบฉับลงทันควัน โมกข์เองชักสีหน้าเล็กน้อย เหลือบมองคนที่คลายเนคไทแล้วดึงปลายเสื้อออกจากกางเกงด้วยความสงสัย

แม้โมกข์พอจะรู้คร่าวๆว่าพรนภัสมีพี่ชายคนหนึ่ง แต่ก็ไม่เคยพบหน้ามาก่อน พรนภัสเองไม่เคยแนะนำให้รู้จัก ไม่ค่อยเอ่ยถึง ถ้าจำไม่ผิด เธอพูดถึงตรีทศเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นกระมัง อีกทั้งเมื่อก่อนตอนที่แวะมาเยี่ยมเยียนหญิงสาวที่บ้าน ตรีทศก็บินไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกาแล้ว จึงทำให้เขาไม่เคยได้พูดคุยกับผู้ชายคนนี้สักที จวบจนกระทั่งวันนี้ พอจะได้พบกันก็เป็นการพบกันที่รวดเร็วปานสายฟ้าแลบ แถมดูเหมือนจะไม่ค่อยราบรื่นอีกด้วย

โมกข์เบนสายตามามองสบสายตาขอลุแก่โทษของพรนภัส ก่อนจะส่งยิ้มให้อย่างไม่ถือสา

“ร้านเบเกอรี่ของฟ้าเป็นไงบ้าง ตั้งแต่ฟ้าเมลล์มาบอกว่าทำร้านวันนั้นก็ไม่ได้พูดถึงอีกเลย”

“ก็ดีค่ะ เริ่มมีลูกค้าประจำแล้ว”

“ไว้พี่ไปหานะ อยากลองชิม”

“อะไรกัน พี่โมกข์ก็เคยชิมฝีมือฟ้าแล้วไม่ใช่หรือคะ ยังอยากลองอีกหรือ”

ร่างสูงขยับกาย ยกกาแฟบนโต๊ะขึ้นมาจิบ ก่อนโปรยยิ้ม

“เคยชิมนานแล้ว อยากลองอีกว่าอร่อยกว่าเมื่อก่อนไหม”

สิ้นเสียงนั้นทั้งสองก็ต้องสะดุ้ง เมื่อตรีทศตะโกนเรียกใครบางคนด้วยเสียงอันดัง

“ชิด! ไอ้ชิด! มาดูกุหลาบหน่อยซิวะ ทำไมมันเหี่ยวแบบนี้!”

พรนภัสเหลือไปมอง เห็นเขาก้มๆเงยๆหน้าแปลงกุหลาบแล้วทอดถอนใจอย่างระอา หมดอารมณ์จะคุยกับพี่รหัสที่ไม่ได้พบกันมาหลายปีเพียงเท่านั้น

“พรุ่งนี้พี่โมกข์แวะไปที่ร้านฟ้านะคะ จะได้คุยกัน...สะดวกขึ้น”

ประโยคหลังเธอเอ่ยเสียงเบา พลางตวัดหางตาไปมองคนที่กำลังพร่ำบ่นคนสวนอยู่

โมกข์ยิ้มมุมปากพลางส่ายหน้า แม้จะรับรู้ได้ถึงความผิดปกติระหว่างตรีทศกับพรนภัส แต่เขายังไม่คิดจะถาม ชายหนุ่มรับคำและขอตัวลากลับทันที ก่อนจากกันเขาก็รับคำเป็นมั่นเหมาะว่าจะโทร.หา

“ฟ้ามีเรื่องจะบอกพี่โมกข์ด้วย เอาไว้คุยกันคืนนี้แล้วกันนะคะ”

หญิงสาวเดินไปส่งเขาที่รถ โบกมือลา แล้วมองตามรถคันนั้นจนลับสายตาจึงหมุนตัวเดินกลับเข้าบ้าน ตอนนั้นเองคนที่ตรีทศปรากเข้ามายืนขวาง ร่างเล็กชะงักงัน เท้าทั้งสองตรึงแน่นอยู่กับที่ หัวใจพลันปั่นป่วนขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้

“เธอบอกเรื่องของเรากับนายนั่นรึยัง”

‘เรื่องของเรา’ หากออกจากปากคนรัก คงทำให้หัวใจพองฟูคับอก แต่เมื่อออกจากปากเขา พรนภัสอดรู้สึกปวดแปลบใจไม่ได้

“ยังค่ะ”

“ทำไม” เขากระชากเสียงห้วนสั้นและเต็มไปด้วยแรงอารมณ์ พรนภัสรู้ดีว่าตรีทศเป็นพวกชอบยึดเอาอารมณ์เป็นที่ตั้งมากกว่าเหตุผล จึงหาทางเลี่ยง คิดรอให้อารมณ์ของเขาเป็นปกติเสียก่อนจึงค่อยตอบคำถามนั้น

“คุณตรีอยากทานของว่างไหมคะ เดี๋ยวฉันจะเตรียมให้”

“ฉันไม่สนใจของว่างอะไรนั่น ตอนนี้ฉันต้องการคำตอบจากเธอ”

พรนภัสระบายลมหายใจยาว หลุบสายตาลงต่ำ ก่อนตอบด้วยสุ้มเสียงเยือกเย็นว่า

“ยังไม่มีโอกาสค่ะ”

“ไม่มีโอกาส?” เขาทำเสียงหึในลำคอแล้วเงียบไป เธอเองก็คร้านจะเถียงจึงบอกเขาอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า

”คืนนี้ถ้าพี่โมกข์โทร.มาฉันจะบอกค่ะ หรือถ้าพรุ่งนี้เขาไปที่ร้านฉันจะยื่นการ์ดให้เขา” ว่าพลางช้อนสายตาขึ้นมามองสบ ดวงตาสีดำสนิทวาวโรจน์เจิดจ้าจนบาดตา “พอใจหรือยังคะ”

“ไม่”

พรนภัสขมวดคิ้ว มองจ้องเขาด้วยสายตาเคลือบแคลง เต็มไปด้วยความสงสัย กำลังจะเอ่ยปากถาม เขาก็รีบพูดขึ้นมาว่า

“คืนนี้มาที่ห้องฉัน ฉันมีงานให้เธอทำ”

พูดจบก็เดินดุ่มจากไป ทิ้งให้หญิงสาวมองตามตาค้าง

มีครั้งไหนบ้างที่เขาเรียกให้เธอไปหาถึงห้อง หนำซ้ำยังเป็นยามวิกาลอีกด้วย!

พรนภัสพกความสงสัยไว้เต็มหัวใจ จวบจนกระทั่งราตรีมาเยือนจึงได้คำตอบ เมื่อเขาส่งเด็กรับใช้คนหนึ่งให้มาตามเธอ หญิงสาวไม่อิดออดดึงดัน เธอไม่คิดว่าเขาจะทำมิดีมิร้ายหรือข่มเหงเธอ เธอรู้ว่าเขาไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น ถึงกระนั้นก็อดหวั่นใจไม่ได้อยู่ดี

เมื่อเข้ามาในห้อง พรนภัสก็เห็นกองเสื้อเชิ้ตและกางเกงแสล็คของเขาวางอยู่บนเตียง ดูแล้วเขาคงคว้าออกมาเกือบครึ่งตู้เลยกระมัง

ตรีทศยืนอยู่ปลายเตียง ฉวยเสื้อตัวหนึ่งขึ้นมายื่นส่งให้เธอ แล้วเอ่ยเสียงห้วน

“ตัวนี้กระดุมหลุด”

คว้าอีกตัวแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเดียวกัน “ตัวนี้ชายเสื้อหลุดลุ่ย”

“ตัวนี้ซิปแตก”

“ตัวไหนเก่าแล้วก็แยกเอาไปบริจาค”

“เสร็จแล้วรีดให้ใหม่ด้วย”

สิ้นเสียงนั้นเขาก็ทิ้งกายลงบนโซฟาริมผนัง คว้าหนังสือขึ้นมาอ่าน เป็นอันจบการสนทนา และเป็นสัญญาณให้เธอเริ่มลงมือซ่อมเสื้อผ้าพวกนั้น

พรนภัสนั่งลงปลายเตียง หยิบเสื้อแต่ละตัวมาดู พบว่ากระดุมหลุดหายไปหลายเม็ด บางตัวตะเข็บชายเสื้อหลุดลุ่ยราวกับมีคนจงใจทำให้มันเป็นแบบนั้น เจ้าตัวขมวดคิ้วเงยหน้ามองเจ้าของห้อง เห็นเขาก้มหน้าก้มตาไม่สนใจจึงทอดถอนใจยาวแล้วเอ่ยว่า

“ฉันจะเอากลับไปทำที่ห้องนะคะ”

“ไม่ได้ ฉันเรียกเธอมาที่นี่ เธอก็ต้องทำที่นี่” เขาจ้องเธอเขม็ง แผ่รัศมีของความเป็นปัจจภาคย์ออกมาอย่างเต็มที่ ภายใต้ชายคาหลังนี้ ไม่มีใครขัดคำสั่งเขาได้ ตรีทศเป็นใหญ่มาตลอดและยังคงเป็นต่อไปไม่มีวันสิ้นสุด

“กลับไปเอาอุปกรณ์ที่ห้องเธอแล้วรีบกลับมาเร็วๆ”

พรนภัสคร้านจะดื้อดึง จึงทำตามที่เขาต้องการแต่โดยดี และเมื่อโมกข์โทร.มาหาก็ไม่สะดวกคุย สุดท้ายต้องรีบวาง

“เจอกันพรุ่งนี้ค่ะพี่โมกข์”

คืนนั้นกว่าเธอจะซ่อมเสร็จก็ปาเข้าไปค่อนคืน กลับมาถึงห้องก็ทิ้งตัวนอนแผ่หราด้วยความเหนื่อยอ่อน ก่อนจะผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว



วันถัดมา พรนภัสโทร.นัดหมายเวลาที่แน่นอนกับโมกข์อีกครั้งหลังจากเมื่อคืนคุยอะไรกันไม่ได้มาก เพราะมีบุคคลที่สามคอยเงี่ยหูฟังอยู่ตลอดเวลา ตอนแรกเธอตั้งใจว่าจะออกไปคุยนอกห้องแต่เขาก็สั่งห้าม ไม่ให้เธอออกไปไหน

‘อยากคุยก็คุยกันตรงนี้’ เขาเอ่ยเสียงกระด้างพลางพลิกหน้าหนังสืออย่างแรง ‘แต่อย่าคุยกันให้นานนัก เพราะฉันง่วงแล้ว’

‘งั้นฉันเอาไปทำที่ห้องก็ได้ค่ะ’

‘ไม่!’

ตรีทศยังคงดื้อดึง และทำท่าทางเหมือนเด็กเกเร พรนภัสก็จนใจไม่รู้จะจัดการเช่นไร อีกทั้ง เสียงโทรศัพท์ของเธอกรีดร้องครั้งแล้วครั้งเล่าจึงจำเป็นต้องกดรับ แล้วสนทนาอย่างรวบรัดตัดความ สุดท้ายก็ไม่ได้คุยอะไรมากนอกจากนัดหมายให้มาพบกันที่ร้านเดียร์เบเกอรี่เท่านั้นเอง

คิดมาถึงตรงนี้พรนภัสก็ต้องถอนหายใจเฮือก มือที่กำลังจดรายการที่ต้องซื้อเข้าร้านบนสมุดบันทึกหน้าปกสีดำหยุดชะงัก ค้างอยู่ในท่านั้นนานกระทั่งอิสริยาผลักประตูเข้าร้านมาจึงรู้สึกตัว

“ฟ้า! วันนี้แกนัดกับพี่โมกข์ไว้เหรอ” ถามพลางสาวเท้าเข้ามาหลังเคาน์เตอร์ที่พรนภัสนั่งอยู่ วางกาแฟเย็นในมือพร้อมกับกระเป๋าสะพายสีสดลงบนโต๊ะ แล้วทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ทรงสูงอีกตัวหนึ่ง

“เห็นพี่โมกข์ว่าจะมาหาตอนบ่ายๆ”

“แกรู้ได้ยังไง”

“คุยกันในเฟสเมื่อคืน” ว่าพลางดื่มกาแฟสาองสามอึก ก่อนเอ่ยต่อว่า “นานๆพี่แกจะเล่นเฟสซะที เมื่อวานบังเอิญออนเจอกัน เลยได้คุยกันแป๊บนึง”

พรนภัสไม่ถนัดเรื่องพวกนี้ เฟสบุ๊ค ไฮไฟว์ หรืออะไรที่เพื่อนๆนิยมกัน เธอไม่เคยสนใจเลยสักครั้ง อิสริยาเคยอาสาจะสมัครให้เธอเธอก็ปฏิเสธไป

‘อย่าเลย สมัครไว้ก็ไม่ได้ใช้หรอก ฉันไม่ค่อยชอบ’

เมื่อได้รับคำปฏิเสธบ่อยครั้ง เพื่อนสนิทของเธอก็เลิกเซ้าซี้ไปโดยปริยาย

โลกของพรนภัสจึงมีเพียงไม่กี่อย่าง

หนึ่ง...ร้านเบเกอรี่ที่พ่อบุญธรรมลงทุนหาทำเล และลงทุนช่วยเหลือครึ่งหนึ่ง

สอง...คฤหาสน์ปัจจภาคย์ที่ซึ่งรวมความทรงจำอันมากมายไว้

สาม...สถานสงเคราะห์เล็กๆที่รับเลี้ยงดูเธอมาตั้งแต่แบเบาะ แม้ความทรงจำจะเลือนราง หากเธอก็ยังจำคุณครูที่คอยเลี้ยงดูและสอนให้เธออ่านออกเขียนได้ ครั้งหลังสุดที่เธอไปคือสองปีที่แล้ว ตอนนั้นท่านลาออกกลับไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัดเพราะสุขภาพไม่ค่อยดี หนึ่งให้หลังเธอจึงได้ข่าวว่าท่านเสียแล้ว พรนภัสไม่ได้ไปงานฌาปนกิจศพของท่านแต่ระลึกถึงท่านอยู่เสมอจวบจนปัจจุบัน

และอย่างสุดท้าย...คนที่เป็นเสมือนศูนย์กลางของทุกสิ่งในชีวิตเธอ...ตรีทศ ปัจจภาคย์

“พี่โมกข์แกยังหล่อเหมือนเดิมเลยเนอะ”

เสียงใสๆของอิสริยาปลุกเธอให้ตื่นจากภวังค์ความคิด พรนภัสกะพริบตาสองสามครั้ง ดึงสติกลับคืนมาพร้อมกับตั้งใจฟังอีกฝ่ายมากขึ้น

“เมื่อคืนพี่โมกข์แกเปลี่ยนรูปโปรไฟล์รูปใหม่ หล่อชะมัด!”

คนฟังหัวเราะคิก มองเพื่อนสนิทด้วยแววตาเป็นประกาย

“ถ้าพี่โมกข์มาจีบแก แกจะตกลงเป็นแฟนเขาไหม”

“แน่นอนซิยะ! คนหล่อๆ ดีๆอย่างพี่โมกข์มีใครมั่งไม่อยากได้เป็นพ่อของลูก!”

พรนภัสหัวเราะขบขัน ส่ายหน้าน้อยๆกับความขี้เล่นของอีกฝ่ายก่อนก้มหน้าก้มตาจดรายการที่ต้องซื้อในวันพรุ่งนี้ต่อไป ทำไปได้เพียงครู่เดียวก็มีลูกค้าทยอยกันเข้าร้าน พอใกล้เที่ยงลูกค้ายิ่งมาก หากที่ทำให้เธอยืนนิ่งอึ้งอยู่กลางร้านจนอิสริยาต้องเข้ามาสะกิดคือการปรากฏตัวของตรีทศ

หญิงสาวแน่ใจว่าวันนี้ไม่มีการนัดหมายระหว่างเธอกับเขา การลองชุดแต่งงานก็เรียบร้อยแล้วไม่มีอะไรต้องแก้ ภาพแต่งงานก็งดงามสมบูรณ์ไม่มีที่ติ เรื่องสถานที่ก็เตรียมไว้เสร็จสรรพแล้ว การ์ดเชิญเริ่มทยอยแจกจนเกือบครบ จะเหลือก็แต่ส่วนของเธออีกใบเดียวเท่านั้น

การมาครั้งนี้จึงเป็นสิ่งที่เรียกว่าเหนือความคาดหมายจนเธอถึงกับยืนตะลึง

“รีบออกไปรับซิยัยฟ้า ท่าทางคุณตรีของแกเหมือนโกรธใครมา”

อิสริยากระซิบกระซาบเบาๆเมื่อก้าวเข้ามาสะกิดเรียกสติที่หลุดลอยไปของเธอ

พรนภัสเห็นจริงตามนั้นเมื่อเห็นใบหน้าของเขากระด้างกว่าเคย ดวงตาดำสนิทก็ดำลึกราวกับหุบเหวจนเธอหวั่นใจว่าจะพลาดตกลงไปถ้ามองสบตากันนานกว่านี้

ร่างเล็กสูดลมหายใจลึก พลางก้าวเข้าไปยืนตรงหน้าเขา

“คุณตรี...มีธุระอะไรกับฉันรึเปล่าคะ”

“ไม่มี”

คนฟังเบิกตากว้าง เผยอปากน้อยๆราวกับคำตอบนั้นเป็นสิ่งที่น่าตกใจยิ่ง

ตรีทศกระแอมกระไอเบาๆพลางเบือนสายตาหลบดวงตากลมโตของพรนภัส

“คือ...ฉันหิว”

ประโยคถัดมายิ่งแล้วใหญ่ เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงหนักเข้าไปอีก เพราะร้านอาหารใกล้ๆบริษัทก็มีมากมายหลายร้านแถมอร่อยเสียด้วย ทำไมยังต้องถ่อมาไกลถึงที่นี่อีก

ตรีทศเห็นอีกฝ่ายยังจ้องเขานิ่งงัน ก็เริ่มโมโห เค้นเสียงกระด้างหนักกว่าเดิมว่า

“หิวขนม อยากกินเค้กน่ะ!”

อ้อ...พรนภัสพยักหน้ารับ

เรื่องนี้พอเป็นเหตุเป็นผลได้ เพราะเคยได้ยินตรีทศบ่นๆว่าร้านเบเกอรี่แถวบริษัทหาอร่อยไม่ได้เลยสักร้าน

“คุณตรีอยากทานเค้กอะไรคะ เดี๋ยวฉันไปเตรียมให้” หลังจากหาโต๊ะให้เขาแล้ว พรนภัสจึงเอ่ยถาม

คนตัวโตปลดกระดุมเสื้อสูท คลายเนกไทให้หลวมขึ้นเล็กน้อย แล้วเอนกายพิงพนักอย่างสบายอารมณ์ ทว่า...แววตากลับดูอึดอัดอย่างไรพิกล

“อะไรก็ได้ที่เธอจะให้นายพี่โมกข์ของเธอชิม”

“คะ?”

“อะไร? อย่าบอกนะว่าไม่ได้ยิน”

“ได้ยินค่ะ แค่...สงสัยว่าทำไม...”

ร่างสูงเอื้อมไปจับต้นแขนกลมกลึงแล้วดึงตัวเธอเข้ามาใกล้ มากพอได้ยินเสียงกระซิบของเขา

“เพราะฉันต้องการชิมก่อนมัน เหตุผลแค่นี้พอไหม?”

แม้จะไม่ค่อยเข้าใจเขาสักเท่าไหร่ พรนภัสก็คร้านจะซักถามหรือต่อล้อต่อเถียงด้วย ด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะโมโหจนสติแตกอาละวาดขึ้นมา ลูกค้าในร้านพาลจะหนีหายไปเสียเปล่าๆ หญิงสาวจึงเอ่ยรับคำ รีบไปจัดเตรียมเค้กช็อกโกแลตสูตรใหม่ที่เธอปรับให้เข้มข้นกว่าเดิมมาเสิร์ฟ

ทันทีที่วางเค้กลงบนโต๊ะ กระดิ่งหน้าประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงชะลูดของโมกข์สาวเท้าเข้ามาเร็วรี่ ตอนนี้ด้านนอกฝนเริ่มลงเม็ดแล้ว จึงไม่แปลกที่เสื้อผ้าของเขาจะมีจุดด่างดวงให้เห็นประปราย

โมกข์ยกมือทักทายอิสริยา ก่อนหันมาทางเธอ

“เชิญค่ะพี่โมกข์”

พรนภัสรีบผละจากตรีทศไปต้อนรับ พลางเลือกโต๊ะให้เขาตรงมุมหนึ่งติดกระจก ตรงข้ามกับฝั่งที่ตรีทศนั่ง และไกลพอที่อีกฝ่ายจะไม่ได้ยินบทสนทนา

“เดี๋ยวฟ้าเอาเค้กมาเสิร์ฟนะคะ”

หญิงสาวเตรียมเค้กช็อกโกแลตเหมือนเดิม จากปลายหางตาเธอเห็นตรีทศจับจ้องแน่วนิ่งทีเดียว...คงกลัวว่าเธอจะเอาเค้กชิ้นอื่นไปให้โมกข์กระมัง

พรนภัสเดินกลับมาที่โต๊ะ วางเค้กลงก่อนจะทรุดนั่งฝั่งตรงข้าม

“ลองชิมดูซิคะ ถ้ามีอะไรแนะนำ ฟ้ายินดี”

โมกข์ยิ้มกว้าง ยกน้ำขึ้นดื่มอึดหนึ่งก่อนตักเค้กเข้าปาก นั่งเคี้ยวด้วยรอยยิ้มอีกครู่ก่อนพยักหน้า

“บอกได้คำเดียวว่า...” คนฟังเอนกายไปข้างหน้า ลุ้นด้วยหัวใจเต้นระทึก “...อร่อยมากจ้ะ”

พอได้คำชม เธอก็หัวเราะคิก ยกมือไหว้ขอบคุณเขา แล้วยิ้มกว้างอย่างยินดี

“ขอบคุณค่ะพี่โมกข์”

ตอนนั้นโมกข์เบือนสายตาไปมองทางอื่น สานสบเข้ากับแววตาไม่เป็นมิตรของตรีทศเข้าถึงกับสะอึก ยกน้ำมาดื่มอีกอึกใหญ่

“พี่ของฟ้าเขามาร้านนี้ประจำหรือ”

“เปล่าหรอกค่ะ เขาไม่เคยมาทานสักครั้ง ไม่รู้ทำไมวันนี้ถึงมา” ว่าพลางหันไปมองเบื้องนอก ฝนตกลงมาห่าใหญ่ รถติดระนาว “ถึงว่าฝนถึงได้ตกตั้งแต่บ่าย!”

น้อยครั้งนักที่พรนภัสจะเอ่ยค่อนขอดใครสักคน โมกข์ได้ยินเช่นนั้นจึงอดคิดไม่ได้ว่า...คนที่ทำให้น้องรหัสของตนค่อนขอดได้ต้องนับว่าสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ชายหนุ่มหันกลับไปมองตรีทศอีกครั้ง คราวนี้ตั้งอกตั้งใจมองอย่างพิจารณา และได้ข้อสรุปกับตัวเองว่าผู้ชายคนนี้น่าจะเป็นอารมณ์ร้อน...ร้อนเสียจนอาจจะเผาไหม้คนรอบข้างให้เป็นเถ้าธุลีในคราวเดียวได้เลย

“ฟ้านัดพี่โมกข์มาวันนี้เพราะมีเรื่องจะบอกค่ะ”

เสียงของพรนภัสดึงสายตาของเขาให้กลับมา

“หืม? เรื่องอะไรหรือฟ้า”

หญิงสาวหยิบการ์ดในกระเป๋าของตนเองออกมา ยื่นให้คนตรงหน้า พร้อมกับเอ่ยด้วยเสียงที่สั่นน้อยๆว่า

“ฟ้ากำลังจะแต่งงาน”

โมกข์อ้าปากค้าง หยิบการ์ดใบนั้นไปถือไว้ กำลังจะเอ่ยปากแสดงความยินดีแต่เมื่อเห็นชื่อเจ้าบ่าวแล้ว เจ้าตัวกลับหุบปากลงทันควันพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่น

“กับคุณตรีทศหรือ?”

“ค่ะ”

“ฟ้ารักเขาหรือ? ไม่ซิ...พี่ต้องถามว่า ทั้งคุณตรีกับฟ้าเป็นคู่รักกันอยู่หรือ?”

ถามออกไปเช่นนั้นเพราะท่าทางทั้งสองยังห่างไกลจากคำว่าคู่รักอยู่มาก

“ก็...ไม่ใช่หรอกค่ะ เป็นความประสงค์ของคุณลุงค่ะพี่โมกข์”

“แบบนี้ก็คลุมถุงชนน่ะซิ?”

พรนภัสไม่ตอบคำถามนั้น ได้แต่ยิ้มบางๆในหน้า

ทั้งสองต่างนิ่งงันไป กระทั่งพรนภัสกำลังจะอ้าปากเอ่ยอะไรบางอย่าง กลับต้องชะงักเมื่อรู้สึกว่ามีเงาของใครบางคนมาซ้อนอยู่ทางด้านหลัง หญิงสาวหันขวับไปมองก็ต้องสะดุ้งเกือบชนเข้ากับแก้มสากๆของตรีทศ

ตอนนี้ชายหนุ่มเท้าแขนกับโต๊ะ มือข้างหนึ่งวางลงบนไหล่เธออย่างสนิทสนม

“งานแต่งงานของเรา...หวังว่าคุณจะว่างไปนะครับคุณโมกข์”

‘งานแต่งงานของเรา’ สะท้อนกลับไปกลับมาในหัวของพรนภัสหลายรอบเสียจนเธอจับใจความไม่ได้ว่าชายหนุ่มทั้งสองคุยอะไรกัน มาสะดุ้งสุดตัวก็ตอนที่เจ้าบ่าวจรดปลายจมูกลงบนแก้มของเธอ...จากความเย็นของเครื่องปรับอากาศภายในร้าน พรนภัสรู้สึกถึงกระแสความร้อนที่เริ่มก่อตัวจากหัวใจแล้วพุ่งปราดไปยังใบหน้า ใต้ผิวเนื้อเนียนละเอียดพลันปรากฏรอยแดงระเรื่อชัดเจน

เท่านั้นยังไม่พอ เธอแทบสิ้นสติเมื่อเขาเอ่ยถ้อยคำที่ชาตินี้เธอไม่คิดว่าจะได้ยิน

“จริงซิครับ เรารักกันจริงๆ ผมรักฟ้ามาก" ชายหนุ่มมองจ้องโมกข์ที่กระพริบตามองมาอย่างงงๆ "คุณคงเดาไม่ออกหรอก ว่าผมรักฟ้ามากขนาดไหน”



----------------------------------------------------------------------------------

โปรดติดตามตอนต่อไป....




ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ก.ย. 2556, 12:21:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ก.ย. 2556, 12:21:54 น.

จำนวนการเข้าชม : 2018





<< บทที่ ๖   
kaelek 7 ก.ย. 2556, 13:05:33 น.
โอ้!!!! ต้องมีตัวกระตุ้นถึงจะมีอาการนะคุณตรีทศ


nunoi 7 ก.ย. 2556, 18:16:04 น.
หึงหล่ะซิคุณตรีทศ


alecigor 8 ก.ย. 2556, 00:48:31 น.
คุณตรีลงทุนมาก


ปรางขวัญ 8 ก.ย. 2556, 08:36:28 น.

มาอีกเร็วๆนะคะนานๆจะได้เห็นคุณตรีหึง


Zephyr 8 ก.ย. 2556, 22:49:55 น.
ทั้งรักทั้งหึงจนหน้ามืด
แต่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรใช่มั้ยนายตรีทศ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account