Uluru ด้วยรักนิรันดร์
ตอนที่ความรักนั้นจบลง
ชีวิตของผมก็เหมือนไม่อยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป ...
นานเท่านาน ...
หัวใจจมดิ่งลงไปสู่เบื้องลึกของความทรงจำอันเจ็บปวด
ตอนที่คุณหายไป ...
ชีวิตผมบาดเจ็บจนลืมไปว่ามันสามารถรักษาได้
นานเท่านาน ...
หัวใจได้เยียวยาด้วยหัวใจ ...
แล้วเราคงข้ามผ่านมันไปด้้วยกัน ...
ชีวิตของผมก็เหมือนไม่อยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป ...
นานเท่านาน ...
หัวใจจมดิ่งลงไปสู่เบื้องลึกของความทรงจำอันเจ็บปวด
ตอนที่คุณหายไป ...
ชีวิตผมบาดเจ็บจนลืมไปว่ามันสามารถรักษาได้
นานเท่านาน ...
หัวใจได้เยียวยาด้วยหัวใจ ...
แล้วเราคงข้ามผ่านมันไปด้้วยกัน ...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ผืนทรายสีแดง
ตัวอักษรดิจิตอลบนจอมอนิเตอร์ที่สนามบินคิงส์ฟอร์ดสมิธบอกเวลา 08.12 am ของเดือนตุลาคม เวลาของท้องถิ่น เวลาของซิดนี่ย์
อุณภูมิบอกอยู่ที่ระดับ 8 องศาเซลเซียส นับว่าหนาวสำหรับกะเหรี่ยงจากเมืองไทยแบบพีรพงษ์ ทั้งที่ชายหนุ่มอุตส่าห์เช็คข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตแล้วว่ามันควรจะเปลี่ยนเป็นฤดูใบไม้ผลิมาสักสัปดาห์กว่าๆ แล้ว แต่เดี๋ยวนี้ธรรมชาติก็เป็นอย่างนี้แหละ ทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่น่าจะเป็น
พีรพงษ์เดินตามกลุ่มผู้โดยสารเที่ยวเดียวกันไปยังช่องตรวจคนเข้าเมือง พิธีการตรวจคนเข้าเมืองที่คิงส์ฟอร์ดสมิธระบุว่าต้องเตรียมเอกสาร B465 และพาสปอร์ตให้พร้อม และตอบคำถามเจ้าหน้าที่ให้ชัดเจน
ชายหนุ่มรู้สึกสั่นๆ กลัวจะผ่านขั้นตอนไปไม่ได้
เจ้าหน้าที่ด่านเป็นฝรั่งตัวอ้วนในชุดเครื่องแบบที่ฟิตจนล้น แก้มแดงเหมือนเด็กอนุบาลตัวอ้วนๆ แต่แววตาขึงขังจนน่ากลัว เขามองดูรูปถ่ายบนพาสปอร์ตสลับกับเงยหน้ามองดูพีรพงษ์อยู่ครู่หนึ่งก่อนพับพาสปอร์ตถือไว้
“จะไปไหน?” คำถามภาษาอังกฤษสำเนียงออสเตรเลียหลุดมาเป็นประโยคแรก แม้จะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ในสถานการณ์จริงกลับคิดอะไรไม่ทัน
“อ่า... อ่า...” พีรพงษ์อ้ำอึ้ง จนอีกฝ่ายหยีตามอง หน้านิ่วด้วยความไม่ยินดี
“พูดอังกฤษได้ใช่มั้ย?” คำถามถูกเปลี่ยนใหม่
“ได้ครับ... นิดหน่อย...” ชายหนุ่มออกตัว
“จะไปไหน?” น้ำเสียงแข็งกร้าวนั้นเบาลง และเนิบช้ากว่าเดิม ท่าทางเจ้าหน้าที่คงเคยชินกับการปรับระดับความเร็วของการถามคำถามกับพวกด้อยทักษะทางภาษา
“อูยูรู ผมจะไปอูยูรู” พีรพงษ์ตอบ
“อูยูรู? นายบอกว่าอูยูรู?” ฝ่ายนั้นคงงงที่ได้คำตอบแบบนี้ ก็คนไทยส่วนใหญ่ถ้ามาประเทศนี้ ไม่มาเรียนต่อก็มาเที่ยวเมืองใหญ่ๆ อย่างซิดนี่ย์ เพิร์ธ เมลเบิร์นเป็นหลัก จะมีสักกี่คนที่หมายหมั่นว่าจะมาสถานที่ไกลผู้ไกลคนอย่างนั้น
“ใช่ ผมจะไปอูยูรู” ชายหนุ่มยืนยันหนักแน่น
“ไปกี่วัน? ไปถูกเหรอ?” ตามมาด้วยคำถามราวกับจะลองภูมิ
“สี่วัน ผมมีตั๋วภายในประเทศของแควนตัสนะ ผมต้องขึ้นเครื่องในอีกชั่วโมงข้างหน้านี่ บินไปลงที่สนามบินคอนแนลแลน” คำตอบถูกพูดออกไปอย่างกระฉับกระเฉง เพราะเตรียมตัวตอบคำถามเอาไว้ตั้งแต่ที่เมืองไทยแล้ว
เจ้าหน้าที่หน้าอูมบวมมองหน้าเขาครั้งหนึ่ง แล้วพยักหน้าเป็นเชิงพอใจกับคำตอบ ยื่นพาสปอร์ตแล้วก็เอกสารกลับมาให้
“อย่าลืมเก็บเอกสารไว้ดีๆ ยินดีต้อนรับสู่ออสเตรเลีย แล้วเจอกันตอนกลับพ่อหนุ่ม” คำทักทายพร้อมรอยยิ้มทำให้พีรพงษ์ยิ้มออก
กระเป๋าเดินทางใบใหญ่แต่ไม่ค่อยมีอะไรของชายหนุ่มถูกแบกขึ้นบ่า ชายหนุ่มเปิดรายการที่ลิสต์ไว้ในสมุดบันทึกเล่มเล็กๆ มันบอกว่าเขาต้องหารถบัสที่วิ่งระหว่างอาคารผู้โดยสารขาเข้านี้กับอาคารภายในประเทศ พอมองซ้ายมองขวาจนแน่ใจแล้ว เขาก็ลากฝีเท้าไปยังทางออก
อากาศหนาวเย็นของฤดูหนาวที่ยังหลงเล็ดลอดมาฉาบไปทั่ว พีรพงษ์ห่อตัวเองในสภาพเตรียมตัวมาไม่ดีพอ สะพายกระเป๋าเดินทางและก้าวเท้าตามป้ายจนถึงจุดรอรถ มีคิวยาวพอประมาณอยู่ตรงนั้น
“สวัสดี” ชายผิวขาว ตัวใหญ่ หน้าตาสุภาพคนหนึ่งซึ่งมายืนรอคิวก่อนเขาทัก
“ครับ สวัสดีครับ” พีรพงษ์ตอบ
“ผมจำคุณได้ คุณมาจากมาเลเซียใช่ไหม?” ชายผู้นั้นเอ่ยถาม
“ผมมาต่อเครื่องที่มาเลเซีย แต่ผมเป็นคนไทย” เขาตอบ การสนทนาด้วยภาษาอังกฤษประโยคสั้นๆ ก็ไม่ได้ยากเท่าไหร่--พีรพงษ์คิด
“โอ้ว... สวัสดีครับ” ฝ่ายนั้นอุทานและทักทายด้วยคำแบบไทย
“ครับ” พีรพงษ์ยิ้ม
“คุณจะไปไหนเนี่ย?” อีกฝ่ายกลับมาถามด้วยภาษาอังกฤษ
“ขึ้นเครื่องแควนตัสไปเอเยอร์ร็อค ไปสนามบินคอนแนลแลน”
“คนเดียว? คุณไปคนเดียวนี่นะ?” ฝ่ายนั้นหัวเราะประหลาดใจ จนพีรพงษ์ชักจะคิดว่าการมาเที่ยวอูยูรูคนเดียวคงเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากสำหรับชาวประเทศนี้
“คุณจะไปอูยูรูงั้นเหรอ?” ชายอีกคนที่ยืนอยู่ถัดไปได้ยินคำตอบก็ขอร่วมสนทนาด้วย เขายื่นมือมาทักทายพร้อมแนะนำตัวเองว่าเขาก็กำลังจะไปที่นั่น ตัวเขากับเพื่อนสาวและเพื่อนของเธออีกสองคน
“ผมก็จะไปที่นั่นเหมือนกัน ผมชื่อทากะ นี่แฟนผม--ยูมิ นั่นนิชิเอะกับซง-ควู” ผู้ชายคนนั้นไล่เรียงเพื่อนไปทีละคน
ทากะเป็นคนญี่ปุ่นรุ่นใหม่ที่สูง เขาสูงกว่าพีรพงษ์เป็นคืบสองคืบ ผิวกร้านแดดเหมือนพวกอยู่กลางแจ้งตลอดเวลา ผมหยักศกของเขาแห้งกรังเหมือนไม่ค่อยได้ดูแล แววตาเป็นประกายด้วยความมีอัธยาศัยดี ยูมินั้นหน้าตาและรูปร่างทอดแบบสาวญี่ปุ่นแบบที่พีรพงษ์เคยเห็น หน้ากลม ตาโต ตัวเล็กๆ ออกเจ้าเนื้อหน่อยๆ ชอบหัวเราะโชว์ฟันเขี้ยว ผิวแทนแบบเดียวกันกับคนเป็นแฟน ท่าทางสองคนนี้จะชอบพออะไรคล้ายๆ กัน
นิชิเอะสูงไม่ต่างจากยูมิเท่าไหร่เพียงแต่จะอ้วนกว่านิดหน่อย หน้าอูมกลม ไว้ผมสั้นเสมอไหล่ ผิวขาวออกซีดๆ เหมือนคนสุขภาพไม่ค่อยดี ไม่ค่อยพูดค่อยจา ส่วนซง-ควูนั้นยิ่งไม่พูดมากขึ้นไปอีก ถึงจะไม่ได้แสดงออกว่าไม่เป็นมิตรแต่ความไม่พูดของเด็กหนุ่มร่างสูงผอมคนนี้ก็ทำให้บรรยากาศแปลกๆ อยู่เหมือนกัน
ระหว่างเดินทางด้วยรถบัสที่เชื่อมระหว่างอาคาร พีรพงษ์จับใจความจากที่ทากะเล่าได้ว่าพวกเขาทั้งหมดเป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยแมคกัวรี่แถบตอนเหนือของซิดนี่ย์ ทุกคนมาจากญี่ปุ่น รวมถึงซง-ควูที่เป็นเชื้อสายเกาหลีเหนือแต่เกิดที่ญี่ปุ่นด้วย โปรแกรมไปปีนอูยูลูเป็นนิชิเอะที่ชวนเพื่อนมา
“พีรพงษ์ซังคิดยังไงมาคนเดียว?” ทากะซึ่งดูจะเปิดเผยกว่าคนอื่นถาม
“ผม...เอ่อ...” ชายหนุ่มคิดว่าคำตอบนั้นท่าทางอธิบายยาก เขาเลยหยิบหนังสือในกระเป๋าออกมาแทน ทากะทำหน้างงๆ เพราะหนังสือนั้นมีหน้าปกในเวอร์ชั่นภาษาไทย พีรพงษ์เลยเอาโปสการ์ดของซีรี่ย์ที่สร้างจากนิยายนี้ออกมา
กระดาษอาร์ตมันสีเขียวรูปเดียวกันกับใบปิดซีรี่ย์ พีรพงษ์ซื้อจากร้านเกี่ยวกับหนังและซีรี่ย์ญี่ปุ่นในร้านแถวสยามสแควร์ ตัวอักษรสีขาวบนนั้นน่าจะทำให้ทากะเข้าใจมากกว่า
“เซคคาชู!! นั่นมันเริ่องเซไคโน-ชูชิน เดะ, ไอ โว ซาเกบู!!!” นิชิเอะรีบร้อนพูดเป็นภาษาญี่ปุ่น เธอรีบยื่นมือมาคว้ากระดาษแผ่นนั้นไปจากมือของเพื่อนชาย แล้วก็เรียกยูมิดูและคุยกันอย่างตื่นเต้น
“ผมตั้งใจมาอูยูรูเพราะนิยายเรื่องนี้” พีรพงษ์บอก
ทากะหันไปคุยกับสองสาว ยูมิทำตาโตสะกิดนิชิเอะเป็นการใหญ่ แล้วก็คุยภาษาบ้านเกิดกันไปมา พีรพงษ์ได้แต่ทำหน้างงๆ เพราะไม่เข้าใจ
จนทากะหันกลับมาเล่าให้ฟังว่านิยายเรื่องนี้ดังมากที่ญี่ปุ่น— พีรพงษ์พยักหน้ารับทราบ แล้วนิชิเอะก็เคยเล่นละครเรื่องนี้ด้วยล่ะ แต่เธอก็ไม่เคยมาอูยูรูจริงๆ พอมาเรียนที่นี่ก็เลยตั้งใจจะมาเห็นของจริงซักวัน
พีรพงษ์รู้สึกเซอร์ไพรซ์กับเรื่องที่ได้ฟังจริงๆ
....................
เครื่องบินโดยสารในประเทศของแควนตัสเป็นเครื่องขนาดกลางๆ ตอนที่ทะยานขึ้นจากสนามบินมันสั่นหน่อยๆ จนรู้สึกไม่ค่อยน่าไว้วางใจ พีรพงษ์รู้สึกว่าการเดินทางของเขาลุล่วงด้วยดีก็ตอนที่ได้เอากระเป๋าเก็บในช่องสัมภาระนี่เอง
เมืองซิดนี่ย์และรัฐนิวเซาท์เวลส์เมื่อมองผ่านกระจกหน้าต่างลงไปใหญ่โตมากนัก ความกลัวในใจของชายหนุ่มแล่นวูบเมื่อคิดว่า ถ้าเขาติดต่อหาเกมไม่ได้ เขาจะสามารถตามหาเกมในเมืองใหญ่ขนาดนี้ได้อย่างไร โชคชะตาจะเข้าข้างหรือจะเว้นช่องว่างระหว่างคนสองคนเหมือนที่เป็นมาตลอดหลายปีอย่างนั้นหรือเปล่า?
ในเมืองใหญ่ข้างล่างนี้ อีกห้าวันที่เขาจะกลับมาอีกครั้ง ตามหาคนที่อยากเจอที่สุดในชีวิต แต่พีรพงษ์รู้ดีว่าเขามีโอกาสน้อยมากที่จะได้เจอเกม แม้จะมีลู่ทางแต่มันก็แค่เบอร์โทรศัพท์ที่ไม่รู้ว่าจะมีสัญญาณตอบรับหรือไม่เป็นเข็มทิศเพียงอย่างเดียว
โทรศัพท์เปลี่ยนซิมเป็นระบบที่ใช้งานในออสเตรเลียไว้แล้ว แต่พีรพงษ์ยังไม่มีโอกาสโทรหาหญิงสาวที่เขาหวังจะได้เจอ แต่นั่นจะเป็นสิ่งแรกที่เขาจะทำหลังจากลงเครื่องที่คอนแนลแลน
“ขอต้อนรับสู่ทะเลทรายแห่งรัฐนอร์ทเทอรี่ธอรี่ อุทยานอูยูรูและคาตาจูตาและดินแดนแห่งอะบอริจิ้น” เจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินประกาศผ่านเครื่องขยายเสียง
สายลมแรกของดินแดนที่ตั้งใจจะมาพัดกลิ่นดินมาแต่ไกล พีรพงษ์ไม่อาจจะรู้ได้เลยว่า มันเป็นกลิ่นดินกลิ่นหญ้าจากทุ่งหญ้าผลัดใบใหม่ด้านนอกสนามบินซึ่งบัดนี้กำลังอวดยอดสีเขียวสวย หรือว่าเป็นกลิ่นดินจากภูเขาลูกนั้นหรือ—ภูเขาหินทรายสีแดงสด ภูเขาลูกที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทิวทัศน์ราบเรียบเหมือนผุดขึ้นมาอย่างกับเจตนาขัดขวางความเชื่อมโยงของเส้นขอบฟ้า
“มาถึงที่นี่จนได้สินะ” พีรพงษ์บอกตัวเองในใจเบาๆ
อุณภูมิบอกอยู่ที่ระดับ 8 องศาเซลเซียส นับว่าหนาวสำหรับกะเหรี่ยงจากเมืองไทยแบบพีรพงษ์ ทั้งที่ชายหนุ่มอุตส่าห์เช็คข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตแล้วว่ามันควรจะเปลี่ยนเป็นฤดูใบไม้ผลิมาสักสัปดาห์กว่าๆ แล้ว แต่เดี๋ยวนี้ธรรมชาติก็เป็นอย่างนี้แหละ ทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่น่าจะเป็น
พีรพงษ์เดินตามกลุ่มผู้โดยสารเที่ยวเดียวกันไปยังช่องตรวจคนเข้าเมือง พิธีการตรวจคนเข้าเมืองที่คิงส์ฟอร์ดสมิธระบุว่าต้องเตรียมเอกสาร B465 และพาสปอร์ตให้พร้อม และตอบคำถามเจ้าหน้าที่ให้ชัดเจน
ชายหนุ่มรู้สึกสั่นๆ กลัวจะผ่านขั้นตอนไปไม่ได้
เจ้าหน้าที่ด่านเป็นฝรั่งตัวอ้วนในชุดเครื่องแบบที่ฟิตจนล้น แก้มแดงเหมือนเด็กอนุบาลตัวอ้วนๆ แต่แววตาขึงขังจนน่ากลัว เขามองดูรูปถ่ายบนพาสปอร์ตสลับกับเงยหน้ามองดูพีรพงษ์อยู่ครู่หนึ่งก่อนพับพาสปอร์ตถือไว้
“จะไปไหน?” คำถามภาษาอังกฤษสำเนียงออสเตรเลียหลุดมาเป็นประโยคแรก แม้จะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ในสถานการณ์จริงกลับคิดอะไรไม่ทัน
“อ่า... อ่า...” พีรพงษ์อ้ำอึ้ง จนอีกฝ่ายหยีตามอง หน้านิ่วด้วยความไม่ยินดี
“พูดอังกฤษได้ใช่มั้ย?” คำถามถูกเปลี่ยนใหม่
“ได้ครับ... นิดหน่อย...” ชายหนุ่มออกตัว
“จะไปไหน?” น้ำเสียงแข็งกร้าวนั้นเบาลง และเนิบช้ากว่าเดิม ท่าทางเจ้าหน้าที่คงเคยชินกับการปรับระดับความเร็วของการถามคำถามกับพวกด้อยทักษะทางภาษา
“อูยูรู ผมจะไปอูยูรู” พีรพงษ์ตอบ
“อูยูรู? นายบอกว่าอูยูรู?” ฝ่ายนั้นคงงงที่ได้คำตอบแบบนี้ ก็คนไทยส่วนใหญ่ถ้ามาประเทศนี้ ไม่มาเรียนต่อก็มาเที่ยวเมืองใหญ่ๆ อย่างซิดนี่ย์ เพิร์ธ เมลเบิร์นเป็นหลัก จะมีสักกี่คนที่หมายหมั่นว่าจะมาสถานที่ไกลผู้ไกลคนอย่างนั้น
“ใช่ ผมจะไปอูยูรู” ชายหนุ่มยืนยันหนักแน่น
“ไปกี่วัน? ไปถูกเหรอ?” ตามมาด้วยคำถามราวกับจะลองภูมิ
“สี่วัน ผมมีตั๋วภายในประเทศของแควนตัสนะ ผมต้องขึ้นเครื่องในอีกชั่วโมงข้างหน้านี่ บินไปลงที่สนามบินคอนแนลแลน” คำตอบถูกพูดออกไปอย่างกระฉับกระเฉง เพราะเตรียมตัวตอบคำถามเอาไว้ตั้งแต่ที่เมืองไทยแล้ว
เจ้าหน้าที่หน้าอูมบวมมองหน้าเขาครั้งหนึ่ง แล้วพยักหน้าเป็นเชิงพอใจกับคำตอบ ยื่นพาสปอร์ตแล้วก็เอกสารกลับมาให้
“อย่าลืมเก็บเอกสารไว้ดีๆ ยินดีต้อนรับสู่ออสเตรเลีย แล้วเจอกันตอนกลับพ่อหนุ่ม” คำทักทายพร้อมรอยยิ้มทำให้พีรพงษ์ยิ้มออก
กระเป๋าเดินทางใบใหญ่แต่ไม่ค่อยมีอะไรของชายหนุ่มถูกแบกขึ้นบ่า ชายหนุ่มเปิดรายการที่ลิสต์ไว้ในสมุดบันทึกเล่มเล็กๆ มันบอกว่าเขาต้องหารถบัสที่วิ่งระหว่างอาคารผู้โดยสารขาเข้านี้กับอาคารภายในประเทศ พอมองซ้ายมองขวาจนแน่ใจแล้ว เขาก็ลากฝีเท้าไปยังทางออก
อากาศหนาวเย็นของฤดูหนาวที่ยังหลงเล็ดลอดมาฉาบไปทั่ว พีรพงษ์ห่อตัวเองในสภาพเตรียมตัวมาไม่ดีพอ สะพายกระเป๋าเดินทางและก้าวเท้าตามป้ายจนถึงจุดรอรถ มีคิวยาวพอประมาณอยู่ตรงนั้น
“สวัสดี” ชายผิวขาว ตัวใหญ่ หน้าตาสุภาพคนหนึ่งซึ่งมายืนรอคิวก่อนเขาทัก
“ครับ สวัสดีครับ” พีรพงษ์ตอบ
“ผมจำคุณได้ คุณมาจากมาเลเซียใช่ไหม?” ชายผู้นั้นเอ่ยถาม
“ผมมาต่อเครื่องที่มาเลเซีย แต่ผมเป็นคนไทย” เขาตอบ การสนทนาด้วยภาษาอังกฤษประโยคสั้นๆ ก็ไม่ได้ยากเท่าไหร่--พีรพงษ์คิด
“โอ้ว... สวัสดีครับ” ฝ่ายนั้นอุทานและทักทายด้วยคำแบบไทย
“ครับ” พีรพงษ์ยิ้ม
“คุณจะไปไหนเนี่ย?” อีกฝ่ายกลับมาถามด้วยภาษาอังกฤษ
“ขึ้นเครื่องแควนตัสไปเอเยอร์ร็อค ไปสนามบินคอนแนลแลน”
“คนเดียว? คุณไปคนเดียวนี่นะ?” ฝ่ายนั้นหัวเราะประหลาดใจ จนพีรพงษ์ชักจะคิดว่าการมาเที่ยวอูยูรูคนเดียวคงเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากสำหรับชาวประเทศนี้
“คุณจะไปอูยูรูงั้นเหรอ?” ชายอีกคนที่ยืนอยู่ถัดไปได้ยินคำตอบก็ขอร่วมสนทนาด้วย เขายื่นมือมาทักทายพร้อมแนะนำตัวเองว่าเขาก็กำลังจะไปที่นั่น ตัวเขากับเพื่อนสาวและเพื่อนของเธออีกสองคน
“ผมก็จะไปที่นั่นเหมือนกัน ผมชื่อทากะ นี่แฟนผม--ยูมิ นั่นนิชิเอะกับซง-ควู” ผู้ชายคนนั้นไล่เรียงเพื่อนไปทีละคน
ทากะเป็นคนญี่ปุ่นรุ่นใหม่ที่สูง เขาสูงกว่าพีรพงษ์เป็นคืบสองคืบ ผิวกร้านแดดเหมือนพวกอยู่กลางแจ้งตลอดเวลา ผมหยักศกของเขาแห้งกรังเหมือนไม่ค่อยได้ดูแล แววตาเป็นประกายด้วยความมีอัธยาศัยดี ยูมินั้นหน้าตาและรูปร่างทอดแบบสาวญี่ปุ่นแบบที่พีรพงษ์เคยเห็น หน้ากลม ตาโต ตัวเล็กๆ ออกเจ้าเนื้อหน่อยๆ ชอบหัวเราะโชว์ฟันเขี้ยว ผิวแทนแบบเดียวกันกับคนเป็นแฟน ท่าทางสองคนนี้จะชอบพออะไรคล้ายๆ กัน
นิชิเอะสูงไม่ต่างจากยูมิเท่าไหร่เพียงแต่จะอ้วนกว่านิดหน่อย หน้าอูมกลม ไว้ผมสั้นเสมอไหล่ ผิวขาวออกซีดๆ เหมือนคนสุขภาพไม่ค่อยดี ไม่ค่อยพูดค่อยจา ส่วนซง-ควูนั้นยิ่งไม่พูดมากขึ้นไปอีก ถึงจะไม่ได้แสดงออกว่าไม่เป็นมิตรแต่ความไม่พูดของเด็กหนุ่มร่างสูงผอมคนนี้ก็ทำให้บรรยากาศแปลกๆ อยู่เหมือนกัน
ระหว่างเดินทางด้วยรถบัสที่เชื่อมระหว่างอาคาร พีรพงษ์จับใจความจากที่ทากะเล่าได้ว่าพวกเขาทั้งหมดเป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยแมคกัวรี่แถบตอนเหนือของซิดนี่ย์ ทุกคนมาจากญี่ปุ่น รวมถึงซง-ควูที่เป็นเชื้อสายเกาหลีเหนือแต่เกิดที่ญี่ปุ่นด้วย โปรแกรมไปปีนอูยูลูเป็นนิชิเอะที่ชวนเพื่อนมา
“พีรพงษ์ซังคิดยังไงมาคนเดียว?” ทากะซึ่งดูจะเปิดเผยกว่าคนอื่นถาม
“ผม...เอ่อ...” ชายหนุ่มคิดว่าคำตอบนั้นท่าทางอธิบายยาก เขาเลยหยิบหนังสือในกระเป๋าออกมาแทน ทากะทำหน้างงๆ เพราะหนังสือนั้นมีหน้าปกในเวอร์ชั่นภาษาไทย พีรพงษ์เลยเอาโปสการ์ดของซีรี่ย์ที่สร้างจากนิยายนี้ออกมา
กระดาษอาร์ตมันสีเขียวรูปเดียวกันกับใบปิดซีรี่ย์ พีรพงษ์ซื้อจากร้านเกี่ยวกับหนังและซีรี่ย์ญี่ปุ่นในร้านแถวสยามสแควร์ ตัวอักษรสีขาวบนนั้นน่าจะทำให้ทากะเข้าใจมากกว่า
“เซคคาชู!! นั่นมันเริ่องเซไคโน-ชูชิน เดะ, ไอ โว ซาเกบู!!!” นิชิเอะรีบร้อนพูดเป็นภาษาญี่ปุ่น เธอรีบยื่นมือมาคว้ากระดาษแผ่นนั้นไปจากมือของเพื่อนชาย แล้วก็เรียกยูมิดูและคุยกันอย่างตื่นเต้น
“ผมตั้งใจมาอูยูรูเพราะนิยายเรื่องนี้” พีรพงษ์บอก
ทากะหันไปคุยกับสองสาว ยูมิทำตาโตสะกิดนิชิเอะเป็นการใหญ่ แล้วก็คุยภาษาบ้านเกิดกันไปมา พีรพงษ์ได้แต่ทำหน้างงๆ เพราะไม่เข้าใจ
จนทากะหันกลับมาเล่าให้ฟังว่านิยายเรื่องนี้ดังมากที่ญี่ปุ่น— พีรพงษ์พยักหน้ารับทราบ แล้วนิชิเอะก็เคยเล่นละครเรื่องนี้ด้วยล่ะ แต่เธอก็ไม่เคยมาอูยูรูจริงๆ พอมาเรียนที่นี่ก็เลยตั้งใจจะมาเห็นของจริงซักวัน
พีรพงษ์รู้สึกเซอร์ไพรซ์กับเรื่องที่ได้ฟังจริงๆ
....................
เครื่องบินโดยสารในประเทศของแควนตัสเป็นเครื่องขนาดกลางๆ ตอนที่ทะยานขึ้นจากสนามบินมันสั่นหน่อยๆ จนรู้สึกไม่ค่อยน่าไว้วางใจ พีรพงษ์รู้สึกว่าการเดินทางของเขาลุล่วงด้วยดีก็ตอนที่ได้เอากระเป๋าเก็บในช่องสัมภาระนี่เอง
เมืองซิดนี่ย์และรัฐนิวเซาท์เวลส์เมื่อมองผ่านกระจกหน้าต่างลงไปใหญ่โตมากนัก ความกลัวในใจของชายหนุ่มแล่นวูบเมื่อคิดว่า ถ้าเขาติดต่อหาเกมไม่ได้ เขาจะสามารถตามหาเกมในเมืองใหญ่ขนาดนี้ได้อย่างไร โชคชะตาจะเข้าข้างหรือจะเว้นช่องว่างระหว่างคนสองคนเหมือนที่เป็นมาตลอดหลายปีอย่างนั้นหรือเปล่า?
ในเมืองใหญ่ข้างล่างนี้ อีกห้าวันที่เขาจะกลับมาอีกครั้ง ตามหาคนที่อยากเจอที่สุดในชีวิต แต่พีรพงษ์รู้ดีว่าเขามีโอกาสน้อยมากที่จะได้เจอเกม แม้จะมีลู่ทางแต่มันก็แค่เบอร์โทรศัพท์ที่ไม่รู้ว่าจะมีสัญญาณตอบรับหรือไม่เป็นเข็มทิศเพียงอย่างเดียว
โทรศัพท์เปลี่ยนซิมเป็นระบบที่ใช้งานในออสเตรเลียไว้แล้ว แต่พีรพงษ์ยังไม่มีโอกาสโทรหาหญิงสาวที่เขาหวังจะได้เจอ แต่นั่นจะเป็นสิ่งแรกที่เขาจะทำหลังจากลงเครื่องที่คอนแนลแลน
“ขอต้อนรับสู่ทะเลทรายแห่งรัฐนอร์ทเทอรี่ธอรี่ อุทยานอูยูรูและคาตาจูตาและดินแดนแห่งอะบอริจิ้น” เจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินประกาศผ่านเครื่องขยายเสียง
สายลมแรกของดินแดนที่ตั้งใจจะมาพัดกลิ่นดินมาแต่ไกล พีรพงษ์ไม่อาจจะรู้ได้เลยว่า มันเป็นกลิ่นดินกลิ่นหญ้าจากทุ่งหญ้าผลัดใบใหม่ด้านนอกสนามบินซึ่งบัดนี้กำลังอวดยอดสีเขียวสวย หรือว่าเป็นกลิ่นดินจากภูเขาลูกนั้นหรือ—ภูเขาหินทรายสีแดงสด ภูเขาลูกที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทิวทัศน์ราบเรียบเหมือนผุดขึ้นมาอย่างกับเจตนาขัดขวางความเชื่อมโยงของเส้นขอบฟ้า
“มาถึงที่นี่จนได้สินะ” พีรพงษ์บอกตัวเองในใจเบาๆ
นรมันร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 ก.ย. 2556, 13:22:14 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ก.ย. 2556, 13:22:14 น.
จำนวนการเข้าชม : 947
<< ข้อความและการเดินทาง | ชีวิตที่เคลื่อนไหวไป >> |