หัวใจที่ปลายฟ้า
หญิงสาวคนหนึ่งข้ามฟ้ามาตามหารักนิรันดร์ด้วยหัวใจที่เปี่ยมด้วยศรัทธาแห่งรัก แต่ยิ่งนานวัน ความเชื่อมั่นและศรัทธาก็ยิ่งสั่นคลอนเพราะเขาคนนั้นช่างไม่ชัดเจนเอาเสียเลย
หรือบางทีอาจไม่ใช่เขาที่ไม่ชัดเจน อาจเป็นเธอเองก็ได้ ที่ไม่ยอมมองให้ชัดๆว่าในแววตาคู่นั้นซ่อนรักเอาไว้หรือเปล่า

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 2

เจนนิเฟอร์เดินออกจากลิฟต์แล้วเลี้ยวไปตามทางเดินอันแสนคุ้นเคยพร้อมฮัมเพลงไปด้วยเบาๆอย่างอารมณ์ดี มือบอบบางยกถุงขนมขึ้นมาสำรวจอีกรอบ ขนมบราวนี่สีน้ำตาลเข้มฝีมือเธอเรียงตัวสวยงามในกล่อง หวังว่าอชิระจะชอบนะ เธอยิ้มให้กับกล่องขนมอีกครั้งแล้วก่อนจะลดถุงขนมลง และตอนนั้นเอง ภาพที่ปรากฏแก่สายตาทำให้การก้าวเดินของเธอหยุดชะงัก มีผู้หญิงคนหนึ่งออกมาจากห้องของอชิระ เธอไม่รู้จักผู้หญิงคนนั้น แต่ที่แย่ก็คือ นี่เพิ่งจะหกโมงเช้า และเท่าที่เธอรู้ อชิระตื่นตีห้าครึ่งแทบทุกวัน แล้วผู้หญิงคนนั้นเพิ่งมาตอนอชิระตื่นหรือว่า...
“อ้าว แจน อรุณสวัสดิ์ครับ” เสียงทักทายแบบเดิมๆของอชิระขัดจังหวะความคิดของเธอ
“อรุณสวัสดิ์ค่ะพี่อชิ” หญิงสาวทักทายตอบพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ และเผื่อแผ่รอยยิ้มนั้นไปให้หญิงสาวอีกคนด้วย ปากยิ้มแต่ดวงตาไม่ได้ยิ้มด้วยเลย เธอเห็นอชิระชะงักน้อยๆกับรอยยิ้มของเธอ เขาทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแล้วก็เปลี่ยนใจ
“แจน นี่น้องตาล ลูกพี่ลูกน้องของพี่เอง” เจนนิเฟอร์ไม่รู้ว่าความจริงอชิระอยากจะพูดอะไรในตอนแรก แต่ที่รู้คือ ประโยคที่อชิระเพิ่งพูดออกมามันทำให้เธอโล่งใจจนเผลอถอนหายใจออกมาอย่างลืมตัว
“ลูกพี่ลูกน้องหรอคะ” เธอไม่แน่ใจนักว่าเป็นเพราะน้ำเสียงที่แสดงความโล่งใจอย่างชัดแจ้งหรือการถอนหายใจอย่างโล่งใจของเธอที่ทำให้หญิงสาวอีกคนอมยิ้มน้อยๆ เธอรู้ ผู้หญิงที่อชิระเรียกว่าน้องตาลคงอยากหัวเราะ แต่คงเกรงใจเธอ แล้วเธอจะทำอะไรได้ล่ะนอกจากส่งยิ้มเจื่อนๆไปให้ผู้หญิงคนนั้น คราวนี้ดวงตาของเธอก็ยิ้มตามไปด้วย และเมื่อเธอหันไปสบตากับอชิระ ก็ราวกับว่าเธอจะเห็นความโล่งใจอยู่ในดวงตาคู่ที่เธอหลงใหลชั่วแวบหนึ่ง แต่เพียงเธอกระพริบตา มันก็หายไป ทิ้งไปแต่เพียงดวงตาที่แสนอบอุ่น อ่อนโยน อย่างที่เธอเคยชินเสมอมา
“ถ้าอย่างนั้นน้องตาลขอตัวก่อนนะคะ พี่อชิ พี่แจน” น้องตาลกล่าวลาพร้อมยกมือไหว้
“เข้ามาก่อนสิแจน วันนี้ทำบราวนี่มาหรอ ความจริงไม่ต้องทำมาก็ได้นะ” ประโยคหลังของอชิระทำเอาเจนนิเฟอร์ชะงักไปเล็กน้อย
“คือพี่เกรงใจน่ะ” ประโยคที่ตามมาติดๆทำให้หัวใจที่ดูราวจะเต้นแผ่วลงกลับมาเต้นเป็นจังหวะปกติอีกครั้ง พร้อมกับที่หญิงสาวเจ้าของหัวใจดวงน้อยหันไปยิ้มหวานให้ชายหนุ่มเจ้าของห้อง
“ไม่เป็นไรค่ะ แจนเต็มใจ” เธอรู้ว่าอชิระต้องรู้ว่าเธอเต็มใจมากขนาดไหน อชิระไม่ได้พูดอะไรตอบ ทำเพียงส่งยิ้มบางๆให้เธอ
“วันนี้พี่อชิจะเข้าโรงเรียนรึเปล่าค่ะ ถ้าเข้าแจนจะขอติดรถไปสำนักพิมพ์ด้วยเลยค่ะ” เจนนิเฟอร์ถามพลางวางจานบราวนี่และถ้วยกาแฟร้อนลงบนโต๊ะข้างหน้าชายหนุ่ม
อชิระเปิดโรงเรียนฝึกสุนัขเล็กๆอยู่ใกล้กับสำนักพิมพ์ที่หญิงสาวทำงานอยู่ เจนนิเฟอร์อาศัยความได้เปรียบทางภาษาของตนเองประกอบกับความชอบอ่านนิยายของเธอมาใช้ในการประกอบอาชีพ เธอเป็นนักแปลให้สำนักพิมพ์แห่งนี้มานานเกือบเท่าระยะเวลาที่เธออาศัยอยู่ในเองไทย แน่นอน ตอนเธอตัดสินใจจะเป็นนักแปล เธอไม่ได้คิดว่าจะทำงานที่สำนักพิมพ์ไหนก็ได้ แต่ต้องเป็นสำนักพิมพ์นี้เท่านั้น ก็มันเป็นสำนักพิมพ์เดียวที่อยู่ใกล้โรงเรียนของอชิระนี่นา
“เอาสิ แล้วจะกลับกี่โมงล่ะ เผื่อพี่จะได้รับกลับด้วยกันเลย” ประโยคของอชิระทำให้รอยยิ้มของเจนนิเฟอร์กว้างขึ้นอีก
“คงไม่เกินเที่ยงค่ะ” เธอตอบพร้อมภาวนาในใจให้อชิระสามารถรับเธอกลับด้วยได้และคำตอบของอชิระก็ทำให้เธอแทบอยากจุดพลุฉลองเลยทีเดียว
“ถ้าอย่างนั้นพอแจนทำธุระเสร็จแล้วก็รอพี่อยู่ในสำนักพิมพ์เลยแล้วกัน เดี๋ยวพี่ไปรับ” ดูเหมือนอชิระจะเห็นว่าเธอดูดีใจจนเกินไป ชายหนุ่มเลยหยุดชะงักและพูดประโยคต่อมาด้วยสีหน้านิ่งๆที่ทำเอารอยยิ้มของเธอเจื่อนไป “แต่ว่าพี่มีเงื่อนไขนะ”
“ค่ะ ยังไงก็ได้ค่ะ แล้วแต่พี่อชิเลย” หญิงสาวรู้ดีว่าเธอพูดประโยคนั้นออกไปด้วยเสียงที่แผ่วเบาขนาดไหน แต่มันช่วยไม่ได้จริงๆ เธอไม่ใช่คนที่เก็บความรู้สึกเก่งแบบอชิระนี่
“แจนต้องไปทานข้าวกลางวันเป็นเพื่อนพี่นะ” อชิระเงยหน้ามาตอบด้วยสีหน้ายิ้มๆ ส่วนเธอน่ะหรือ ถ้าลอยได้เธอลอยไปแล้ว อย่าว่าแต่ข้าวกลางวันเลย เธอแถมข้าวเย็นให้ด้วยเลย

ร้านอาหารที่อชิระพาเธอมาทานข้าวกลางวัน ความจริงแล้วก็ไม่ใช่ร้านอาหารโดยตรง แต่เป็นร้านขายเค้กที่มีอาหารตามสั่งให้บริการด้วย บรรยากาศในร้านจึงดูน่ารักกุ๊กกิ๊กสมเป็นร้านเค้ก
“ทานข้าวก่อนนะแล้วค่อยสั่งเค้ก” อชิระพูดดักคอเมื่อเธอถลาเข้าไปเกาะตู้โชว์แทบจะทันทีที่เข้าร้านมา
“สวัสดีค่ะพี่อชิ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ” เสียงใสของคนหลังเคาน์เตอร์ที่ทักทายอชิระอย่างคนคุ้นเคยทำให้เจนนิเฟอร์รีบละสายตาจากเค้กตรงหน้าอย่างช่วยไม่ได้ แล้วเธอก็ได้พบกับสาวน้อยน่ารักในชุดนิสิตแต่สวมผ้ากันเปื้อนปักชื่อร้าน น่ารักจัง ขนาดเธอเป็นผู้หญิงขี้อิจฉาเธอยังอดยิ้มตอบรอยยิ้มที่แสนสดใสน่ารักนั้นไม่ได้เลย
“สวัสดีครับน้องเฟ” ถึงแม้อชิระจะตอบสาวน้อยคนนั้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนตามปกติแต่เจนนิเฟอร์ก็จับกระแสความเอ็นดูในน้ำเสียงได้ มันจึงช่วยไม่ได้จริงๆที่เธอจะอิจฉาสาวน้อยแปลกหน้าคนนี้ แต่แล้วประโยคต่อมาของอชิระก็ทำให้เธอลืมทุกสิ่ง ลืมแม้แต่ว่าเมื่อสักครู่อชิระแฝงความเอ็นดูให้เด็กสาวตรงหน้าเพียงใด
“ขอข้าวผัดทะเลสองจานครับ ของพี่จานนึง อีกจานของพี่ผู้หญิงคนนี้ไม่ต้องใส่ผักนะครับ แล้วก็อย่าเผ็ดนะครับ” ใช่แล้วเธอเกลียดผักและกินเผ็ดไม่ได้ เธอไม่คิดว่าอชิระจะจำได้
อชิระก็เป็นแบบนี้ นาทีนึงก็ทำให้เธอรู้สึกเหนื่อยจนอยากหยุดทุกอย่าง รู้สึกเหมือนว่าต่อให้เธอพยายามเท่าไหร่ก็แค่นั้นแหละ ยังไงก็ยังมีคนที่ดีกว่าเธอและได้รับทุกอย่างที่เธอต้องการโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย แต่อีกนาที เขาก็ทำให้เธอรู้สึกเหมือนว่าเธอเป็นคนสำคัญที่ต้องใส่ใจ ไม่ว่าเรื่องนั้นจะละเอียดเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม แล้วแบบนี้จะให้เธอตัดใจได้ยังไงล่ะ
“ไปนั่งรอกันเถอะ” อชิระพ๔ดพร้อมแตะข้อศอกเธอเพื่อนำทางไปที่โต๊ะสองที่นั่งตรงริมประตูอย่างสุภาพ
โต๊ะของร้านนี้เป็นโต๊ะที่ตรงกลางจะลึกลงไปเหมือนกล่องสี่เหลี่ยมเอาไว้ใส่ของประดับกระจุกกระจิกแล้วใช้แผ่นกระจกทับปิดอีกที โต๊ะที่อชิระพาเธอมานั่ง มีของประดับทำจากผ้าเป็นรูปทุ่งดอกทานตะวัน ดอกทานตะวันทั้งทุ่งต่างหันหน้าไปหาดวงอาทิตย์ หญิงสาวจ้องโต๊ะนิ่ง เธอไม่แน่ใจว่าเธอกำลังมองเห็นดอกทานตะวันหรือเห็นตัวเองกันแน่
“คนส่วนใหญ่มักจะบอกว่าดอกทานตะวันน่าสงสารที่ทำได้เพียงเฝ้ามองดวงอาทิตย์ โดยที่ดวงอาทิตย์ไม่เคยสนใจเลย แต่พี่ว่าพูดแบบนี้ดูจะไม่ยุติธรรมต่อดวงอาทิตย์เท่าไหร่นะครับ ถ้าดวงอาทิตย์ไม่สนใจจะสาดแสงให้ดวงทานตะวันทำไมทุกวัน” เจนนิเฟอร์เงยหน้าขึ้นมองหน้าอชิระอย่างอึ้งๆ เธอไม่แน่ใจว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร
“แต่ดวงอาทิตย์ก็ไม่ได้สาดแสงให้ดอกทานตะวันอย่างเดียวนี่คะ แต่ยังเผื่อแผ่แสงไปให้สิ่งอื่นอย่างเท่าเทียม แล้วดอกทานตะวันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะคะว่าตัวเองสำคัญต่อดวงอาทิตย์แค่ไหนกัน” เธอเถียงไปด้วยเสียงแผ่วๆ แต่ไม่แน่ใจนักว่าที่เถียงนั้นเธอเถียงแทนดอกทานตะวันหรือเถียงแทนตัวเอง เธอเห็นอชิระชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“นั่นสินะ โชคดีจังที่พี่ไม่ใช่ดวงอาทิตย์” อชิระเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะจ้องหน้าเธอแล้วพูดต่อ “และแจนก็ไม่ใช่ดอกทานตะวัน” จบประโยคนั้นอชิระก็เงียบไป และเธอเองก็เงียบไปด้วยความสับสน เธอไม่แน่ใจในความหมายที่อชิระต้องการสื่อ แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรกันต่อ สาวน้อยที่เธอไม่แน่ใจว่าเป็นเจข้าของร้านหรือเป็นพนักงานก็ยกอาหารมาเสิร์ฟ
เจนนิเฟอร์เงียบตลอดระยะเวลาที่ทานอาหาร เธอกำลังสับสน เมื่อกี้นี้อชิระต้องการจะสื่ออะไรกันแน่ เขาทำแบบนี้อีกแล้ว ชอบพูดอะไรไม่ชัดเจน ปล่อยให้เธอตีความเอาเอง แล้วใครจะกล้าตีความเองล่ะ เกิดเธอตีความให้ความหวังตัวเองไป แล้วปรากฏว่าอชิระไม่ได้คิดอย่างที่เธอตีความ เธอก็คงโดนความหวังที่ตัวเองสร้างขึ้นมาตีแสกหน้าน่ะสิ
เธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมอชิระต้องทำให้ความรักเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและซับซ้อน รักก็บอกว่ารัก ไม่รักก็บอกว่าไม่รักสิ เธอเชื่อมาตลอดว่าความรักไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไรขนาดนั้น คนเราต่างหากที่ทำให้ความรักเป็นเรื่องยุ่งยาก ทำไมต้องมีการไว้เชิง ทำไมต้องปากแข็ง ทำไมต้องปากไม่ตรงกับใจ ทำไมจะต้องกลัวการผิดหวัง ในเมื่อกล้ารัก ทำไมไม่กล้าบอกว่ารัก หรือถ้าไม่รัก ทำไมไม่บอกออกมา จะมัวมารักษาน้ำใจอยู่ทำไม เธอค่อนข้างจะมั่นใจเลยล่ะว่า แปดสิบเปอร์เซ็นต์ของความเจ็บปวดที่เกืดจากความรักไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความไม่รัก แต่เกิดจากความไม่ชัดเจนต่างหาก



รวินทร์วรกาล
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ต.ค. 2556, 21:20:20 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ต.ค. 2556, 21:20:20 น.

จำนวนการเข้าชม : 1022





<< ตอนที่ 1   ตอนที่ 3 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account