เหตุผลกว่าจะรัก (รวมเรื่องสั้น)
คนเราล้วนมีเหตุผลในการจะรักใครสักคน...และนิยายความรักในใจของแต่ละคนก็ไม่เคยตรงกัน ต่างคนต่างเหตุผล แล้วบทสรุปของหัวใจไปจบลงที่ตรงไหน...

................................................................................................................................................
รวมเรื่องสั้นนิยายรักค่ะ เปิดๆ ดู แล้วมีในคลังหลายเรื่อง แต่ไม่ค่อยได้เรื่อง ฮาา จบในตอน ส่วนใหญ่พล็อตไม่แน่น พยายามปรับไปเรื่อยๆ ค่า
Tags: เรื่องสั้น รัก เหตุผลกว่าจะรัก

ตอน: หนีรัก

ผู้ชายตรงหน้า ที่ขึ้นชื่อว่าแฟน เขาไม่เคยรักคนอย่างเธอเลย...

ตวิษายกโทรศัพท์ขึ้นถ่ายรูปเค้กบนโต๊ะ มือกดปุ่มถ่ายรูปเรื่อยเปื่อย คนที่นิยมใช้กล้องฟิล์มตัวโตถ่ายภาพเป็นงานอดิเรก มาพบเทคโนโลยีพกพาสะดวกในโทรศัพท์เครื่องเล็ก เธอก็ไม่ได้ตื่นเต้นปรบมือไปกับชาวบ้านชาวช่องที่คอยผลัดเปลี่ยนโทรศัพท์ตามกระแสรุ่นที่ออกกันมาทุกปี แต่ก่อนเธอยังใช้รุ่นหน้าจอขาวดำอยู่ตั้งหลายปี ไม่ได้คิดจะเปลี่ยน แต่คนตรงหน้าคงจะห่วงภาพพจน์ตัวเอง ผู้หญิงบ้านๆ อย่างเธอที่คบไว้กู้หน้าเขาที่เป็นถึงนักบริหารรุ่นใหม่ไฟแรง จะมาใช้โทรศัพท์ล้าสมัยได้อย่างไร

เสียงคีย์บอร์ดรัวนิ้วหลายครั้ง บางครั้งก็หยุดจับเม้าส์คลิกโน่นนี่ แต่ที่แน่ๆ ในสายตาของเขามีแต่หน้าจอ เขาก็แค่ไปรับเธอมานั่งจมจ่อมอยู่กับเขาทั้งวันตามมารยาทเท่านั้น

เครื่องโทรศัพท์ถูกวางลงบนโต๊ะเมื่อหมดความสนใจ ช็อกโกแลตเย็นเจ้าโปรดนี้ก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกอร่อยอีกต่อไป แต่เขาก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับเธอ

นึกถึงวันแรกที่คนเป็นเพื่อนอย่างเธอได้เลื่อนสถานะเป็นคนพิเศษก็น่าตลก เธอก็เป็นเหมือนเพื่อนบางส่วนในโลกนี้ที่มักจะคิดไม่ซื่อกับเพื่อนตัวเอง เธอกับรชตบังเอิญได้ทำกิจกรรมกลุ่มเดียวกันสมัยเป็นเฟรชชี่ เธอเองเป็นคนที่มนุษยสัมพันธ์ไม่ค่อยดี พูดไม่เก่ง ไม่กล้ารู้จักใครก่อน พอรชตมาทักเธอ แล้วก็จับคู่ตลอดที่ทำกิจกรรม เธอถึงมีรชตเป็นเพื่อนคนแรก มองเห็นรชตมีแฟนหลายต่อหลายคนตามประสาผู้ชายเจ้าชู้ แต่เธอก็รู้ว่ามีคนหนึ่งที่รชตรักจริงอยู่เพียงคนเดียว ลภัส ดาวเด่นของคณะ หลายต่อหลายครั้งที่เธอต้องทำหน้าที่ฟังเขาพร่ำเพ้อถึงผู้หญิงคนนั้นที่เธอไม่มีวันเทียบ จากความอิจฉาในใจที่พลุ่งพล่าน เธอถึงรู้ตัว ว่าเธอกำลังรู้สึกกับรชตเกินเพื่อนไป แต่คนอย่างเธอจะทำอะไรได้

ตวิษาเก็บอาการน้อยใจ ฝังมันไว้ให้ลึกสุด นับตั้งแต่ที่เขาเห็นเธอเป็นเพียงคนที่ถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือประชดรัก ลภัสคบกับรชตได้ไม่นาน ฝ่ายหญิงก็ตีจาก เธอถึงฟลุกส์จัดได้ตำแหน่งข้างกายเขา แต่ไม่เคยได้ข้างใจ จวบจนวันนี้ ในสายตาของเขาก็ไม่เคยมีเธอ

ร่างบางเอนหลังให้ตรงขึ้น เธอกวาดตาออกไปข้างนอกที่ฝนกำลังโปรยปรายลงมาอย่างหนัก ร้านคาเฟ่ร้านโปรดที่ตั้งอยู่ใกล้มหาลัยก็ยังเป็นที่ประจำแม้ว่าทั้งสองจะจบมากว่าห้าปี ไอน้ำเกาะกระจกขึ้นไอ ลูกค้าในร้านหลายคนที่มาเป็นคู่วาดหัวใจบนกระจก สวีทหวาน ตวิษายิ้มยินดี ไม่มีความอิจฉาในใจเธออีกแล้ว ทุกวันนี้นับจากวันแรกที่คบเป็นแฟนกันก็ผ่านมาสี่ปี ความน้อยเนื้อต่ำใจ ความอิจฉา หรือแม้แต่ความหวัง มันตายไปจากใจของเธอ

สิ่งเดียวที่ยังเหลือ มันอาจจะเป็นความรัก ที่ต้องใช้คำว่าอดทน อดทนต่อความเฉยชา อดทนให้ได้มากที่สุด กับสถานะแฟน ที่ไม่เคยมีคำว่ารัก หรือการแสดงว่ารักจากเขาสักวินาทีเดียว

“ถ้าโตนย้อนเวลากลับไปได้ อะไรที่โตนอยากจะทำ แล้วอะไรที่โตนไม่อยากจะทำ” ตวิษาหันกลับมามองใบหน้าที่เงยขึ้นมองเธอตั้งแต่เธอเริ่มพูด ใบหน้าขาว ตาชั้นเดียวมองคนถามวิเคราะห์ แต่สิ่งที่พบจากคนตรงหน้ามีเพียงความว่างเปล่าในดวงตา

“เราจะไม่ขอจีนเป็นแฟน ส่วนสิ่งที่ไม่อยากทำ ก็คงขอจีนเป็นแฟน”

เจ็บ จนชิน... ตวิษาหยิบแก้วน้ำเปล่าขึ้นจิบ ดวงตาที่ว่างเปล่ามันเป็นภาพที่ฉาบไว้หลอกว่าเธอไม่เจ็บปวด ใจของเธอยามนี้ มันไม่ต่างจากสายฝนข้างนอก ที่เหมือนจะชุ่มฉ่ำ แต่มันจะหมดไป

“แต่ถ้าเป็นจีน จีนจะไม่ขอรู้จักกับโตน” สองไหล่ไหวไม่ยี่หระ เมื่อคำพูดของเธอไม่เคยสร้างรอยหวาดหวั่นในแววตาของผู้ฟังได้แม้แต่นิดเดียว เขาจะไปแคร์อะไรกับคนที่เขาไม่ได้รัก...

“อึดอัดไหม ถ้าโตนต้องใช้ชีวิตทั้งชีวิตกับผู้หญิงอย่างจีน”

“จะถามคำถามแบบนั้นทำไม พรุ่งนี้เราก็แต่งงานกันแล้ว”

ตวิษาเงียบ ไม่ได้ต่อความให้ยาวขึ้นไป มองการกระทำทุกอย่างที่คนตรงหน้าแสดงออกมา มันไม่เคยมีความรักอยู่ในนั้น ทุกอย่างก็แค่ทำๆ ไป นับตั้งแต่ที่เขาอกหักจากลภัส หันมาคบกับเธอ เขาก็ไม่เคยไปมีใครอีก เธอรู้ดีว่าเขายังไม่เคยลืมรักฝังใจ ยิ่งคำตอบที่เขาไม่ได้แคร์อะไรกับความรู้สึกของเธอ จนถึงวันนี้ เขาก็เลือกที่จะไม่มีเธอเป็นแฟน และไม่แสดงความรู้สึกใดๆ กับที่เธอบอกไปว่าเธอจะไม่ขอรู้จักกับเขา

นี่หรือคือคนที่กำลังจะแต่งงาน...

ผู้ชายคนหนึ่งกรีดหัวใจของเธอทุกๆ วัน จนไม่เหลือที่ใดที่ไม่มีแผล ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความรู้สึก เป็นหัวใจที่ตายด้าน ไม่มีชีวิตดวงหนึ่ง

“โตน ขอบคุณที่เลือกจีนนะ” ตวิษายิ้ม ทั้งที่ดวงตามีหยาดน้ำคลอหน่วย ได้เวลาที่ฝนในใจของเธอจะหยุดตก ถึงเวลาที่ทุกคนต้องยอมรับความจริง


‘ถ้าโตนย้อนเวลากลับไปได้ อะไรที่โตนอยากจะทำ แล้วอะไรที่โตนไม่อยากจะทำ’

‘เราจะไม่ขอจีนเป็นแฟน ส่วนสิ่งที่ไม่อยากทำ ก็คงขอจีนเป็นแฟน’

รชตนั่งลงบนที่นอนในห้องนอนว่างเปล่า หลังจากที่แต่งตัวเสร็จตั้งแต่เช้า เขาก็ได้รับสายโทรศัพท์ด่วนจากทางบ้านของตวิษาร้อนรนบอกกับเขาให้รีบมาที่บ้าน เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น กระดาษเอสี่ลายมือเป็นระเบียบเขียนไม่กี่บรรทัดในนั้น มันถูกวางทิ้งไว้กลางเตียงนอนของเธอ ที่เจ้าของหายตัวไปพร้อมเสื้อผ้าในตู้

‘ถึง โตน...

จีนไม่ขอให้โตนให้อภัยกับการกระทำสิ้นคิดของจีน จีนว่าจีนควรจะทำแบบนี้มาตั้งนาน แต่จีนไม่กล้า แต่พอต้องคิดว่าตลอดชีวิตของเราทั้งคู่จะต้องดำเนินต่อไป จีนเสียอีกที่ทนไม่ได้ เราคงจะเป็นคู่รักคู่แรกที่คบกันมาหลายปี แต่ไม่เคยบอกว่ารักกันว่าไหม จีนขอคืนอิสระให้โตน ไม่ต้องรู้สึกมีพันธนาการระหว่างเราอีก จีนจะขอรับผลของการกระทำนี้ทั้งหมด จีนขอยุติความสัมพันธ์ทุกอย่างของเรา ลาก่อนนะคะ... ไม่ต้องตามหาจีน’

รชตลูบรอยกระดาษบางช่วงที่น้ำหมึกเป็นสีจาง คนเขียนคงจะร้องไห้ออกมาตอนที่เขียนมัน ความรู้สึกในใจวูบโหวงอย่างที่หลายปีมานี้เขาไม่เคยเอะใจตัวเอง ครั้งแรกที่เขาขอตวิษาคบก็เพราะเขาอ่อนแอจากการอกหักจากลภัส ในใจของเขาไม่เคยบอกว่ารักตวิษา ใช้ชีวิตเป็นแฟนเท่าที่ที่แฟนคนหนึ่งควรทำ แต่อาจจะไม่ได้ใส่ใจเท่า ไม่มีความรู้สึก ไปดูหนังก็ไม่จับมือ นัดออกมานั่งคาเฟ่เจ้าโปรดเขาก็จะพกงานออกมาทำปล่อยให้ตวิษาต้องจมกับตัวเองเสมอ หรือแม้แต่การซื้อโน่นนี่ให้ เขาก็แค่คิดถึงเปลือกนอกที่อยากให้ตวิษาคู่ควรกับนักบริหารอย่างเขา

เขาไม่เคยถาม เธอไม่เคยถาม แต่ในขณะที่เขาไม่เคยคิด ตวิษากลับเก็บมันไว้ในใจมากมาย จนสุดท้ายก็ทนไม่ไหว

พ่อแม่ของตวิษาขอโทษขอโพยเขา และก่นด่าลูกสาวคนเดียวที่คิดอะไรตื้นๆ แต่เขาก็ขอรับความผิดนี้แค่คนเดียว หลังจากนั้น แขกคนใหญ่คนโตที่เขาต้องเข้าไปขอโทษด้วยตัวเองมองเขาเหมือนตัวประหลาดที่แค่งานแต่งงานก็จัดการให้สมบูรณ์ไม่ได้ ออกมาประกาศยกเลิกงานแต่งกลางพิธี วันรุ่งขึ้นเขาก็ถูกเรียกไปพบ ไต่ถามหลายอย่าง แต่เขาก็เลือกจะปกป้องตวิษา สุดท้ายเขาก็สูญเสียงานใหญ่ ตัดสินใจชิงลาออกจากงาน ก่อนจะถูกเขาไล่ออก

รชตเก็บของลงกล่องจนเกลี้ยงโต๊ะ สิ่งสุดท้ายที่เขาเอามาตั้งไว้แต่ไม่ค่อยจะใช้เวลามองถูกหยิบขึ้นมาดูอย่างทะนุถนอม ภาพคู่ที่มีรอยยิ้มอ่อนๆ ของเขากับตวิษา แต่น่าแปลกที่สายตาเขานั้นช่างดูว่างเปล่า

ตวิษาทนเขามาได้ถึงสี่ปีได้นานขนาดนี้เชียวหรือ...รชตถอนหายใจ เปิดประตูห้องออกมาเผชิญโลกแห่งความเป็นจริง สายตาทุกคู่ของพนักงานจับจ้องผู้จัดการใหญ่พร้อมเสียงซุบซิบ ชายหนุ่มอดทนไว้ กอดกล่องที่มีรูปคู่อยู่บนสุด ยืดหลังตรงเดินผ่านอดีตลูกน้องไป

“พี่โตนครับ ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้” ภวินท์ที่เป็นผู้ช่วยคนสำคัญในการทำงานของเขา ทั้งยังเป็นรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัยอดติงไม่ได้ รชตเพิ่งจะขึ้นมาทำงานในตำแหน่งนี้ยังไม่ถึงสามเดือน รุ่นพี่เขาพยายามมาหลายปีเพื่อมัน “เจ้านายไม่ได้ว่าอะไรพี่นะครับ พี่จะลาออกทำไม”

“แค่ชีวิตพี่ยังจัดการตัวเองไม่ได้ จะให้พี่ไปจัดการชีวิตคนอื่นได้ยังไง”

หนุ่มผมหยิกเดินขวางทางเจ้านายตัวเอง “พี่เคยได้ยินไหม ผู้ปกครองที่ยอดเยี่ยมอาจไม่ได้มีชีวิตที่ราบรื่น”

“นายต้องทำมันได้ดี” รชตยิ้มจืดชืดส่งไป เวลานี้เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าการยิ้มมันทำได้ยากยิ่งกว่าสมัยก่อน เขาเคยเป็นคนที่ยิ้มง่าย แต่หลังจากรักแรกผ่านไปเขาก็ยิ้มยากขึ้น แต่ก็ยังยิ้มหากตวิษาต้องการ

ในวันนี้เขาไม่มีโอกาสได้แก้ตัวอีกต่อไป ตวิษาได้หันหลังให้เขาอีกคน มันคงจะยากถ้าในชีวิตเขาจะเริ่มรักใครใหม่ ยากเกินไป ในช่วงเวลาที่หัวใจของเขารู้ตัวว่าเสียดอกไม้ในชีวิตไป


สองปีต่อมา

เสียงกีตาร์โปร่งไพเราะจับใจดังเคล้าเสียงคลื่นลมทะเลยามเย็น ชายเสื้อสีฟ้าทะเลมีต้นมะพร้าวเป็นลาย กางเกงสีรุ้งนั่งไขว่ห้างบนเก้าอี้ผ้าด้วยท่วงท่าผ่อนคลาย สีหน้าเด็กน้อยหลายวัยจ้องมาด้วยรอยยิ้ม เสียงห้าวร้องเพราะจับใจคนฟัง รชตได้รับเสียงปรบมือจากเหล่าคนดูตัวน้อยของเขา

“พี่โตนเอาอีกๆ กำลังเพลิน”

“ไม่ได้แล้วล่ะ” รชตหันไปมองพระอาทิตย์แสงนวลตากำลังปริ่มขอบน้ำ พานให้สีฟ้าสวยของน้ำทะเลถูกระบายด้วยแสงสีทอง “หมดเวลาสนุกแล้วสิ หมดเวลาสนุกแล้วสิ” ทำเสียงล้อเลียนการ์ตูนดังอย่างเทเลทับบี้ที่จะกู่ร้องหมดเวลา เด็กๆ ส่งเสียงร้องโอดครวญกันใหญ่ “รีบกลับได้แล้ว กลับมืดๆ ระวังถูกผีหลอกนะ แฮ่!” ทำท่าพุ่งตัวเข้าใส่บวกกับเสียงแฮ่ให้เด็กน้อยตกใจ พากันรีบกลับบ้านกันอย่างพร้อมเพรียง

รชตหัวเราะสดชื่น นับตั้งแต่ตัดสินใจย้ายมาใช้ชีวิตที่นี่ เขาก็หลุดพ้นจากความวุ่นวายของตัวเลข ปล่อยวางเรื่องราวทุกอย่างไว้ให้อยู่แค่เบื้องหลัง มีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ในเมื่อเด็กกำพร้าอย่างเขาก็มีแค่ตัวเขาเองเท่านั้น

ไม่มีอะไรให้ต้องห่วง นอกจากคนบางคนที่ทำให้เขายังคงคิดถึง...

อดีตนักบริหารคนเก่งวางกีตาร์ตัวโปรดที่มีอายุไม่ต่ำกว่าสิบปีลงข้างเก้าอี้ นั่งเอนหลังกับเตียงผ้าใบทอดอารมณ์มองบรรยากาศเงียบสงบที่ในชีวิตเขาไม่เคยคิดถึงมาก่อน จนกระทั่ง เหตุการณ์เมื่อสองปีก่อน รชตก็เลือกที่จะมีชีวิตเงียบๆ ไม่อยากไปมีตัวตนในสายตาของใครอีก

เพราะเขากลัวจะไปทำร้ายคนๆ นั้นเหมือนที่มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง

“โอ๊ย!”

เสียงหวานร้องดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกล ฉุดให้คนที่ใจลอยได้สติกลับมาเพื่อมองหาต้นเสียง แสงอาทิตย์ที่ลาขอบฟ้าไปทำให้เห็นภาพผู้คนเป็นรูปเป็นร่างเท่านั้น ไม่ได้เห็นหน้าค่าตาเหมือนในเวลาสว่างๆ อย่างน้อยเขาก็ยังพอหาต้นเสียงเจอ ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งลงไปกับพื้นทราย นั่งกุมเท้าอยู่ตอนที่เขาเดินเข้ามาถึง

“เป็นอะไรไหมครับ”

“เปลือกหอยบาดน่ะค่ะ ฉันซุ่มซ่ามเดินไม่ระวังเอง”

ในระยะใกล้ ถึงจะไม่ได้เห็นชัดเจนอย่างที่นึกไว้ในตอนแรก แต่น่าแปลกว่ารชตสามารถเห็นใบหน้าของตวิษาได้ชัดเจน สีหน้าประหลาดใจของตวิษามองตอบเขามา หญิงสาวลุกพรวด ลืมไปว่าเท้ายังเจ็บอยู่ พอทิ้งน้ำหนักลงร่างทั้งร่างก็ทรุดลงไป ดีที่รชตไหวตัวไปรับทัน คว้าเอวที่ลดลงจากในอดีตพอควร

“ขอบคุณนะ แต่โตนปล่อยจีนได้แล้ว” ไม่รู้ว่ารชตคิดไปเองไหมว่าคำพูดนั้นไม่ได้หมายถึงแค่ปล่อยเอวที่เขารั้งเธอไว้อยู่ แต่หมายถึงอย่างอื่น ที่มากกว่านั้น อย่างเช่นความสัมพันธ์

รชตปล่อยเอวเล็กให้พ้นจากตัวตามที่เธอต้องการ ความดีใจเมื่อแรกเจอถูกกระหน่ำซัดด้วยความเจ็บปวดที่หัวใจในนาทีต่อมา ตวิษาเลือกเดินกะเผลกด้วยตัวเองมากกว่ามีเขาคอยพยุง

“โตนอยู่ที่นี่เหรอ”

“อืม อยู่มาได้สองปีแล้ว” ชายหนุ่มกลืนความขมในใจ ไม่รู้ว่าควรจะดีใจกับท่าทีห่างเหินที่อีกคนขีดคั่นระหว่างเขากับเธอดีไหม แต่เขาจะแก้ไขอะไรได้ ใบหน้าของตวิษาไม่ได้แสดงออกว่าดีใจกับการพบเขา “สบายดีไหม”

“ก็ดี นี่ก็มาเตรียมงานแต่งน่ะ อาทิตย์หน้าเราจะแต่งงานแล้ว”

รชตหยุดเดิน หูอื้อ มือเย็นเฉียบ อยากให้ที่ตัวเองได้ยินเป็นแค่อาการหูแว่วหูฝาด ทั้งที่คิดว่าเขาจะสามารถใช้ชีวิตได้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน หากทั้งชีวิตจะไมได้เจอกันอีก เขาก็แค่อยู่ในชีวิตของเขา ไม่ต้องพบเจอว่าเธอกำลังไปมีความสุขกับใคร โดยเฉพาะมาบอกข่าวร้ายกับเขาว่าเธอจะแต่งงาน

“เป็นอะไรหรือเปล่าโตน” ตวิษาเดินกลับมายื่นหน้าถามอย่างสงสัย ดวงตากลมโตถึงจะมีรอยหม่นหมองบ้าง แต่บางทีในความมืดเขาอาจจะเห็นมันไม่ชัดเจน ว่าที่เจ้าสาวอย่างตวิษาต้องมีความสุขสิ

“ไม่มีอะไรหรอก แค่ดีใจด้วยที่กำลังจะแต่งงานนะ”

“อืม” ตวิษาตอบ แต่หลบตากับเขา รชตรู้แค่ว่าการพบกันครั้งนี้ จะกลายเป็นการตอกย้ำให้เขาเจ็บมากขึ้น โดยเฉพาะเวลาที่เขารู้ถึงการมีค่ายิ่งอย่างตวิษาที่เขาได้ปล่อยให้หายไปจากชีวิตตั้งแต่วันนั้น เพราะเขากลัวว่าการที่ตวิษายังอยู่กับเขา เขาจะไม่สามารถสร้างความสุขได้อย่างที่ใจเธอต้องการ เขาจึงไมได้ตามหา และขอโอกาส มาวันนี้ เขาควรจะดีใจไปกับเธอ

แล้วทำไมรอยยิ้มของเขามันถึงเกิดได้ยากเย็น...

สายลมพัดผ่านแนวต้นสนที่อดีตคนรักคู่หนึ่งกำลังเดินไปเรื่อย มีเสียงคลื่นคอยบรรเลงแทนเพลงเศร้าขับกล่อม รชตเหม่อมองคนตรงหน้าที่ผมสั้นในอดีตยาวจรดกลางหลัง เสี้ยวหน้าขาวมองไปข้างหน้า ไม่มีอีกแล้วที่จะมองกลับมาข้างหลังหาคนเก่าๆ ที่เคยทำหัวใจของเธอเจ็บปวดเรื้อรัง เขาควรจะดีใจ และอวยพรเธอจากใจจริง

แต่ก็ยากพอๆ กับการยิ้มให้เธอ...

“ที่พักนั่นใช่ของโตนหรือเปล่า” ตวิษาหยุดเดิน มองเลยไปที่ที่ทำการของร้านขายอุปกรณ์ดำน้ำ นอกจากนั้นยังมีบริการบ้านบังกะโลอีกหลายหลัง มันไปได้ดีในระยะเวลาสองปีที่เขาหันมาทุ่มเทกับมัน ไม่น่าแปลกที่ตวิษาถามแบบนั้น ถ้าที่พักนั้นไม่ได้ใช้ชื่อว่า Jean มีลัญลักษณ์เป็นหมวกสีขาวที่เขาได้ความคิดมาจากหมวกปีกกว้างสีขาวใบโปรดของตวิษาที่เขาเป็นคนซื้อให้สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เป็นของขวัญชิ้นแรกที่เขาซื้อให้เธอ

“ไม่ใช่หรอก เราเป็นแค่ลูกจ้าง”

“อย่างนั้นเหรอ ก็แล้วไป” ตวิษาพูดเบาๆ คล้ายจะพูดให้ตัวเองได้ยิน แต่รชตเสียอีกที่ต้องเก็บปากให้เงียบ เขาไม่อยากให้ตวิษารู้สึกมีพันธะกับเขา ไม่อยากให้เธอที่กำลังไปมีความสุขต้องรู้สึกว่าได้ทำให้เขาหลุดพ้นไปจากบ่วงของเธอไม่ได้ เขาต้องแสดงละครใส่เธอ

“พักที่นี่หรือเปล่า”

“ใช่ ก็ได้ข่าวว่าวิวที่นี่ดี มีรับจัดงานที่หน้าชายหาดของที่นี่อีก ก็เลยเลือกมา”

“อ้อ” เพราะนโยบายเรียกลูกค้าที่เจ้าลูกน้องตัวแสบเพิ่งเอาไปเพิ่มที่หน้าเพจของเว็บแน่ๆ เจอหน้าเมื่อไหร่เขาจะบอกตัดเงินเดือน

ลูกค้าที่มาสั่งจัดงานคนแรก กำลังจะฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็น...

เงาสูงโบกมือไหวๆ จากด้านหน้าร้าน ภายใต้แสงไฟที่เกิดจากตะเกียงเล็กๆ จุดไฟสว่าง ปักบนไม้ตั้งพื้น “พี่โตนพี่จีนมากินข้าวเร็ว มื้อเย็นเสร็จแล้ว” ภวินท์ยิ้มร่าอย่างยินดีเมื่อเห็นคนทั้งคู่เดินมาพร้อมกัน ตอนเจอหน้าตวิษาครั้งแรกเขาดีใจจนเกือบตกเก้าอี้ แต่ในนาทีต่อมาก็สงสารชีวิตลูกพี่ของเขา เหตุผลที่ตวิษามาน่าจะสร้างรอยแผลในใจแก่รชตไม่น้อย

ระยะเวลาสองปีที่เขาต้องทำงานทั้งสองที่ คือรับงานที่นี่ เป็นลูกจ้างของรชตทำตั้งแต่สักกะเบือยันเรือรบ และจากบอสใหญ่ที่บริษัทที่รชตลาออกไป เป็นภารกิจสำคัญที่บอสใหญ่กำชับมาเองว่าทำยังไงก็ได้ให้เขาเอาตัวของรชตกลับไปทำงาน ซึ่งสองปีมาแล้วรตยังคงใจแข็ง บอกปัดเขาไปเสียทุกครั้ง การที่ตวิษามามันจุดประกายไฟให้คนอย่างภวินท์ได้มากโข ถึงจะเป็นไฟริบๆ หรี่ๆ งานนี้ภวินท์สู้ตาย

“อ้าว พี่จีนเป็นอะไรครับ”

“เปลือกหอยบาดขา นายรีบไปเตรียมกล่องปฐมพยาบาลมาที” รชตสั่งเสียงเฉียบ หันมาสนใจคนที่เดินนำหน้า รั้งแขนตวิษาให้หยุดเดิน “ไปล้างเท้าก่อนนะ” สั่งเสียงนุ่มหู ไม่ได้สนใจว่าหน้าคนถูกพยุงจะเป็นแบบไหนมาที่ก๊อกน้ำข้างตัวร้านขายอุปกรณ์ดำน้ำ ถอดรองเท้าหูหนีบที่ตวิษาสวมอยู่ออกเบามือ กลัวว่าจะไปโดนแผลเข้า จับเท้านุ่มพลิกไปมา ถึงเจ้าตัวจะพยายามชักกลับก็ถูกสายตาดุมองใส่

“จีนเกลียดการทำแผลทำไมเราจะไม่รู้ ถ้าเราไม่บังคับจีนก็ไม่ทำ ฉะนั้นอยู่เฉยๆ นี่แค่ล้างเศษทรายไปจากแผลก่อน ของจริงข้างใน” ตวิษาหน้าถอดสีจนรชตที่มองอยู่ถึงกับสงสาร ยื่นฝ่าเท้าที่มีเลือดตามแนวแผลยาวเกือบนิ้วไปจ่อกับสายน้ำ ตวิษาสะดุ้งเจ็บ แต่ก็กัดฟันอดทน รชตเงยขึ้นมอง ยิ้มให้เศร้าๆ “ต้องรีบๆ หายนะ เดี๋ยวเป็นเจ้าสาวที่สวมส้นสูงไม่ได้

เท้าเล็กชักกลับด้วยแรงที่มี ทีนี้สามารถเอาชนะแรงจับของรชตได้ ชายหนุ่มงุนงงกับปฏิกิริยาของคนเจ็บ ไม่เข้าใจว่าพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า แต่ตวิษาก็ไม่ปล่อยให้เขาได้คิดนาน “แค่นี้เท้าก็สะอาดแล้วค่ะ ไปล้างแอลกอฮอล์ได้แล้ว ที่เหลือเดี๋ยวจีนจัดการเอง ไม่รบกวนเวลามื้อเย็นโตนหรอก”

รชตปิดก๊อกน้ำ ยืดตัวขึ้น มองร่างที่เดินเข้าไปข้างในร้านด้วยความรู้สึกชาที่ใจ เขาคงจะใกล้ชิดเธอมากเกินไปจนเธอรำคาญ จากนี้ เขาควรจะเพิ่มระยะห่างจากตวิษาให้มากขึ้น แค่นึกว่าอาทิตย์หน้าเธอจะแต่งงาน เท่านั้นเขาก็คงเจ็บปวดเกินกว่าจะเข้าใกล้เธอ


กาแฟที่เขาไม่ได้ดื่มมานานเป็นปีถูกชงขึ้นจิบอีกครั้ง รสขมเข้มและร้อนในคอช่วยขับกล่อมความรู้สึกแห้งผากที่ใจยิ่งกว่าเดิม ร่างสูงทอดสายตาไปมองบังกะโลชั้นเดียวที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึงร้อยเมตร ที่พักของผู้หญิงที่กำลังจะแต่งงาน น่าแปลกที่เธอมาคนเดียว แต่เขาก็ไม่อยากจะคิดอะไรให้มากมายอีก เธอก็แค่เป็นเจ้าสาวที่ดี เหมือนเมื่อครั้งก่อน ตวิษาก็เป็นคนจัดการงานแต่งเองทั้งหมด มันจะน่าแปลกอะไร

เสียงกุกกักหน้าประตูร้านมาพร้อมร่างสูงของหนุ่มผมหยิก ภวินท์ส่ายหน้ากับลูกพี่ของตัวเอง “พี่เลิกมันมาได้เกือบสองปี จะกลับไปติดกาแฟอีกเหรอ มีอะไรที่ต้องคิดหนัก” ส่งสายตาล้อเลียน “หรือเพราะใครบางคนกลับมา พี่เลยไม่อยากนอน”

“หุบปากไปเจ้าวิน เพราะเราไปบอกว่าที่นี่รับจัดงาน จีนเขาถึงมา”

“ผมก็นึกว่าพี่ใจแข็งแรงแล้ว ขนาดเจ้าสาวหนีหายไป ไม่มีตามหา แถมตัวเองยังหนีปัญหาตามอีกคน พี่ไม่แน่จริงเลย” ส่ายหัว แต่ภวินท์ยังยิ้มได้อยู่

“เขาอยากได้งานแบบไหนนายจัดการไปแล้วกัน พี่ไม่ดูแลอะไรทั้งนั้น อำนวยความสะดวกให้เขาเต็มที่ ขาดเหลืออะไรก็หามาให้เขา”

“โอ้โห พ่อบุญทุ่ม แต่ไม่ขอออกหน้า”

“พรุ่งนี้ที่จะนำนักท่องเที่ยวไปดำน้ำพี่จัดการเอง”

“จะหนีหญิงล่ะซี้” ลอยหน้าลอยตาพูด กลั้นยิ้มแทบแย่ “เอาเถอะ ลูกพี่นานๆ จะช่วยแบ่งเบาภาระ อยากทำนักก็ทำไป แต่ถ้าจะหนีหญิงกลับไปรับงานใหญ่ ก็บอกผมได้นะพี่ เจ้านายรอรับโทรศัพท์จากผมจนโทรด่าอาทิตย์ละสามรอบแล้ว”

รชตหันมายิ้มเผล่ ยักคิ้วกวนใส่ “พี่ยังอยากเห็นแกโดนด่า เอาล่ะ ถ้าทำงานดีๆ ไม่ขัดใจพี่ ไม่นานนี้พี่อาจจะกลับไป อยู่ที่นี่หัวใจยังมีปัญหาได้ กลับไปใช้งานสมองให้มันหนักๆ ซะบ้าง อาจจะลืมเรื่องหนักอก” ตบบ่าลูกน้องคนสนิท บีบเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ “แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้นะ รอไปก่อน”

ชายหนุ่มได้ยินเสียงโถ่ กับสีหน้าลุ้นที่แฟบลงอย่างกับโดนเข็มเจาะลูกโป่ง เมื่อตวิษามาถึงที่ เขาก็จะอยู่จนกว่าจะส่งเธอไปถึงเส้นทางของความสุขอย่างที่เธอต้องการ เส้นทางเส้นนั้นที่จะไม่มีเขาอยู่อีกตลอดกาล ส่วนเขา ก็คงจะต้องใช้เวลาเพื่อเตรียมตั้งต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง กลับไปสู่วันที่ไม่มีเธอ


สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เขาชอบใช้เวลากับกิจกรรมประเภทกีฬาเป็นประจำ นอกเหนือจากตำราเรียน ภวินท์เองก็เป็นรุ่นน้องเขาอยู่สองปี เขายังจำได้ว่าโดนรุ่นน้องที่เป็นถึงนักว่ายน้ำของมหาวิทยาลัยคะยั้นคะยอให้ไปเข้าชมรม ช่วงปิดเทอมก็ไปลงคอร์สเรียนดำน้ำจนครบหลักสูตร เป็นกิจกรรมยามว่างที่ทำให้เขาหายเครียดจากเรื่องน่าปวดหัว และหนักใจได้เสมอ แต่ครั้งนี้ท่าทาง การไปดำน้ำจะสร้างเรื่องปวดใจกับเขามากกว่า

ร่างผอมสวมเสื้อยืดสีดำแขนยาวกางเกงขาสั้น ห้อยคอด้วยสน็อกเกิลรอคอยอยู่ในกลุ่มคณะหน้าร้านที่มีภวินท์ตื่นแต่เช้ามาดูแลด้วยมื้ออาหารเป็นการต้อนรับวันสดใส ผู้หญิงหนึ่งเดียวที่มาร่วมทริปดำน้ำตื้นครั้งนี้ถูกรชตมอง หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน นึกร่ำๆ อยากจะขอถอนตัวจากงานที่อยู่ในความรับผิดชอบของตัวเองตั้งแต่เมื่อคืน

“พี่โตนมาแล้ว วันนี้พี่โตนเจ้าของที่นี่จะเป็นคนนำทุกคนดำน้ำเองนะครับ”

รชตหันไปมองตวิษาทันทีที่การแนะนำตัวของเขากับทุกคนจากปากภวินท์จบลง แต่ไม่มีอะไรที่แปลได้ว่าเธอโกรธมาจากดวงตาคู่นั้น นอกจากรอยยิ้มอ่อนๆ เขาเองก็ลืมกำชับภวินท์เรื่องป่าวประกาศว่าเขาเป็นเจ้าของที่นี่ ไม่อย่างนั้นเจ้าของชื่อที่ยืนยิ้มให้เขาต้องรู้ตัวแน่ว่าร้านนี้มาจากใคร แต่แก้ตัวไปก็ไม่ทัน...รชตคิดปลงๆ เริ่มวิธีสอนการใช้สน็อกเกิลที่ต้องสอนการกัดปุ่มบนส่วนที่เรียกว่า mouth piece เพื่อใช้การหายใจทางปากเวลาดำน้ำ นักท่องเที่ยวที่มาอีกชีวิตเข้าใจวิธีใช้ดีอยู่แล้วเพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่มาดำน้ำผิวตื้น บางคนถึงกับออกปากว่า scuba มาแล้วหลายครั้ง ครั้งนี้มาพักผ่อนชิลๆ เลยขอดูน้ำตื้นก็พอ

สำหรับคนอื่นจึงไม่น่ากังวลสำหรับเขา ทั้งที่รชตพยายามจะสนใจตวิษาให้น้อยลง แต่งานนี้คงไม่ได้ ก็คนที่บอกอยากมาดำน้ำตื้นชมความสวยของปะการัง ว่ายน้ำเป็นเสียที่ไหน รชตเดินนำทุกคนลงเรือเร็วที่ตัวเองเป็นเจ้าของ สั่งให้ทุกคนใส่เสื้อชูชีพให้พร้อม มีเพียงคนเดียวที่ดูจะเงอะงะทำอะไรไม่ค่อยเป็น

“ว่ายน้ำไม่เป็นก็ยังจะมานะจีน เท้าน่ะหายเจ็บแล้วเหรอ”

“ก็มีเสื้อชูชีพนี่นา ส่วนเท้า แผลเล็กแค่นั้นเอง โดนน้ำทะเลล้างแผลเดี๋ยวก็หาย” อุบอิบตอบเบาๆ หลบตา เสไปที่เสื้อชูชีพเมื่อยังไม่เข้าใจเส้นยาวๆ อีกเส้น เงยมองรชต เขาก็ชี้วิธีใส่จากคนอื่นที่ลงเรือมาด้วยกันให้ดู ว่าต้องลอดหว่างขามาข้างหน้า คนที่รู้ว่าตัวเองต้องทำยังไงหน้าแดงซ่าน ดุนหลังให้รชตไปทำหน้าที่ของตัวเอง ก่อนที่เธอจะจัดการล็อกตัวล็อกสุดท้ายของเสื้อชูชีพ

“ถ้าทุกคนจะลงเองโดยที่ผมไม่นำ ผมจะจอดให้เป็นจุดๆ หมดเวลาจะเป่านกหวีดเรียกนะครับ อย่าไปไกลนัก แล้วก็อย่าเอาเท้าไปโดนปะการังนะครับ กว่าจะโตได้เซนหนึ่งใช้เวลานานเป็นปีๆ ชมความงามใต้ท้องทะเลก็อย่าลืมช่วยกันรักษามันให้อยู่ไปนานๆ ครับ” เรือขับมาได้เกือบสี่สิบนาทีก็จอดลง เห็นฝั่งอยู่ไกลลิบ และจากตรงนี้ ก็อยู่ใกล้เกาะที่มีนักท่องเที่ยวพลุกพล่าน น้ำเป็นสีฟ้าใส มีเรือพานักท่องเที่ยวดำน้ำจอดห่างประปราย

เสียงตูมของลูกเรือที่มีรชตนำโดดลงน้ำไปเกือบหมด เหลือแค่ตวิษาที่ยังมีสีหน้าลังเล มองน้ำใสๆ ที่เห็นปะการังสวยตั้งแต่อยู่แค่บนเรือ กำลังตัดสินใจว่าจะไม่ขอลง รชตก็เดินมานั่งข้างๆ เสียก่อน

“คิดยังไงถึงมาร่วมทริปนี้ ว่ายน้ำก็ไม่เป็นไม่ใช่หรอจีน”

“อยากจะใช้ชีวิตโสดให้คุ้ม อยากทำอะไรที่ไม่เคยทำ เผื่อวันไหนต้องมาว่ายน้ำดูปะการังกับลูกๆ จีนจะได้มาว่ายกับพวกเขาได้”

รชตหันมอง หัวเราะเสียงไม่ใสนัก “ไม่ต้องว่ายเป็นก็ดูปะการังได้นะจีน” ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ยื่นมือส่งไปให้ “ถ้ามีคนนำทางที่ดี จีนก็จะพบโลกสวยๆ ได้ มาถึงขนาดนี้ จีนคงไม่อยากดูแค่จากบนเรือใช่ไหม” รชตกลั้นใจอดทนรอ ไม่รู้ว่าตวิษาจะปัดมือเขาทิ้งหรือไม่

แต่ไม่ถึงอึดใจเธอก็วางมือไว้บนมือเขาอย่างวางใจ “ฝากผู้นำทางอย่างโตนด้วยนะ”

“ไว้ใจเราได้เสมอ” รอยยิ้มหล่อออกมาจากหัวใจ รชตคว้าตีนเป็ดมาสวมกับสน็อกเกิลอีกหนึ่งอัน กำลังคิดจะหยิบเสื้อชูชีพอีกอันติดมือเพื่อให้ตวิษาจับ ก็วางลงที่เดิม เขาไว้ใจมือของตัวเองมากกว่า

กระโดดลงจากเรือไปลอยคออยู่ใกล้ๆ เรือ “จีนลงมาเลย ไม่ต้องกลัวนะ”

“ไม่จมแน่นะ ถ้าจีนจมล่ะ”

สีหน้าหวาดหวั่นไม่มั่นใจของตวิษาทำเอาคนมองต้องกลั้นยิ้มแทบแย่ รู้สึกคิดถึงหน้าตาแบบนี้ที่เขาพบได้บ่อยๆ ในอดีตเวลาที่เจ้าตัวจะตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง “มาเถอะ นึกถึงตอนที่จีนกระโดดลงน้ำมาช่วยเรา ทั้งที่ตัวเองว่ายน้ำไม่เป็น”

“ก็ตอนนั้นใครใช้ให้โตนหายไปใต้น้ำนานๆ ล่ะ แล้วเป็นไง จีนก็จมน้ำนะ” เรื่องราวสมัยเรียนปีสุดท้ายถูกนำมาถกใส่ไม่มีท่าทางห่างเหินโดยที่รชตลืมความตั้งใจแต่แรกที่จะเว้นที่ว่างไว้เสียสนิท เขาหัวเราะเสียงดังไม่เกรงใจคนบนเรือที่งอนหมุนคอหนี

“ลงมาเถอะ ไม่เชื่อมือเราหรือไง จีนมีเสื้อชูชีพอยู่กับตัวจะกลัวอะไร เอ หรือจีนกลัวเรา”

ตูม ร่างนุ่มนิ่มที่ทิ้งตัวลงน้ำตามคำท้าของรชต บอกให้รู้ว่าเธอไม่กลัว แต่เมื่อมาอยู่ในอ้อมกอดของคนที่รั้งร่างเธอเข้าไปใกล้ จนแน่ใจว่าเธอทรงตัวได้บนผิวน้ำจึงปล่อย รชตจึงได้เห็นผิวแก้มแดงๆ ที่ไม่รู้ว่ามาจากอะไร แต่ก็เพิ่งจะสำนึกได้ว่าเขาจำเป็นต้องเว้นระยะห่างจากตวิษาให้มากกว่านี้ เขากลัวว่าถ้าเขาต้องทนเห็นตวิษาอยู่ใกล้ตัวเองกว่านี้ ท้ายที่สุดเขาอาจจะปล่อยให้เธอไปแต่งงานไม่ได้ หรือไม่อย่างนั้น สภาพจิตใจของเขาคงเจ็บหนักกู่ไม่กลับ

“เห็นไหมไม่เห็นน่ากลัว ลองใช้สน็อกเกิลดู ใส่เข้ากับเหงือกแล้วฝึกหายใจใต้น้ำนะ” รชตสาธิตให้ตวิษาดู ซึ่งเธอก็เรียนรู้เร็ว ถึงจะมีปัญหาช่วงแรกที่เจ้าตัวเอาแต่กลั้นหายใจไม่สู้ลมทางปาก

“จะลองตีขาดูปะการังเอง หรือจะจับมือเราไว้”

“ไม่มีตัวเลือกอื่นหรอ” หน้าตวิษาที่ลำบากในการเลือกทำให้รชตอยากปีนขึ้นเรือกลับไปเอาชูชีพมาให้เธอจับไว้นัก

“ตอนนี้ไม่มี แต่รอบหน้ามี ทนจับมือเราหน่อยนะ”

รชตได้รับสายตาค้อน แต่ก็มีมือเย็นที่เปียกน้ำมาจับมือเขาไว้แน่น ปล่อยตัวเหยียดยาวตามสบายตามที่รชตบอก เขาบรรยายภาพข้างล่างไปพร้อมๆ กับที่มองคนที่เขาคิดถึงสุดหัวใจโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ เป็นอีกครั้งที่รชตลืมใช้เสื้อชูชีพในรอบดำน้ำรอบถัดไป เขาอุ่นใจกว่าที่มือของเขาจับมือของตวิษาไว้ อย่างน้อยๆ เขาเองก็ได้รับผิดชอบชีวิตของคนที่เขารักในช่วงเวลาสั้นๆ

ถึงจะแอบรู้สึกผิดต่อว่าที่เจ้าบ่าวของตวิษาที่เขาทำตัวเป็นเหมือนแมวขโมย แต่เชื่อได้ ว่าคงเป็นแค่ตวิษาที่ขโมยหัวใจของเขา ในขณะที่ขโมยอย่างตวิษา น่าจะคืนหัวใจของเขากลับมานานแล้ว


บ่ายสามโมงกลุ่มดำน้ำกลับมาถึงฝั่ง นักท่องเที่ยวหลายคนบ่นเสียดายที่มีเวลาน้อยเหลือเกินกับการดื่มด่ำธรรมชาติ ถึงกับออกปากว่าคราวหน้าต้องดำน้ำลึกให้ได้ รชตยิ้มรับ และบอกต้อนรับทุกคนเสมอเมื่อทุกคนแยกย้ายกลับที่พักไปอาบน้ำอาบท่า ส่วนมื้อเย็นทางเขามีแม่บ้านไปจัดให้บ้านทุกหลังอยู่แล้ว ส่วนเขาจะมีภวินท์จัดการให้เอง ฝีมือทำอาหารของภวินท์ไม่แพ้แม่บ้านเลย

“พี่จีนวันนี้อยู่กินข้าวด้วยกันสิ ผมจัดที่เพิ่มให้เอง”

“แต่ว่า...”

“มาเถอะครับ ทุกวันที่ผมกินข้าว เห็นแต่หน้าพี่โตนเบื่อจะแย่”

คนถูกคะยั้นคะยอหนักๆ หันมาถามความเห็นจากเจ้าของร้านที่ใช้อยู่เป็นบ้าน “ไม่รบกวนโตนใช่ไหม”

“ไม่เลย จีนมากินด้วยก็ดี เห็นหน้าไอ้วินมันบ่อยๆ ไม่ได้มีแค่มันที่เบื่อ”

ตวิษาหัวเราะเบาๆ ส่งผลให้รชตยิ้มรับง่ายดาย เริ่มนึกสะท้อนในใจถึงความรู้สึกตัวเอง ยิ่งคิดผลักไสตวิษาให้ไกลห่างมากเท่าไหร่ เขายิ่งทำไม่ได้ และปฏิเสธความต้องการของตวิษาไม่ได้สักอย่าง อะไรที่เธอต้องการเขาจะทำให้ อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้ขอให้เขาไปแย่งเธอมาจากเจ้าบ่าว

เสียงผิวปากดังมาจากบนชั้นสอง รชตนั่งรอที่โต๊ะอาหารได้รับคำแซวตั้งแต่ตัวคนยังลงมาไม่ถึง “รอเขาตาละห้อยเชียวพี่โตน”

“เดี๋ยวโดนเตะ แล้วนี่จะไปไหน” มองการแต่งตัวที่เตรียมพร้อมออกไปข้างนอกของลูกน้องคนสนิท วันนี้แต่งชุดเนี้ยบด้วยสูททับเชิ้ต กางเกสแล็ค มาแปลกกว่าทุกวัน

“ไปกินข้าวกับบอสหน่อย”

“นายใหญ่มาหรอ” รชตหน้าเครียดขึ้น รู้ว่าบอสใหญ่ต้องการตัวเขากลับไปมากแค่ไหน หลังจากที่เขาดูแลบริษัทเรื่องแผนการตลาด หลายไตรมาสได้กำไรสูงเกินสี่สิบเปอร์เซ็นต์ มากสุดที่ทำไว้ก็มากถึงเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ เป็นประวัติการณ์ของบริษัททีเดียว หลายครั้งที่บอสใหญ่มาขอร้องเขาให้กลับไปทำงานด้วยตัวเอง แต่เขาก็อ้างไปว่าไม่พร้อมเสียทุกครั้ง และรู้ว่าทางนั้นจะคอยติดต่อกับภวินท์ตลอด

“ใช่ ไปด้วยกันไหม”

“ไม่ล่ะ รีบๆ ไปเถอะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็โชคดี” ตะเบ๊ะส่งท้ายไปพร้อมผิวปากเพลงแต่งงานให้คนรับหน้าตวิษาเพียงคนเดียวอยากจะเดินไปยันคนจงใจยั่วให้ล้มกลิ้ง

“อ้าว จีนเห็นวินไปข้างนอก เขาไม่อยู่กินข้าวด้วยกันหรอ” ตวิษามีสีหน้าเก้อกระดากเมื่อรู้สึกว่าทั้งร้านจะมีแค่เธอกับรชตแค่สองคน รชตมองพยักหน้าเนือยๆ ไม่อยากทำให้ตวิษาต้องลำบากใจ

“หรือจะไปกินข้างนอก”

“ไม่ต้องหรอก จีนไม่ใช่คนเรื่องมาก วินอุตส่าห์ทำไว้ตั้งเยอะ เห็นอวดว่าทำแกงส้มชะอมอร่อย ถ้าจีนไม่กิน กลับมางอนตายเลย”

“เราว่าจีนทำอาหารเก่งกว่าวินนะ”

ตวิษามองค้อน นั่งลงตรงข้ามเจ้าบ้านที่ส่งข้าวสวยร้อนๆ มาให้หนึ่งจาน ของตัวเองอีกจาน “โตนไม่ต้องมาอวยจีนเลย ตั้งนานแล้วที่โตนไม่ได้กินอาหารฝีมือจีน ลืมไปหมดแล้วล่ะ”

“ถ้างั้นจีนก็มาทำให้เรากินสิจะได้ไม่ลืม”

รชตอยากยกมือตบปากที่ไวเท่าใจคิด ไม่กล้าสบตากับตวิษาที่ป่านนี้อาจจะตาโตโกรธเขาไปแล้ว

“เอาสิ ไว้จีนจะมาทำให้กินนะ” ท่าทีตักอาหารใส่จานปกติ ไม่มีอารมณ์โกรธ หรือโมโหกับคำพูดของเขา ยังยิ้มใส่ ในขณะที่หัวใจเขาทำงานหนักขึ้นกว่าเดิม

นี่ตวิษาไม่รู้ตัวเลยหรือแกล้งไม่รู้ ว่าท่าทีไม่คัดค้านอะไรเขา มันยิ่งทำให้เขาได้ใจ มันยิ่งทำให้เขาถอนตัวถอนใจจากเธอยากขึ้น แค่ลืมเธอก็ว่ายากแล้ว เรื่องตัดใจยิ่งไม่ต้องพูดถึง


หลายวันมานี้ รชตไม่เคยรู้สึกหัวใจพองโต แต่ก็เจ็บแปลบในคราวเดียวกัน มันสุขแบบแมวลักกินขโมยกินมากกว่าที่มีตวิษามาวนเวียนอยู่ใกล้เสมอ ทุกครั้งที่ตวิษามา เธอจะพกหนังสือมาอ่านเล่นสักเล่มอยู่ในร้าน คอยนั่งมองเขาทำงานบริการลูกค้าที่เข้ามาได้เรื่อยๆ บ้างมีคนที่คอยมาติดต่อที่พักเขาจะแนะนำอย่างคล่องแคล่ว เมื่อตั้งใจจะพาลูกค้าไปดูสถานที่จริงเอง ภวินท์จะเข้ามาขัดตราทัพชิงออกหน้า และสรุปที่จะให้เขาอยู่กับตวิษาในร้านได้ทุกรอบ

เขาได้ยินว่าหลายวันที่ตวิษาจะออกไปตลาดกับภวินท์ไปคิดทำเมนูอาหารอย่างที่เขาเคยออกปากชวนไว้ รสอาหารที่ห่างปากเขาไปนานถึงทำให้เขาคิดถึงได้ไม่ยากในเวลาแค่สี่ห้าวัน ชีวิตเรียบง่ายกับตวิษา เขาอยากจะให้เวลาไม่ต้องเคลื่อนเดินไปข้างหน้าอีก

แต่รู้ว่าเขาทำไมได้...

ตวิษากับภวินท์ออกไปซื้อของทะเลที่สะพานปลา ซึ่งครั้งนี้เขาเลี่ยงสำเร็จครั้งแรก หลังจากที่ภวินท์พยายามคะยั้นคะยอสองสามครั้ง กลุ่มคนกลุ่มใหญ่แปลกตาในชุดฟอร์มทีมเดียวกันก็โผล่พรวดเข้ามาในร้าน

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“พวกเราจากแสงรัก wedding studio ค่ะ มาตามที่คุณตวิษาทิ้งที่อยู่ที่จัดงานไว้ให้”

หมดเวลาของเขาแล้วจริงๆ เวลาของคนขี้ขโมย... รชตมองทีมงานที่ขนกล่องอุปกรณ์ พร้อมรถตู้คันโตอีกคัน พยายามซ่อนแววตาเจ็บปวดให้พ้น “ขอต้อนรับครับ อีกสักครู่คุณตวิษาก็คงมา จะไปดูสถานที่จัดงานก่อนไหมครับ ผมจะกั้นหาดรอให้”

เขาเดินนำไป สติไม่ได้ฟังกาอธิบายจากคนจัด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าธีมงานอะไร แค่ชี้จุดจัดงานที่อยู่ด้านหน้าร้าน แค่ข้ามถนนเล็กๆ เลนเดียวก็ถึง เป็นหาดที่มีพื้นที่กว้างมากที่สุด เหมาะจะตั้งเวทีเล็กๆ จัดงานได้ รชตกล้ำกลืนเมื่อมองแพลนงานจากภาพเคลื่อนไหวที่เขาสไลด์อวดให้ดู ภาพเจ้าสาวเรียบง่าย แค่ชุดสีขาวยาวถึงข้อ คาดเอวด้วยเข็มขัดสีดำ สวมมงกุฎดอกไม้บนศีรษะ ดวงตาหม่นน้อยๆ ผ่านแท็บเล็ตที่เขาถือดูอยู่

ไม่ว่าตวิษาจะมีความสุขหรือไม่ เขาก็ทำได้แค่ส่งเธอไปในทางที่เลือก เพราะเขาไม่มั่นใจว่าสามารถทำให้ตวิษามีความสุขได้ สี่ปีที่เคยคบกันมา หากตวิษามีความสุขจริง เธอคงไม่หนีไปในวันแต่งงานแบบนั้น


กีตาร์ตัวโปรดเกลาเพลงเศร้าออกมา เสียงร้องเจ็บปวดสาหัส เมื่อเพลงที่ตัวเองเลือกร้องไม่ต่างจากการตอกย้ำตัวเอง มีเด็กตาดำๆ กลุ่มเดิมที่บ่นว่าเขาไม่มาหลายวันนั่งฟังตาแป๋ว

เสียงปรบมือดังอย่างพร้อมเพรียง รชตยิ้มไม่ออกเหมือนทุกครั้ง ได้แต่ไล่ให้น้องๆ กลับบ้านของตัวเองตั้งแต่หัววัน วันนี้เขามีแต่เพลงอกหักมาเล่นให้เด็กๆ ฟัง จนอาจจะหดหู่ตามเขาไปด้วยได้ มือยังคงเกลากีตาร์เป็นทำนองเศร้าๆ ตามอารมณ์คนเล่น จนไม่ได้สังเกตว่ามีใครอีกคนยืนฟังทันเพลงสุดท้ายของเขาพอดี

“อยู่แบบนี้ก็ไม่เครียดดีนะ จีนอิจฉาโตนจัง”

“อย่าพูดแบบนั้นเลย เราไม่ได้มีความสุขขนาดนั้นหรอก”

“ทำไมล่ะ จีนคิดว่าโตนดูดีขึ้นกว่าวันที่จีนทิ้งโตนมาซะอีก”

“เวลาบางครั้งมันก็เล่นตลก ความรู้สึกก็คล้ายๆ กัน มารู้สึกในวันที่ย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว” รชตตอบคำถามที่ตวิษาถาม ออกมาจากใจของรชตเอง

รชตเงยหน้าขึ้นสบตาที่แดงก่ำของคนฟัง ตวิษากำลังร้องไห้ให้กับเขา รวมทั้งเขา ที่ไม่สามารถกลั้นน้ำตาไว้ได้อีก

“ทำไม” ตวิษาถาม สีหน้าลังเล และไม่มั่นใจ เธอชอบทำให้เขารู้สึกว่าเธอหลงทางอยู่ทุกครั้ง

“ไม่มีคำว่าทำไมเพื่อถามหาอดีตอีกแล้วล่ะจีน สำหรับจีน จีนควรจะลืมมันให้หมด ให้เราจำมันคนเดียวก็พอนะ”

ยิ้มออกมาทั้งน้ำตา ในขณะที่ตวิษาปิดปาก ส่ายหน้าให้เขา

“ทำไมโตนไม่ตามหาจีน ทำไมโตนไม่แสดงออกว่ารักจีนบ้าง จนนาทีนี้ โตนก็ไม่รั้งจีนไว้ โตนเคยรักจีนบ้างไหม!” ตวิษากรีดร้องในประโยคสุดท้าย สะอื้นไห้หนัก โยนวัตถุชิ้นหนึ่งที่เธอซ่อนไว้ข้างหลังใส่หน้ารชต “จีนคิดว่าโตนจะรักจีนบ้าง แต่เปล่าเลย โตนก็ไม่เคยเปลี่ยน ถ้าไม่ต้องการก็ไม่ต้องยกจีนให้ใคร ไม่ต้องบอกว่าจะจำถ้าไม่รักกัน” ปาดน้ำตาออกจากใบหน้า เดินถอยหลังไปทีละก้าว

“จีนเกลียดโตน เกลียดที่สุด”

ร่างบางวิ่งจากไป และคงจะหายไปอีกครั้ง รชตหลับตาลง หัวใจที่รับความรู้สึกถึงความเจ็บได้มากที่สุดเท่าที่ชีวิตนี้เคยเจ็บปวดได้ ตวิษาได้ทำให้ชีวิตหนึ่งอาทิตย์ของเขามีความสุขอย่างที่ตัวเองไม่เคยนึกฝัน เหมือนได้ย้อนกลับไปวันวานสมัยที่เคยเป็นเพื่อนกัน วันที่เขาหัวเราะได้เต็มที่ สนุกได้เต็มที่ และมีความรักให้ใครคนหนึ่งได้สุดหัวใจ

เธอคงไม่รู้ว่าคำตอบในวันนั้นของเขาหมายถึงอะไร วันที่เธอถามเขาก่อนงานแต่งงาน

‘ถ้าโตนย้อนเวลากลับไปได้ อะไรที่โตนอยากจะทำ แล้วอะไรที่โตนไม่อยากจะทำ’

‘เราจะไม่ขอจีนเป็นแฟน ส่วนสิ่งที่ไม่อยากทำ ก็คงขอจีนเป็นแฟน’

น่าแปลกที่วันนั้นเขาไม่ขยายความที่ในใจเขารู้สึกออกไป เขาคิดจะบอกในวันแต่งงานให้ตวิษาได้รู้ แต่เธอก็ไม่อยู่ฟัง และตีความว่าเขาได้พูดจาทำร้ายเธอไป

“เราจะไม่ขอจีนเป็นแฟน ก็เพราะว่าเราจะขอรักจีนตั้งแต่ตอนแรกถ้าเราย้อนเวลากลับไปได้ จะไม่ขอจีนเป็นแฟนเพื่อแทนที่ใครแบบที่คนโง่ๆ คนหนึ่งได้ทำ”

แต่ทุกอย่าง ดำเนินมาไกลเกินกว่าจะกลับไปได้ เขาเองที่มัวแต่คิดว่าตวิษาจะเจ็บปวดหากเขาตามหาเธอ ในขณะที่เธอก็เฝ้ารอเขาตามหา และคิดว่าเขาไม่รัก งานนี้ถ้าคนที่ผิด ก็คงจะเป็นเขา ที่ไม่เคยบอกรักตวิษา ไม่เคยแสดงออกให้เธอได้เห็น เขาจะไม่โทษใครนอกจากตัวเขาเอง

ลาก่อนหัวใจของผม

เอื้อมเก็บหมวกที่หล่นเปื้อนทรายหลังจากกระแทกหน้าเขา หมวกที่เขาเป็นคนซื้อให้ตวิษาเอง ที่มาของสัญลักษณ์ร้านของเขา ในที่สุดมันก็กลับคืนสู่เจ้าของ


ครึ่งปีต่อมา

รชตพาดสูทไว้ที่แขน การประชุมงานสำคัญกับผู้เป็นนายมักจะชอบนัดมาทานในร้านอาหารญี่ปุ่น ซึ่งจัดไว้เป็นห้องแยก มีสัดส่วนสามารถใช้ประชุมได้ รชตเก็บรายละเอียดสำคัญของงานโดยมีภวินทร์เป็นเลขาคนสำคัญจัดการบันทึกให้ทั้งหมด

“พี่นี่ใจแข็งนะ” เลขาคนสนิทบ่นไม่จริงจัง มองโทรศัพท์คนที่เป็นทั้งรุ่นพี่และเจ้านายมีเบอร์จากสาวๆ โทรมาให้เขาต้องรับหน้าอยู่เนืองๆ

หนุ่มโสดรูปหล่อแถมยังเก่ง ใครๆ ที่ไหนก็ล้วนเข้าหา แต่ไม่มีใครฝ่ากำแพงบางอย่างในใจของรชตได้เลย

“นายก็รู้ว่าเพราะอะไร”

ร่างสมส่วนของผู้หญิงในชุดเดรสสีขาวลากยาวเดินมาเรียบเรื่อยตามทางยาวของชั้น ใบหน้าสวยนิ่งค่อยคลี่เป็นรอยยิ้มหวาน เมื่อเห็นบุคคลสองคน เท้าของตวิษาหยุดห่างจากรชตหลายก้าว ดวงตาสะท้อนความคิดถึงออกมาไม่ปิดบัง

และภายในภาพดวงตาดำขลับของชายหนุ่มก็สะท้อนออกมาไม่ต่างกัน...รชตจำข้อความที่ถูกซ่อนไว้ในหมวกใบนั้นได้ดี ลายมือเป็นระเบียบเขียนไว้ก่อนที่ตวิษาจะทำการหนีงานแต่งงานอีกครั้งหนึ่งในวันนั้น

‘ถ้าเกิดย้อนเวลาได้ จีนจะไม่แต่งงานกับใครทั้งนั้น นอกจากโตน ในหนึ่งปีถ้ายังไม่มีใคร และเราบังเอิญได้เจอกันอีกครั้ง เวลาของเราสองคนจะกลับมาเดินพร้อมกันได้อีกครั้งหนึ่งไหม...จีนไม่ขอเวลาย้อนกลับอีก แต่เป็นการขอล่วงหน้า’

นับจากที่ตวิษาปาหมวกใส่หน้าผู้ชายโง่ๆ อย่างเขา หญิงสาวก็หายไปไม่เหลือเงาในงานแต่งงาน รชตกลับมาใช้ชีวิตแบบเดิม เพราะท้ายที่สุดจากการเจอตวิษายิ่งทำให้มั่นใจว่าเขาคิดถึงแต่เธอ


‘เฮ้อ เฮ้อ เฮ้อ’

รชตนั่งขลุกตัวเองอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ขอกลับไปรับงานที่นายใหญ่ โดยมีข้อแม้คือจะขอทำงานอยู่ที่นี่จนกว่างานแต่งงานของตวิษาจะผ่านพ้น เปิดหน้ากระดาษเช็คแผนการตลาดดูในช่วงที่ตัวเองไม่อยู่ก็พบจุดบกพร่องมากมาย

‘จะถอนหายใจทำไม นายน่าจะสบายใจที่ฉันกลับไปทำงานที่นายตามตื๊อฉันตั้งสองปี’

‘อกหัก ถึงกลับไปทำเนี่ยนะ เฮ้อ’ ภวินท์ถอนหายใจ สีหน้าไม่ได้ดีใจอย่างที่รชตต้องการ ‘ผมไม่อยากให้พี่เป็นอย่างนี้ รักก็บอกว่ารัก จะมามัวนั่งหนีอะไรแบบนี้’

คนที่กำลังศึกษาแผนการตลาดหยุดพลิกหน้า แววตาภายใต้แว่นกรอบหนาที่ร้างราใส่มาได้พักใหญ่เงยขึ้นมองคนขี้หงุดหงิด “จะมีประโยชน์อะไร ฉันทำให้จีนมีความสุขไม่ได้ อีกอย่างตอนนี้ฉันก็ไม่ควรจะทำอะไรแล้ว เขากำลังจะมีความสุขกับคนที่เขาเลือก ซึ่งไม่ใช่ฉัน”

‘วันนี้พี่ก็เลยจะหมกตัวเองอยู่ในนี้ไม่ออกไปงานแต่งงานใช่ไหม’

ภวินท์พูดได้ตรงใจรชตที่สุด ถึงเขาจะทำเหมือนไม่เจ็บปวด แต่ก็ทำได้แค่ส่งให้ตวิษามีความสุขได้แค่ห่างๆ เขาเองก็ทำร้ายหัวใจตัวเองให้มันทรมานไปมากกว่านี้ไม่ไหวเช่นกัน รชตก้มหน้าก้มตาจมกับงานต่อ ไม่ตอบคำถามใดๆ

‘พี่ปิดร้านด้วยแล้วกัน เดี๋ยวผมจะไปดูงานแต่งงานสักหน่อย แขกน่าจะทยอยมากันแล้ว’

‘ฝากด้วยแล้วกัน ฝากบอกจีนว่าพี่ขอให้เขาโชคดี’

‘พี่เองก็เข้มแข็งเข้าไว้ อย่าเป็นเหมือนแต่ก่อน’ หนุ่มรุ่นน้องมองรชตสงสาร จนปัญญาที่จะช่วย วางกุญแจเรือที่ยังไม่ได้คืนเจ้าของ ‘ห้ามคิดกระโดดน้ำทะเลปะชดรักนะพี่’

‘แกเห็นพี่สิ้นคิดขนาดนั้นหรือไง’

‘ไม่รู้นี่ เห็นชอบหนีปัญหาจัง’

ภวินท์ทิ้งไว้แค่ความเงียบให้เขาเผชิญ รชตหัวเราะขมขื่น มองหมวกที่วางพาดพนักเก้าอี้ที่เขาพิงอยู่อย่างตัดสินใจ ได้เวลาที่หัวใจของเขาต้องปลดระวางบางอย่างแล้วหรือเปล่า

รวบเอกสารบนโต๊ะเก็บเข้าที่ ปิดคอม จัดการปิดร้าน และไม่ลืมที่จะหยิบของสิ่งหนึ่งติดมือ หมวกใบโปรดของตวิษา

เสียงวิ่งตึงตังมาจากด้านหลัง งานที่เขาเห็นอยู่ห่างออกไปไม่กี่เมตรดูวุ่นวาย เสียงพูดคุยแข่งกันดังและเขาฟังไม่รู้เรื่อง ‘แย่แล้วพี่โตน’ ภวินท์หยุดยืนหอบช่วยครู่ ชี้นิ้วไปทางด้านหลัง ‘อีกแล้ว’

‘อะไรอีกแล้ว’

‘เจ้าสาวหนีไปอีกแล้ว’

ไม่รู้ว่าแวบแรกที่รู้เรื่อง ทำไมใบหน้าของเขายังยิ้มออก เขาควรจะเสียใจที่ใครอีกคนกำลังรู้สึกไม่ต่างจากเขาในอดีต แต่ในเมื่อทุกอย่างลงเอยแบบนี้ หมวกที่รชตซื้อไว้ถูกหยิบขึ้นมา แผ่นกระดาษหล่นลงมาตรงหน้า ชายหนุ่มอ่านข้อความด้านใน ซึมซับใจความในจดหมายด้วยความรู้สึกลิงโลด ยอมออกไปรับหน้างานแต่งงานที่ล่มไปอีกครั้งในฐานะผู้จัดงาน มากกว่ารู้สึกผิดจริงจัง


ในเมื่อยามนี้ คนที่บอกให้เขารอ กำลังยิ้มมาให้

“เรารอทวงสัญญา” รชตพูดหน้าขรึม “นาฬิกาตายมานานแล้ว รอถ่านก้อนพิเศษมาใส่อยู่” ยกมือทาบหัวใจบอกให้รู้ว่านาฬิกาที่ว่าอยู่ตรงไหน

ตวิษายิ้มขำ เขยิบเข้ามาใกล้ วางมือลงบนมือใหญ่ลอยหน้าลอยตา ไม่สนสายตาล้อเลียนของมนุษย์อีกคน “เดินต่อได้หรือยังโตน หรืออยากย้อนเวลากลับไปแก้ไขอีก”

รชตหัวเราะ รวบร่างที่เขาคิดถึงตลอดเวลา ดีใจที่โอกาสครั้งใหม่ยังเป็นของเขา ของผู้ชายคนหนึ่งที่เคยโง่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปล่อยให้ตวิษาหลุดหายไปจากชีวิตถึงสองครั้ง

“เรื่องอดีตก็ปล่อยมันไว้ตรงนั้นเถอะนะจีน เราไม่ต้องไปแตะต้องอีก อะไรที่ไม่ดีก็อย่าไปทำ สร้างปัจจุบันกันใหม่ เริ่มกันใหม่นะ”

หญิงสาวพยักหน้ารับทั้งน้ำตา ขอบคุณความบังเอิญที่ชักพาเขากลับมาพบเธออีกครั้ง พูดเสียงสั่นเครือ “ขอบคุณที่ยังรอเรานะโตน”

“เราเองก็ขอบคุณอะไรก็ตามที่พาจีนกลับมาหาโตนนะ” จูบเส้นผมนุ่มให้หายคิดถึง

ตวิษารับคำในลำคอ แต่สายตามองขอบคุณภวินทร์มนุษย์ที่คอยรายงานความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายให้เธอรับรู้ และวันนี้ที่เธอกลับมาเจอรชตได้ ก็เพราะภวินทร์โทรไปบอก เลขาหนุ่มชูนิ้วโป้งให้ ก่อนเบี่ยงตัวไปรับโทรศัพท์ พูดเสียงดังกับปลายสายย้ำชัดเจนให้ทั้งสองคนรับรู้สถานะนั้นชัดเจน

“ขอโทษนะครับ คุณรชตไม่ว่างมารับโทรศัพท์ กำลังสวีทกับแฟนอยู่ครับ แต่ผมภวินทร์ยังว่างนะครับ”

มือเล็กยกขึ้นตีไหล่คนตัวโตที่ยังกอดไม่ปล่อย สายตาคนมองไปมาหลายคู่ต่างยิ้มสนใจกับภาพคู่รัก ตวิษายิ้มเขินเปลี่ยนมาจับมือรชต โดยที่อีกฝ่ายกระชับไว้แน่น และเริ่มออกเดินพร้อมกัน

ใบหน้าของคนสองคนยิ้มมีความสุขมากที่สุดในรอบหลายปี ทุกย่างก้าวที่เดินต่อไปด้วยกันนับจากนี้มีแต่เดินไปหาอนาคต โดยทำทุกวันในปัจจุบันให้ดีที่สุด การย้อนเวลากลับไปคงทำได้แค่ในความคิด และย้อนมองถึงสิ่งผิดพลาดในอดีตไม่ให้ก้าวพลาดอย่างที่แล้วมา เรื่องในอดีตให้บทเรียนแก่รชตเรื่องความรัก และสำหรับเธอ คือการหนีไม่มีสิ้นสุด การตัดสินใจเป็นเด็ก ให้ผู้ใหญ่เดือดร้อนถึงสองครั้ง แต่ท้ายที่สุดตวิษาก็รู้

ความรักที่เธอต้องการ...มีเพียงเขา ขอบคุณความรักที่ได้คืนเวลาของเราสองคนให้เดินต่อไปได้อีกครั้งหนึ่ง



.........................................................................................................................................
จบเรื่องสั้นแรกค่า ^^ บรรยายยังแย่อยู่มาก แต่จะพยายามปรับไปเรื่อยๆ ให้มันเป็นธรรมชาติขึ้นนะคะ ขอบคุณทุกคนที่อ่านค่ะ ปล. สัมผัสได้ว่าเนื้อเรื่องดูเด็กๆ ฮาาา แต่เก็บไว้เป็นอนุสรณ์ว่านี่คือเรื่องสั้นเรื่องแรก อิอิ ^_^ มีคำแนะนำอะไรติชมกันได้นะคะ // แอบมาแก้ตอนจบเล็กน้อยค่ะ ขอบคุณที่ชอบนะคะ



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ก.ย. 2556, 00:19:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 พ.ย. 2556, 22:26:04 น.

จำนวนการเข้าชม : 1313





แสนรัก 16 ก.ย. 2556, 11:46:38 น.
ซึ้งมากเลยค่ะ ชอบมากๆเลย สำหรับเรื่องแรกได้แบบนี้ยอดเยี่ยมมาก ยกนิ้วให้เลย สู้ๆนะคะ จะติดตามต่อไป อิอิ ^ ^


ผักหวาน 3 ต.ค. 2556, 15:11:39 น.
แต่งครั้งแรกได้เก่งขนาดนี้ เรื่องต่อไป รีดเดอร์เทน้ำเทท่าแน่ๆ ค่ะ


ปอปลาตากลม 13 ต.ค. 2556, 01:36:40 น.
ซึ้งจัง ประทับใจมากคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account