อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง # ชอนตะวัน (จบแล้ว)
สำหรับเรื่องนี้เป็นงาน y ครับ..ถ้าไม่ชอบกากบาทสีแดงขอบบนขวา แต่ถ้าชอบก็จะมีศาสนาประกอบกันไปด้วยครับ เรื่องนี้เขียนไว้นานแล้ว ตั้งแต่ปี 49

พิมพ์รวมเล่ม แบบปริ้น ออน ดีมาน
450 หน้า ราคาขาย 350 บาท พร้อมค่าจัดส่งครับ..

สอบถามเพิ่มเติม f_nakhon@hotmail.com


ปล. เคยโพสต์ในบล็อกเมื่อปี 50 มาแล้วหนึ่งครั้งครับ...
Tags: งาน y + ศาสนา

ตอน: 29.

29.

ขณะเดินกลับมา มือข้างซ้ายของสุริยาถูกมือข้างขวาของรุ่งโรจน์เกาะกุมสอดนิ้วบีบรัดไว้ สุริยาพยายามพูดให้รุ่งโรจน์ปล่อย แต่รุ่งโรจน์ยังเฉย สุดท้ายพอใกล้ถึงบ้าน

“ในที่สุดคุณก็ต้องปล่อยมือผมอยู่ดี..”

สุริยาเดินนำกลับเข้าที่พัก ..พบว่าสองสาวจัดโต๊ะอาหารด้านหน้าบังกะโลที่พักเรียบร้อยแล้ว

“มื้อนี้ไม่เกี่ยวกับงบในเกมส์ประหยัดนะคะ..ดี้เป็นเจ้าภาพเลี้ยงฉลองมิตรภาพของพวกเราค่ะ”

“แต่เราตั้งใจว่าจะเล่นเกมส์ตลอดการเดินทางนะครับคุณดี้ ไม่ใช่ว่าเป็นเงินของใครที่เสนอตัวมาเลี้ยง..แล้วทำให้เราประหยัดได้” เมื่อถูกรุ่งโรจน์ตำหนิสีหน้าของดาราวดีดูแย่ลง

แสงทองรีบพูดให้บรรยากาศดีขึ้น

“ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว..นอกเกมส์สักมื้อแล้วกัน จริง ๆ หนูก็อยากกินดี ๆ ด้วยล่ะคะ..วันนี้เล่นน้ำจนตัวเบา จะกินก่อนอาบน้ำหรือว่าจะอาบน้ำแล้วมากิน”

เพื่อไม่ให้บรรยากาศตึงเครียดนาน ๆ สุริยาจึงว่า

“กินกันก่อนดีกว่าครับ ผมก็หิวแล้ว”

ขณะนั่งกินข้าว ทั้งสามคนเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องเกมส์ประหยัด เพราะรู้อยู่แก่ใจว่า..ที่ทำงานกันหนัก ๆ ก็หวังที่จะมีกินดีอยู่ดีกันทั้งนั้น

ค่ำคืนนั้น..พออิ่มท้องสองสาวก็รีบกระโดดขึ้นเตียงซุกตัวนอนอยู่ใต้ผ้า
ห่มผืนเดียวกันหน้าตาเฉย..ส่วนสองหนุ่ม..ยังเก้ ๆ กัง ๆ

สุริยาคว้าหนังสือข้อมูลชุมพรออกไปนั่งอ่านที่โต๊ะด้านนอก..ส่วนรุ่งโรจน์นอนเปิดโทรทัศน์ดูด้วยท่าทีกระสับกระส่าย

“ยังไม่นอนหรือคุณยะดึกแล้วนะ” รุ่งโรจน์เปิดประตูออกมา สุริยาเผลอสบตารู้ว่ารุ่งโรจน์คิดอะไร นานหลายวันที่ไม่ได้นอนเตียงเดียวกัน

“นอนก่อนเลยคุณรุ่ง ผมยังอ่านหนังสือไม่จบ..” รุ่งโรจน์เดินออกมา หยิบหนังสืออีกสามสี่เล่มมาเปิด ๆ ดูบ้าง



“ประวัติกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์..”

“องค์บิดาแห่งทหารเรือไทย....พรุ่งนี้เราจะไปที่
ศาลเรือรบหลวงชุมพรกันนะ ไปกราบสักการะระลึกนึกถึงคุณของพระองค์ท่าน..”

“ดูคุณชอบมากเลยนะกับการไปกราบองค์นั้นองค์นี้”

“โดยส่วนตัวผมอยากไป แต่ลูกทัวร์ที่ผมไม่พาแวะ ก็อย่างว่า นานาจิตตัง..คิดไม่เหมือนกัน บางคนก็ไม่อยากกราบ บางคนเขาก็อยากกราบ..ก็แล้วแต่เขา แต่สำหรับพระพุทธเจ้า ผมอยากให้ทุกคนได้กราบ..โดยเฉพาะคุณ..”

“คุณรักผมนี่” รุ่งโรจน์ทึกทักเอา..

“ผมรักทุกคนแหละคุณรุ่ง..ไม่ซิผมไม่ได้รัก ผมแผ่เมตตาให้ทุกคนต่างหาก ปรารถนาเห็นคนอื่น ๆ มีสุขด้วยบุญ กุศลและคุณงามความดีแห่งตนก็เท่านั้น..”

“แต่คุณรักผม..ผมรู้..”

สุริยาจ้องหน้าก่อนจะยิ้มแบบเหนื่อยใจให้..

“ผมมีดีตรงไหน..ทำไมคุณถึงได้..”

“มีดีตรงที่คุณรู้จักรักและเมตตาคนอื่นไง คนดี ๆ อย่างนี้จะไม่ให้ผมรักได้อย่างไร..โอเค นอนเถอะดึกแล้ว..ผมง่วงแล้ว”

“หวังว่าคืนนี้คุณคงไม่นอนกอดผมให้คู่หมั้นคุณเห็นนะ...” สุริยารีบพูดเรื่องความลำบากใจให้ได้รับรู้ไว้

“ถ้าผมจะนอนกอดคุณล่ะ”

“ผมคงจะหนีลงมานอนข้างล่าง”

“ถ้าผมตามลงมา”

“ผมก็จะลุกออกมานั่งอ่านหนังสือ..ไปเถอะ..เลอะเทอะแล้ว..” ขณะเก็บหนังสือใส่กระเป๋า

“สงสารประจวบกับชุมพรจังเลยเนอะ..ใคร ๆ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป หาได้อยู่ในสายตาไม่ ทั้งที่มีแต่ที่เที่ยวดี ๆ เยอะแยะ..คนหนอคนตรงไหนก็ทะเลเหมือนกัน ทำไมจะต้องดั้นด้นไปถึงที่ไหน ๆ ให้เปลืองก็ไม่รู้”

“ผมก็สงสารตัวเองเหมือนกัน ทำอย่างไรหนอคุณถึงจะรับรักผมสักทีก็ไม่รู้”
-------------------------------------------------------------------------
หลังจากอาหารเช้าที่ตลาดกลางเมืองเสร็จสิ้น รุ่งโรจน์ก็ขับรถพาไปที่ศาลเรือรบหลวงชุมพรตามที่สุริยาต้องการ..เช้าวันนั้นแสงทองตื่นแต่เช้าไปเล่นน้ำทะเลอย่างที่เจ้าตัวบอกไว้ตั้งแต่เมื่อวานตอนค่ำ..ส่วนดาราวดีและรุ่งโรจน์นอนหลับอุตุโดยไม่สนใจว่าเวลาจะล่วงเลยไปเท่าไหร่ เขาและเธอแก้ตัวในร้านอาหารมื้อเช้าที่เกือบจะเป็นมื้อเที่ยงว่า..นั่งรถเพลียและนอนดึกเกินไป..

ในเวลาหลังเที่ยง หลังจากที่รถคันโก้ไต่ขึ้นเขาสู่เมืองระนอง อีกฝั่งทะเลของแผ่นดินไทย สุริยาก็สั่งให้คนขับพาไปที่น้ำพุร้อนรักษะวาริน..เมืองระนองฝนตกบ่อย ๆ เพียงแค่คิด ทั้งสี่คนก็ต้องนั่งมองสายฝนจากร้านอาหารเล็ก ๆ ริมทาง

“เชื่อเลยว่าฝนแปดแดดสี่จริง ๆ” แสงทองเงยหน้าจากหนังสือ พลางกอดอกมองสายฝนที่ตกกระทบพื้นถนน..“ชอบจังเวลาฝนตก”

ดาราวดีจึงถามต่อว่าเพราะอะไร

“มันเย็นยะเยือกในหัวอกจนต้องการความอบอุ่นง่ะ..”

“จริง ๆ ด้วย” ดาราวดีพยักพเยิดแล้วก็คุยกันเรื่องจุ๊ก ๆ จิ๊ก ๆ แบบผู้หญิง

ส่วนรุ่งโรจน์นั่งหาวหวอด ๆ ก่อนจะขอตัววิ่งตากฝนกลับไปที่รถ

“คงไปนอนหลับน่ะ..” สุริยาออกความคิดเห็น ก่อนจะชวนทั้งสองกลับมาที่รถบ้าง พอไปถึงดาราวดีก็รีบเปิดประตูด้านหน้าเข้าไปนั่งประจำที่ของตน แสงทองประจำที่คนขับ เพราะด้านหลังรุ่งโรจน์นอนเหยียดยาวเสียแล้ว..สุริยาเมื่อเห็นดังนั้นจึงแทรกตัวเข้าไปนั่งตรงที่ว่างด้านขาที่งออยู่แล้วพิงซบไปที่เบาะ นั่งมองสายฝนซัดกระจกดังซ่า ๆ

“รู้สึกดีเหมือนกันเนอะ” ดาราวดีกระชับวงแขนเข้าไปเรื่อย ๆ

สุริยาเห็นภาพนั้นแล้วมองกลับมาทางรุ่งโรจน์ที่นอนตัวงอให้ความอบอุ่นอยู่ข้าง ๆ ตน อีกไม่นานคนสองคนจะอยู่ด้วยกัน แล้วเขาจะไปอยู่ตรงไหน

ค่ำคืนนั้นตั้งใจว่าจะนอนที่อ่าวพังงา แต่ด้วยเสียเวลากับฝนตกกับการอ้อยอิ่งเดินชมเมืองของระนอง ทำให้คณะสำรวจต้องไปหยุดพักรถและพักผ่อนที่หาดเขาหลัก และวันนี้สุริยาได้เห็นพระอาทิตย์ตกน้ำทะเลที่มหาสมุทรอินเดีย มันช่างสวยงามคุ้มค่าคุ้มเวลากับการเดินทางดั้นด้นมาถึงที่นี่ แสงทองเองก็ดูมีความสุขไม่ต่างจากตน ในเวลาที่ยังไม่โพล้เพล้ หญิงสาวเดินอ้อยอิ่งไปทางทิศใต้ท่ามกลางโรงแรม รีสอร์ต หรูหรา พอพระอาทิตย์ตก หญิงสาวก็เดินเนือย ๆ กลับเข้ามาที่บ้านพัก

“ที่นี่โรงแรมหรู ๆ เยอะ แต่ก็เงียบ ๆ เหงา ๆ เห็นมีแต่ฝรั่งมังค่า คนไทยไปไหนหมดก็ไม่รู้”

“แถวนี้มีคลาส คนไทยไม่กล้าแหยมมามากนักหรอก อีกอย่างคนไทยก็ยังไม่ต้องการเที่ยวแบบ เงียบ ๆ จริง ๆ ยังต้องการเห็นทะเลและความเจริญรุ่งเรืองเฟื่องฟูจี๊ดจ๊าดแบบภูเก็ต..และพัทยา”

สักพักดาราวดีกับรุ่งโรจน์ก็เดินกลับมาอีกคู่

“โลกกลมจริง ๆ ไม่คิดว่าจะได้เจอะอาจารย์สมัยที่เรียนอยู่แอลเอ..เกษียณอายุนะคะ ท่านมาพักผ่อน..มาฉลองคริสต์มาสอีฟ..ท่านบอกว่าหลังปีใหม่อยากจะขึ้นเหนือ..นี่ยังอยากให้สุริยาพาเที่ยวเป็นการเฉพาะกิจอยู่เลย”

“แต่ผมไม่ได้ภาษานะครับ”

“จะเสนอคุณรุ่งก็คงไม่ได้ เพราะตอนนั้นเราคงไปฮันนีมูนที่ไหนสักที่ ใช่ไหมคะ..” ดาราวดีหันมาถามความคิดเห็น รุ่งโรจน์เพียงพยักหน้าก่อนจะขอตัวเข้าไปอาบน้ำ

“คืนนี้เราจะออกไปหาอะไร อร่อย ๆ กินกันแถว ๆ ข้างถนนในตะกั่วป่า คุณสองคนอาบน้ำหรือยัง” ดาราวดีดูดีมีความสุขกว่าเมื่อวาน

“ยังเลยค่ะ ..วันนี้ ที่นี่รู้สึกเงียบ ๆ เหงา ๆ จนหดหู่ เศร้า ๆ อย่างไรก็ไม่รู้..” แสงทองบอกความรู้สึก

“ด้วยเหตุฉะนี้ คนจึงต้องการเสียงเพลง และภาพมายามาหลอกตัวเองอยู่เรื่อย ๆ แต่จริง ๆ แล้ว พี่คิดว่าแสงทอง กำลังคิดถึงใครบางคนมากกว่าใช่ไหม

อยากให้เขามาอยู่ใกล้ ๆ ใช่ไหม?”

แสงทองไม่ตอบ ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นแล้วฉุดแขนดาราวดีเดินหนีเข้าบ้านพักไป

และค่ำคืนนั้น สุริยาก็ได้เห็นแสงทองมีโทรศัพท์มือถือแนบหู เดินย่ำทรายกลับไปกลับมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “คงคุยกับหมวดก้อง” ดาราวดีเปรย ขึ้นมา

“แล้วคุณยะล่ะคะ ไม่เห็นมีใครสักคน ถ้าสองคนแต่งงานไปแล้ว คุณไม่เหงาแย่หรือคะ..” สุริยายิ้มขื่น ๆ ก่อนจะตอบว่า

“ที่ผ่านมายี่สิบห้าปี ผมก็อยู่มาได้คนเดียว ถ้าต้องอยู่ต่อไปอีกสักยี่สิบห้าถึงสามสิบปีโดยไม่มีใครสักคน ผมคงอยู่ได้นะ”

“ไม่เคยรักใครเลยรึคะ”

“เคย..แต่อย่ามาสัมภาษณ์ผมเลย ผมสัมภาษณ์คุณดีกว่า ใกล้ถึงวันแต่งงานแล้ว คุณเป็นอย่างไรบ้าง”

“ถ้าบอกว่าชักไม่แน่ใจ คุณจะว่าอะไรไหม”

สุริยามีสีหน้าตกใจ เขามองไปทางห้องพักซึ่งคนต้องถูกกล่าวถึงคงจะดูข่าวอยู่ข้างใน

“พื้นฐานการแต่งงานมันต้องมาจากความรัก คุณก็รู้ว่า เรายังไม่ได้รักกัน แต่งเพียงเพราะความเหมาะสม แต่งเพราะผู้ใหญ่เห็นดีเห็นงาม แต่งเพราะผู้ใหญ่คิดว่าอยู่ด้วยกันก็รักกันมาก ๆ ไปเอง ทั้งที่ดี้โตเมืองนอก ดี้ไม่น่ายอมรับอะไรง่าย ๆ ทุกวันนี้ดี้คิดว่าตัวเองคิดผิดไปหรือเปล่า หลงคารมคุณป้าไปหรือเปล่า หรือว่าเห็นแก่สมบัติมากกว่าความสุขของตนไปหรือเปล่า”

สุริยาถอนหายใจออกมา

“งานถูกกำหนดขึ้นมาแล้วนะครับคุณดี้ ทำใจให้สบายเถอะ คุณรุ่งอาจจะยังเขิน ๆ พวกผมอยู่ก็ได้หลังจากแต่งงานกันไปแล้ว ได้อยู่กันตามลำพังหลาย ๆ อย่างคงจะดีขึ้น”

“ดี้ก็หวังจะให้เป็นอย่างนั้น”

สุริยาเงียบ แต่ในใจพูดว่า ‘ผมก็หวังว่ามันจะเป็นอย่างนั้น’

-------------------------
ด้วย นโยบายประหยัดทำให้มื้อเช้าในวันนั้นต้องฝากท้องไว้กับแม่ค้าที่อำเภอท้ายเหมือง..และจุดมุ่งหมายความใฝ่ฝันอันสูงสุดก็คือเขาตะปู สัญลักษณ์ของทะเลอันดามันอันเลื่องชื่อ..

“กว่าความฝันของใครบางคนจะเป็นไปได้จริง ๆ มันนานเหลือเกิน เห็นภาพนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ คิดดูเถอะ ..”

“ตราบใดที่เรามีความฝัน ตราบนั้นเรายังมีแรงเดิน..ผมเชื่อว่าต่อไปพวกคุณทั้งสองคนจะได้ไปใน ทุก ๆ ที่ ที่คุณอยากไป ดูแต่ฝรั่งนั่นซิ เขาก็คงอยากมาเมืองไทยเหมือนกันหมด แต่ถึงไม่ถึงนั่นก็คือใครจะอยากจนทนไม่ไหวก่อนกันเท่านั้นเอง”

“แล้วเราเอาเปรียบเขาหรือเปล่าคะ ของแถวนี้แพ้งแพง”

“เขาก็เอาเปรียบเราบางเรื่องอยู่เหมือนกัน อย่าไปคิดมากเลย ทีเอ็งข้าไม่ว่า ทีข้าเอ็งอย่าโวย”

นั่งเรือออกมาจากหมู่เกาะในอ่าวพังงาแล้ว รถคันนั้นก็แล่นข้ามสะพานเทพกระษัตรีสู่เมืองภูเก็ตในเวลาบ่ายคล้อย

“ผมไม่ลืมหรอกครับ อนุสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรีและท้าวศรีสุนทร วีรสตรีบุคคลสำคัญในถิ่นนี้ ผมเกิดมาทันสมัยที่ช่อง 3 ทำละครเรื่องสงครามเก้าทัพ ยังชอบอภิรดี กับจริยาจนถึงทุกวันนี้อยู่เลย..”

คนขับรถรีบพูดขึ้นมาเมื่อรถพ้นสะพานที่ทอดจากแผ่นดินใหญ่สู่เกาะภูเก็ต

“คุณดี้ได้ดูเรื่องสะพานรักสารสินไหม”

“ไม่เคยได้ดู..”

“รักกันมาก แล้วถูกขัดขวาง ผูกมือกันกระโดดสะพานตาย” แสงทองต่อให้

“มีจริง ๆ หรือคะ”

“คงมี แต่ไม่ใช่หนูหรอกค่ะ”

“ปัจจุบันเพลงที่ฟังจนติดหูติดใจมันสอนให้พร้อมที่จะผิดหวังอยู่แล้ว ความรักมันฉาบฉวยจนไร้ความมั่นใจว่า ที่ว่ารัก จริงหรือหลอก รักแท้จึงมีอยู่น้อยนิด” สุริยาแทรกขึ้นมา

“คงจะจริง สมหวังก็ดีไป ผิดหวังก็แล้วไป สมัยนี้มีโอกาสได้พบคนมากหน้าหลายตา มีโอกาสเลือกมากกว่าแต่ก่อน แต่มันก็มีเลือกพลาดแล้วชีวิตแย่ลง ๆ ก็มีอยู่ไม่น้อย”

“ดีใจว่าหลอกเขาได้ รู้ไหมว่าตายแล้วจะไปไหน..เกิดมาอีกทีก็ถูกเขาหลอก ให้เจ็บช้ำน้ำใจ..”

พอดีที่รถถึงอนุสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรีและท้าวศรีสุนทร

“เล่าให้ฟังหน่อยซิคะ..” ดาราวดีเอ่ยขึ้นมาด้วยความใคร่รู้

“พี่ยะ บอกหนูว่า จำไว้อย่างหนึ่งนะ แสงทอง อนุสาวรีย์ไม่สร้างคนเลวหรอก..มากราบไหว้จะได้มีกำลังใจทำดี ตอบแทนคุณแผ่นดินบ้าง..ส่วนประวัติความเป็นมาของท่านคงต้องย้อนกลับไปสมัยต้นรัตนโกสินทร์เลยทีเดียว”

แล้วแสงทองก็เล่าให้ดาราวดีฟังจนกระทั่งรถมาถึงวัดพระทอง ซึ่งมีพระผุดอยู่ครึ่งองค์โผล่มาจากดิน..
“ไม่น่าเชื่อนะคะ” ดาราวดียืนอ่านประวัติของท่านจากป้ายแนะนำ

“ปาฏิหาริย์ยังมีอยู่อีกเยอะแยะค่ะ ถ้ามีเวลาและสนใจหนูจะให้ยืมหนังสือพวกนี้..”

“เธอเก่งนะ รู้อะไรตั้งหลาย ๆ อย่าง”

“จริง ๆ ทุก ๆ อย่างที่หนูเป็นในวันนี้ ต้องขอบคุณพี่ยากับพี่รุ่งค่ะ มันไม่ใช่แค่ลู่ทางทำมาหากิน แต่มันได้สิ่งดี ๆ ติดตัวไปถึงภพภูมิเบื้องหน้าทีเดียว คุณดี้ก็เหมือนกัน หนูเชื่อค่ะ ถ้าเราอยู่ด้วยกันไปนาน ๆ คุณดี้อีกคนที่จะพฤติกรรมคล้ายกับพวกเรา”

“พูดเรื่องวัดเรื่องวา เรื่องพระ เรื่องเจดีย์ เจอะวัดมีศาลาโบสถ์สวย ๆ ที่ไหนก็ได้ชะแง้แลเหลียวแล้วก็แวะเข้าไปจุดธูปเทียนกราบไหว้เนี่ยหรือคะ”

“ประมาณนั้น..หนูเชื่อว่าต่อไปพี่รุ่งจะเป็นแบบนั้น..และที่สำคัญ..พี่ดี้รักเขา พี่ดี้ก็น่าจะปรับตัวตามสิ่งดี ๆ ที่เขาทำนะคะ”

“ก็กำลังทำอยู่ แม้มันจะฝืนก็ตามที” น้ำเสียงของดาราวดีหม่นลง

“ถ้าคุณศรัทธา มันก็ไม่อยากหรอกครับคุณดี้” สุริยาช่วยเสริม และทั้งสามคนต้องหยุดพูดเรื่องที่กำลังคุย ด้วยรุ่งโรจน์เดินออกจากห้องน้ำมาสมทบ

“คืนนี้ตกลงจะนอนที่ไหน..แถวป่าตอง คงหาที่นอนยาก เพราะพรุ่งนี้คริสต์มาสฝรั่งคงจะมาฉลองกันเต็มเมือง คนไทยก็เห่อตามเขาไปด้วย รู้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ว่าเขาฉลองเรื่องอะไรกัน”

“วัฒนธรรมผสมผสาน ทีฝรั่งเล่นสงกรานต์พวกอนุรักษ์นิยมก็หน้าบาน แต่พอเราฮาโลวีนบ้างด่าเสียอีก..เห็นแก่ตัวนะ” ดาราวดีเสนอความคิด

ตกลงคืนนั้นหลังจากออกจากวัดฉลองแล้ว ทั้งสี่คนก็ไปนอนโรงแรมสามดาวกลางเมืองภูเก็ต เพราะสะดวกเรื่องอาหารราคาประหยัดและสะดวกที่จะเดินย่ำร้านรวงในสภาพตึกเก่า ๆ ในอดีต..และวันนี้ดาราวดีกับแสงทองก็ขอแยกห้อง เพราะว่าหนึ่งในสองคนมีรอบเดือน จึงต้องการที่จะอยู่เป็นส่วนตัวมากกว่าให้ผู้ชายมาจุ้นจ้านอยู่ในห้องเดียวกัน

และสุริยาก็รู้ว่าเป็นความคิดของใคร

“ฝีมือผมเองก็แค่กระซิบบอกกับแสงทอง ทุกอย่างก็ดูเนียนไม่น่ารังเกียจ..”

“คุณยังไม่เลิกคิดไม่ซื่อกับผมอีกรึคุณรุ่ง”

“ตราบใดที่ผมยังเป็นไม่ได้แต่งงาน ผมก็ยังมีสิทธิ์ที่จะเลือกไม่ใช่รึ..และตราบใดที่คุณยังไม่มีใคร คุณก็มีโอกาสที่จะเลือกผมเช่นกัน”


อาหารค่ำในวันนั้นรุ่งโรจน์และดาราวดีต้องการเป็นอาหารทะเลสด ๆ แต่สุริยาและแสงทองรวมหัวกันค้าน บอกว่า “ขอเอาแบบที่ตายแล้ว ไม่รู้ไม่เห็นดีกว่า”

ดาราวดีชักสีหน้าไม่พอใจ ก่อนจะค่อย ๆ ปรับความรู้สึกตัวเองให้คล้อยตาม

“มันก็คงไม่ดีจริง ๆ ที่ไปยืนชี้ให้เขาฆ่าทั้งที่ยังว่ายน้ำเริงร่า”

“ใจเขาใจเราคุณดี้ เราโชคดีแล้วที่ไม่ได้มีอาชีพฆ่าสัตว์ประทังชีวิต เรายังมีทางเลือก อย่าไปเลือกทางที่ทำให้คนอื่นฉิบหายเลย..ถึงเวลาที่เขาเอาคืนบ้าง มันก็เจ็บไม่แพ้กัน”

“จริงอย่างที่แสงทองว่าไว้เลย อยู่ใกล้ ๆ คุณยะ แล้วรู้สึกเย็นใจอย่างไรก็ไม่รู้”

สุริยายิ้มเมื่อถูกชม และก็เงียบ ไม่ยกตัวให้สูงขึ้นด้วยปากตน หลังอาหารมื้อนั้น สุริยาขอร้องให้รุ่งโรจน์พาไปเดินห้างสรรพสินค้า

“ไปซื้อของครับ..อยากทำบุญ วันอาทิตย์ที่ 26 ตรงกับวันพระ เราจะอยู่กันที่เกาะดีเลย์ กันพอดี และเกาะนี้เกาะเดียวที่มีวัดพุทธ แถมเป็นสำนักปฏิบัติธรรมสำหรับฝรั่งมังค่าด้วย มันเป็นสิ่งวิเศษมาก ๆ ที่เราจะได้ไปที่นั่น และวันพระนี้เป็นวันพระสุดท้ายของปี 47 ผมอยากทำบุญสักหน่อย..ถ้าพระเจ้าสร้างโลกอย่างที่ชาวคริสต์เชื่อ พรุ่งนี้เช้าเราก็ถือโอกาสทำบุญขอบคุณพระเจ้าดีไหม..ขอบคุณที่ทำให้เรามาเจอะกัน..เป็นเพื่อนกัน”

“และก็รักกัน” รุ่งโรจน์ต่อให้

“ใช่..เรารักกัน หนูรักพี่รุ่ง พี่ยา และก็พี่ดี้นะคะ” แสงทองรีบแก้เกมส์
“ดี้ก็เริ่มรักคุณสองคนแล้วล่ะค่ะ ขอบคุณนะคะที่ให้โอกาส ให้ดี้ร่วมเดินทางในทริปนี้ด้วย ขอบคุณที่ไม่รำคาญคนชอบสร้างปัญหา ขอบคุณที่ทำให้ดี้เห็นว่าค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน และงานที่ทำนั้น ควรจะมีประโยชน์ต่อคนอื่นบ้าง อย่าได้เห็นแก่ตัวจนเกินไป หลังแต่งงาน ดี้จะทำงานให้เป็นเรื่องเป็นราวสักที”

ท้ายประโยคดาราวดีหันไปทางรุ่งโรจน์

“ครับ หลังแต่งงานผมก็คงต้องทำงานทำการให้เป็นเรื่องเป็นราวสักที ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยมานานแล้ว”

เมื่อได้ยิน สุริยาพยายามฝืนความรู้สึกยินดีให้กับทั้งสองคน
-------------------------------------------------------------------------
ค่ำคืนนั้น ที่พักไม่ใกล้ท้องทะเลดั่งวันวาน สุริยาและแสงทอง เพียงเดินเคียงกันดูแสงไฟที่ประดับประดาตามร้านค้าเพื่อเฉลิมฉลองคริสต์มาสให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติต่างศาสนา

“แสงทอง หากให้เธอเป็นคนจัดโปรแกรมภูเก็ต ระนอง พังงา เธอทำได้ไหม..”

“ได้ แต่คงไม่ดีเท่าที่พี่ทำ..พี่ยา หนูรู้ว่าความรู้สึกของพี่ในตอนนี้เป็นอย่างไร หนูเข้าใจค่ะ ขอบคุณที่พี่เข้มแข็งยืนอยู่ได้”

“แสงทอง” สุริยาอุทานเบา ๆ

“ถ้าให้หนูสงสาร หนูสงสารพี่ดี้นะคะ รักคนที่เขาไม่ได้รักเรา อยู่กับคนที่เขาไม่ได้รัก มันเจ็บปวดมากกว่ารักกัน แล้วอยู่ด้วยกันไม่ได้” สายตาของแสงทองหม่นลงในทันที

“พี่ไม่ได้อยากให้มันเป็นอย่างนั้น”

“ไม่มีใครอยากให้มันอย่างนั้นหรอกค่ะ ทุกคนอยากให้โลกมันเป็นไปตามใจตัวเองทั้งนั้น ถ้ามันทำได้จริง ๆ โลกคงวุ่นวายน่าดู เพราะประชากรบนโลกหลายพันล้านคน คงมีความต้องการมากกว่าคนละสิบคิดดูเถอะว่าความวุ่นวายมันจะขนาดไหน อย่างไรก็ตามหนู เชื่อว่าธรรมชาติจะเป็นตัวควบคุมคนบนโลก มากกว่าคนบนโลกเป็นคนคุมธรรมชาติ”

พูดจบแสงทองก็หันมาเผชิญหน้า เป็นอีกครั้งที่สุริยารู้ว่า ภายในดวงตาของหญิงสาวยังมีเงาของตนอยู่ในนั้น

“ใกล้ปีใหม่แล้ว หนูก็จะมีอายุมากขึ้นอีกหนึ่งปี เรากำลังจะกลายเป็นผู้ใหญ่ ถ้าเราบริหารงานได้ดี ปีหน้าบริษัทเราต้องโตขึ้น ๆ จนบางทีเราอาจจะไม่มีเวลา มากินลมชมทะเลนี่ก็ได้ ตักตวงชีวิตในวันนี้ให้มากที่สุดก่อนที่มันจะเป็นวันพรุ่งนี้เถอะค่ะ”

คืนนั้นสุริยากลับเข้าห้องพัก พบว่ารุ่งโรจน์นอนเอามือก่ายหน้าผาก อย่างคนที่คิดหนัก..สุริยาอยากจะถามว่าเพราะอะไรแต่ก็ไม่กล้า

“ผมทะเลาะกับดาราวดีอีกแล้ว” รุ่งโรจน์เป็นคนเล่าเสียเอง

“ผมรำคาญที่เธอชอบวุ่นวายกับชีวิตผม ก็เลยเผลอตะคอกเธอกลับไป”
สุริยาเดินมานั่งบนที่นอนของรุ่งโรจน์ สายตาจับจ้องอยู่ที่ดวงหน้าของเขา

“ผมก็วุ่นวายกับชีวิตคุณเหมือนกัน ผมบังคับให้คุณทำนั่นทำนี่ กินตรงนั้น นอนตรงนี้ ขับรถไปตรงโน้น ถ้าเลยก็ให้เลี้ยวกลับ แถมยังมีบ้างที่สั่งให้คุณเลี้ยวกะทันหัน”

“จริง ๆ ผมไม่ได้รักเธอ อย่างที่รักคุณ เรื่องเล็กมันจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ ผมคิดผิดหรือเปล่านะคุณยะ ที่ตัดสินใจแต่งงานตามความต้องการของคุณแม่ ถ้าผมแต่งกันไปแล้วอยู่ด้วยกันไม่ได้ ผมก็จะได้ชื่อว่าหม้าย ดาราวดีก็เช่นกัน หม้ายผัวหย่าตั้งแต่ยังสาว มันดูไม่ดีนักหรอก ผมสงสารเธอนะ ผมคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าการแต่งงานในครั้งนี้ มันจะนำสุขหรือว่าทุกข์มาให้กับผม”

“หลังปีใหม่คุณก็คงรู้”

“ผมไม่อยากแต่งงานแล้วคุณยะ ผมอยากมีชีวิตอยู่อย่างนี้มากกว่า ผมยังไม่พร้อม ผมรู้สึกเสียดายชีวิตคนโสด อีกอย่าง ผมก็รู้สึกห่วงคุณ”

“คุณจะมาห่วงอะไรผม ผมอยู่คนเดียวได้”

“ก็เพราะคุณต้องอยู่คนเดียวนะซิ ผมถึงได้ห่วง ผมรู้ว่าต่อไปคุณก็จะไม่มีใครอีกแล้ว”

“แค่รู้ว่ามีคุณห่วงผม ผมอยู่ในสายตาของคุณตลอดเวลา แค่นี้ก็น่าจะพอสำหรับคนอย่างผมนะ”

“คุณรักผม เหมือนที่ผมรักคุณไหม”

เมื่อได้ยินคำถาม สุริยาลุกขึ้น แล้วรีบเดินไปเข้าห้องน้ำ

ขณะกำลังเช็ดน้ำตา รุ่งโรจน์ก็มาเคาะประตูถามซ้ำ

“ผมรู้ว่าคุณรักผม แต่ทำไมคุณไม่พูดว่าคุณรักผมล่ะคุณยะ ทำไม”

แล้วเสียงน้ำจากฝักบัวดังซ่า ๆ ก็เป็นคำตอบให้รุ่งโรจน์รู้ว่า เขาควรจะกลับไปนอนตามเดิม


เช้าวันเสาร์เป็นวันคริสต์มาส เป็นวันหยุด ในเวลาเช้าตรู่ถนนในเมืองภูเก็ตจึงค่อนข้างเงียบ ในเวลาเช่นนี้ คนที่ทำงานหนักตลอดสัปดาห์คงอยากที่จะพักผ่อน สุริยาตื่นแต่เช้ามาซื้อของใส่บาตร เมื่อเงยหน้าจากการรับพรพระ เขาก็พบแสงทองยืนรอพระอีกฝั่งหนึ่งของถนน..

สุริยารีบก้าวเข้าไปหา

“ไม่ปลุกกันบ้างเลย”

“ทำไมมาคนเดียว คุณดี้ล่ะ”

“เมื่อคืนทะเลาะอะไรกันก็ไม่รู้ พี่แกเลยดื่มไปนิดหน่อย ตอนนี้ยังหลับไม่ตื่นเลย..”

สุริยาถอนหายใจออกมา เมื่อคืนรุ่งโรจน์ก็ออกมาดื่ม กลับไปถึงห้องก็ยังปลุกปล้ำเขาอย่างบ้าคลั่ง กว่าจะทำให้สงบลงได้เล่นเอาเหนื่อยหอบเหมือนกัน

“กลัวไปด้วยกันไม่รอด” แสงทองเปรยออกมาพลางถอนหายใจ

“ต่างคนก็ต่างถูกตามใจมาตลอด..คนเหมือน ๆ กันมาอยู่ด้วยกัน..เดี๋ยวคุณสิริฤดีก็คงรู้ว่าปลูกเรือนไม่ตามใจผู้อยู่มันจะเป็นอย่างไร”

คุยกันได้สักพัก ทั้งสองคนถือโอกาสเที่ยวเมืองภูเก็ตเป็นการส่วนตัว..โดยการนั่งรถสองแถวไปทางหาดป่าตอง..พอไปถึง ไปรู้ไปเห็นบรรยากาศในที่ตรงนั้นว่ามันวุ่นวายจุ้นจ้านแล้วก็รีบนั่งรถกลับมาที่โรงแรม พอมาถึงคนสองคนที่ทะเลาะกันก็นั่งรออยู่ที่ลอบบี้ด้วยสีหน้าไร้ความสุข

หลังจากที่เรือเฟอร์รี่ ออกจากท่าเรือแล้ว รุ่งโรจน์ก็ถือเบียร์กระป๋องออกไปยืนรับลมอยู่ที่กราบเรือด้านหน้า ส่วนดาราวดีก็นั่งจิบบากะดี้รสส้มอยู่ที่เบาะนุ่ม ๆ ทางตอนท้าย

ส่วนแสงทองและสุริยา นั่งมองของที่จะไปทำบุญกับสำนักปฏิบัติธรรม แล้วแสงทองก็หัวเราะกิ๊กๆ

“ตลกพวกเราจังเลย ดูพวกฝรั่งและคนอื่น ๆ ซิพี่ยา ดูเขาจะมีความสุขกับทะเล คลื่นและแสงแดด แต่พวกเราหอบของไปทำบุญถวายสังฆทาน”



จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 มิ.ย. 2554, 10:48:14 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 มิ.ย. 2554, 10:48:14 น.

จำนวนการเข้าชม : 1717





<< 28.   30. ตอนอวสาน >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account