ลิขิตฟ้าปาฏิหาริย์รัก (สนพ.กรีนมายด์) วางแผงเร็วๆ นี้
เมื่อย่างเข้าสู่วัยเบญเพสมักจะมีเรื่องราวบางอย่างเกิดขึ้นกับมนุษย์ ซึ่งอาจจะมีทั้งดีและร้าย แต่สำหรับ ’กานต์พิชชา’ การได้พบกับวิญญาณของ ‘ศิวา ศิโรรัตน์’ ดาราหนุ่มรูปหล่อขวัญใจของสาวๆ ทั้งประเทศ เธอไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือร้ายกันแน่ เพราะว่าเขาไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิด แต่กลับน่ารักเสียจนเธอเผลอหลงรักวิญญาณเข้าเต็มเปา แล้วกานต์พิชชาควรจะจัดการกับหัวใจของตัวเองยังไงดี เพราะคุณวิญญาณรูปหล่อคอยวนเวียนตามป่วนหัวใจแถมหึงหวงเธออยู่ตลอดเวลา
“ผมหึงคุณหึงมาก ไม่อยากให้ผู้ชายคนไหนมาใกล้ชิดคุณ แล้วก็ไม่อยากให้คุณพูดถึงผู้ชายคนไหนต่อหน้าผมด้วย” พูดจบศิวาก็ก้มหน้าลงมาหาใบหน้าสวยคมของคนที่กำลังมองสบตาเขาอย่างงุนงงทันที
กานต์พิชชายืนนิ่งตะลึงงัน เมื่อริมฝีปากได้รูปของชายหนุ่มประทับลงมาบนกลีบปากบางของเธอ ถึงแม้ว่าร่างของเขาจะโปร่งแสงเป็นเพียงวิญญาณที่ไร้เลือดเนื้อ แต่น่าแปลกเหลือเกินที่หญิงสาวกลับรับรู้ได้ถึงสัมผัสแผ่วเบาแสนนุ่มนวล และเจือปนไปด้วยความอ่อนหวานที่ค่อยๆ แทรกซึมลึกเข้าไปในหัวใจของเธอ ก่อนจะลามไปทั่วร่างระหงราวกับถูกโอบกอดเอาไว้ในอ้อมแขนอันแสนอบอุ่นของเจ้าของรอยจูบนั้น
แต่ความรักครั้งนี้จะสมหวังได้อย่างไร ถ้าเขายังกลับเข้าร่างตัวเองไม่ได้ ศิวาต้องไขปริศนาความทรงจำที่หายไป และหาวิธีกลับเข้าร่างของตัวเองก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ ชายหนุ่มจะทำได้หรือไม่ และความรักของทั้งสองคนจะลงเอยอย่างไร มาร่วมลุ้นและเป็นกำลังใจให้คนทั้งคู่ได้ใน ‘ลิขิตฟ้าปาฏิหาริย์รัก’

***เนื่องจากนิยายได้รับการตีพิมพ์แล้ว ขอลงให้อ่านแค่ครึ่งเรื่องคือ 12 ตอนนะคะ ส่วนครึ่งเรื่องที่เหลือรบกวนติดตามอ่านต่อในเล่มค่ะ จะวางแผงสิ้นเดือนกันยายนนี้แล้วค่ะ***
Tags: กุ๊กกิ๊ก,หวานแหวว,แฟนตาซี

ตอน: ตอนที่ 5

“เชิญพวกหนูตามสบายนะจ๊ะ เดี๋ยวน้าขอตัวออกไปคุยโทรศัพท์สักครู่” คุณศศิกาญจน์บอกกับทั้งสองสาวเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ก่อนจะเดินออกไปยืนคุยโทรศัพท์ที่ด้านนอกระเบียงห้องพักของศิวา ทำให้กานต์พิชชาซึ่งกำลังยืนลุ้นและเอาใจช่วยศิวาในการกลับเข้าร่างอยู่กับปราณปรียามาครู่หนึ่ง ได้โอกาสเรียกชื่อชายหนุ่มเบาๆ เพราะเธอไม่เห็นเขาจะมีวี่แววว่ารู้สึกตัวหรือว่าฟื้นขึ้นมาเสียที

“คุณศิวา คุณศิวา คุณได้ยินเสียงฉันเรียกรึเปล่าคะ?”

“ได้ยินครับ” เสียงศิวาตอบกลับมา ทำให้กานต์พิชชากับปราณปรียาถึงกับหันมามองหน้ากันอย่างงุนงง ก่อนจะหันกลับไปมองร่างของชายหนุ่มซึ่งนอนหลับตานิ่งสนิทอยู่บนเตียง

“คุณกลับเข้าร่างได้แล้วใช่มั้ย ถ้าเข้าร่างได้แล้วก็ลืมตา แล้วก็ลุกขึ้นมาสิคะ” กานต์พิชชากระซิบบอกชายหนุ่ม ก่อนที่ศิวาจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเนือยๆ ว่า

“ผมยังกลับเข้าร่างไม่ได้เลยครับ”

“อ้าว!!!” สองสาวอุทานขึ้นมาพร้อมๆ กัน

“แล้วถ้าอย่างงั้นตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนล่ะคะคุณศิวา ทำไมเราสองคนมองไม่เห็นคุณเลย?” ปราณปรียาถาม

“ผมอยู่ตรงนี้ครับที่ใต้เตียง” เสียงศิวาตอบกลับมา ทำให้กานต์พิชชากับปราณปรียาต้องรีบพากันก้มลงมองที่ใต้เตียงทันที แล้วก็พบว่าขณะนี้ศิวากำลังนั่งทำหน้าเศร้าอยู่ใต้เตียงนั่นเอง

หญิงสาวทั้งสองมองเขาอย่างเห็นใจเมื่อเห็นท่าทางซึมเศร้าของชายหนุ่ม ก่อนที่กานต์พิชชากับปราณปรียาจะบอกให้เขาลุกออกมาจากใต้เตียง ศิวาถอนหายใจเบาๆ แล้วขยับลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง ทำให้ร่างโปร่งแสงท่อนบนของเขาทะลุผ่านเตียงนอนและร่างของเขาที่นอนหลับใหลไม่ได้สติอยู่บนเตียงขึ้นมา ก่อนที่ชายหนุ่มจะก้าวออกมายืนอยู่ข้างๆ สองสาว พลางบ่นด้วยสีหน้าผิดหวัง

“ผมลองเข้าร่างดูตั้งหลายครั้ง แต่วิญญาณของผมก็ผ่านร่างทะลุเตียงหล่นลงไปอยู่ที่พื้นใต้เตียงทุกครั้งเลย ทำยังไงผมถึงจะเข้าร่างได้ล่ะ คุณฝ้ายมีวิธีอื่นอีกมั้ยครับ?” ท้ายประโยคชายหนุ่มหันมาถามปราณปรียา

ปราณปรียาส่ายหน้าพลางตอบว่ายังคิดไม่ออก แล้วบอกให้ศิวาใจเย็นๆ ก่อนอย่าเพิ่งคิดมาก เพราะเธอเชื่อว่าจะต้องมีวิธีใดวิธีหนึ่งที่สามารถทำให้ชายหนุ่มกลับเข้าร่างได้อย่างแน่นอน ในขณะที่กานต์พิชชาพูดปลอบใจศิวาว่าถึงวันนี้เขาจะยังกลับเข้าร่างตัวเองไม่ได้ แต่วันพรุ่งนี้ศิวาอาจจะกลับเข้าร่างสำเร็จก็ได้

ศิวากล่าวคำขอบคุณและบอกกับทั้งสองสาวด้วยความรู้สึกซาบซึ้งว่า เมื่อกลับเข้าร่างได้แล้วเขาจะไม่ลืมความมีน้ำใจของพวกเธอที่พยายามให้ความช่วยเหลือเขาทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันเป็นการส่วนตัวมาก่อนเลย

กานต์พิชชายิ้มให้ชายหนุ่มพลางบอกเขาว่าไม่ต้องคิดมาก ก่อนที่ทั้งสามจะหยุดพูดคุยกันเมื่อเห็นคุณศศิกาญจน์เดินกลับเข้ามาภายในห้องพัก สองสาวอยู่พูดคุยกับคุณศศิกาญจน์อีกครู่หนึ่งจึงขอตัวกลับ คุณศศิกาญจน์จึงบอกกับทั้งคู่ว่าถ้าหากมีเวลาว่างก็ขอให้แวะมาที่โรงพยาบาลอีก ซึ่งสองสาวก็รับคำท่านเป็นมั่นเหมาะ หลังจากนั้นปราณปรียาก็ขับรถไปส่งกานต์พิชชากับศิวาที่ร้าน โดยทั้งสองสาวนั่งคู่กันที่เบาะหน้าในขณะที่ศิวานั่งอยู่ที่เบาะหลังเหมือนตอนขามาด้วยท่าทางเงียบขรึม สองสาวจึงได้แต่มองสบตากันด้วยความรู้สึกเห็นใจชายหนุ่ม

ศิวานั่งดูกานต์พิชชาตีไข่ขาวเพื่อทำวิปปิ้งครีมอยู่ภายในห้องทำขนมด้วยความรู้สึกเพลิดเพลินจนลืมเรื่องความทุกข์ใจของตัวเองไปได้ชั่วขณะ ชายหนุ่มอมยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นแววตาและสีหน้าของหญิงสาวซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขกับงานตรงหน้าที่กำลังทำอยู่อย่างตั้งอกตั้งใจ

“เวลาทำเค้กคุณดูมีความสุขดีจังเลยนะครับ”

“ค่ะ ก็มันเป็นงานที่ฉันรักนี่คะ คุณเองก็ต้องมีความสุขเหมือนกันเวลาที่คุณได้แสดงละคร ได้ถ่ายแบบ เพราะว่ามันเป็นงานที่คุณรัก” กานต์พิชชาพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“แต่ผมอาจจะไม่มีโอกาสได้ทำงานที่ผมรักอีกแล้วก็ได้” ศิวาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาดวงตาคู่คมฉายแวววเศร้า กานต์พิชชาเงยหน้าขึ้นมองหน้าชายหนุ่มทันที ก่อนจะบอกกับเขาด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า

“คุณไม่ควรจะท้อแท้นะคุณศิวา นี่เพิ่งจะผ่านมาแค่สามวันเอง คุณจะยอมแพ้ง่ายๆ ได้ยังไงกัน คุณแม่ของคุณท่านยังเข้มแข็งแล้วก็มีกำลังใจที่จะเฝ้ารอให้คุณฟื้นขึ้นมาเลย เพราะฉะนั้นคุณก็ต้องเข้มแข็งด้วย ห้ามหมดกำลังใจเด็ดขาด ฉันกับฝ้ายจะพยายามหาทางช่วยคุณให้ได้ ถ้าแม่ของฝ้ายกลับมาจากฮ่องกงแล้ว ท่านก็น่าจะมีวิธีหรือคำแนะนำดีๆ เพื่อช่วยเหลือคุณอย่างแน่นอน ฉันมั่นใจค่ะ เพราะฉะนั้นนึกถึงคุณพ่อคุณแม่ แล้วก็แฟนคลับที่น่ารักอีกตั้งมากมายของคุณเอาไว้ สู้ๆ ค่ะ”

ศิวายิ้มออกมาได้เมื่อฟังคำให้กำลังใจและใบหน้ายิ้มแย้มของหญิงสาวตรงหน้า

“ครับ ผมจะไม่ท้อ สู้ๆ ครับ”

“มันต้องอย่างงี้สิคะ ค่อยสมกับเป็นพระเอกหน่อย” กานต์พิชชาพูดพลางขยิบตาให้ชายหนุ่ม ศิวาเลยหัวเราะเบาๆ อย่างขบขัน ก่อนจะถามว่า

“ว่าแต่คุณไม่ได้เป็นแฟนคลับผมจริงๆ เหรอครับ?”

“ก็จริงสิคะ ที่ยัยฝ้ายบอกคุณแม่คุณน่ะ เรื่องขี้โม้ทั้งนั้นแหละ ฉันไม่เคยสนใจเรื่องดาราหรอกค่ะ ละครก็ไม่ค่อยจะมีเวลาดู แค่รู้จักหน้าตาว่าดาราคนไหนชื่ออะไรให้พอคุยกับคนอื่นเค้ารู้เรื่องก็พอแล้ว” กานต์พิชชาตอบ พลางเดินไปเปิดเตาอบหยิบถาดคุกกี้ที่เพิ่งจะอบเสร็จออกมาวางบนโต๊ะ

“ว้า! เสียดายจัง ผมนึกว่าจะมีคุณเป็นแฟนคลับผมเพิ่มอีกสักคนนะครับเนี่ย” ศิวาพูดด้วยน้ำเสียงเสียดายยพร้อมทั้งพาร่างโปร่งแสงของตัวเองมายืนอยู่ข้างๆ กานต์พิชชา เพื่อมองดูขนมคุกกี้ที่หญิงสาวเพิ่งจะอบเสร็จ

“ไม่ต้องเสียดายหรอกค่ะ คุณมีแฟนคลับทั่วประเทศอยู่แล้ว ขาดฉันไปสักคนก็คงไม่ทำให้เรทติ้งคุณตกหรอกค่ะ” กานต์พิชชาพูดยิ้มๆ พลางทำท่าจะเดินไปยกถาดขนมคุกกี้ชุดใหม่มาเข้าเตาอบ แต่ศิวารับอาสาว่าเขาจะยกถาดขนมไปให้หญิงสาวเอง แล้วกานต์พิชชาก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นถาดขนมลอยขึ้นมาจากโต๊ะทีละถาด ก่อนจะค่อยๆ ลอยมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ

“โห! สุดยอดเลย ถ้าไม่เห็นกับตาฉันไม่เชื่อเลยนะคะ ว่าคุณจะทำแบบนี้ได้จริงๆ” หญิงสาวพูดกับชายหนุ่ม พลางลำเลียงถาดขนมเข้าไปในเตาอบทีละถาด

“ก็แปลกดีนะครับ ใครจะไปคิดว่าอยู่ดีๆ เราก็สามารถบังคับให้ข้าวของลอยไปมาได้แบบนี้”

“คุณอย่าเผลอไปทำแบบนี้ให้คนในร้านฉันเห็นนะคะ เดี๋ยวได้แตกตื่นกันทั้งร้านพอดี” กานต์พิชชาบอกชายหนุ่ม ศิวาเลยหัวเราะเบาๆ ก่อนจะรับคำหญิงสาวด้วยน้ำเสียงล้อเลียน

“รับทราบแล้วครับคุณผู้หญิง”

กานต์พิชชาเหลือบมามองชายหนุ่มแวบหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ อย่างโล่งใจเมื่อเห็นว่าเขามีท่าทางร่าเริงไม่เซื่องซึมเหมือนเมื่อช่วงเช้าแล้ว


ตอนค่ำหลังจากปิดร้านเสร็จเรียบร้อยแล้วกานต์ก็พาศิวาเดินทางกลับบ้านโดยรถประจำทางปรับอากาศ เนื่องจากปราณปรียาติดงานไม่สามารถมารับเธอกับชายหนุ่มที่ร้านได้

“คุณยังไม่มีรถขับเหรอครับ?” ศิวาถามขึ้นในระหว่างที่เดินตามหญิงสาวเข้าไปภายในบ้าน

“มีค่ะ แต่รถของฉันถูกชนเช้าวันเดียวกับที่คุณขับรถชนนั่นแหละค่ะ ตอนนี้รถฉันก็เลยเข้าอู่ซ่อมอยู่”

กานต์พิชชาตอบพลางวางกระเป๋าสะพายลงบนโต๊ะ ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นรินน้ำใส่แก้ว

“บังเอิญจังนะครับที่รถของเราสองคนเกิดอุบัติเหตุในวันเดียวกันเลย” ศิวาพูดเปรยๆ พลางทรุดตัวลงนั่งบนโซฟารับแขก พร้อมๆ กับที่โทรทัศน์ถูกเปิดขึ้นโดยอัตโนมัติตามที่เขาต้องการ ทำเอากานต์พิชชาถึงกับสะดุ้งเล็กน้อยและอุทานเบาๆ ด้วยความตกใจที่โทรทัศน์เปิดเอง ก่อนจะบอกกับชายหนุ่มว่า

“อุ๊ย! คุณจะเปิดทีวีก็บอกให้ฉันรู้ตัวล่วงหน้าหน่อยสิคะ อยู่ดีๆ ทีวีติดพรึ่บขึ้นมาเองแบบนี้ ฉันก็ตกใจเหมือนกันนะ”

“ขอโทษที่ถ้าผมทำให้คุณตกใจ คราวหน้าถ้าจะทำอะไรผมจะบอกให้คุณรู้ตัวล่วงหน้า ว่าแต่ทำไมคุณถึงไม่นั่งรถแท็กซี่กลับบ้านล่ะครับ จะได้ไม่ต้องลำบากนั่งรถเมล์” ตอนท้ายประโยคศิวาถามหญิงสาว

กานต์พิชชาส่ายหน้าพลางถือแก้วน้ำเดินมาทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาตัวที่ยังว่างอยู่พลางตอบ

“ไม่เอาหรอกค่ะ นั่งแท็กซี่เปลืองจะตาย จากที่ร้านกว่าจะมาถึงบ้านต้องหมดตังค์ไม่ต่ำกว่าสองร้อยแน่ๆ เลย ฉันเสียดายตังค์ แล้วอีกอย่างฉันก็ไม่ได้ลำบากอะไรที่ต้องนั่งรถเมล์กลับบ้าน”

“คุณนี่ประหยัดจังเลยนะครับ” ศิวาพูดยิ้มๆ แต่กานต์พิชชามองค้อนเขาอย่างรู้ทัน พลางพูดว่า

“คุณจะบอกว่าฉันงกก็พูดมาตรงๆ เถอะน่า ไม่ต้องพูดอ้อมแบบนั้นก็ได้”

“คุณพูดเองนะครับ ผมเปล่าพูดว่าคุณงกนะ” ศิวาแย้ง

“เชอะ! ฉันยอมรับว่าฉันงกก็ได้ ก็ฉันไม่ได้หาเงินได้ทีละเยอะๆ เหมือนคุณนี่ คุณเป็นดาราดังแค่ถ่ายโฆษณาวันสองวันก็ได้เงินเป็นแสนแล้ว ไหนยังจะถ่ายละครอีก แถมบ้านคุณยังรวยอีกต่างหาก ส่วนฉันไม่ได้รวยเหมือนคุณ เพราะฉะนั้นฉันก็ต้องใช้จ่ายอย่างประหยัดสิคะคุณดาราใหญ่”

กานต์พิชชาพูดยืดยาวก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่มจนหมดแก้ว แล้วลุกขึ้นเดินเอาแก้วเข้าไปล้างในห้องครัว ในขณะที่ศิวากำลังสั่งให้รีโมทเปลี่ยนช่องรายการโทรทัศน์ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไปเจอรายการข่าวบันเทิงของสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งเข้าชายหนุ่มจึงหยุดเปลี่ยนช่อง เมื่อเห็นว่านักข่าวกำลังรายงานข่าวมาจากโรงพยาบาลที่ร่างของเขานอนพักรักษาตัวอยู่

“ขณะนี้ดิฉันอยู่ที่โรงพยาบาล...เพื่อรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับอาการของคุณศิวา ศิโรรัตน์ ซึ่งประสบอุบัติเหตุรถชนเมื่อสามวันก่อน วันนี้ในช่วงสิบโมงเช้าแพทย์เจ้าของไข้ได้แถลงว่าอาการโดยรวมของคุณศิวาเป็นปกติดี แต่ขณะนี้คุณศิวายังคงไม่ฟื้น ซึ่งทางแพทย์บอกว่าจะต้องรอดูอาการต่อไปค่ะ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลาแปดนาฬิกาเศษของวันนี้ คุณปราณปรียาเจ้าของร้าน....ซึ่งเป็นลูกสาวของคุณปานดาว นักพยากรณ์ชื่อดังพร้อมทั้งเพื่อนสาวคนหนึ่ง ก็ได้นำแจกันดอกไม้มาเยี่ยมคุณศิวาที่โรงพยาบาลด้วยค่ะ ผู้สื่อข่าวสังเกตเห็นว่าคุณปราณปรียาดูมีความสนิทสนมกับคุณแม่ของคุณศิวามาก และพยายามจะสอบถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างคุณปราณปรียากับคุณศิวา แต่คุณแม่ของคุณศิวาและคุณปราณปรียายังไม่ยอมให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว...” พอนักข่าวสาวพูดมาถึงตอนนี้ก็มีการตัดภาพข่าว ตอนที่กานต์พิชชาและปราณปรียาฝ่าวงล้อมนักข่าวออกมาห้องพักของศิวาฉายขึ้นมาบนหน้าจอโทรทัศน์ทันที ก่อนที่นักข่าวสาวจะสรุปว่า

“ผู้สื่อข่าวต่างลงความเห็นกันว่าคุณปราณปรียาอาจจะเป็นคนพิเศษของคุณศิวา เพราะคุณศิวาเคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ในรายการโทรทัศน์รายการหนึ่งว่าคุณศิวามีคนพิเศษอยู่ในใจแล้ว ซึ่งความคืบหน้าในเรื่องนี้ผู้สื่อข่าวของเราจะติดตามไปสัมภาษณ์คุณปราณปรียามารายงานให้ท่านผู้ชมได้รับทราบโดยเร็วค่ะ รอติดตามข่าวได้จากรายการบันเทิงทีวีนะคะ สำหรับวันนี้สวัสดีค่ะ”

กานต์พิชชาซึ่งเดินออกมาจากหยุดยืนฟังข่าวอยู่ตรงหน้าประตูห้องครัวตั้งแต่จนจบพูดกับชายหนุ่มว่าพรุ่งนี้จะต้องมีนักข่าวตามไปสัมภาษณ์ปราณปรียาที่ร้านเป็นจำนวนมากแน่นอนซึ่งศิวาก็เห็นด้วย แต่เนื่องจากปราณปรียาค่อนข้างคุ้นเคยกับพวกนักข่าวอยู่แล้วเพราะต้องขับรถไปคอยรับส่งเวลาที่คุณปานดาวไปออกรายการโทรทัศน์เป็นประจำ ทั้งสองคนจึงค่อนข้างมั่นใจว่าอีกฝ่ายจะต้องมีวิธีเอาตัวรอดจากนักข่าวได้อย่างแน่นอน

“แต่ผมสงสัยจังว่าคุณฝ้ายรู้จักกับคุณแม่ของผมได้ยังไง” ศิวาพูดด้วยแววตาครุ่นคิด

“จริงด้วยค่ะ เมื่อเช้าตอนขากลับมาจากโรงพยาบาลฉันก็ตั้งใจว่าจะถามฝ้ายอยู่เหมือนกัน แต่ก็ลืมไปเลย ถ้างั้นฉันโทร.ไปถามฝ้ายเลยดีกว่า จะได้ถามด้วยว่าฝ้ายหาวิธีเข้าร่างให้คุณได้รึยัง” พูดจบกานต์พิชชาก็เปิดกระเป๋าสะพาย แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมากดโทร.ไปหาปราณปรียาทันที

เมื่อปราณปรียากดรับสายกานต์พิชชาก็เล่าเรื่องข่าวบันเทิงเมื่อครู่ให้อีกฝ่ายฟังทันที แล้วก็ได้ยินอีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ อย่างขบขัน ก่อนจะบอกมาด้วยน้ำเสียงไม่เดือดเนื้อร้อนใจว่าพรุ่งนี้จะแต่งตัวสวยรอต้อนรับนักข่าวอยู่ที่ร้าน จากนั้นกานต์พิชชาก็ถามปราณปรียาว่ารู้จักกับคุณศศิกาญจน์มารดาของศิวาได้ยังไง ปราณปรียาเล่าให้กานต์พิชชาฟังว่าคุณศศิกาญจน์เป็นลูกค้าประจำระดับวีไอพีที่ร้านจึงทำให้สนิทสนมคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี

“ว่าแต่เธอหาวิธีกลับเข้าร่างให้คุณศิวาได้รึยังล่ะฝ้าย?” กานต์พิชชาถามเพื่อนรัก

“ยังเลย พอดีเมื่อตอนกลางวันที่ร้านฉันยุ่งๆ น่ะ ก็เลยยังไม่มีเวลาอ่านหนังสือ เดี๋ยวคืนนี้อาบน้ำเสร็จแล้วฉันจะรีบอ่านต่อเลย ยังไงพรุ่งนี้เธอก็บอกให้คุณศิวากลับไปลองเข้าร่างที่โรงพยาบาลดูอีกทีนะ เผื่อจะเข้าร่างได้ เดี๋ยวฉันต้องขอตัวไปอาบน้ำแล้วนะตอง บายนะจ๊ะ”

“อืม...บายจ้า” เมื่อวางสายจากปราณปรียาเรียบร้อยแล้ว กานต์พิชชาก็เล่าเรื่องที่พูดคุยกับปราณปรียาเมื่อครู่ให้ศิวาฟังตั้งแต่ต้นจนจบก่อนจะถามชายหนุ่มขึ้นว่า

“จริงสิคุณศิวา ฉันว่าจะถามคุณตั้งหลายครั้งแล้วก็ลืมทุกทีเลย คืนนั้นคุณขับรถเร็วมากเหรอคะ รถคุณถึงได้เสียหลักพุ่งขึ้นไปชนเสาไฟฟ้าบนเกาะกลางถนนรุนแรงมากขนาดนั้น?”

ศิวานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ แล้วตอบว่า

“ไม่รู้สิครับ ผมจำไม่ได้เลยว่าทำไมคืนนั้นผมถึงได้ขับรถไปชนเสาไฟฟ้าได้”

“ฮะ! คุณบอกว่าคุณจำไม่ได้เหรอคะ หมายความว่ายังไง ฉันไม่เข้าใจค่ะ” กานต์พิชชามองหน้าชายหนุ่มด้วยความประหลาดใจ

“ผมจำไม่ได้จริงๆ ครับ นึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าทำไมผมถึงขับรถไปชนได้ แปลกจังเลย” ศิวาพูดพลางขมวดคิ้วเข้มของเขาจนยุ่งเหยิง

ในขณะที่กานต์พิชชาครุ่นคิดอยู่ภายในใจด้วยความงุนงงและสงสัยว่าวิญญาณเป็นโรคความจำเสื่อมได้ด้วยหรือ แต่เมื่อเหลือบไปเห็นสีหน้าครุ่นคิดอย่างเคร่งเครียดของศิวาหญิงสาวก็รู้สึกเห็นใจเขา ก่อนจะปลอบชายหนุ่มว่าไม่ต้องคิดมากถึงวันนี้เขาจะจดจำเหตุการณ์ในวันที่เกิดอุบัติไม่ได้ แต่ถ้าพยายามคิดทบทวนไปเรื่อยๆ เธอเชื่อว่าอีกไม่นานเขาจะต้องจำทุกอย่างได้อย่างแน่นอน

ใบหน้าที่เคร่งเครียดของศิวาเริ่มผ่อนคลายลงและปรากฏรอยยิ้มขึ้นบนริมฝีปากได้รูปสวยของเขาเมื่อได้ยินคำพูดปลอบใจจากหญิงสาว ก่อนจะบอกกับกานต์พิชชาว่าเขาจะพยายามคิดทบทวนไปเรื่อยๆ อย่างที่เธอบอก กานต์พิชชาค่อยรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นศิวายิ้มได้แล้ว หลังจากพูดคุยให้กำลังใจชายหนุ่มอีกครู่หนึ่งหญิงสาวจึงขอตัวขึ้นไปข้างบนเพื่อพักผ่อน

เมื่อลับร่างหญิงสาวศิวาก็ลุกขึ้นจากโซฟาที่นั่งอยู่ก่อนจะก้าวไปยืนอยู่ที่ริมหน้าต่างบานใหญ่ พลางแหงนหน้าขึ้นไปมองดูท้องฟ้าอันมืดมิดไร้แสงจันทร์ หากแต่เต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับมากมาย ก่อนจะรำพึง กับตัวเองเบาๆ

“เกิดอะไรขึ้นกับเรากันแน่ ทำไมเราถึงต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้ แถมยังจำเรื่องก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุไม่ได้เลย...”



เช้าวันต่อมากานต์พิชชาเดินทางไปที่ร้านเบเกอรี่ตามลำพัง วันนี้ศิวาไม่ได้มาที่ร้านกับเธอเพราะว่าเขาต้องไปที่โรงพยาบาลเพื่อหาทางกลับเข้าร่างของตัวเองตามที่ปราณปรียาบอก เมื่อมาถึงร้านกานต์พิชชาเห็นมนตรากับปรางทิพย์กำลังช่วยกันจัดแจกันดอกไม้บนโต๊ะอยู่ หญิงสาวจึงลองเข้าไปสอบถามเกี่ยวกับความคืบหน้าคดีอุบัติเหตุของศิวาจากทั้งสองสาว

มนตราบอกกับกานต์พิชชาว่าตรงจุดที่เกิดอุบัติเหตุไม่มีกล้องซีซีทีวีบันทึกภาพ ดังนั้นขณะนี้ทางตำรวจจึงสันนิษฐานว่าศิวาอาจจะขับรถมาด้วยความเร็ว เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุอาจจะมีสุนัขวิ่งตัดหน้ารถทำให้ชายหนุ่มต้องหักหลบอย่างกะทันหัน รถจึงเสียหลักพุ่งขึ้นไปชนเสาไฟฟ้าบนเกาะกลางถนน

เมื่อกานต์พิชชาถามว่าศิวาเมาหรือเปล่า ทั้งสองสาวส่ายหน้าทันทีก่อนที่ปรางทิพย์จะเป็นคนตอบคำถามของกานต์พิชชาว่าชายหนุ่มไม่ได้เมา เพราะตำรวจตรวจแล้วไม่พอแอลกอฮอล์ในเลือดของเขาเลย

“แปลกจังเลย ทำไมเค้าถึงขับรถไปชนได้นะ” กานต์พิชชาพึมพำพูดด้วยความรู้สึกประหลาดใจ ก่อนจะกล่าวคำขอบใจทั้งสองสาวแล้วเดินเข้าไปหลังร้านเพื่อทำขนมเค้ก ในขณะที่มนตราและปรางทิพย์มองหน้ากันด้วยความงุนงง เพราะร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นกานต์พิชชาจะสนใจเรื่องข่าวดาราเลยสักนิด



ปราณปรียากำลังนั่งอ่านหนังสือว่าด้วยจิตและวิญญาณอยู่ภายในห้องทำงานส่วนตัวอย่างสบายอารมณ์ แต่แล้วพิมพิไลผู้จัดการร้านของเธอก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในห้องพลางพูดรัวเป็นชุด

“คุณฝ้ายคะคุณฝ้าย เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ!!!”

หญิงสาวรีบวางหนังสือในมือลงบนโต๊ะทันทีพลางถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงปกติไม่มีทีท่าตกใจอะไร

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นคะคุณพิม?”

“นักข่าวค่ะคุณฝ้าย นักข่าวมาที่ร้านเราเต็มเลยค่ะ” พิมพิไลตอบด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ปราณปรียาพยักหน้าเป็นเชิงว่ารับรู้และเข้าใจดีว่านักข่าวมาที่นี่เพราะอะไร ก่อนจะบอกกับผู้จัดการร้านสาวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดีว่าเธอจะออกไปต้อนรับนักข่าวเอง จากนั้นปราณปรียาก็เดินนำพิมพิไลออกไปจากห้อง

เมื่อเดินออกมาที่หน้าร้านนักข่าวเกือบสิบคนก็พากันกรูเข้ามารุมล้อมสัมภาษณ์ปราณปรียาทันที ซึ่งคำถามทุกคำถามล้วนแต่เน้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับศิวาทั้งนั้น ปราณปรียาจึงตอบคำถามของนักข่าวทีละข้อด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า

“ฉันกับคุณศิวาไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันหรอกค่ะ แล้วฉันก็ไม่ได้เป็นคนพิเศษของคุณศิวาด้วย”

“ถ้าคุณปราณปรียาไม่ใช่คนพิเศษของคุณศิวา แล้วทำไมถึงได้รับอนุญาตให้เข้าไปเยี่ยมคุณศิวาถึงในห้องล่ะคะ?” นักข่าวสาวคนหนึ่งถามอีก ปราณปรียายังคงยิ้มแย้มพลางตอบ

“พอดีว่าฉันรู้จักกับคุณแม่ของคุณศิวาค่ะ ท่านเป็นลูกค้าวีไอพีของร้านฉันเอง”

“คุณปราณปรียาไม่ได้เป็นแฟนกับคุณศิวาจริงๆ เหรอคะ ไม่ใช่ว่าปิดข่าวพวกเรานะคะ” นักข่าวสาวอีกคนจี้คำถามกับปราณปรียาอีก แต่ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะได้ตอบคำถาม เสียงทุ้มของใครคนหนึ่งก็ชิงตอบขึ้นก่อนว่า

“ในฐานะเพื่อนสนิทของศิวา ผมช่วยยืนยันให้อีกคนครับ ว่าคุณผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เป็นแฟนของศิวาอย่างแน่นอน”

บรรดานักข่าวที่กำลังรุมล้อมตั้งคำถามปราณปรียาอยู่ รวมทั้งตัวหญิงสาวเองต่างก็พากันหันไปมองทางเจ้าของเสียงทันที เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงผิวขาว ใบหน้าหล่อหวาน ดวงตาเรียวรีสีดำสนิทคมกริบ คิ้วเข้มพาดเฉียงได้รูป จมูกโด่งเป็นสัน รับกับริมฝีปากบางเฉียบราวกับผู้หญิง เรือนผมสีดำสนิทยาวระต้นคอของเขาเป็นคลื่นเล็กน้อยตามธรรมชาติ ส่งให้ใบหน้าเรียวของเขาดูสวยหวานไม่แพ้ผู้หญิงเลยทีเดียว

“คุณวิปัศย์!!!” เสียงพวกนักข่าวพากันร้องอุทานเรียกชื่อเขา ก่อนที่ทุกคนจะผละจากปราณปรียา แล้วกรูกันเข้าไปรุมล้อมชายหนุ่มผู้มาใหม่ทันทีพร้อมกับคำถามที่รัวเข้าใส่เป็นชุด

ปราณปรียายืนกอดอกมองดูชายหนุ่มที่เข้ามาขโมยซีนเธอด้วยความรู้สึกไม่ค่อยจะสบอารมณ์นัก เธอรู้จักผู้ชายคนนี้ดีว่าเขาเป็นใคร วิปัศย์ อัครไพศาลสกุล เป็นทายาทเพียงคนเดียวของเจ้าของบริษัทโฆษณายักษ์ใหญ่ชื่อดังอันดับต้นๆ ของเมืองไทย เขาถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในสิบหนุ่มไฮโซเนื้อหอมของปีนี้ เพราะความหล่อและรวย แถมเขายังเป็นเพื่อนสนิทของ ศิวา ศิโรรัตน์ ดาราหนุ่มรูปหล่อชื่อดังอีกด้วย ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ถ้าหากจะเห็นเขาตามหน้าหนังสือพิมพ์ นิตยสาร และโทรทัศน์บ่อยๆ

วิปัศย์ตอบคำถามนักข่าวโดยชี้แจงปฏิเสธและยืนยันเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างศิวาและปราณปรียาว่าไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ได้อย่างคล่องแคล่ว กระชับ แล้วเพียงครู่เดียวเขาก็สามารถทำให้นักข่าวสลายตัวไปจากร้านของปราณปรียาได้อย่างง่ายดายเพียงแค่คำพูดประโยคที่ว่าเขาอยากจะขอความเป็นส่วนตัวในการเดินดูสินค้าภายในร้านเท่านั้น

“คุณวิปัศย์สนใจ เสื้อผ้าหรือว่ากระเป๋าคะ มีสินค้าเพิ่งมาใหม่จากต่างประเทศหลายตัว เดี๋ยวฉัน...”

หลังจากที่พวกนักข่าวออกไปจากร้านหมดแล้ว หญิงสาวจึงพูดกับชายหนุ่มด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเป็นกันเอง เพราะได้ยินเขาบอกกับพวกนักข่าวว่าจะเดินดูสินค้าในร้านของเธอ เพราะถ้าหากเธอได้เขามาเป็นลูกค้าวีไอพีของร้านอีกคนก็จะเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับปราณปรียาที่สุด แต่ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบประโยค วิปัศย์ก็พูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์และเย่อหยิ่งเป็นที่สุดในความรู้สึกของหญิงสาว

“ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อจะมาซื้อของในร้านของคุณหรอกนะครับคุณปราณปรียา เพียงแต่ผมอยากจะมาบอกคุณว่ากรุณาอย่าทำตัวเป็นข่าวกับศิวา เพื่อฉวยโอกาสโปรโมทตัวเองแล้วก็ร้านของคุณแบบนี้อีก เพราะว่าเพื่อนของผมยังไม่รู้สึกตัวลุกขึ้นมาปฏิเสธข่าวอะไรไม่ได้...”

“อะไรนะ?!!!” ปราณปรียาทวนถามเสียงเข้ม พลางมองประสานสายตากับชายหนุ่มหน้าหวานที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าด้วยดวงตาวาวโรจน์อย่างโกรธจัด ก่อนจะโต้ตอบเขากลับไปว่า

“คุณคงจะเข้าใจอะไรผิดแล้วล่ะคุณวิปัศย์ เพราะว่าฉันไม่เคยคิดจะฉวยโอกาสทำตัวเป็นข่าวกับคุณศิวา เพื่อโปรโมทตัวเองหรือว่าร้านของฉัน มีคนรู้จักฉันแล้วก็ร้านของฉันมากอยู่แล้ว ฉันไม่จำเป็นต้องทำตัวให้เป็นข่าวกับคุณศิวาเลยนะ กรุณาทราบเอาไว้ด้วย”

“ผมทราบอยู่แล้วว่าคุณเป็นลูกสาวของหมอดู เอ๊ย! นักพยากรณ์ชื่อดัง ก็เลยทำให้มีคนพลอยรู้จักคุณไปด้วยเพราะชื่อเสียงของคุณแม่คุณ แล้วถ้าคุณไม่ได้มีเจตนาจะใช้เพื่อนผมเป็นเครื่องมือในการทำตัวให้ดังก็ดีแล้วล่ะครับ ผมหมดธุระกับคุณแล้ว ขอตัวก่อนนะครับ”
พูดจบวิปัศย์ก็ก้มศีรษะให้หญิงสาวเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวแล้วเดินออกไปจากร้านทันที ทิ้งให้ปราณปรียายืนมองตามร่างสูงของเขาไปด้วยแววตาขุ่นเคือง พลางบอกตัวเองอยู่ในใจว่า เธอได้ความรู้ใหม่เพิ่มอีกอย่างแล้วว่าวิปัศย์ไม่ได้หล่อแล้วก็รวยเท่านั้น แต่เขายังเป็นผู้ชายท่าทางหยิ่งยโสแถมยังปากจัดอีกต่างหากด้วย



แก้วแสงจันทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 ก.ย. 2556, 19:28:17 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 ก.ย. 2556, 19:28:17 น.

จำนวนการเข้าชม : 1094





<< ตอนที่ 4   ตอนที่ 6 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account