อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง # ชอนตะวัน (จบแล้ว)
สำหรับเรื่องนี้เป็นงาน y ครับ..ถ้าไม่ชอบกากบาทสีแดงขอบบนขวา แต่ถ้าชอบก็จะมีศาสนาประกอบกันไปด้วยครับ เรื่องนี้เขียนไว้นานแล้ว ตั้งแต่ปี 49

พิมพ์รวมเล่ม แบบปริ้น ออน ดีมาน
450 หน้า ราคาขาย 350 บาท พร้อมค่าจัดส่งครับ..

สอบถามเพิ่มเติม f_nakhon@hotmail.com


ปล. เคยโพสต์ในบล็อกเมื่อปี 50 มาแล้วหนึ่งครั้งครับ...
Tags: งาน y + ศาสนา

ตอน: 27.

27.


แล้วข่าวที่ทำให้สุริยาสูญเสียความทรงตัวก็คือ ข่าว..การหมั้นระหว่างรุ่งโรจน์และดาราวดี..แสงทองส่งหนังสือพิมพ์หน้าซุบซิบไฮโซมาให้ในตอนที่เขาเข้าออฟฟิศ..

กิ่งทองใบหยก ดาวเคียงเดือน มิใช่อาทิตย์กับจันทรา

..หนี..เขาต้องหนี ไม่อยากได้ใคร่ดีอะไรอีกแล้ว..ทุกข์..ทุกข์เหลือเกิน ใจมันจี๊ด ๆ เจ็บปวด
ปานถูกเข็มนับร้อยนับพันเล่มทิ่มแทง..พยายามตั้งสติ แต่ถึงกระนั้น แรงกายแรงใจที่เคยมี กลับถดถอยไปอย่างทหารแพ้ศึก ไร้กระจิตกระใจจะทำงานการใด ๆ ทั้งสิ้น

“แสงทองพี่จะกลับบ้านสักเจ็ดวัน แม่พี่ป่วย หนูดูแลกิจการเราได้นะ”

“ได้สบายมาก ไปเถอะ พี่ยา แม่พี่หายดีแล้ว พี่ค่อยกลับมาก็ได้”

“ขอบใจเธอมากนะ”

“พี่ยา..ความรักมันไม่มีเหตุผลหรอก..ถูกผิดมันก็ไม่สน”

“แต่คนก็ต้องมีศีลธรรม เลือกที่จะเจ็บดีกว่าเลือกที่จะผิดนะหนู” สุริยายังมีสติที่จะตอบให้คิด..

“หนูบอกพี่รุ่งได้ไหมว่าพี่กลับกำแพงเพชร”

สุริยาพยักหน้า..

เวลาที่บ้านห้าหกวัน..ทำให้สุริยาได้คิด เหตุแห่งทุกข์มันมีอยู่ หนีมาไกลเสียได้ ไม่รู้ ไม่เห็น ใจมันก็ค่อย ๆ ดีขึ้น เขากลับไปนั่งที่ริมแม่น้ำ มองสายน้ำและก้อนหิน มองต้นไม้จากทิวเขาตรงหน้า มองทุ่งนาและเนินไร่ คิดแล้วก็คิดว่าจะทำอย่างไรที่จะกลับมาใช้ประโยชน์ตรงนี้
น่าจะพอกันทีกับวิถีคนเมือง สองสามปีรู้แล้วว่าไม่เหมาะ ไม่ใช่ตน..ดิ้นรนชิงดีชิงเด่น เพื่อความมั่งมี เหนื่อยเพื่อเกียรติ เพื่อศักดิ์ศรี สุดท้ายต้องวางไว้ทั้งหมด ไปแต่อัตตาตัวกูของกู
กอบเม็ดดินขึ้นมาเป็นกองเล็ก ๆ เห็นพยับแดดที่แผดเผา ก็รู้ว่านี่ไม่ใช่ธาตุแห่งตนเช่นกัน..
ยากจริงหนอกับการมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้
มันไม่ใช่มรรคาแห่งอริยะเลย

คิดได้ก็สายเสียแล้วนายยะ..ชายสองโบสถ์สามโบสถ์คบได้เสียที่ไหน..คนโลเลหรอกที่ทำอย่างนั้น บวชเบื่อแล้วก็สึก แล้วก็บวช

จะไปทางไหน จะไปทางไหน..สุริยาพิงหินก้อนใหญ่มองสายน้ำ

“คุณยะ..คุณยะ” สุริยารีบลืมตาขึ้นส่ายตามองหาด้วยความดีใจ..ไร้เงา..แอบคิดว่าเขาน่าจะตามมาง้อ มาคุยกัน มาพูดให้เขาสบายใจ มาบอกจุดยืนว่าเราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้นะ แค่นั้น ต้องการเพียงแค่นั้น ไม่ใช่ความหมางเมินหนีหน้าอย่างนี้

..เจ็บกับการถูกทอดทิ้งให้ดูไร้ค่า..อย่างนี้กระมังที่คนอกหักหมดหวังถึงได้พึ่งสุรา..ดื่มเพื่อดับตัวคิดฟุ้งซ่าน..แต่สำหรับเขาคงไม่..จะดูอาการแห่งจิตจนถึงที่สุด..จะได้รู้จะได้มีประสบการณ์..ผ่านครั้งแรกเสียแล้วครั้งต่อ ๆ ไป จะได้ไม่มีปัญหา ควรที่จะไม่มีครั้งต่อไปอย่างเด็ดขาด วิถีชีวิตอย่างนี้ เผลอไปกับเขาคนเดียวเท่านั้น

หลงรูปจูบเงา..นึกนิยมชมชื่นตั้งแต่เห็นรูปตามสื่อ..คงคู่เวรคู่กรรมกันมา..ใยเสน่หาจึงได้ร้อยรัดจนมาพานพบชิดใกล้..ร่วมทุกข์ร่วมสุข

“ทิด ทิด มานั่งทำอะไรตรงนี้”
“แม่”
“หลวงพ่อที่วัดมาหา มีเรื่องจะคุยด้วย”

สุริยาเดินประคองแม่กลับไปที่บ้าน..แล้วเรื่องที่ท่านสมภารมาแจ้งก็ทำให้สุริยาหูตาสว่างขึ้นมาบ้าง “ปีนี้วัดเรายังไม่มีใครมาปักกฐิน..ช่วยหน่อยได้ไหม เป็นประธานกฐินสามัคคีสมทบทุนสร้างรั้ววัด”

“ได้ครับ” ตอบอย่างไม่ลังเลด้วยนึกถึงเงินที่คุณสิริฤดีโอนเข้าบัญชีมาให้ตามสัญญา

“ดี..อนุโมทนาบุญล่วงหน้า ได้มากได้น้อยไม่สำคัญ ไปทำหน้าที่บอกบุญช่วยหน่อยแล้วกัน ผู้ใหญ่บ้านเขาก็จะหาอีกแรง..”

“บอกเขาไปนะครับ สายของผมเป็นประธานใหญ่ ขอถือผ้าไตรเอก” พูดไปเพราะรู้ว่าบุญ
ไม่เท่ากัน..อยู่ข้างหน้าใจใหญ่กล้าชักชวนคนให้ร่วมบุญย่อมมีอานิสงส์มากกว่า และเขาก็รู้ว่าจะเดินทางกลับไปหารุ่งโรจน์ด้วยเรื่องอะไร ถ้ามีบุญอยู่ตรงกลางเสียแล้ว โศกก็จะสุข

เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าเตรียมตัวลาแม่และพี่ ๆ กลับเข้าเมือง..หวังบอกเล่าข่าวบุญ ..บอกบุญแกมบังคับให้ต้องทำ เริ่มต้นจากโทรไปหา เสียงอู้ ๆ อี้ ๆ

“คุณยะ คุณอยู่กำแพงเพชรใช่ไหม..โอเค..สัญญาณไม่ดี ผมกำลังขับรถครับ..”

แล้วสายก็ตัดไป..สุริยาถอนหายใจออกมา แค่ได้ยินเสียงเพียงเล็กน้อย ใจที่ห่อเหี่ยว ก็เหมือนหญ้าแห้งถูกน้ำฝนโปรยปราย..มีพลังขึ้นมาอย่างประหลาด อานุภาพแห่งรัก..มันเป็นเช่นนี้เอง ไกลก็เหมือนใกล้..ทุกข์ก็เหมือนสุข..

ก้มกราบแทบตักแม่ ..อยากกลับไปเป็นเด็ก ๆ อยากอยู่ในบนตักอย่างนี้ตลอดไป แต่คงเป็นไปไม่ได้ เสียงรถที่คุ้นเคยแล่นเข้ามาหยุดที่ตีนบันได..เสียงหมาเห่า สุริยารีบผละออกจากเรือน พบรอยยิ้มกว้างเต็มวงหน้า

-------------------------------------------------------------------------
รุ่งโรจน์ลงจากรถพร้อมข้าวของพะรุงพะรัง

“ผมเอามาฝากแม่และหลาน ๆ ครับ..” รุ่งโรจน์วางของ นั่งลง พนมมือไหว้ ไม่ถือสาความสูงต่ำทางชนชั้น

“ผมจะมารับสุริยากลับไปทำงานครับ งานยุ่ง แสงทองทำคนเดียวไม่ไหว..คุณแม่หายป่วยแล้วนะครับ..”

“ป่วยอะไร” คนเป็นแม่ไม่รับสมอ้างด้วย ทำให้รุ่งโรจน์ยิ้มในวงหน้า..สุริยาจึงแอบหยิกที่ด้านหลัง..ถามไถ่สุขทุกข์อยู่พักใหญ่ สุริยาจึงรีบพารุ่งโรจน์ออกมาจากบ้าน

“มีเรื่องจะปรึกษา” สุริยาเริ่มประเด็นเมื่อรถออกวิ่งมาทางอำเภอลาดยาว

“ผมรับปากจะหากฐินมาทอดสร้างรั้ววัด..ผมอยากบอกบุญคุณ..”

“น้อยใจจัง นี่ถ้าไม่มีเรื่องนี้..คุณก็คงไม่” ว่าแล้วก็ถอนหายใจออกมา ก่อนจะถามว่า

“กฐินอะไร..” รุ่งโรจน์ย้อมถาม ใบหน้าเรียบเฉยไร้รอยยิ้มผิดตอนอยู่ที่บ้าน สุริยารู้ว่าควรที่รุ่งโรจน์จะน้อยเนื้อต่ำใจจริง ๆ แต่จะให้ทำอย่างไรได้ เรื่องที่ดำเนินต่อไป คือประโยชน์เกื้อกูล เหนี่ยวรั้งวันเวลาดี ๆ ที่จะได้อยู่ด้วยกัน

“บุญกฐิน สามารถทำได้ปีละครั้ง วัดหนึ่ง ปีหนึ่งทำได้ครั้งเดียว และวัดนั้นต้องมีพระจำพรรษา อยู่ 5 รูป กฐินก็คือผ้าไตรจีวรสำหรับเปลี่ยนให้กับพระสงฆ์ที่อยู่จำพรรษา คือเปลี่ยนผ้าใหม่ให้พระ”

สุริยาเล่านิทานต้นบัญญัติ พูดถึงอานิสงส์ที่จะได้รับ โดยที่รุ่งโรจน์ พยายามซักถามด้วยน้ำเสียง รวน ๆ อยู่ตลอด สุริยารู้ว่ารุ่งโรจน์เข้าใจที่ได้ยิน แต่แกล้งที่จะให้เขาเล่า อยากเห็นเขาอดทนที่จะบอกบุญ

“โอเค ผมไม่เข้าใจจริง ๆ ว่ามันคืออะไร แต่ผมจะเป็นประธานให้แล้วกัน คุณไปจัดการได้เลย สองแสนพอไหม”

สุริยาคำนวณรั้วที่จะก่อสร้าง ถึงไม่พอก็ถือว่าได้จำนวนมาก ของเขาอีกจำนวนหนึ่ง ทางสายบุญของผู้ใหญ่บ้านอีก คงใกล้เสร็จเต็มที

“คุณว่าเป็นบุญใหญ่ ทำได้ยาก ผมอยากรู้ว่าบุญนี้จะทำให้ผมมีคุณตลอดไปได้ไหม..” รุ่งโรจน์หันมาจ้องหน้า

“คุณรุ่ง..เราน่าจะคุยกันรู้เรื่องนะ”

“รู้เรื่องแล้ว คุณทำไมต้องหนีผมมาที่นี่ด้วย..คุณโกหกว่าแม่ป่วยทั้งที่แม่ก็ยังดูสบายดี..คุณหนีความจริง คุณรับกับความจริงที่จะเกิดขึ้นไม่ได้ แล้วทำไมคุณไม่หาความสุขใส่ตัวเล่า”

“ยอมเจ็บดีกว่ายอมเป็นคนผิด เอาเถอะ คุณหมั้นกับคุณดี้ แล้วคุณก็ไปตามวิถีแห่งคุณเถอะ สักพักผมคงจะดีขึ้น” สุริยาไม่ปิดบังความรู้สึกที่แท้จริง

“แต่ตอนนี้ผมยังเป็นอิสระ ผมยังมีสิทธิ์จะทำตามใจตน ดังนั้น เมื่อกี้คุณขอให้ผมเป็นเจ้าภาพกฐิน ผมยอมคุณ..แต่ตอนนี้ผมจะขอคุณบ้าง ตราบใดที่ผมยังไม่ได้แต่ง ขอให้เราเป็นเหมือนเดิม ขอให้เราได้อยู่ด้วยกันอย่างวันเก่าได้ไหม”

“ไม่ได้” สุริยาตอบอย่างไม่ต้องคิด

“ถ้าไม่ได้ ผมก็ไม่”

“อย่าเอาเรื่องอื่นมาต่อรองเรื่องบุญกุศล” สุริยาเสียงกร้าวขึ้น รู้สึกโมโหนิด ๆ เพราะเคยบอกไปแล้ว ให้ทำบุญด้วยจิตที่เลื่อมใสศรัทธา ก่อนให้ก็ดีใจ ระหว่างให้ก็เลื่อมใส หลังจากที่ให้แล้วให้ระลึกนึกถึงผลบุญด้วยความปลาบปลื้มใจ

รุ่งโรจน์เหยียบเร่งน้ำมันขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงนครสวรรค์ รถเลี้ยวซ้ายเข้าอำเภอชุมแสง ป้ายบอกทางเขียนว่าจังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิ ประตูสู่อีสาน

“คุณจะไปไหน..”

“ไปภูกระดึง”

“แล้วงานที่ยุ่ง ๆ ที่คุณว่า..”

“ผมจัดการเรียบร้อยแล้ว แสงทองสบายดี มีคนช่วยและผมก็บอกกับแสงทองไปแล้วว่าเราสองคนเป็นกิ๊กกัน”

สุริยาหันมาหารุ่งโรจน์มีสีหน้าตกใจอย่างมาก รุ่งโรจน์ยิ้ม ๆ

“แสงทองบอกผม เธอรู้ตั้งแต่อยู่เชียงของแล้ว วันนั้นน่ะ วันที่เรา กอดกันอยู่ที่ระเบียงบ้านพัก..” สีหน้าของรุ่งโรจน์ตอนนี้ดูเป็นต่อจนน่าหมั่นไส้

“เพราะคุณ” สุริยาขบเคี่ยวเขี้ยวฟัน

“คุณเชื่อ”

“ก็เป็นไปได้นี่” สุริยาเริ่มลังเลหวั่นไหวกับคำบอกเล่า..

ถึงมันเป็นเรื่องจริง ๆ แต่มันก็เป็นเรื่องหน้าอายด้วย โดยเฉพาะกับผู้หญิงคนหนึ่งที่มาแอบหลงรักเขา และถ้าเขามีความเป็นสุภาพบุรุษสักนิด จริง ๆ ควรที่จะสารภาพผิดนี้ซะ..

“..เวลาผมกับคุณ เวลาของเราเหลือน้อยลงแล้ว..ผมต้องตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่ ผมต้องทำหน้าที่สามีที่ดี ผมต้องรับผิดชอบต่อครอบครัวทำธุรกิจการงาน จึงจะได้ชื่อว่าลูกกตัญญู หัวใจผมจะเป็นอย่างไร ต่อไป ผมไม่อยากจะคิด ผมรู้ว่าคุณไม่อยากทำผิด ไม่อยากเป็นคนบาป หรือถ้าคุณอยากเป็นคนบาป คุณก็ไม่อยากเป็นที่สองรองใคร เวลาที่เหลืออยู่ ก่อนที่ผมจะแต่งงานหลังปีใหม่ ผมอยากอยู่กับคุณตามลำพัง..เราจะไปด้วยกันทุก ๆ ที่ ลงจากภูกระดึง เราจะไปหนองคาย จะไปเที่ยวให้ทั่วอีสาน..หลังจากนั้นเราจะเป็นแค่เพื่อนกัน จริง ๆ ถ้าผมรักจะเดินบนทางสายนี้ มีผู้คนในแบบเรา ๆ ให้ผมเลือกเยอะแยะ..แต่ผมรักคุณไปเสียแล้ว”

สุริยาเมินหน้ามองข้างทาง คิดในใจว่า ‘ผมก็รักคุณไปเสียแล้วเช่นกัน’

อยากร้องไห้ อยากเปิดประตูรถกระโดดลงไป มั่นใจว่าทำใจได้แล้ว ยิ่งช่วยกันสานก็จะยิ่งเจ็บ หลังปีใหม่..หลังปีใหม่..ปี 48 เขาจะเป็นอย่างไร แค่คิดหัวใจก็จะหยุดเต้นแล้ว

รุ่งโรจน์ดึงมือสุริยามากุมไว้

“วันนี้คุณดีใจที่เห็นผมใช่ไหม ผมก็ดีใจที่ยังมีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของคุณ..ผมขอโทษที่ทำให้คุณต้องมีความทุกข์ แต่อะไรก็ตามที่คุณคิดว่า คุณได้มาแล้วจะทำให้คุณมีความสุข ผมจะให้คุณทุกอย่าง..ยกเว้นการให้ผมเดินไปจากคุณในวันนี้”

เมื่อจำนนต่อเหตุผลและความรู้สึกของตน สุริยาจึงต้องปล่อยให้รุ่งโรจน์เป็นคนบงการเวลาที่เหลืออยู่ อย่างรู้สึกโมโหกับอำนาจกามราคะของตน..

ไหน ๆ ก็ต้องเจ็บ ก็ไม่ขอแค่เจ็บปวดอย่างนี้ ขอเจ็บเจียนตายแล้วกัน
-------------------------------------------------------------------------
รถคันนั้นแล่นมาถึงอุทยานแห่งชาติภูกระดึง ในเวลาพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว สุริยาลงไปถามที่ป้อมยาม ถึงข้อปฏิบัติการเดินขึ้นสู่ยอดภู

0700น. ถึง 14.00น. ระยะทาง 5.5 กม.ทางชัน และทางราบอีก 3 กับการเช่าเต็นท์ ถุงนอนและผ้าห่มกี่ผืนก็ได้ตามแต่กำลังเงิน อาหารตกประมาณจานละ 30-40 บาท เพราะของทุกอย่างข้างบนต้องจ้างลูกหาบขน ในราคา กิโลกรัม ละ 10 บาท..

“พรุ่งนี้ถึงจะขึ้นได้ เย็นนี้เราไปหาที่พักกันเถอะ..”

“ในนี้ไม่ได้รึ” รุ่งโรจน์เดินกลับมาจากห้องน้ำ ใบหน้ามีหยดน้ำเกาะจนชุ่ม...สุริยาดึงผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าเสื้อมาซับให้ ปากก็พูดไปว่านอนในที่ทำการข้างล่างไม่ได้ด้วยเหตุใด..

“ต้องจองและจ่ายล่วงหน้า จากกองอุทยานแห่งชาติ”

...รุ่งโรจน์เม้มปากหลับตา..สุริยาเพ่งมองใบหน้าเกลี้ยงเกลาจนเต็มตา และก็อดที่จะใจแป้วไม่ได้..ใบหน้านี้วันหน้ากำลังจะเป็นของคนอื่น จมูกนี้คนอื่นจะมาคลอเคลีย..เป็นเจ้าข้าวเจ้าของ

เมื่อลดมือลง เขาจึงรีบหันหลังเพื่อกั้นความรู้สึกสูญเสีย

“งั้นเราต้องออกไปหาที่นอนข้างนอก..ไปเถอะ”

ที่ร้านอาหารในตัวอำเภอ รุ่งโรจน์ยิ้มแย้มเอาอกเอาใจ ดูมีความสุขเสมือนว่าระยะทางจากปางศิลาทองถึงภูกระดึงใกล้แค่ดอนเมือง-รังสิต..สุริยาเองก็พยายามที่จะทำให้เป็นปกติบริสุทธิ์ใจไร้เดียงสาเฉกวันที่ได้พบกันที่ปางจันทร์

รุ่งโรจน์สั่งเบียร์ยี่ห้อที่ตัวเองเป็นพรีเซนเตอร์มาหนึ่งขวด..เด็กที่เดินมาบริการยิ้มให้..พร้อมกับยื่นกระดาษขอลายเซ็น

“รู้ไหมว่ามันไม่ดีเลย..” สุริยาหน้าบึ้ง..

“เรื่องนี้ แสงทองฟ้องผมแล้ว แต่ทำไปแล้วนี่ ทำไงได้ เงินดีด้วยนะ..เจ็ดหลัก..ทำบุญสร้างวัดสักครึ่งก็ได้นะ” คนพูดยกเบียร์ขึ้นจิบ ทำท่าสุขสดชื่นแบบในสปอร์ตโฆษณา

“เงินไม่บริสุทธิ์ ได้บุญน้อย”

“แต่มันสุจริต เขาเต็มใจให้นะ..อย่าพูดเรื่องพวกนี้เลย ทะเลาะกันเปล่า ๆ ผมเปลี่ยนตัวเองขนาดนี้แล้ว คุณยังไม่พอใจอีกเรอะ..เอาน่าคุณยะ..หยวน.. ๆ”

สุริยาจำต้องเงียบแล้วก็เปลี่ยนเรื่องใหม่

“ถ้าคุณกินเบียร์แทนน้ำอย่างนี้ พรุ่งนี้คุณจะมีแรงเดินขึ้นยอดภู เรอะครับ..”

“ไล่ความหนาวเย็น..และที่สำคัญผมมากับคุณ คุณคงไม่ทิ้งผมหรอก…ใช่ไหม..”

อาหารค่ำท่ามกลางบรรยากาศหนาวเย็นมื้อนั้น รุ่งโรจน์สั่งอาหารที่ดีที่สุดมาตั้งมากมาย...สุริยาพยายามห้ามปราม แต่เขาก็บอกว่า

“ผมอยากให้คุณได้ลอง ได้รู้ ได้เป็นในสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่ผมมีอยู่ รับไปเถอะครับ”

สุริยาจำนนเหตุผลนั้น..ในขณะที่ใบหน้าเริ่มแดงและดวงตาเริ่มฉ่ำเยิ้มด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์..รุ่งโรจน์ก็พล่ามความในใจที่สุริยาแทบตัวลอยอีกหลายประโยค

“ผมจะพยายามดันคุณขึ้นให้เป็นดาวประดับเมืองให้ได้..ผมจะทำรายการโทรทัศน์กับคนรู้จัก เริ่มต้นจะให้คุณเป็นพิธีกรภาคสนาม พาคนไปไหว้พระธาตุเจดีย์ทั่วไทยอย่างที่คุณต้องการ หลังจากนั้นพอคุณเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตาทางโทรทัศน์แล้ว อาจจะมีโฆษณาสินค้าตามมาสักสองสามตัว พอคุณมีงานที่ได้เงินมาง่าย ๆ คุณก็เปลี่ยนที่อยู่ ซื้อรถขับ มีธุรกิจทัวร์ติดดาว มีชีวิตในแบบใกล้เคียงกันกับผม ถึงเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ผมก็อยากเห็นคุณอยู่ในสายตาตลอดไป คุณว่าดีไหม..”

สุริยาไม่ตอบ..ด้วยทั้งหมดมันยังมาไม่ถึง รึถ้ามันเป็นไปได้จริง ๆ ตัวเองก็ไม่รู้ว่าจะทำในสิ่งที่รุ่งโรจน์พูดได้หรือเปล่า..

อยู่ในหัวใจ อยู่ในสายตา..แต่ไม่มีวาสนาได้อยู่ร่วมกัน..สุขหรือทุกข์..


ในเวลาประมาณหกโมงเช้า พระอาทิตย์ยังไม่ทันจะโผล่พ้นยอดไม้ ผู้คนหลากวัยมากหน้าหลายตาก็ถือเป้สะพายกระเป๋าไปยืนต่อคิวเสียค่าธรรมเนียมขึ้นภูกระดึง ชั่งน้ำหนักกระเป๋า รับบัตรสัมภาระเป็นขบวนยาวด้วยสีหน้าชื่นมื่นประหนึ่งกำลังจะพากายนี้ไปสู่ในที่สุขแสนสุข

มนต์เสน่ห์ของภูเขายอดตัดรูปหัวใจ ความยากลำบากในการเดินทางไม่มีผลต่อความใคร่รู้ ศึกษาในเรื่องความรัก..มาเพื่ออะไร...ลำบากก็ลำบาก..น่าจะมีกระเช้าไฟฟ้า..

รอเวลาให้ถึงเจ็ดโมงเช้า รุ่งโรจน์เดินเกาะบ่าสุริยาเดินดูข้อมูลที่ศูนย์บริการ เห็นสมุดลงความเห็นว่าควรมีหรือไม่มีกระเช้าไฟฟ้า..สุริยายืนอ่าน..ส่วนใหญ่เห็นว่าไม่ควรมี..เพราะจะขาดความเป็นภูกระดึง..รึต่อไปถ้ามันมี..ความเป็นภูกระดึงจะเป็นอย่างไร..เมื่อยังไม่ได้ขึ้นก็ยังไม่รู้..ไม่ออกความคิดเห็น

จุดเริ่มต้นทางขึ้นเขามีซุ้มบอกไว้สวยงาม พร้อมกับป้ายให้รู้ว่า..

“ครั้งหนึ่งในชีวิตขอพิชิตภูกระดึง.”

ผู้คนที่ต้องเดินร่วมทางมีสีหน้าเบิกบาน มาเป็นกลุ่มเฉพาะชาย เฉพาะหญิง และมาเป็นคู่เดี่ยว คู่ผสม และคี่...ไอ้ที่คี่สุริยาอดคิดไม่ได้ว่า..จะมาหาคู่ข้างบนหรือเปล่า..

ผ่านซำแฮกมาได้ รุ่งโรจน์ก็เหนื่อยหอบนั่งพักหายใจแฮก ๆ สมชื่อ..สุริยาส่งผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อให้ ส่งขวดน้ำให้ดูด..ส่งมือรั้งให้ยืนและก้าวเดินไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน..

เสน่ห์ที่หนึ่งของภูกระดึงคือการได้ช่วยเหลือกัน ร่วมทุกข์กันระหว่างเพื่อนกับเพื่อน ระหว่างคนรักกัน หรือกำลังรักกัน เสน่ห์ที่สองเห็นจะอยู่ที่ภูมิประเทศ อากาศที่เย็นยะเยือกทั้งที่มีแสงแดดสาดส่อง เสื้อผ้านักเดินทางส่วนใหญ่ จึงมีสีสันราวตัวละคร

..เสน่ห์ต่อมา คือ ภาพของความรัก เพื่อนกับเพื่อน ฉุดกระชากลากถูให้กำลังใจที่จะก้าวพ้นความยากลำบากตรงหน้า ตรงทางสูงชัน ตรงก้อนหินที่ต้องป่ายปีน..เขาทำได้ เราก็น่าจะทำได้..ประคับประคองกันเดินไป จุดหมายปลายทาง ความปรารถนาคือความสุข ข้างบนคือ ความสุข ..ชีวิตที่ผ่านอุปสรรคไปได้จะมีรางวัลคือความสุข

และที่สุริยารู้สึกขัดแย้งในใจคือภาพเด็กวัยรุ่น..วัยที่กำลังใช้เงินพ่อแม่เพื่อศึกษาเล่าเรียนพากันมาปีนป่ายค้นหาบางอย่างของชีวิต.. มันถึงเวลาแล้วรึ..แต่อีกหนึ่งมุมก็คิดว่าถ้าไม่มาตอนกระดูกยังอ่อน พอถึงเวลาทำงานก็จะมาเสียเวลาที่นี่นาน ๆ ก็ไม่ได้..หรือพอหมดงานเกษียณอายุ สังขารก็ร่วงโรย..

เอ๊ะ..ควรหรือไม่ควรมีกระเช้า..คิดไม่ออก..จนกระทั่งผ่านซำแคร่ถึง..หลังแป..ก็พบป้าย ครั้งหนึ่งในชีวิตเราคือผู้พิชิตภูกระดึง..กับภาพที่ลูกหาบปลดสัมภาระหนักห้าหกสิบกิโลลงจากบ่า..ใส่รถเข็น..

คนทุกคนปรารถนาความหลุดพ้นจากความยากลำบาก จากความยากจน จากทุกข์ประจำใจ อดทนอดกลั้นเท่านั้นจึงจะผ่านมันไปได้

แต่สุดท้ายก็กลับไปเริ่มต้นใหม่ ซ้ำ ๆ ซาก ๆ ..ชีวิตที่เป็นอยู่ก็เฉกเดียวกัน..วน ๆ เวียน ๆ ซ้ำซาก

เบื่อกับความเป็นคนสองอารมณ์ของตน เห็นอย่าง คิดอย่างที่เห็นกลับคิดอีกอย่าง..

ในเวลาคล้อยบ่าย แดดยังจ้าแต่สายลมเย็น เสียงใบสนซ่าซ่าน..รุ่งโรจน์กับสุริยาเช่าจักรยานปั่นไปศูนย์วังกวางเคียงกัน ทำเรื่องเช่าเต็นท์ เช่าเครื่องนอน รับสัมภาระจากลูกหาบมาเก็บ รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะพากันออกไปชมพระอาทิตย์ตกดินที่ผาหมากดูก

พระอาทิตย์ตกดินที่ไหนก็เหมือนกัน คือหายไปแล้วก็ทิ้งความมืดมนเคว้งคว้างไว้ให้ผู้คนต้องวุ่นวาย..หรือว่าได้หยุดวุ่นวายเตรียมตัวพักผ่อน..มันมีสองด้านในหนึ่งสิ่ง

ในเวลาที่พระอาทิตย์ตกดินตรงนี้ คนอีกซีกโลกคงรอคอยให้มันขึ้นมายังความสว่างไสว..
ถ้าคนทางนี้ทำให้มันไม่ตกดินได้ คนอีกทางจะเป็นอย่างไร..

อัศจรรย์ กับผู้คนหลายร้อยคน มีรอยยิ้มมีแววตาเปี่ยมไปด้วยความสุขจากการเป็นผู้สามารถปลดภาระมาหยุดมองสภาวะของธรรมชาติด้วยกันได้..ลมเย็น ๆ ทำให้คิดไปได้เรื่อยเปื่อย คลายจากเรื่องหนักในใจตน..นั่นคือประโยชน์ของการเที่ยว

สุริยาพยายามจดจำภาพพระอาทิตย์ดวงกลมโตสีแดงไว้ในดวงจิตแล้วน้อมมาไว้ที่กึ่งกลางท้อง พร้อมกับภาวนา..

โลกภายในมีที่ให้ท่องเที่ยวอีกแยะ..หากทำได้ ไปได้..คงจะดี..

“คิดอะไรรึคุณยะ..” คนถามมีหมวกแก๊ปช่วยอำพรางใบหน้า เพราะตั้งแต่ขึ้นมา พอมีคน
จำได้ ความเป็นส่วนตัวของรุ่งโรจน์ก็แทบจะหายไป..

“เชื่อหรือยังว่าไม่มีใครได้ดั่งใจไปทั้งหมดหรอก เหรียญมีสองด้านฉันท์ใด มีได้ ก็ต้องมีเสีย มีสุขมีทุกข์ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มีสรรเสริญและก็มีนินทา.. เทียบระหว่างอยู่อย่างมีตัวตนอย่างที่คุณกำลังเป็น กับอยู่อย่างไร้ตัวตนอย่างผม ..คิดไม่ออกเหมือนกันว่าปรารถนาอะไร..เงินตัวเดียว ทำให้คนทิ้งความสงบสุขได้..แต่โอกาสนั้นเป็นของคุณแล้ว ทำโอกาสให้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นบ้าง ไม่ใช่ ทำให้เขาลุ่มหลงกับความฟุ้งเฟ้อบ้า ๆ บอ ๆ ไร้สาระ..หลอกว่าสุข ๆ ๆ ไปวัน ๆ ..”

“ผมจะพยายามเข้าใจคุณ..”

เมื่อปั่นจักรยานกลับมาถึงที่พัก สองหนุ่มก็ไปนั่งละเลียดอาหารเข้าปาก..พร้อมกับรีบชาร์ตแบต กล้องดิจิตอล..เอาไว้ถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นจากมุมโลกในวันพรุ่งนี้..

“นี่เห็นป่ะ..” รุ่งโรจน์เปิดกล้องให้ดูรูป ชายหญิงช่วยเหลือกันระหว่างเดินทางขึ้นมาบนยอดภู..และจูงมือกันเดินระหว่างทางไปผาหมากดูก..บางภาพก็เป็นภาพระหว่างที่ดึงไม้ดึงมือขึ้นสู่ยอดเขา..

“เก็บมาทำไม ไม่รู้จักสักหน่อย”

“อาจจะมีคนเก็บภาพเราสองคนไปบ้างก็ได้นะ..”

“กลับไปอาจจะเลิกกันก็ได้ ภาพมันค้างมันหยุด แต่ใจมันหมุนตามเวลาไปได้เรื่อย”

“ผมดีใจที่ได้ขึ้นมากับคุณนะ..” รุ่งโรจน์จะยัดตัวเข้าถุงนอนเดียวกับสุริยา แต่สุริยารีบผลักไส..

“แคบนิดเดียวนอนได้อย่างไร..ของคุณก็มี ถุงใครถุงมันซิ..”

“นอนคนละถุงผมจะกอดคุณได้อย่างไรเล่า..” รุ่งโรจน์เกาหัว..เผยความในใจ สุริยารีบเมินหน้าหนี ด้วยกลัวใจตนเอง ยิ่งรู้ว่าต้องสูญเสียก็ยิ่งอยากครอบครอง

“เสียงดังไป เดี๋ยวไอ้พวกเต็นท์ ข้าง ๆ กลายเป็นนักข่าวขึ้นมาคุณจะได้ขายหน้า น้องดี้ถอนหมั้นหรอก”

“ถ้าเป็นเช่นนั้นได้ก็ดี ผมจะได้โสดเป็นเพื่อนคุณไปนาน ๆ ..พาคุณเที่ยวไปนาน ๆ ไม่ดีรึ”

“เมื่อคุณแต่งงานกับเธอแล้ว คุณต้องรักเธอให้มาก ๆ นะคุณรุ่ง..อย่าเป็นต้นเหตุให้ชีวิต
ครอบครัว หรือชีวิตของผู้หญิงอีกคนต้องทุกข์ทรมาน..”

“พ่อผมก็สอนผมเรื่องนี้แหละ ถ้าเลือกแล้วต้องหยุด แต่งแล้วต้องทน ห้ามหย่าเด็ดขาด”


วันรุ่งขึ้นเสียงจ๊อก ๆ แจ๊ก ๆ ของผู้คนในบริเวณลานกางเต็นท์ ปลุกสองหนุ่มให้สะดุ้งเฮือก..ได้เวลาเดินทางไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ไปลานพระแก้ว แล้วก็กลับมากินข้าว..เตรียมออกเดินทาง ไปเที่ยวน้ำตก ลานพระเมตตา สระอโนดาตและผาหล่มสัก

เมื่อเดินคลำทางกันเป็นขบวนไปจนถึงผานกแอ่น คนที่คิดว่าออกมาแต่เช้าแล้ว ยังช้ากว่าประชากรที่เฝ้ารอดูพระอาทิตย์อีกไม่ใช่น้อย

“นี่ถ้าเราตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นที่หน้าต่างบ้านได้ทุกวัน ๆ แล้วทำความรู้สึกให้ได้แบบนี้ เราคงมีความสุขนะ” รุ่งโรจน์เปรยขึ้นมา

“รึถ้าเรามีเวลานั่งเฝ้าดูพระอาทิตย์ตกดินก่อนกินข้าวเย็น เราก็คงมีความสุข..แต่อยู่ที่กรุงเทพฯ ทำอย่างนั้นไม่ได้..วิถีชีวิตมันบังคับ ดังนั้นเมื่อคนมีความรู้สึกว่าว่าง จึงต้องทำตัวให้ยุ่ง คนจึงไม่มีคำว่าว่าง..”

“ดูคุณคิดอะไรได้สาระเยอะแยะเชียว ผมอยู่กับคุณแล้วผมรู้สึกเย็นใจประหลาด”

“ก็พอได้อยู่กับธรรมชาติ ปลดภาระที่มันหนักอึ้งออกเสียได้ หัวสมองเราก็จะได้คิดได้นึกอีกอย่างออกมา เป็นคนจัดทัวร์นี่คุณรุ่ง ถ้าไม่คิดให้แตกต่าง ไม่ขายความคิดอื่นให้คนอื่นได้คิดตาม มันก็ทำงานไม่สนุก..โดยเฉพาะทัวร์ของเรา เน้นที่จิตวิญญาณ ศาสนา ความเปลี่ยนแปลงทางสายตาที่ต้องส่งผลถึงทางใจ ส่งให้ถึงภพชาติเบื้องหน้า มันจึงยากทับทวีคูณ”

สองหนุ่มผลัดกันอยู่หน้าเลนส์เหมือนกับคนอื่น ๆ

“ถ้าตอนนี้เราไปอยู่ที่ผาหมากดูกกับผาหล่มสักคุณว่าเราจะเป็นอย่างไร..”

“คุณก็ต้องนั่งรอให้พระอาทิตย์เดินทางมาตกตอนหกโมงเย็น คุณรอไหวรึ..”

“ถ้ารอแล้วมันมาก็น่ารอนะ..”

“รอไปตั้งสิบสองชั่วโมงนะ กว่ามันจะเดินทางไปถึง..แล้วพอมันไปถึง มันก็รีบลาจาก ไปหาคนที่รอมันอยู่อีกฝั่ง”

“เข้าใจคิดแฮะ ถ้าอย่างนั้น เราควรจะรอดูพระอาทิตย์ขึ้นใช่ไหม เพราะเราจะได้อยู่กับมันถึงสิบสองชั่วโมง”

“แต่บางทีเราก็อยากให้มันอยู่กับเราอีกสักสามสี่ชั่วโมง แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นเราจึงต้องรีบใช้ประโยชน์จากมันภายในสิบสองชั่วโมง”



จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 มิ.ย. 2554, 10:47:46 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 มิ.ย. 2554, 10:47:46 น.

จำนวนการเข้าชม : 1661





<< 26.   28. >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account