เงารักสีน้ำเงิน {นวนิยายชุด"ความลับของผีเสื้อ" สนพ.อรุณ}
วนัสสาตื่นขึ้นมาพบว่าความทรงจำของเธอหายไปถึงสองเดือน...
แต่สิ่งที่เพิ่มมาคือรอยสักรูปผีเสื้อตรงกลางหลัง กับกระดาษแผ่นเดียวในมือเป็นเบาะแส
เธอคือผีเสื้อ แต่ใครกันคือดอกไม้ของเธอ...คือคนรักที่เธอหลงลืมไป
จะเป็นนวาระผู้มีรอยสักรูปดอกกุหลาบ
เจ้าของดวงตาสีน้ำเงินอย่างวาริช
หรือใครบางคนที่มีชื่อเป็นความหมายของสีสัน อย่างคราม...
Tags: วนัสสา ความลับของผีเสื้อ วาริช อินดิโก้ คราม นวาระ การทดลอง พลังจิต

ตอน: ความทรงจำที่อยากลืม : ชีวิตในเรือนกระจก + ความทรงจำที่ ๑๒ ดอกไม้ในเปลวเพลิง (ตอนนี้ยาวสะใจ ถึงจุดพีคแล้วนะคะ)

เช้าวันหนึ่ง วาริชที่ล้มป่วยอยู่นานนับสัปดาห์เพิ่งได้รับอนุญาตให้ผ่อนคลาย
ชายหนุ่มเลือกไปว่ายน้ำออกกำลังตามลำพัง เหตุการณ์ดำเนินไปเป็นปกติ
จนจะทั่งเขาเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำที่อยู่ติดกับสระ จนเริ่มสังเกตว่าท่อคล้ายจะอุดตัน
เมื่อหมุนปิดน้ำจากฝักบัวก็ไม่ยอมหยุดไหล ในห้องที่ปิดทึบ
ประตูก็เปิดไม่ออกแม้ว่าจะออกแรงเพียงใด

‘บ้าเอ๊ย นี่จะเอาให้ตายกันไปข้างหนึ่งให้ได้เลยใช่ไหมวะ’

วาริชไม่มีเวลาบ่นนาน เนื่องจากน้ำท่วมสูงขึ้นรวดเร็วไม่น่าเชื่อ จนท่วมปากท่วมจมูกเขาแล้ว
ชายหนุ่มต้องหาทางทำให้ตัวเองลอยพ้นน้ำ และมุดลงไปง้างประตูต่ออย่างไม่ยอมแพ้
แต่ไม่นานอากาศก็คงจะถูกสูบออกไปหมด เขาเริ่มส่งเสียงร่ำร้องทรมานอยู่ในใจ
ร้องหาพ่อแก้วแม่แก้วและเห็นภาพหมาที่ตายไปมารอรับ
บ้าเอ๊ย...นี่เขาจะต้องไปอยู่กับมันแล้วเหรอเนี่ย แต่เขาอาจไม่ได้ไปสวรรค์เหมือนอย่าง
เจ้าหมาจอมกวนของตัวเองก็ได้

...แล้วทุกอณูในห้องก็เต็มไปด้วยน้ำ ชายหนุ่มลนลานตาเหลือก จากที่ดิ้นรนไขว่คว้าเอาชีวิตรอด
เขาก็เริ่มหมดแรง ปล่อยร่างให้ลอยคว้าง ทว่าในที่สุดก็เหมือนถูกกระชากพรวดออกทางประตู
พร้อมน้ำที่ไหลทะลักออกไป
ความรู้สึกเลือนราง ใครคนหนึ่งพยายามผายปอดให้เขาอย่างร้อนใจ ริมฝีปากนุ่มนิ่ม
ที่มอบลมหายใจให้เขาอย่างผิดวิธี วนัสสางั้นหรือ
ทว่าเมื่อลืมตามา กลับเป็นผู้หญิงอีกคนที่เขาไม่อยากแม้แต่จะมองหน้า

‘อย่ามายุ่ง!’
วาริชลุกนั่งได้ทันทีพลางไอสำลักน้ำออก ใช้พลังรักษาเยียวยาตัวเองให้รู้สึกดีขึ้นเป็นลำดับ
ก่อนจะหันไปทางผู้หญิงคนนั้นอย่างโกรธๆ
‘รู้เรื่องด้วยละสิคุณ ถึงมาเปิดประตูเอาทันเวลาพอดี หึ ลูกสาวของเทวัญ...เด็กเส้นนี่เอง’

‘เปล่า! ฉันรู้เพราะได้ยินเสียงคุณร้องเรียกจากที่ไกลๆเลยรีบมาช่วย’
ดาหวันละล่ำละลัก หน้าแดงจัดอย่างเริ่มจะโกรธเมื่อถูกกล่าวหา

วาริชรู้สึกหน้าม้านที่ดูเหมือนเขาจะกล่าวหาเธอผิดๆ แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่ยอม ‘เชื่อก็บ้าละ’

‘เกิดอะไรขึ้นรึไง’
เสียงนั้นมาจากครามที่เกิดจะโผล่มาอีกคนได้จังหวะไม่ห่างกันนัก
ยิ่งทำให้ความระแวงของสัตวแพทย์หนุ่มทำงานต่อเนื่องอีกคำรบ

‘คุณเข้าไปอาบน้ำห้องนี้หรือ...’ ครามกอดอกหลังจากที่รับรู้เรื่องทั้งหมดจากดาหวัน
‘มันอาจเป็นการทดลองที่มีไว้ทดสอบผม ปกติผมจะเข้าไปอาบห้องนี้เป็นประจำก่อนลงสระ
เวลาเดียวกับที่คุณว่ายเสร็จ แต่วันนี้มาช้าไปหน่อย พวกนั้นคงตั้งใจกดดันให้ผมสร้างร่างจำลอง
มาเปิดประตูให้ตัวเองที่ใกล้ตายอยู่ในนั้นให้ได้ ถ้าโดนเข้าไปก็คงแย่ เพราะประตูนี่มันแน่นเอาการอยู่
ร่างจิตผมยังหยิบจับได้แต่ของเบาๆ’

สัตวแพทย์หนุ่มหรี่ตา พิจารณาดูแล้วเขาควรต้องขอบคุณดาหวันจริงๆ
และอีกฝ่ายก็มองเขาตาแป๋วอยู่ ชายหนุ่มอ้าปาก ...แต่แล้วก็ตัดสินใจลุกขึ้น
จากไปโดยไม่พูดอะไร ปล่อยทิ้งให้สองคนที่ได้ยินมาว่าเป็นคู่รักลับๆอยู่ด้วยกันตามลำพัง

วาริชยังคงเข้าพวกกับนวาระและวนัสสา พวกเขาได้รู้ว่าการทดลองกำลังจะมาถึงจุดสุดท้าย
แต่ละคนจะถูกลบความทรงจำเรื่องการทดลองครั้งนี้ เพื่อจะกลับมาเผชิญกับมันใหม่ในอนาคตข้างหน้า
และรายแรกที่จะต้องถูกฉีดยาเข็มที่สองเพื่อให้ลืมน่าจะเป็นวาริช คนที่สืบรู้เรื่องนี้มาคือนวาระ
แปลว่าเวลาของทุกคนเหลืออีกไม่มากแล้วเช่นกัน...


เย็นวันก่อนวันสำคัญ วาริชก็หาทำเลเงียบๆซุบซิบปรึกษากับวนัสสาตามลำพัง
‘อย่างที่เคยเตรียมการกันไว้ เราจะหาทางทำลายวงจรอุบาทว์นี่ลง
จะไม่ยอมลืมสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะมันถือเป็นบทเรียน...แต่ถ้าช่วยไม่ได้จริงๆก็อย่ากลัวเลย
พวกเขาไม่ฆ่าเราหรอก ถึงเสียความทรงจำช่วงนี้ไป ก็จะยังมีคราวหน้า
แค่ต้องมาเริ่มนับหนึ่งใหม่กันอีกที’

‘ค่ะหมอริช เราจะพยายามด้วยกัน’

‘บอกตรงๆนะวนัส ผมไม่ไว้ใจนิว แม้เขาจะดีกับเราแค่ไหน แต่บางทีเขาก็รู้อะไรมากเกินไปจนน่าสงสัย
รอยยิ้มนั่นมันเหมือนซ่อนอะไรเอาไว้ชอบกล ที่ผมไว้ใจว่าเป็นพวกเดียวกัน ก็มีแต่คุณ’

‘เหลวไหล นิวเขาเป็นพวกเดียวกับเรา หมอริชก็อย่าคิดมากไปเลยค่ะ พรุ่งนี้เราต้องทำตามแผนกันให้ดีที่สุด’

ทั้งสามนัดแนะจังหวะกันไว้ ตามที่รู้โปรแกรมล่วงหน้าว่าต้องทำอะไรบ้างในวันนั้น
เมื่อนวาระถูกคุมตัวเฉียดใกล้ห้องควบคุมไฟฟ้า วาริชอยู่กับดร.กฤษณะในห้องตรวจร่างกายซึ่งไม่ไกลกันนัก
...ด้วยพลังพิเศษและไหวพริบซึ่งถูกงัดมาใช้อย่างเต็มที่ก็ช่วยให้ล้มผู้คุมตัวใหญ่หลายคนที่มีเครื่องช็อร์ต
ในมือลงได้ เหยื่อทดลองสองคนพร้อมใจกันทำลายระบบควบคุมของที่นี่ลงชั่วคราว
จากนั้นก็คิดจะหลบออกไปทางใต้ดินซึ่งเชื่อมโยงไปถึงตึกบลูไดมอนด์ที่อยู่ไม่ไกล เมื่อไปถึงตึกใหญ่
โอกาสหนีออกสู่ภายนอกก็จะง่ายกว่าพยายามออกไปจากคฤหาสน์ตรงๆ ทั้งหมดตั้งใจไว้ว่าจะไปกัน
ตามช่องทางเหนือเพดาน แทนที่จะวิ่งไปตามทางใต้ดินสู่ตึกซึ่งโจ่งแจ้งเกินไป

เมื่อระบบไฟฟ้าควบคุมสถานที่ขัดข้อง วนัสสาซึ่งหมดธุระตั้งแต่ช่วงเช้ากับส่วนใต้ดิน
และไม่มีคิวจะต้องถูกทรมานทรกรรมในวันนี้ ก็สามารถพาตัวเองลงมาอีกครั้งผ่านประตูลับ
ในห้องหมายเลขห้ามาดักรออยู่ได้พอดี ก่อนนวาระและวาริชจะไปถึง

‘ไอ้ประตูผีนั่นก็มีประโยชน์อยู่เหมือนกันนะ แต่ไม่ว่ายังไงผมก็เกลียดมันอยู่ดี’ นวาระไม่วายบ่น
เพราะหลายครั้งแล้วที่เขาโดนลากตัวไปทรมานกลางดึกผ่านทางประตูดังกล่าว

‘ไม่น่าเชื่อ ว่าพวกคุณจะหนีมาพร้อมกันสำเร็จ’ วนัสสาพูดอย่างดีใจเมื่อวาริชกระหืดกระหอบตามมาถึงติดๆกัน

‘คนมันเก่งรอบตัว’ เจ้าของร่างสูงใหญ่ยังไม่วายโอ่

หญิงสาวหัวเราะ ส่วนนวาระเสริมอย่างยิ้มย่อง

‘ทำไมถึงทำได้หลายอย่างนักน่ะหรือ คนอย่างเราๆสมองต้องดีมาก การควบคุมร่างกายด้วย
สังเกตว่าพวกเราเต้นได้ เล่นกีฬาได้ดี ประสาททุกส่วนก็พร้อม ไม่งั้นจะควบคุมพลังที่มีได้ยังไง’

‘ก็จริง แต่ดูเหมือนที่ผ่านมาฉันจะใช้ชีวิตไม่ค่อยคุ้มเลย เมื่อเทียบกับคุณสองคน’

‘อะไรคือคุ้มล่ะวนัส บางคนลงทุนกับชีวิตไปมาก ก็เสี่ยงกับการไม่ดูตาม้าตาเรือจนขาดทุนนะ
บางทีอยู่ให้ตัวเองสบายใจ มีความสุข ทำเรื่องดีบ้างบางครั้ง นั่นเรียกว่าน่าจะคุ้มที่สุดแล้ว’

‘แหมหมอริชคะ ชักจะแก่อบรมขึ้นทุกวัน’

นวาระยักไหล่กับคำพูดดังกล่าว ก่อนจะเร่งปีนเข้าไปในช่องทางหนี เมื่อสบโอกาส วาริชจึงแอบกระซิบ
กับหญิงสาวที่ยังอยู่ข้างกายตน ‘ระวังนวาระ เขาอันตรายเกินไป’

วนัสสายิ้มออกมาอย่างที่วาริชตีความหมายไม่ใคร่จะออก จากนั้นก็มุดตามไปในช่องทางหลบหนี
โดยให้วาริชเป็นคนปิดท้าย บางทีเธอคงจะขำกับความคิดมากของเขาละมัง แต่ชายหนุ่มก็อยากบอก
ออกไปเหลือเกิน ที่เขาเตือนเธอให้ระวังนั้นไม่ใช่ว่าเกินจริงเลย ถ้าประมาทกับนวาระจะต้องเสียใจทีหลังแน่
...แต่ตอนนี้เขายังมีไม้เด็ดแอบซ่อนไว้อยู่ ยาเข็มที่สองสำหรับปิดล็อกความทรงจำ!
เขาแย่งมันมาจากดร.กฤษณะตอนชุลมุนอยู่ในห้องตรวจร่างกาย
และตั้งใจว่าอาจได้ใช้ถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมา

ทั้งสามคลานไปตามท่อซึ่งออกจะคับแคบสำหรับขนาดตัววาริช พวกเขาไม่มีไฟฉาย
จึงอาศัยแค่แสงสลัวตามรอยแยกของปล่องท่อกับแสงไกลลิบที่ปลายอุโมงค์เท่านั้น
แต่ในที่สุดความพยายามก็ไม่ยากเกินกำลัง จึงมาบรรลุถึงห้องที่เป็นทั้งทางผ่านและจุดลำเลียงสินค้า
เป็นคนละที่กันแต่คล้ายห้องซึ่งภายหลังวนัสสาได้ไปพบเข้าโดยบังเอิญในวันงานหมั้นของคนรู้จักศศิราศี

เหนือเพดานไม่มีทางไปต่ออีกแล้ว มองจากรูถี่ๆบนเพดานลงไป โชคดีที่ภายในห้องดังกล่าวตอนนี้ไม่มีใคร
ทั้งสามหาทางลงไปยังห้องเบื้องล่าง สำรวจดูก็พบว่ามีประตูทางออกต้องเข้ารหัส
เสี่ยงเกินไปที่จะทดลองแล้วมีคนรับรู้ว่าพวกเขาหนีมาได้จนถึงจุดนี้

‘เอายังไงดี’ นวาระพูดยิ้มๆ

‘ฉันเห็นตรงโน้นมีลิฟต์ลำเลียงของขึ้น ลองไปดูกัน’ วนัสสาเร่ง

มันเป็นลิฟต์แคบๆมีเพียงรั้วกั้น จากที่ลองเคาะดูแล้วเสียงสะท้อนบ่งบอกว่าท่าทางคงเป็นปล่องขึ้นไปสูงมาก
แต่ตัวแดงที่เขียนไว้นี่สิ กลับทำให้ต้องลำบากใจ

‘ขนได้คราวละไม่เกิน 150 kg. แปลว่าวนัสจะขึ้นไปได้พร้อมใครอีกคน
ต้องมีคนนึงติดอยู่ข้างล่าง’ นวาระเอ่ยเรียบๆ พลางหันไปลองขยับลังใกล้ๆ มันทั้งหนาและหนัก
‘ลังนี่น่าจะพอดีกับน้ำหนักที่ระบุไว้ อาจเป็นวัตถุเคมีที่ใช้ทำยา’

‘ผมจะไปกับวนัส’ วาริชชิงบอก

สายตาของนวาระที่มองสัตวแพทย์หนุ่มยิ้มๆ ดูจะเกือบเป็นสงสารในความไร้เดียงสาของอีกฝ่าย
‘คุณอยู่ที่นี่แหละหมอริช ผมจะดูแลวนัสเอง’

‘ไม่ถามวนัสหน่อยหรือ ว่าจะไปกับใคร’ วาริชเสียงแข็ง

‘ผมสั่งให้คุณอยู่’ ว่าแล้วนวาระที่มีสีหน้าเอาจริงก็ค่อยๆล้วงบางสิ่งที่เตรียมไว้สำหรับเวลาเช่นนี้ออกมา
มันเป็นเครื่องช็อร์ตไฟฟ้าที่พวกผู้คุมทุกคนมีติดตัว!

วาริชคำรามในคอ ไม่รอให้คนตรงหน้าตั้งตัวติด ร่างใหญ่หนาพุ่งเข้าใส่ หวังจะแย่งสิ่งในมือนวาระ
มาด้วยกำลัง แต่อีกฝ่ายก็ใช่ว่าจะล้มง่ายดาย เครื่องช็อร์ตพลาดเป้าไปก็จริง แต่ร่างเพรียวยังกำ
มันไว้แน่นขณะที่ล้มกลิ้งไปด้วยกันทั้งสองคน

ระหว่างนั้นวนัสสาไม่ได้ร้องวี๊ดว้ายตกใจ เธอเพียงแต่มองอย่างโกรธๆ ผู้ชายพวกนี้กำลังทำเสียเวลา
ถ้ายังไม่รีบ จะต้องมีคนตามมาพบเข้าอย่างแน่นอน

จังหวะชุลมุน เครื่องช็อร์ตขนาดเหมาะมือก็กระเด็นมาอยู่แทบเท้าของวนัสสา
ในขณะที่ผู้ชายสองคนใช้แรงงัดกันเอาเป็นเอาตาย หญิงสาวก้มลง หยิบมันขึ้นมาถือไว้
เดินเข้าไปประชิดตัวทั้งคู่ ก่อนจะจิ้มเครื่องช็อร์ตเข้าใส่วาริชจนร่างใหญ่แข็งแกร่งของเขา
เกร็งกระตุกไปทั้งตัวก่อนจะสงบลง

‘...ทำไม เราอุตส่าห์มากัน ถึงนี่’ วาริชครางแผ่ว

‘คุณพูดถูกแค่เราสองคน ผมกับวนัสสาไม่มีทางมาถึงตรงนี้
ก่อนนี้เพราะมีเราร่วมมือกันสามคน แผนหนีถึงได้สำเร็จ...’ นวาระเปรย

‘ขอโทษนะหมอริช คือ...ฉันเห็นว่าทางข้างหน้านวาระเขาดูจะช่วยได้มากกว่าคุณ’
วนัสสาพูดประโยคเย็นชานั้นด้วยรอยยิ้มปลอบใจ

สายตาของวาริชก่อนสติเขาจะหรี่ดับลงมองเธอด้วยความผิดหวัง นั่นทำให้คลื่นความรู้สึกผิด
ซัดเข้าใส่หญิงสาวอีกระลอก แต่เธอจำเป็นจะต้องรีบไป สังหรณ์ว่าพ่อจะอยู่ที่นี่ ยิ่งลิฟต์
ที่มีเพียงราวรั้วกันตกตัวนั้นเคลื่อนขึ้นสูง หญิงสาวก็ยิ่งรู้สึกถึงตัวตนของบิดาชัดขึ้น
แต่เวลานี้สีสันของพ่อช่างไม่สดใสเอาเลย พ่อหายตัวมาหลายปี คงต้องเจอเรื่องแย่ๆ
จนแทบจะบ้าตาย เพราะขนาดเธอแค่สองเดือนยังแทบจะทนอยู่ไม่ไหว

ในปล่องสู่เบื้องบน แสงวับแวมจากแต่ละชั้นที่ลิฟต์เคลื่อนผ่านช้าๆ ส่องให้ชายหนุ่ม
ที่ก้มลงมองเห็นหน้าเจ้าของร่างบอบบางซึ่งยืนเคียงข้างเขา แม้จะพยายามอกผายไหล่ผึ่ง
เรียกความมั่นใจ แต่ก็ดูออก เธอกำลังเริ่มจะเสียศูนย์เพราะทำร้ายใครบางคนไปด้วยมือของตัวเอง

‘คุณนิว...ฉันผิดใช่ไหม ที่ทำกับหมอริชอย่างนั้น’

ชายหนุ่มโอบไหล่เธอไว้ ดึงให้เข้ามายืนติดกันมากขึ้น พยายามถ่ายทอดความเข้มแข็งให้ไปเท่าที่จะทำได้
‘คุณกลัวเพราะนี่เป็นครั้งแรก...แต่ผมรู้ว่าอยู่แล้วว่าคุณจะเลือกได้ดี’ นวาระเอาเครื่องช็อร์ตที่คืนกลับมา
อยู่ในมือเขาเพราะวนัสสาดูจะแหยงมันยกขึ้นตรงหน้าเธอ ก่อนยัดเยียดใส่มือหญิงสาวอีกครั้ง
‘เจ้านี่น่ะหรือ รู้ไหมว่าผมจงใจโยนไปให้คุณ ถ้าจำเป็นจะต้องใช้มันกับผมด้วย ไม่ต้องลังเล ไม่ต้องเสียใจ
เพราะว่าผมยอมได้ทุกอย่างเพื่อคุณ’

‘นิว...’ วนัสสาหันไปสบตาคนข้างกาย น้ำตาคลอ
ถ้าเธอตอบแทนความรู้สึกของอีกฝ่ายได้คงจะดี แต่ตอนนี้ใจเธอกลับไปอยู่กับคนที่เธอทำร้ายเขาไปแล้ว
หลายครั้ง ก่อนจะหนีมานี่เธอก็เพิ่งเอาชิปส์ข้อมูลที่ตัวเองเป็นคนดึงออกมาจากเครื่องควบคุมวัดผลการทดลอง
สำคัญยัดใส่กระเป๋าเสื้อของคราม ในวินาทีที่บังเอิญสวนกันและได้รับอนุญาตให้หยุดทักกันได้เล็กน้อย
ให้เป้าสนใจตกไปอยู่ที่เขาเพื่อให้ตนเองได้หนี จะมีหน้าบอกว่าชอบเขาได้อีกหรือไง

วันก่อนที่ผ่านมาพบกัน ครามก็พูดว่าจะหาทางหนีออกไปจากที่นี่ จะต้องออกไปด้วยกัน
หรืออย่างน้อยก็จะช่วยให้เธอได้ออกไป ยังไม่มีเวลาถามว่าเขามีแผนอะไรทั้งคู่ก็ต้องแยกกัน
ครามไม่ได้มาหาเธออีก ไม่รู้ว่าเพราะโกรธ มาไม่ได้ หรือมีอย่างใดอย่างหนึ่งต้องทำ
แต่มันก็สายไปแล้วเมื่อวนัสสาหาทางวางแผนร่วมกับทั้งนวาระและวาริชไปก่อนที่จะเป็นเขา

...รอก่อนนะคราม ถ้าหนีออกไปได้ฉันจะต้องมาช่วยคุณ ไม่ทิ้งคุณไว้แน่นอน

หญิงสาวย้ำกับตัวเอง เธอจะต้องชดใช้ที่ทำผิดกับเขาไว้ เพราะสำหรับเธอ เขาคือคนพิเศษเพียงคนเดียว
แม้นวาระจะเฝ้าบอกว่าครามมีที่มาไม่ดีสักเท่าไหร่ แต่สุดท้ายใจวนัสสาก็ไม่เคยจะยอมเชื่อเช่นนั้นเลย



ที่ชั้นบนสุดซึ่งเป็นเป้าหมายนั้นขาวโพลนไปหมด ไม่ว่าจะเป็นพื้น ผนัง หรือเบื้องบน ทั้งสว่างและโล่งจนน่ากลัว
‘เพดานปิดสนิท แบบนี้พวกหนูท่อก็ไม่มีที่ให้มุดให้ปีนพอดี’
นวาระกระซิบทำลายความตึงเครียดลง วนัสสาก้าวตามเขาไป ‘พวกเราขึ้นมาสูงเกินไป
ก่อนออกจากที่นี่เราต้องการความลับอะไรสักอย่างติดมือออกไปด้วย แต่ดูเหมือนคงไม่มีเวลามาก
เท่าที่ต้องการ ผมว่าทางที่ดีเราหนีออกไปก่อน แล้วค่อยหาทางกลับเข้ามาตอนมันเผลอ เพราะยังไง
ตึกชั้นล่างๆก็เปิดให้คนที่มีผลประโยชน์ร่วมมาเช่าจัดงาน ...ฟังผมอยู่หรือเปล่า วนัส...วนัสสา!’

นวาระออกจะตกใจเมื่อหันไปพบว่าหญิงสาวหยุดลงตรงหน้าห้องหนึ่งซึ่งพวกเขาเพิ่งก้าวผ่าน
ไม่เพียงแค่นั้น เธอยังผลักประตูพรวดพราดเข้าไป ชายหนุ่มเร่งตามติดด้วยความเป็นห่วง

ภายในห้องนั้นก็เป็นสีขาว จุดรวมสายตามีเพียงเตียงผู้ป่วยที่กลางห้อง จะเรียกว่าเตียงก็ไม่ถูกนัก
มันคล้ายเก้าอี้กึ่งนั่งกึ่งเอนมากกว่า บนนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งถูกปิดตาอยู่ รอบกายมีสายระโยงรยางค์
หลายสิบ หลอดแก้วใส่สารต่างๆถูกโยงเข้าสู่ร่างกาย ทั้งแขน ขา หน้าผาก รุงรังจนดูราวกับเป็น
พันธนาการมากกว่าการเยียวยาโรคภัย

ทันทีที่วนัสสารีบถลาเข้าไปหาร่างนั้น นวาระก็เข้าใจได้ว่าชายตรงหน้าคงจะเป็นศิวัฒน์ เวชกุล
ร่างนั้นคล้ายไม่ได้สติ แต่พอหญิงสาววางมือลงบนแขนซีดเซียวแผ่วเบา ชายที่นั่งอยู่ก็รับรู้ได้จากความรู้สึก
ว่าใครมา

‘ผีเสื้อป่า...ของพ่อ’ เสียงแผ่วหวิวหากยังจับความได้ มีแววยินดีแฝงรอยปลงตก
และอะไรบางอย่างก็บ่งบอก ว่าชายคนนี้กำลังจะหมดแรง ใกล้จากโลกนี้ไปในเวลาไม่นาน
บางที...มันอาจจะมาถึงในไม่กี่อึดใจนี้ด้วยซ้ำไป

‘ไม่คิดเลย! ว่าพวกมันจะทำกับพ่อขนาดนี้’

‘ช่างเถอะลูก มันมาถึงจุดสุดท้ายแล้ว และกำลังจะ...ผ่านไป อย่างน้อยก็สำหรับพ่อ
ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะพ่อยอมให้มันใช้เป็นตัวทดลอง ยอมให้สูบตัวอย่างไปใช้กับคนอื่นๆ เนื้อเยื่อ
ไขกระดูก ทั้งสารเคมีกับยาที่พวกมันใส่เข้ามาอีก ตอนนี้ร่างกายมันเหมือนจะใช้ไม่ได้แล้ว
ลูกอย่ายอมเป็นแบบพ่อก็แล้วกัน’

‘แล้วหนูจะทำยังไงคะ จะหนีไปพ้นไปได้ยังไง ในเมื่อพ่อก็ยังต้องมาเป็นแบบนี้’
วนัสสาเอื้อมไปบีบมือบิดาแน่น พ่อแลดูทรมาน หายใจลำบาก

‘ลูกมีพลังมากกว่าพ่อ เคยบอกแล้วไม่ใช่หรือ อีกอย่างก็ไม่ใช่ตัวคนเดียว
มีคนข้างตัวที่พร้อมจะช่วยอยู่ตลอด’

วนัสสาหันไปมองนวาระ ชายหนุ่มซึ่งเข้ามายืนชิดติดกันก็ยิ้มน้อยๆให้กำลังใจเธอ
หญิงสาวดึงมือออกจากที่เกาะกุมมือบิดาไว้ ค่อยๆเอื้อมมือสั่นระริกไปปลดแถบปิดบังดวงตาของพ่อออก
แต่แววตาขุ่นมัวที่ได้เห็นนั้นไม่รับรู้อะไรอีก อย่าบอก...ว่าแม้แต่ดวงตาของพ่อก็ถูกทดลองจนถึงกับบอดไปแล้ว!

ความรู้สึกผิดแล่นเข้าจู่โจมจับใจ ถ้ายอมให้โอกาสวาริชมาด้วยเท่าๆกับนวาระ ถ้าเธอไม่ช็อร์ตเขา
ด้วยเครื่องมือบ้าๆ บางทีตอนนี้เขาก็อาจช่วยรักษาพ่อให้ดีขึ้นมาได้ ราคาของการทรยศมันต้อง
จ่ายแพงและเร็วจนคาดไม่ถึงเลย!

‘มาก็ดีแล้วจับมือพ่อหน่อยสิ พ่อรอวันนี้มาตลอด...จับมือพ่อเอาไว้แน่นๆ’

วนัสสาทำตาม แล้วเธอก็ตกใจอย่างที่สุด เมื่อกระแสของสีสันที่ทั้งหนักแน่น เข้มข้น ไปจนถึงสีที่
เจือจางอ่อนไหวนับเป็นล้านๆสีกำลังทะลักวูบวาบเข้ามาในใจเธอตอนนั้น สีซึ่งบอกเล่าเรื่องราว
ในชีวิตอันยาวนานของพ่อที่มีทั้งสุขทุกข์

‘ถึงแม้ว่าพ่อจะจากไปแล้ว แต่พลังนี้จะยังอยู่ คอยช่วยลูกเสมอ’ เสียงของคนเป็นพ่อดูจะเข้มแข็งขึ้นมาในนาทีนั้น

‘ไม่นะคะพ่อ’ วนัสสาพยายามคลาดมือ แต่ไม่รู้ว่าบิดาไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนจึงจับมือเธอไว้แน่น
ราวกับสองมือหลอมรวมเป็นหนึ่งในชั่วขณะนั้น

‘เมื่อถูกทำให้ลืม พลังที่เพิ่มมากับสิ่งที่ได้เรียนรู้ในขณะนี้ก็อาจหลับใหลลงไป
แต่มันจะไม่สูญหายไปไหน ลูกก็แค่นึกให้ออกเท่านั้น ตอนนี้ในตัวลูกจะมีพลังชีวิตของพ่ออยู่ด้วยเสมอไป’

วนัสสาอ้าปากค้าง น้ำตาเริ่มไหล เพียงไม่กี่อึดใจมือที่เคยจับจูงเธอเดินไปไหนมาไหนแต่เล็กจนโตก็ร่วงลง
มือเธอว่างเปล่า ตอนนี้ไม่มีแรงแม้แต่จะกำมือพ่อไว้อีกต่อไป เมื่อได้สติวนัสสาจึงค่อยๆคว้ามือที่เคย
อบอุ่นนั้นขึ้นมา ทว่าสีสันแห่งชีวิตหายไปแล้ว... จางหายไปหมดสิ้นไม่มีเหลือจากร่างบิดา...

‘นี่มันไม่จริง!’ วนัสสากรีดเสียงแหลมก้องจนแม้แต่นวาระยังตกใจจนต้องถอยออกไปก้าวหนึ่ง
คล้ายจะเห็นสีดำระเบิดออกมารอบๆตัวหญิงสาวที่ทรุดลงนั่งกับพื้น ร้องไห้โฮอย่างกลั้นไม่อยู่

ชายหนุ่มมองเธอนิ่ง ...ไม่ได้เข้าไปจับ ไม่ได้เข้าไปปลอบ รู้ว่าไม่มีคำปลอบโยนใดช่วยคนที่กำลัง
สูญเสียสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตไปได้ นอกจากอ้อมแขนปลอบประโลมของกาลเวลา ที่ไม่ใช่ว่า
จะช่วยให้หายเศร้า เพียงแต่ช่วยให้สีสันความทุกข์โศกเจือจางลงเท่านั้น

นวาระมองไปรอบตัว รู้สึกว่าอากาศที่มองไม่เห็นกำลังบีบอัดเข้ามา ก่อนระเบิดแตกเป็นริ้ว
เมื่อวนัสสาตะโกนก้องอย่างร้าวราน
‘กฤษณะ นังศศิราศี ไอ้เทวัญ พวกแกจะต้องชดใช้...ด้วยชีวิต!’
เสียงแหลมสั่นพร่าดังลั่นนั้นไม่เพียงแต่กรีดแก้วหูจนแทบดับ ยังพาเอาผนังลั่นร้าวดังเปรี๊ยะ
เศษฝ้าเพดานปริร่วงกราวลงมาหลายส่วน เกิดรอยแตกยาวไปจนน่ากลัวว่าจะมีอะไรร่วงลงมาทับ

‘ไปเถอะวนัส คุณพ่อไม่หายใจแล้วแบบนี้ เดี๋ยวพวกมันจะต้องมา’

‘จริงสิ! แค่ไม่หายใจ แต่ไม่ได้หมายความว่าตายใช่ไหม งั้นเราก็ไปตามหมอริชมารักษาพ่อ
ไปเอาตัวหมอมาเร็วๆ’ วนัสสาตะโกนทั้งน้ำตา ทำท่าจะวิ่งพรวดพราดออกไปแต่นวาระกลับยุดตัวเธอไว้
หญิงสาวไม่ฟังเสียง สะบัดเต็มแรง

ทว่ายังไม่ทันได้ไปถึง ประตูก็เปิดผ่างออก คนจำนวนมากกรูกันเข้ามากระชากทั้งคู่แยกจากกัน
พร้อมถุงสีดำครอบหัวนวาระ กุญแจมือสับลงมาล็อกมือทั้งสองข้างชายหนุ่มไว้ฉับ ป้องกันไม่ให้
สะกดหรือบังคับใจใคร ในขณะที่ข้างวนัสสาต้องใช้ผู้ชายถึงสามคนยุดไว้ เพราะเวลานี้เธอดิ้นรน
เตะถีบทั้งแขนขาจนตัวลอยขึ้นทั้งตัว

เสียงตบมือสามทีดังสะท้อนก้องในห้องซึ่งเพิ่งจะเงียบลง มีเพียงลมหายใจกระฟัดกระเฟียดของผู้ถูกคุมตัว
ก่อนที่เทวัญ ศรีบริรักษ์จะเอ่ยเสียงทุ้มน่าเกรงขาม

‘เยี่ยม มาได้ไกลดี ทีนี้ก็พิสูจน์ได้แล้ว ว่าสัมผัสของพ่อเธอเรียกให้เธอมาที่นี่ อย่างที่เห็นนะ...
ร่างกายของศิวัฒน์รับไม่ไหวแล้ว แม้เราจะพยายามประคองเขาให้อยู่ต่อมาได้นานจนป่านนี้
ดังนั้นงานทดลองสุดท้ายที่เราจะใช้เขา ก็คือการทดลองร่วมกับการหลบหนีของเธอครั้งนี้ไง’

‘ไอ้คนชั่วชาติ! สรุปที่ให้เรามาจนถึงนี่ มันก็เป็นแค่การทดลองอีกสถานการณ์หนึ่งงั้นเรอะ’
วนัสสายังคงไม่เลิกดิ้น แต่เมื่อเห็นว่าไม่เป็นผลหญิงสาวก็ยอมสงบลงทั้งที่กายยังสั่นเทิ้ม
จ้องเทวัญจนดวงตาแทบปะทุออกมา

หนุ่มใหญ่วัยกลางคนผู้แข็งแกร่งคงรู้สึกราวกับมีมือยักษ์มาจับศีรษะ จากอาการหมุนหันสะบัด
กับเสียงคอที่ลั่นดังกร๊อบจนวนัสสาได้ยิน เห็นได้ชัดว่าเขารู้ตัวและขืนไว้สุดกำลัง
ไม่งั้นหญิงสาวที่กำลังโกรธจัดอาจหักคอเทวัญด้วยพลังจิตของเธอที่ไม่รู้ว่าเพิ่มขึ้นมากมายขนาดนี้ได้ยังไง

‘เอาตัวพวกมันกลับไป แล้วก็รีบหาวาริชให้เจอด้วย รวบรวมฝูงให้เข้าที่เข้าทางเหมือนเดิม’

วงจรเดิมจะต้องย้อนกลับมางั้นหรือ แต่วนัสสารู้ว่ามันกำลังจวนแตกหัก คนพวกนั้นเตรียมการ
ที่จะฉีดยาเข็มปิดฉากให้พวกเธอ ไม่ภายในวันก็สองวันนี้ เธอมองไปทางนวาระที่ถูกคุมตัวเดินมาด้วยกัน
ถ้าเขาไม่ถูกครอบศีรษะไว้ก็คงพอสื่อสารทางสายตาได้บ้าง

ทว่ายังไม่ทันจะไปถึงสุดปลายทางของอุโมงค์ซึ่งเชื่อมถึงคฤหาสน์ เสียงระเบิดดังขึ้น
แรงสะเทือนบางเบาส่งมาถึงในอุโมงค์ เทวัญที่ตามมาด้วยคำรามอย่างขัดใจ

‘ฝีมือนังลูกสาวตัวดีของฉันหรือไม่ก็ไอ้ครามแน่’

เสียงฝีเท้าคนกลุ่มใหญ่ที่คุมนวาระและวนัสสามาในทีแรกเร่งขึ้นนำออกไป
เหลือเพียงไม่กี่คนที่ถูกทิ้งไว้คุมพวกเขา เท่าที่นวาระได้ยิน หนึ่ง สอง สาม...สี่คนเท่านั้นเอง
มีแค่คนที่ยึดแขนสองข้างของเขากับวนัสสาเอาไว้ ไม่มีใครอื่นอีก

‘คุณหนึ่งได้ไหมวนัส... ผมสาม...’ คนที่ยังถูกผ้าดำครอบหัวไว้ออกปาก

‘ถ้าวัดจากอารมณ์ฉันตอนนี้ ให้รับคนเดียวหมดยังไหว’

เสียงตอบซึ่งสั่นพร่าด้วยความโกรธนั้นบ่งบอกว่าวนัสสายังทำใจไม่ได้เรื่องบิดา
แต่นวาระคิดว่านั่นเป็นเรื่องดีมากสำหรับตอนนี้

คนคุมตัวพวกเขาอยู่ยังไม่ทันคิดตามว่าทั้งสองคนพูดเรื่องอะไรก็พลันเกิดกระแสพลังประหลาด
ผลักคนตัวโตๆที่เกาะกุมแขนสองข้างของวนัสสาอยู่ลอยไปกระแทกกับผนังอุโมงค์ทั้งสองข้างสุดแรง
พร้อมกันกับที่นวาระเอ่ยกับคนที่ล็อกแขนทั้งสองของเขาไว้ยิ้มๆ

‘สงสัยจะไม่มีบันทึกไว้ในฐานข้อมูล ไม่ต้องถูกผมแตะหรอก แค่มาแตะตัวผมก็ถูกสะกดได้เหมือนกัน’

ชายร่างยักษ์ทั้งคู่รู้สึกเหมือนถูกบังคับให้เอาง้างมือออกจากแขนขาวๆของคนที่ตนเองคุมอยู่
นวาระย่อหลบวูบ ก่อนที่คนซ้ายจะซัดหมัดเข้าหน้าคนทางขวาจนคว่ำ ชายหนุ่มดึงถุงผ้าออกจากศีรษะ
หันไปคว้าหมับเข้าตรงคอของคนที่ยังยืนงงตัวเกร็งขยับไม่ได้ รอให้ชายหนุ่มกดนิ้วลงยังจุดชีพจรตรงคอ
ค่อยๆหมดแรงล้มพับแน่นิ่งไป

วนัสสาเห็นคนที่ถูกเพื่อนต่อยล้มไปทีแรกโงนเงนเข้ามาหานวาระ ‘นิว ระวัง!’
เธอไม่มีกำลังจิตเหลือพอจะผลักศัตรูที่เหลือให้กระเด็นไป ยิ่งโดยเฉพาะถ้าฝ่ายนั้นไม่ได้สัมผัสตัวเธออยู่

เจ้าของร่างสูงโปรงหันขวับไปสบตาชายที่กระชากแขนเขาหันกลับ ทันใดนั้นร่างบึกบึนของผู้คุม
ก็เกิดวิ่งเอาหัวพุ่งเข้าหม่งกำแพง คราวนี้สลบเหมือดสิ้นสติลงไปจริงๆไม่มีทีท่าว่าจะลุกได้อีกเลย

‘เพราะงี้ไง ผมถึงชอบใส่เสื้อไม่มีแขน’ ชายหนุ่มบอกกับวนัสสาที่รีบเข้ามาหาเขา
ยื่นมือสองข้างที่มีกุญแจมือล่ามติดอยู่ไปหาเธอ ‘ช่วยกัน...’

หญิงสาวคว้าตรงกลางด้วยอาการกระชาก ขณะที่นวาระใช้พลังของเขาร่วมด้วย
กุญแจมือก็ขาดสะบั้นลงตรงกลางพอดี ห่วงล็อกยังติดอยู่แต่นวาระไม่สนใจ

ตูม---

เสียงระเบิดดังมาอีกครั้ง เหมือนสัญญาเรียกให้ทั้งคู่เร่งไปหา
เพื่อที่จะช่วยกันขยายช่องทางแห่งอิสรภาพให้เปิดกว้างเพียงพอสำหรับทุกคน


ความทรงจำที่ ๑๒ ดอกไม้ในเปลวเพลิง
เวลาที่พวกเขานอนผ่านไปเป็นวันๆ เนื่องจากไม่ได้กำหนดไว้ว่าจะต้องตื่นขึ้นมาตอนไหน
ความฝันจึงดำเนินไปตามการควบคุมของนวาระผู้ได้รับอนุญาตจากเทวัญด้วยเหตุผลซึ่งไม่มีใครล่วงรู้

แต่ละคน ต่างคนต่างฝัน ทว่าความฝันและความทรงจำของพวกเขาเรียงร้อยเกาะกลุ่มเข้าด้วยกัน
เกิดเป็นเรื่องราวต่อเนื่องและสมจริงราวกับภาพยนตร์ เมื่อยามสัมผัสภาพของความเศร้า
วนัสสาที่หลับอยู่ก็สะอื้นไห้ เมื่อโกรธวาริชที่อยู่ในช่องสร้างฝันก็ขยับออกท่าทาง

ความรู้สึกนั้นรุนแรงและสมจริงเท่าๆกับเมื่อตอนที่มันเคยเกิดมาแล้วจริงๆ ความเจ็บปวด โหยหิว
ทุกอย่างประดังอัดแน่นเข้ามาในเวลาช่วงสั้นๆ

ไม่แปลกที่คนซึ่งต่างจากพวกเขาอย่างทรงวุฒิเมื่อเข้าเครื่องนี้จึงเกิดอาการข้างเคียง
เพราะสมองจะทำงานหนักจนรวน สายชลก็อาจจะเช่นกันถ้าไม่ตายไปเสียก่อนที่จะแสดงอาการ

ภาพยนตร์ที่มีพวกเขาเป็นตัวแสดงยิ่งทวีความสมจริงขึ้น เมื่ออาศัยความสามารถในการถอดร่างของคราม
ไปรู้ไปเห็นสิ่งต่างๆ กับการได้ยินเสียงจากที่ไกลๆของดาหวัน จึงแทบว่ามีหลากมุมมองของใครหลายคน
ที่พูดอะไรออกมาดังๆให้พวกเขาได้รับรู้ด้วย ทำให้เรื่องราวปะติดปะต่อกันได้แนบเนียนเป็นหนึ่งเดียว
...ช่วยให้เข้าใจมากกว่าที่เคยมองจากเพียงมุมของตัวเองในอดีตที่ผ่านมา

ยิ่งนาน ความฝันถึงเรื่องราวในอดีตยิ่งส่งให้ร่างในเครื่องสร้างฝันของวนัสสา นวาระ วาริช
รวมถึงดาหวันกระสับกระส่ายขึ้นตามลำดับ ครามเองที่นอนอยู่ในห้องห่างออกไปก็เช่นกัน
ชายหนุ่มถูกโปะยาซึ่งทำให้หลับนานเป็นพิเศษ ก่อนจะนำตัวแยกมาจากห้องนอนของวนัสสา

ดร.กฤษณะยังไม่มีธุระกับเขาในวันนี้ คนพวกนั้นจึงเห็นว่าชายหนุ่มควรหลับให้นานที่สุด
เพื่อไม่ให้ลุกมาทำตัวเป็นภาระรบกวนและจะได้เอาเวลาไปสนใจสี่คนในห้องแห่งความฝันแบบเน้นๆ
แต่กลับไม่รู้เลยว่าพลังจิตของคนที่เหลือเชื้อเชิญครามให้ล่องลอยสู่ฝันในวันเก่านั้นพร้อมกัน
เมื่อเอะใจก็สายเกินไป อันตรายที่จะปลุกครามขึ้นจากที่จิตเขาถูกพันเกี่ยวเอาไว้เหนียวแน่น
ชายหนุ่มจึงถูกปล่อยให้นอนหลับต่อ ฝันถึงเรื่องราวในอดีดต่อไป

...ในฝันนั้น ครามรู้ว่าวนัสสายัดอะไรบางอย่างใส่เข้ามาในกระเป๋าเสื้อตน
จังหวะที่เขาดึงตัวเธอมากอดตอนเดินสวนกันวูบหนึ่ง เมื่อถูกจับได้ว่าเป็นชิปส์บันทึกผลการทดลอง
ที่ถอดมาจากหลังเครื่องวัดผล เขาถูกสอบสวนอย่างละเอียด ชายหนุ่มนั่งรอรับโทษอยู่นิ่งๆ พร้อมๆกันนั้น
ก็ถอดร่างซึ่งสร้างขึ้นออกไปทำนั่นทำนี่ เขามีพลังจิตแข็งแรงขึ้นทุกวัน เพียงแต่เวลาออกไปเช่นนั้น
ครามจะบังคับให้ร่างจิตอยู่ในสภาพที่คนธรรมดามองไม่เห็น ดังนั้นจึงไม่มีบันทึกไว้ในการทดลองว่า
ความสามารถเขาพัฒนาไปมากเพียงไร
ชายหนุ่มนึกเสียดาย ถ้าต้องลืมเรื่องเกี่ยวกับการทดลองครั้งแรกไปทั้งหมด เขาก็จะลืมความสามารถ
ที่ได้เพิ่มมานี่ไปด้วยงั้นหรือ ความสามารถของจิตนั้นอาศัยความเชื่อมั่นว่าตัวเองจะทำได้เป็นส่วนมาก
ต้องจินตนาการไปอย่างแน่นหนักก่อน จึงจะสามารถทำได้จริง ถ้าลืม...เขาก็ไม่รู้จะไปเอาความมั่นใจ
นั่นมาจากไหน เหมือนคนที่จำไม่ได้ว่าตัวเองว่ายน้ำเป็นจึงไม่กล้าลงน้ำ
ก็จะไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วว่ายได้สบายๆ

วนัสสาคงมีเหตุผลสำคัญ เธอทำร้ายเขาหลายครั้ง ไม่บอกเขาด้วยว่าหมายใจจะทำอะไร
แต่ไม่รู้ทำไม ครามไม่เคยโกรธอีกฝ่ายได้จริงๆเสียที เขาสงสารและเห็นใจเรื่องพ่อ
ที่หญิงสาวยึดเหนี่ยวเสียเหลือเกิน ทว่าภายในวันนี้เขาเองก็มีเรื่องสำคัญต้องทำเหมือนกัน
เพราะว่าเวลาที่จะต้องลืมทุกอย่างใกล้เข้ามาแล้ว

‘หวังว่าแผนของดาหวันคงจะได้ผล...’ ชายหนุ่มบอกกับตัวเอง เพราะถ้าพลาด
เขาก็ไม่รู้เลยว่าจะต้องเจอกับความโกรธระดับไหนของเทวัญ

ดาหวันกำลังกระสับกระส่ายอยู่ในห้องทดลองที่เธอถูกโยงตัวติดกับสายวัดค่าต่างๆเป็นเวลานาน
ดีที่มันไม่ใช่พันธนาการแน่นหนา สิ่งที่ตัดสินใจจะทำในวันนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กเลย เธอและคราม
ตั้งใจจะทำลายที่นี่ โดยเริ่มจากโจมตีระบบควบคุมไฟฟ้าเป็นตัวตั้งในแผน หญิงสาวเองร่ำเรียน
วิศวกรไฟฟ้ามา รู้เรื่องโครงสร้างของสถานที่แห่งนี้จากการค่อยๆสะสมข้อมูล เธอได้ยินเสียงคนพูดจากัน
จึงเริ่มรู้มากขึ้นเรื่อยๆว่าอะไรอยู่ตรงไหน ขาดแต่มือที่จะใช้ดำเนินการให้แผนทุกอย่างเป็นจริง
แล้วใครล่ะที่จะมีร่างสำรองไว้ไปทำนั่นทำนี่ได้
เธอก็แอบเห็นจากหลายๆครั้งที่เข้าทดลองร่วมกัน แม้ครามจะปิดๆบังๆเอาไว้ แต่ในสายตา
ผู้มีพลังด้วยกันมันยาก และหญิงสาวก็รู้ว่าความสามารถของเขาก้าวหน้าไปทุกทีจนพอจะเป็นมือให้เธอได้
ไม่สิ ต้องเรียกว่าร่วมมือกัน แม้เธอเองจะไม่เคยชอบครามในฐานะลูกติดมารดาเลี้ยงเลยก็ตาม

แต่การจะบอกแผนการไปสู่เขาด้วยการส่งเสียงไปหานั้นไม่ง่าย ดาหวันทำได้แต่ฟังเสียงจากที่ไกลๆ
ไม่ถนัดการถ่ายทอด ซึ่งแม้ความสามารถจะเพิ่มมาแต่อย่างมากเธอก็พูดได้แค่อะไรสั้นๆ
สื่อสารระยะไกลได้นานๆครั้งเท่านั้น

ที่สุด หญิงสาวจึงเลือกใช้วิธีเขียนผัง เธอจะต้องนำเศษกระดาษนั้นไปทิ้งไว้ที่ไหนสักที่ตามทาง
รอจังหวะครามเดินผ่านไปและให้เขาแอบเก็บมาดู ถ้าเพียงแต่อีกฝ่ายจะยอมร่วมมือ
ก็แค่บอกเขาว่ามันอยู่ตรงไหน เธอเป็นตัวรวมข้อมูล ร่างซึ่งถูกสร้างขึ้นของครามจะเป็นตัว
ปฏิบัติการ ความสามารถของเขาและเธอเข้ากันได้ดีกว่านิสัยส่วนตัวมากจริงๆ

คนที่ดาหวันกลัวอยู่คนเดียวในชีวิตก็เห็นจะเป็นพ่อ แม้รู้ว่าบิดาจะไม่ทำอะไรเธอ
อย่างน้อยก็คงไม่เท่ากับที่เกรี้ยวกราดกับคนอื่น ทว่ามันก็คงไม่ใช่เรื่องเล็กๆเลย
เธออาจจะต้องเจ็บตัว เจ็บใจ พ่อคงจัดการเอาจนกว่าจะเข็ดหลาบกันไปข้างหนึ่ง
ดาหวันไม่เคยถูกทรมานทางกายเท่าคนอื่น ทั้งที่บางทีก็อยากจะโดนให้เทียมหน้าให้สาแก่ใจ
ประชดชีวิตไปเลย แต่ทรมานทางใจนี่สิ เป็นสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น
แต่คนอย่างพ่อคงทำให้มันเกิดจนได้ในไม่ช้า

เธอค่อยๆป้อนแผนของตนเองให้ครามรับรู้และร่วมมือ ทำกันไปวันละเล็กละน้อย
โดยที่ทั้งคู่ไม่เคยพบปะและไม่ปริปากบอกใคร แต่ดาหวันก็จำเป็นต้องมีคนในสักคน
ที่จะให้ความร่วมมือในเรื่องต่างๆ ยังดีที่เธอได้รู้จักใครหนึ่ง เป็นนักศึกษาแพทย์ฝึกหัด
ผู้ช่วยของเบ็น ดูก็รู้ว่าเอเดนไม่ปกติ ในแววตาเขาบ่งบอกว่าชอบสนุก
ทว่าความสนุกอันแฝงรอยวิปลาสอย่างไม่ธรรมดาของเด็กหนุ่มผมทองคนนั้นดูช่างน่าสงสัย
ดาหวันเองยังเคยถามตอนมีโอกาสอยู่กับเขาตามลำพัง

‘การที่เธอช่วยฉัน มันหมายถึงว่าเธอจะต้องทำลายที่ทำงานของตัวเองนะ
แล้วแบบนั้นยังจะเต็มใจอีก ประหลาดดี’

‘ชีวิตจะมีค่าอะไรถ้าต้องอยู่ไปแบบธรรมดา’ คนพูดยิ้มสดใส
แต่ดวงตาสีเขียวของเขาจุดประกายหม่นมืดวาบขึ้นอย่างน่ากลัว ‘ผมชอบเลือด ไฟ
ความวุ่นวาย...เคออส และการทำลายล้าง มันมักต้องมีขึ้นก่อนสรรพสิ่งใหม่ๆจะก่อเกิดเสมอ
คือสัญญาณของการเริ่มต้นจากสิ่งเดิมๆที่จำเจ คิดว่าผมมาทำงานที่นี่ด้วยเหตุผลอะไรล่ะ’

จนพวกเหยื่อทดลองทั้งหมดก้าวเข้าใกล้ช่วงเวลาที่กำลังจะถูกพรากความทรงจำไป
ดาหวันกับครามร่วมมือกันทำทุกอย่างให้เป็นไป ผ่านความช่วยเหลือของคนบ้าแบบ
นักศึกษาแพทย์ฝึกหัดผู้ชาญฉลาดเกินวัยแต่ใจวิปริต

ถึงวันสำคัญ มันจึงได้เริ่มขึ้น ไฟฟ้าลัดวงจร กับการวางระเบิดในจุดสำคัญๆ ระเบิดเคมี
ที่เด็กหนุ่มตระเตรียมให้ แต่พวกเขาก็รู้กันดีว่าเอเดนไว้ใจไม่ได้ มีเพียงต้องเสี่ยงดวงดูเท่านั้น

...เมื่อเสียงระเบิดดังดาหวันก็เบาใจ นักวิทยาศาสตร์และหมอที่อยู่ในห้องเดียวกับเธอต่างก็ตระหนก
ส่วนมากจะห่วงผลงานที่ตนทิ้งไว้ในห้องทำงานจะเป็นอันตรายจึงทิ้งการทดลองไปหมด
แต่ยังไม่มีใครปล่อยเธอออกจากห้องซึ่งปิดสนิท ระเบิดหลายครั้งดังติดๆกันใกล้เข้ามาแถบนี้
หญิงสาวรู้ว่าต้องตั้งหลักเตรียมหนีให้ดี ไม่งั้นตนเองก็มีสิทธิ์ตายได้ง่ายๆ
เพราะนี่ไม่ใช่การทดสอบอีกต่อไป แต่มันคือของจริง!

เมื่อทำหน้าที่ทำลายระบบไฟฟ้าตามแผนเรียบร้อย ครามรู้ดีว่าอันดับแรกคือต้องเร่งดึงจิต
กลับไปยังร่างกายเพื่อเอาตัวรอด ทว่าทันทีที่ลืมตา ก็เป็นเวลาเดียวกับระเบิดดังตูมสนั่น
ในห้องที่ร่างของเขาอยู่พอดี เศษหินและปูนถล่มลงมา ทำให้ครามต้องกลิ้งตัวถลาลงจากเก้าอี้
หน้าผากถูกอะไรสักอย่างฟาดเข้าจนเป็นแผลแตก เลือดไหลเป็นทาง

‘มันไม่ห่วงเลยสักนิดว่าจะมีคนตาย! ไอ้เอเดน’ ชายหนุ่มอุทาน

‘อ๋อ เด็กคนนั้นเองเหรอ ที่ช่วยพวกคุณ ไม่แปลกใจเลย’ เสียงที่บ่งบอกว่ายังอารมณ์ดี
อย่างไม่สะทกสะท้านนั้นเป็นของสายชล ที่ในอดีตเจ้าหล่อนอยู่ในชุดอย่างนักวิทยาศาสตร์!

‘แย่เลย... ใกล้จะได้หยุดพักกันอยู่แล้ว หลังการทดลองยกแรกนี้จบลง ฉันก็จะแต่งงานกับทรงวุฒิ
เราจะมีความสุขกัน ส่วนพวกคุณ...ก็ต้องจมอยู่กับชีวิตเน่าๆที่ไม่พ้นวังวนของการทดลองยาวไปจนครั้งต่อไป
อย่างไม่รู้ตัว’ สายชลหัวเราะอย่างไม่รู้สึกผิด ลอนไขมันที่คอและหน้าท้องกระเพื่อมราวกับกำลังร่วมยินดี
ไปด้วยกันกับเจ้าของร่างกาย ‘ทำงานที่นี่ได้เบี้ยเลี้ยงเยอะกว่าที่เคยอยู่องค์กรของรัฐไม่ได้ลืมตาอ้าปากแยะเลย
ฉันว่าจะเอาเงินไปเข้าคอร์สลดความอ้วนเร่งรัดจะได้สวยรับวันแต่ง คงจะไม่ได้ไปฮันนีมูนที่ไหนไกล
เพราะต้องเตรียมสานต่องานยกใหม่อีกยาว แต่ช่างเถอะ ตอนนี้ก็มีความสุขกับงานดีอยู่แล้ว
สุขตรงที่เงินเยอะนี่แหละ...’ ขณะพูดนั้นหญิงสาวก็ไม่ได้อยู่นิ่ง
เจ้าตัวยังใจเย็นเก็บเอกสารและดึงข้อมูลขึ้นเซิฟเวอร์รวมผ่านคอมพิวเตอร์ที่กำลังจะพังเพราะไฟลามมา

ครามได้แต่มองอย่างเวทนา สายชลไม่ได้ระวังเลยว่าระบบนิรภัยซึ่งควบคุมโดยตรงจากห้องกลาง
เพื่อป้องกันปัญหาเหยื่อทดลองก่อความวุ่นวายก็ถูกทำลายลงไปด้วย ไม่เช่นนั้นคงมีน้ำลงมาดับไฟแล้ว
ไม่มีอะไรช่วยให้คนในนี้ปลอดภัยนอกจากเร่งหาทางช่วยตัวเอง ชายหนุ่มเลิกสนใจ หันไปใช้เก้าอี้
กระแทกประตูส่วนที่พังเพื่อที่จะหนีออกไป

‘อย่าตายล่ะคราม! คนหล่อๆแบบคุณตายไปเสียดายแย่’ เสียงเจือรอยเจ้าชู้นั้นยังไม่วายไล่หลังมา

สายชลคงรู้ว่าหยุดเขาไม่ได้จึงไม่คิดพยายาม ก็นับเป็นทางที่ดี แต่ใครกันแน่ที่ดูต้วมเตี้ยม
แถมไม่รีบหนีจนน่าจะตายมากกว่ากัน

ครามรู้จักทรงวุฒิผู้คล้ายว่าเพิ่งจะมาพบรักกับสายชลที่นี่ ผู้ชายคนนั้นเป็นนักวิทยาศาสตร์
ซึ่งมีพลังจิตระดับต่ำ เป็นพวกถูกจ้างมาด้วยเงินจึงจัดไว้ในส่วนพิเศษให้ร่วมการทดลองย่อยๆ
ไม่ได้ถูกบังคับทารุณอะไรมากเหมือนพวกที่ต้องตายไปบ้างระหว่างการทดลอง
แต่หลายส่วนใต้ดินกำลังจะถล่ม คราวนี้คนตายจะไม่ได้มีแค่พวกเหยื่อ แต่ครามรู้ดี
โซนที่ตนทำลายได้มีแต่โซนฝั่งซ้ายเท่านั้น ฝั่งขวาที่ไม่สามารถเจาะระบบแปลนเข้าไปจะยังอยู่ดี
ยังอยู่รอ หากพวกเขาต้องกลับมาเป็นเหยื่อทดลองที่นี่อีกครั้ง

ดังนั้นเขาจะต้องไปทำให้ทุกอย่างสิ้นสุดลงภายในการทดลองครั้งแรก ทำให้มันเป็นครั้งเดียว

เพื่อตนเอง และเพื่อเธอ...วนัสสา ระหว่างทำเรื่องที่มีเดิมพันสูงลิบ ใจเขาก็คอยคิดไปถึงแต่คนที่เอาแต่
ทำร้ายเขาในช่วงหลังๆ ดูเหมือนเธอไม่ได้แคร์เขาเลย มัวไปสนิทสนมกับนวาระ ยิ่งคิด ครามก็ยิ่งเจ็บปวดในใจ
จนรู้สึกว่ามันเริ่มจะเกินเลยคำว่าชอบไปแล้ว คงเป็นมนต์ขลังจากค่ำคืนหวานๆซึ่งเคยผ่านมาด้วยกัน
กับวันเวลาที่เขาพาตัวเองไปเฝ้าดูแลเธอใกล้ๆ ที่มันทำให้เขา‘รัก’เธอ

‘วนัสหายไปอยู่ไหน อย่าเป็นอะไรไปนะ...ผู้หญิงดื้อ ถึงผมจะต้องตายวันนี้ แต่ผมก็จะไม่ยอมให้เธอเป็นอะไร’



ตอนที่วนัสสาและนวาระกลับมาถึงส่วนทดลองข้างใต้คฤหาสน์สีน้ำเงิน
ทั้งคู่พบว่าเพดานส่วนหนึ่งของโซนฝั่งซ้ายซึ่งต้องผ่านถล่มลงมาจนแทบจะปิดทางเดินหมด
คอนกรีตก้อนใหญ่อุดปิดช่องว่างที่เหลือนิดเดียวจนวนัสสาแทบจะหมดกำลังใจ
แต่แล้วก็เห็นนวาระปราดเข้าไปหยิบสิ่งกีดขวางก้อนมหึมานั้นเหวี่ยงกลิ้งไปอีกทาง

‘ทำได้ยังไง’

‘สะกดจิตตัวเอง ให้มีแรงเท่าผู้ชายสักหลายๆคน’ ชายหนุ่มตอบกลั้วหัวเราะนุ่มนวล
‘แต่ไม่ใช่ว่าจะทำได้ถาวรหรอก แค่วูบเดียวเท่านั้น’

วนัสสาเสียวสันหลัง พลังจิตของนิวอาจจะอันตรายที่สุดในบรรดาพวกเธอด้วยซ้ำ
ลงเขามีพลังขนาดนี้ คิดจะทำอะไรก็ทำได้ ดูเหมือนว่าอาจจะเป็นพวกที่มีพลังมา
หลายชั่วคนแบบพ่อและตัวเธอเอง

ฝุ่นควันลอยตลบคลุ้งในช่องทางที่ไฟฟ้าดับมืด วนัสสายังรู้สึกสัมผัสถึงความปลอดภัย
ในหนทางข้างหน้าได้ดีกว่าจึงจูงมือนวาระวิ่ง สัมผัสมือที่กระชับตอบเธอนั้นนุ่มนวล
ก่อความอุ่นใจพร้อมกับที่ชายหนุ่มกล่าวขึ้นลอยๆ

‘ผมดีใจนะ ที่เรามาด้วยกัน ที่คุณเลือกเชื่อใจผม แม้ผมจะไม่น่าเชื่อนักก็ตาม’

วนัสสาแอบรู้สึกผิดจึงนิ่วหน้าอยู่ในความมืดที่เธอนำเขาไป เธอรู้สึกดี เห็นเขาเป็นเพื่อน
แต่ถ้าหากว่าเขาตายและพ่อเธอยังอยู่ เธอไม่ลังเลเลยที่จะแลกเอาชีวิตพ่อคืนมา
คิดเท่านั้นแล้วน้ำตาก็ไหลลงมาเงียบๆ เธอไม่อาละวาดฟูมฟายแต่หัวใจกำลังฉีกขาดเป็นริ้ว
เมื่อวิ่งไปถึงทางแยกข้างหน้าหญิงสาวจึงหยุด ตัดสินใจหันไปถามเขาเสียงเฉียบ

‘ฉันรู้ว่าคุณชอบฉัน แต่ว่าความจริงใจของคุณ มันมากแค่ไหนกัน นิว’

‘ทำไมหรือ ทำไมถึงถามตอนนี้’ มือที่เกาะกุมมือบอบบางอยู่ในความมืดดึงเธอให้ชิดเข้ามา
ก่อนจะกระซิบ ‘บอกตรงๆนะวนัส ว่าคุณเป็นคนสำคัญของผม เกินกว่าจะใช้แค่คำว่าชอบ
เป็นผู้หญิงคนแรกและคนเดียวที่ผมเคยสนใจ ได้ยินแบบนี้แล้วคุณพอใจหรือเปล่า’

‘ถ้าฉันไม่ได้ต้องการแค่ให้การทดลองนี้จบลง แต่ต้องการชีวิตของเทวัญ ด็อกเตอร์กฤษณะ ศศิราศีด้วย!
เอามันมาให้ฉันได้ไหม ชีวิตไร้ค่าของเดนมนุษย์พวกนี้’ วนัสสากัดกรามพูดอย่างกดดัน
สังเกตได้ชัดเจนว่าสีสันความรู้สึกของนวาระที่สัมผัสมือกับเธออยู่เปลี่ยนไปวูบ

ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอ ตอนนี้พวกเขาไม่เพียงยืนอยู่ตรงทางแยกของความเป็นจริง
แต่ว่าทางชีวิตก็อาจจะถึงจุดเปลี่ยนด้วยเช่นกัน สองคนแรกเขายินดีโดยไม่ลังเล
แต่กับคนสุดท้าย ชีวิตของศศิราศี เขาคง...
‘ได้...แต่ว่า’

ทันใด ก่อนที่ชายหนุ่มจะพูดต่อ แรงระเบิดสะเทือนอยู่เหนือขึ้นไป
เพดานทั้งกระบิพังลงมาในระยะประชิด เศษอะไรต่อมิอะไรทำให้ทั้งคู่ต้องปล่อยมือจากกัน
ไม่มีเวลาพอที่นวาระจะดึงตัววนัสสามาทางฝั่งเดียวกับเขาได้ทัน

‘มันถล่มลงมาปิดมิดหมด นิว คุณได้ยินหรือเปล่า’ วนัสสาไอ

‘ได้ยิน ผมยังได้ยินคุณอยู่ แต่ว่าไอ้เศษๆพวกนี้มันเยอะมาก ผมคงไม่มีแรง
จะยกมันไปพ้นทางได้หวาดไหว’

‘เราแยกกันก่อน แล้วค่อยหาทางไปสมทบกันอีกทีตรงทิศเรือนกระจก โอเคนะ
แล้วถ้าเจอไอ้พวกคนร้ายกาจสามคนที่ว่า อย่าลืมสัญญา ฉันต้องการชีวิตมัน!’

วนัสสาเร่งไปจากตรงนั้นเพราะพื้นข้างบนร่ำๆจะร่วงลงมาอีกโดยไม่หยุดแค่นั้น นวาระรู้ว่าเธอจากไปแล้ว
เขาเองก็ต้องรีบเช่นกัน อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเจอพวกระดับหัวผู้สร้างสรรค์การทดลองครั้งนี้
เรื่องที่เธอขอร้องเขาจะจัดการอย่างไร


วาริชไม่ได้สลบไปตอนนอนที่ถูกช็อร์ตจากน้ำมือของวนัสสา ชายหนุ่มเพียงแกล้งแน่นิ่งไปเท่านั้น
เขาไม่ชอบผู้หญิงทรยศยอกย้อน ถึงจะเคยชอบเธอแค่ไหนแต่ชายหนุ่มก็ตัดสินใจได้ในทันที
จากนี้หากมีโอกาสเขาคงไม่ยืนข้างเธออีก
...เมื่อสองคนนั้นจากไปและลิฟต์ไม่มีวี่แววว่าจะเคลื่อนกลับลงมา วาริชสำรวจดูทางหนีทีไล่
ก็เหลือทางเลือกแค่ย้อนกลับไป เพราะหนทางเบื้องหน้าปิดสนิท บางทีถ้ากลับไปเขาอาจเจออะไร
ที่เป็นประโยชน์บ้าง ชายหนุ่มยังดีใจที่หลอดยาฉีดเข็มที่สองยังอยู่กับเขา แม้ยังไม่รู้จะใช้ประโยชน์จากมันเช่นไร

เจ้าของร่างสูงใหญ่หาทางขึ้นไปยังชั้นบนของเขตทดลองฝั่งซ้าย แล้วก็พบว่าตนพลัดเข้าไปเจอห้อง
เก็บเคมีพืชที่ให้ความรู้สึกว่าอยู่ใกล้เรือนกระจกที่ปลูกดอกไม้สีน้ำเงินพวกนั้น มีทางผสมน้ำเลี้ยง
ซึ่งจะถูกสูบขึ้นไปฉีดพ่น นี่เขาอาจจะอยู่ข้างใต้มันเลยด้วยซ้ำ ชายหนุ่มที่เคยเป็นคนของเวชกุลหยุดคิด
เขาจะหาทางผสมพิษให้พวกมันตายไปทีเดียวยกไร่ทั้งเรือนกระจกนั้นเลยได้หรือเปล่า ก็ต้องลองดูสักตั้ง!

ไม่นานจากนั้นเสียงระเบิดดังติดๆกันหลายที สัตวแพทย์หนุ่มที่แปลงตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญ
ด้านการทำลายพืชผลชั่วคราวชะงักมือลง เสยผมฟูๆที่ตอนนี้ยุ่งเหยิงขึ้นสิบเท่าของตนเองอย่างโกรธๆ

‘เกิดเวรอะไรในนี้กันอีกวะ! ก็ดี วินาศสันตะโรให้หมดจะได้หนีออกไปได้ซะที’

ศศิราศีอยู่ในห้องพักของสามี ณ โซนฝั่งซ้ายซึ่งกำลังประสบเหตุนั้นด้วย
หญิงสาวที่เคยวางมาดสง่าอยู่เสมอแทบจะเสียสติ เธอประณามดร.กฤษณะยกใหญ่
ฝ่ายสามีทำท่าไม่สนใจฟังแต่กำลังจดจ่อกับคอมพิวเตอร์ซึ่งเชื่อมโยงกับห้องควบคุมต่อไป

‘นี่คุณเทวัญก็เพิ่งส่งข่าวมาเรื่องสามคนที่ก่อเรื่องไปจนถึงตึกบลูไดมอนด์ได้
ทั้งที่มันเป็นเทสต์ที่ยังไม่ถึงเวลาของวนัสสา แล้วนี่อะไรกันอีกเรายังต้องมาติดอยู่ที่นี่
ฉันบอกคุณแล้วใช่ไหม ว่าอย่ามาอยู่กันในที่บ้าบอคอแตกแบบนี้ ไอ้พวกหนูทดลองก็ก่อเรื่องจนได้
โอ๊ย นี่เมื่อไหร่คุณจะฟังสักที ฉันบอกว่ารีบๆทำให้พวกมันสักคนสองคนลืมๆไปได้แล้วตั้งแต่หลายวันก่อน
คุณก็ไม่ทำ ปล่อยให้มันว่าง ปล่อยการควบคุมให้หละหลวม จนวันนี้มันก็ก่อเรื่องจนเราพังแบบนี้ไง
นี่กฤษณะ คุณหูแตกหรือไง ได้ยินฉันพูดบ้างไหม’

‘รู้แล้ว คุณก็หุบปากซะที ผมกำลังจะออกไปทำให้พวกมันลืมอยู่นี่
เอาให้ลืมพร้อมกันทั้งหมด ไม่ต้องรออีกแล้ว’ คนเป็นสามีชักจะเสียงแข็ง

ศศิราศีมีสีหน้าสะอึกไปกับน้ำเสียงกร้าวกระด้างนั้น ‘ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับคำสั่งของคุณแต่แรก
ดี...รีบๆฉีดยาให้มันหมดฤทธิ์กันไปซะที ไม่งั้นคนตายอาจเป็นเรา’

วนัสสาวิ่งไปตามทางที่ไฟดับมืด เสียงของความสั่นสะเทือนและกลิ่นเผาไหม้ของไฟ
ซึ่งกำลังลามใหญ่นั้นทำให้ไม่ได้ยินว่ามีใครคนหนึ่งกำลังสวนวิ่งมาหาเธอเช่นกัน
จนเมื่อปะทะกันแรงจนล้มกลิ้งไปคนละทาง แม้จะสัมผัสเพียงแวบเดียววนัสสาก็รู้ว่านั่นคือใคร

‘ดาหวัน...’

‘คุณวนัส!’

วนัสสาเองไม่ได้ดีใจที่พบอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย แต่กลับเดือดพล่านเหมือนข้างในมีลาวาปะทุ
หญิงสาวได้แต่ซ่อนความโกรธซึ่งกำลังแล่นขึ้นมาเป็นริ้ว ตรงหน้าคือลูกสาวของผู้ชายที่ฆ่าพ่อเธอ
อาจแกล้งแสดงละครตบตาเธออยู่อีกคนด้วยซ้ำ สันดานงู ลูกที่ออกจากไข่มามันก็ต้องเป็นงูวันยังค่ำ
เทวัญน่าจะได้ลองรับรู้ถึงการสูญเสียไม่ต่างกัน วนัสสาหรี่ตาลงมองเงาตะคุ่มของลูกสาวศัตรู
ปรับใจให้เยือกเย็นพลางยืนขึ้นรวดเร็ว ส่งมือให้ดาหวันจับแล้วดึงอีกฝ่ายยืนอย่างเป็นมิตร
ซึ่งจากบุคลิกแข็งๆตามปกติแล้วดาหวันควรเป็นฝ่ายลุกก่อนด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนกำลังตื่นเต้นตกใจ
เพราะผวาว่าอาจเจอใครที่ไม่ใช่คนไม่มีผิดมีภัยอย่างวนัสสา

‘ไปกัน!’ วนัสสาเร่งบอก

‘ทางไหนล่ะ’

‘ที่ฉันผ่านมาทางพังหมดแล้ว เราย้อนกลับไปทางฝั่งคุณดาก็แล้วกัน ไปทางเรือนกระจก
ฉันนัดคุณนิวไว้ที่นั่น’

ทั้งคู่เลี้ยวเลาะไปตามหนทางซึ่งเสียหายไปมากเพราะระเบิดโดยมีวนัสสาที่สัมผัสความปลอดภัย
ได้มากกว่าวิ่งนำ แต่ดาหวันซึ่งรู้เส้นทางดีเป็นคนบอกว่าควรเลือกซ้ายหรือขวา ขึ้นหรือลง

‘บ้าจริง นี่แม้แต่ส่วนที่ไม่ได้บอกว่าให้ทำลายไอ้เด็กบ้าเลือดคนนั้นก็ไม่วายทำวินาศไปหมด’

‘ใครกัน เด็กบ้าเลือด’

‘เอเดน แต่ก็เถอะ เขาช่วยให้เรามีโอกาสหนีแท้ๆเลย’

‘นี่แปลว่าคุณดาวางแผนกับเด็กฝึกหัดคนนั้น’

‘ไม่ใช่แต่ฉัน ครามด้วย แต่มีเอเดนเป็นคนเชื่อมแผนของเราเข้าด้วยกัน’

อ้อ...มิน่าล่ะ ความสัมพันธ์ของดาหวันกับครามที่นวาระเคยบอก เขาวางแผนด้วยกันจนทำได้ขนาดนี้
ทั้งที่ชายหนุ่มไม่ได้คิดปริปากบอกเธอเรื่องแผนเสียแต่เนิ่นๆตอนยังมีโอกาส รอจนสายเกินไป

ทั้งคู่มุ่งไปสู่แยกกว้างเบื้องหน้าที่พอจะมีแสงสว่าง แต่พอเลี้ยวไปเท่านั้นก็แทบผงะ
เพราะเจอกับกลุ่มคนจำนวนมาก วนัสสาถอยกรูดมาอยู่หลังดาหวันทันที และพอเห็นว่า
เป็นกลุ่มของเทวัญ ศรีบริรักษ์ซึ่งเจ้าตัวนำมาเองอย่างไม่กลัวตายหญิงสาวก็กระชากคอดาหวัน
จนอีกฝ่ายแทบหงาย
จ่อเครื่องช็อร์ตติดกับศีรษะของคนเป็นลูกสาวเทวัญแล้วตะโกนกร้าวใส่กลุ่มคนที่กำลังจะพุ่งเข้ามา

‘หยุดทุกคนนั่นแหละ ไม่งั้นนังนี่ตาย! เทวัญ...รู้ใช่ไหมว่าเครื่องนี้ถ้าเร่งให้สุด
ต่อให้เป็นพวกมีพลังจิตก็จะตาย แบบคนที่พวกแกเอามาทดลองนั่นไง ถ้าห่วงลูกสาวก็ถอยไป!’

เหล่าชายร่างใหญ่ไม่มีใครกล้าขยับ ได้แต่หันไปมองเจ้านาย รู้กันดีว่าแม้นายใหญ่จะไม่ได้นำดาหวัน
มาออกหน้าออกตาในสังคม แต่ความใส่ใจมากมายของคนเป็นนายก็อยู่ที่ลูกสาวคนนี้มากกว่าบุตรคนใดทั้งหมด

‘หลีกทางให้นังบ้านั่น’ เทวัญคำรามต่ำอย่างเสือถูกกระตุกหนวด

เพราะทางช่วงนั้นกว้าง วนัสสาจึงลากดาหวันเดินหลบชิดอีกฝั่งของผนังไปได้ไม่ยาก
หญิงสาวผู้ตกอยู่ในมือคนตัวเล็กกว่าพยายามขืน แต่ไม่รู้วนัสสาเอาพลังความเกรี้ยวกราดมาจากไหน
พลังจิตของเธอกดดันจนดาหวันแทบจะชาไปตลอดร่าง ไม่สามารถทำได้อย่างใจต้องการ
ไม่แค่นั้นยังเจ็บปวดไปทั้งตัวจนน้ำตาแทบไหล

‘พ่อ...’

เทวัญโกรธจนขมับเต้นระริก ‘แกนี่เองนังวนัส ตัวการก่อเรื่องทำลายที่นี่’

‘อยากคิดยังไงก็คิด แต่สมควรแล้วที่มันเป็นแบบนี้ ทีแกเองก็ทำลายชีวิตคนไปตั้งมากมาย
ที่บัดซบแบบนี้มันไม่ควรจะมีอยู่บนโลกหรอก’

วนัสสาลากตัวดาหวันทิ้งห่างมาจากเทวัญและพวกจนได้ แต่หญิงสาวรู้ดีว่าจะต้องมีคนตามมา
อย่างแน่นอน หนทางต่อจากนี้เธอพอจะรู้แล้วว่าเรือนกระจกไปทางไหน เพราะงั้นก็ไม่ต้องการให้
ดาหวันบอกทางอีก เพียงแต่กระชากลากถูไปด้วยกันเท่านั้น

‘วนัส! ฉันเคยไปทำความเจ็บแค้นให้เธอเมื่อไหร่’

‘แกไม่ได้ทำ แต่พ่อแกทำกับฉัน กับพ่อฉัน จนพ่อต้องตายไป! มันสมควรได้รับความเจ็บปวดแบบเดียวกัน’
วนัสสาตอบเกรี้ยวกราดยิ่งกว่า

ดาหวันเองพอเข้าใจเรื่องที่คนเป็นลูกสาวจะโกรธเรื่องศิวัฒน์ เวชกุลถูกพ่อเธอกักขังไว้
แต่ไม่เข้าใจว่าตัวเธอที่เป็นลูกจะต้องแบกรับความผิดนั้นด้วย โดยเฉพาะตนเป็นคนวางแผน
ทำลายที่นี่ลงกับมือด้วยซ้ำ ดูจากความโกรธของวนัสสาแล้ว คิดว่าตอนนี้หญิงสาวอยู่ในอารมณ์
เลือดเข้าตาจนเสียสติ คงไม่ยอมฟังคำอธิบาย


เมื่ออาละวาดจนดร.กฤษณะออกไปพ้นห้องเสร็จสรรพ ศศิราศีเองก็เร่งไปตามทางที่คิดว่าปลอดภัยอีกทาง
มีฝีเท้าคนกำลังวิ่งสวนมา ทั้งสองฝ่ายได้ยินเสียงของกันและกัน หญิงสาวจึงรีบหาทางเอาตัวรอดในวินาทีฉุกเฉิน

ทว่าคนที่ก้าวออกมามาจากความมืดกลับเป็นนวาระ...นวาระ เวชกุลผู้รู้จักศศิราศีดียิ่งกว่าใคร!

‘ศศิราศี...’ ชายหนุ่มเอ่ยออกไปทั้งที่มองไม่เห็นใคร

ตาของเขากราดไปทั่ว และคนที่ซ่อนตัวอยู่ก็ขยับถอยหลังนิดเดียว เพียงนิดเดียวเท่านั้น
ทว่ามือขาวแข็งแรงของชายหนุ่มก็คว้าถึงตัว กระชากศศิราศีให้ปรากฏตัวจากสภาพไร้รูปร่าง
ที่หญิงสาวใช้พลังแอบซ่อนอยู่ได้ทันที! ไม่มีใครอื่นรู้ความลับเรื่องพลังอันนี้ นอกจากสามีของเธอแล้ว
ก็มีแต่เขาที่เคยสนิทสนมกันยิ่งกว่าคนเดียวที่รู้

‘โอ๊ย ปล่อยนะนิว!’

ชายหนุ่มมองคนในกำมือเหมือนเพิ่งเคยเห็นเธอเป็นครั้งแรก ทั้งที่เขาเคยเห็นการใช้พลังของผู้หญิงตรงหน้า
มานับครั้งไม่ถ้วน ใจไพล่ไปนึกถึงคำขอที่เหมือนจะเป็นทั้งคำอ้อนวอนแกมบีบบังคับของผู้หญิงที่เขารัก
แต่สำหรับคนในกำมือ...เขาก็เคยรักเธอมากเช่นกัน ในอีกฐานะหนึ่ง ก่อนที่อีกฝ่ายจะค่อยๆเปลี่ยนไป
จนกลายเป็นคนใหม่ที่เขาแทบไม่รู้จัก ทำแต่สิ่งเลวๆที่เขาไม่คิดว่าเธอจะทำ
บางทีความตายอาจสาสมกับความผิดที่เธอทำกับเขาในช่วงหลังๆ
เหมือนความรู้สึกของนวาระเองแทบไม่มีความหมาย

‘รู้ใช่ไหมว่าผมไม่ใช่คนใจอ่อน’ นวาระกระซิบเยือกเย็น

‘เธอจะทำร้ายฉันเชียวหรือ ทั้งๆที่เรา...’

‘เงียบเถอะ อดีตมันไม่มีความหมายสำหรับคุณอีกแล้วไม่ใช่เหรอ
ตั้งแต่วันที่ผมเรียกคุณว่าคุณ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปแล้ว’

‘ถ้าอดีตไม่มีความหมายแล้วฉันจะมาบ้าเพื่อเวชกุลอยู่นี่ทำไมล่ะ
เธอเองก็น่าจะเข้าใจว่าเราต้องเสียสละ ทั้งฉันแล้วก็เธอ’

‘บอกตรงๆว่าผมไม่เคยคิดจะสละชีวิตเพื่อนามสกุลนี้เลย’

‘ไม่ใช่แค่นามสกุลนะนิว แต่เป็นศักดิ์ศรีของเราที่ทางสายปู่ย่าของวนัสสาแย่งชิงไป
ทั้งที่คุณสมบัติของเวชกุลฝั่งเรามีดียิ่งกว่าพวกมัน ฉันยอมแต่งกับไอ้งั่งอวดฉลาดอย่างกฤษณะ
ก็เพราะอำนาจของเขาอยู่เหนือพวกมัน พยายามเอาชนะใจเทวัญก็ด้วย ทุกอย่างมันกำลังไปได้สวยอยู่แล้ว
ปล่อยฉันไปทำหน้าที่ของฉันเถอะ เธอเองก็มีเรื่องต้องทำไม่ใช่รึไง’

นวาระนิ่วหน้า เห็นว่าพูดกันไม่รู้เรื่อง แต่เขาก็คงต้องปล่อยเธอไป เพราะจะทำให้หมดสติอยู่ในหนทาง
ที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตแบบนี้ก็ไม่ได้ เอาตัวไปด้วยก็ไม่ได้ คนอย่างศศิราศีรู้เท่าทันเขามากเกินไป
และก็คงทำตัวเป็นปัญหาใหญ่แบบสุดๆ ฆ่าเธอซะอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า!

ตาของนวาระวาบประกายประหลาดขึ้นวูบ ทว่ามันก็จางหายไป
ถูกแทนที่ด้วยน้ำตาที่รื้นขึ้นมาจากไหนก็ไม่รู้ได้ ด้วยความอาดูร ความเสียใจ เสียดาย...
ที่เขาและคนตรงหน้าก้าวมาถึงจุดนี้ จุดที่เขามีคำว่า‘ฆ่า’อีกฝ่ายกล้ำกรายเข้ามาในใจ
แต่ไม่ว่ายังไงกับชีวิตผู้หญิงที่ชื่อศศิราศีเขาก็ให้วนัสสาไม่ได้จริงๆ มือแข็งแรงคลายออก
เพื่อให้อิสรภาพ แต่ก่อนที่ร่างของหญิงสาวจะเลือนรางจางจากไปเขาก็เรียกรั้งไว้อีกที

‘หลังจากนี้ผมขอให้หยุดทุกอย่าง หยุดเถอะศศิราศี ...พี่ สะบันงา’ คำหลังของชายหนุ่มเบาลง

‘อย่าเรียกชื่อนั้น!’ ร่างที่กำลังจางหายกลับชัดเจนขึ้นเมื่อหันมาตวาดแว้ด
ต่างกับปกติที่น้ำเสียงของเธอน่าฟังเสมอ ก่อนจะก้าวเข้ามาประชิดและเอ่ยเบา ทว่ากร้าวกระด้าง
‘ฉันลืมชีวิตบ้าๆนั่นไปหมดแล้ว และจะให้คนอื่นรู้ไม่ได้ว่าเราเป็นพี่น้องกัน ถึงคุณเทวัญจะรู้
เพราะฉันปิดบังเขาไม่สำเร็จ แต่เธอสัญญาว่าจะไม่พูดเด็ดขาด ฉันถึงได้ยอมให้เธอมาอยู่ที่นี่
มาช่วยกันทำให้เวชกุลกลับเป็นของเรา’

ชายหนุ่มหลับตาลงอย่างข่มขื่นใจ ตอนเขายังเด็ก เมื่อพ่อแม่ที่ไม่เอาไหนทิ้งขว้าง
พี่สาวที่โตกว่ามากก็พาเขาหนีมาจากบ้านที่เลวร้าย แรกๆก็ดี มีกันสองพี่น้อง เวลาล่วงผ่าน
พี่ที่อายุห่างกันเกือบสิบปีนั้นนับวันก็ยิ่งห่างออกไป กลายเป็นคนไม่มีหัวใจเหมือนเก่า
นอกจากจะคิดถึงแต่เรื่องที่ตัวเองต้องการเท่านั้น ทว่าเยื่อใยบางๆก็ยังไม่ขาดลง

นวาระไม่ได้ล่วงรู้เลยว่าศศิราศีกำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในใจ เรื่องที่พลาดไม่ได้เอายาเข็มที่สองติดมือมาด้วย
ที่นี่ตรงนี้ไม่เหมาะจะใช้ยากับนวาระ แต่ถ้าไม่มีทางเลือกเธอก็ต้องหาทางฉีดมันใส่เขาทีเผลอ ไม่ใช่ให้
คนเป็นน้องมาคุมเกมอยู่เหนือตน แต่ในที่สุดนวาระก็ไม่ทำรุนแรง ดังนั้นศศิราศีจึงหันหลังจากเขาไป
เลือนหายไปต่อหน้าต่อตาน้องชายซึ่งได้แต่มองตามเงียบงัน


ครามหาทางเข้าใกล้เรือนกระจกเช่นกัน เขารู้เรื่องดอกไม้พวกนี้มาจากข้อความที่
ดาหวันส่งผ่านมาในกระดาษ มันเลี้ยงยากถึงได้ต้องเอาไว้ในเรือนกระจกอย่างพิเศษ
แต่การทำลายก็ยากเช่นกัน หลังจากนี้หากพวกเขาต้องลืมสิ่งที่เกิดไปอย่างช่วยไม่ได้จริงๆ
ดาหวันบอกว่ามีตัวยาในคลังอยู่แล้วที่อาจจะช่วยให้นึกได้ถ้าได้ยานั้นมา

แต่ด้านการขยายพันธุ์น้ำตานางฟ้า วิธีที่เหมาะกลับเป็นการใช้ต้นสดๆ
ถ้าหาทางทำลายมันให้เหี้ยนได้การเริ่มขยายแผนช่วงนี้ก็คงมีอันต้องชะงักงัน
แม้ยังมีแหล่งปลูกอยู่ที่อื่น แต่เขาอยากให้พวกมันจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นเอาไว้ให้ดีๆ

เพราะระบบนิรภัยถูกปลด ตัวล็อกต่างๆก็ถูกเปิดด้วยฝีมือของเอเดนที่ตั้งโปรแกรมไว้
ไม่มีใครรั้งอยู่ที่ห้องควบคุมได้เพราะต้องหนีตายกันก่อน ครามจัดการกับคนที่เจอ
ตามทางไปบ้างจนพาตัวเองไปถึงชั้นบนดินของคฤหาสน์ที่ด้านหลังติดกับเรือนกระจก
มองออกไปเห็นดอกไม้สีน้ำเงินสลอน ชายหนุ่มเป็นพวกไม่คุ้นกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
แต่เขาก็ลองกดแผงควบคุมให้ประตูเปิดได้สำเร็จ มันคล้ายจะเป็นการเชื้อเชิญให้เข้าไปในนั้น
สุมทุมพุ่มรกที่แทรกบังตาอยู่จะเป็นที่ซ่อนตัวชั้นดีได้ระหว่างรอดาหวันมาตามนัด
แต่ความจริงซึ่งครามไม่รู้ก็คือกระจกนี้ไม่อาจทำลาย! อย่างน้อยก็ด้วยกำลังมนุษย์

ครามพบด่างรุนแรงชนิดหนึ่งในคอกโลหะมีหลังคาเตี้ยๆซึ่งเหมือนก่อไว้ชั่วคราว
มันซุกซ่อนอยู่ภายใต้เรือนกระจก โดยมีสุมทุมพุ่มไม้บังไว้อีกที มีบันไดสำหรับปีนลงไปชั้นล่างด้วย
เสียงพ่นน้ำรดต้นไม้ตามเวลาถูกฉีดไปทั่วบริเวณอยู่ภายนอกดังให้ได้ยิน แต่ครามรู้สึกสังหรณ์ใจ
อย่างไรชอบกลกับที่นี่ เขาหนุ่มได้แต่คิดขณะแบกถังใส่ด่างออกไปจัดการกับดินและเหล่าดอกไม้
รอเวลาที่ดาหวันจะมาถึงและส่งเสียงเรียกเขาทางจิต


วนัสสาลากคอดาหวันมาจนใกล้ถึงที่หมายอย่างเกือบเป็นกระชากลากถู
อารามตื่นตระหนกและส่วนหนึ่งเพราะถูกพลังที่เหนือกว่าควบคุม ไม่ว่าดาหวันจะ
พยายามส่งเสียงไปถึงครามแค่ไหนก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีสมาธิเพียงพอ ได้แต่ตอบคำถาม
หลากหลายที่วนัสสายิงมาราวกับคนละเมอด้วยอำนาจกดดันถึงขีดสุดที่ครอบคลุมตั้งแต่สมองจนถึงร่างกาย

‘อ้อ งั้นสรุปว่าก็มีเครื่องพ่นไฟไว้ทำลายดอกไม้ปิศาจในเรือนกระจกนั่น
หลังจากต้นรุ่นเดิมหมดประโยชน์โดนเก็บดอกตัดกิ่งที่จะเอาไว้ปลูกต่อไปเก็บไว้แล้ว
แต่แบบนั้นดินจะไม่แย่เหรอ’

‘ไม่ ดอกไม้นั่นชอบสภาพดินกับสารที่เกิดจากการเผาหน้าดิน’ ดาหวันตอบไปตามที่อีกฝ่ายคาดคั้นเอา

‘ถ้าจะเผาต้องเข้ารหัสรึเปล่า เธอเคยได้ยินบ้างไหมว่ารหัสมันว่าอะไร หูเธอดีนี่’
คนพูดหัวเราะเหยียดหยันราวกับไม่ใช่ตัววนัสสาอย่างที่เคยเป็น ...ไม่มีใครจะรู้จักมนุษย์ดี
จนกว่าวันที่เลวร้ายที่สุดของชีวิตมนษย์ผู้นั้นจะมาถึง แม้มนุษย์คนที่ว่าจะเป็นตัวเองก็ตาม

‘บลูเทียร์ ตรงตัว ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น’ ดาหวันแทบจะกัดปากยามเอ่ยออกไป

‘ใกล้ถึงเรือนกระจกละ ฉันคิดว่าควรจะทิ้งเธอไว้ที่นี่นะ อย่างน้อยคุณพ่อสุดที่รักจะได้หยุดดูซากเธอ
ส่วนคนของเขาที่จะตามมาน่ะ ไม่รู้ทำไม ตอนนี้ฉันคิดว่าตัวเองมีพลังพอจะเอาชนะได้หมด
ยิ่งถ้าแย่งปืนมาได้ละก็จะยิงมันทิ้งทุกคนเลย’

‘ผู้หญิงบ้า’ ดาหวันหลุดคำรามออกมาได้อย่างโกรธๆ

เพียงเท่านั้นวนัสสาที่ยังอารมณ์เดือดพล่านกับการสูญเสียบิดาก็สติขาด
หญิงสาวปล่อยมือจากคอของดาหวัน กดเครื่องช็อร์ตระดับรุนแรงเข้าตรงขมับของฝ่ายนั้น
อย่างไม่กลัวว่าผลจะออกมาร้ายสักเพียงไหน ดาหวันที่แกร่งกว่าคนธรรมดายังสั่นกระตุกไปตลอดร่าง
ก่อนจะล้มลงแน่นิ่ง

วนัสสาเร่งผละขึ้นไปชั้นบนคฤหาสน์ เรือนกระจกที่นัดแนะกันไว้กับนวาระ
ทว่าตอนไปถึงเธอยังไม่พบใคร ชายหนุ่มคงต้องอ้อมไปไกลกว่า แผงควบคุมเรือนกระจก
จากภายในคฤหาสน์ถูกเปิดทิ้งค้างไว้ หญิงสาวตรงเข้าไปเข้ารหัสบลูเทียร์ตามที่รู้มา
เมื่อสำรวจดูจึงพบปุ่มสำหรับเผาทำลายดอกไม้ทั้งหมด

วนัสสารู้สึกสะใจเอามากๆเมื่อกดมัน สารช่วยให้ติดไฟถูกพ่นพร่างพรมลงไปในเรือนที่เธอมองเข้าไปเห็น
เกล็ดใสๆสะท้อนรับกับแสงแดดจนระยิบระยับ ทีนี้ละก็...แม้ดอกไม้จะเปียกปอนเพราะเพิ่งถูกรดน้ำ
แต่ก็จะลุกติดไฟกันสวยงามเลยทีเดียว แม้จะเทียบไม่ได้กับความสูญเสียเรื่องพ่อที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆ
แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่เธออยากจะตอบโต้ให้พวกมันได้เห็นกันไป

เมื่อระบบพ่นไฟทำงาน ประตูเข้าสู่เรือนกระจกจากในคฤหาสน์ก็ล็อกสนิท
และจะไม่เปิดอีกจนกว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกไฟเผาทำลายหมดสิ้นและไฟมอดดับลงเอง
หญิงสาวหันรีหันขวาง ตรงนี้โล่งโถงเกินไป ถ้านวาระไม่โผล่มาในอึดใจ
พวกที่จะมาพบเธอเข้าก่อนคงเป็นลูกน้องของเทวัญที่อาจจะตามมาฆ่าวนัสสาเสียก็ได้

จังหวะซึ่งกำลังคิดหาทาง คนสองคนในชุดกาวน์สีขาวที่คงออกไปทำธุระบางอย่างในสวนข้างนอก
เห็นไฟถูกพ่นเข้าไปในเรือนกระจกก็เปิดเข้ามาทางประตูที่เชื่อมกับภายในอาคาร จึงเห็นว่า
เหยื่อทดลองตัวสำคัญหลุดออกมาก่อการ หญิงสาวยืนนิ่งไม่หลบเพียงแต่เอามือไพล่หลัง
รอจังหวะให้อีกฝ่ายวิ่งมาถึงตัวจึงสวนเครื่องช็อร์ตไฟฟ้าเข้าใส่ทันที คนแรกล้มลง
ทว่าคนที่สองซึ่งวนัสสาจำได้ว่าร้ายกาจกับพวกเธอในการทดลองยิ่งกว่ากลับโดนช็อร์ตไม่จังนัก
จึงเพียงพลาดท่าล้มลง ปืนกระเด็นไปอีกทาง

ชายร่างใหญ่ถลามาจะบีบคอวนัสสา ถ้าไม่โดนเธออัดพลังจิตกระแทกเข้าใส่จนกลิ้งพ้นตัวไป
หญิงสาวก้าวไปหยิบปืนที่หล่นอยู่มาถือไว้ มือดูเหมือนจะสั่นด้วยความเหนื่อยหอบ
แต่ใจไม่สั่นเลยแม้แต่องศาเดียว

‘ยะ อย่าทำอะไรผมนะคุณวนัสสา ได้โปรดเถอะ ได้โปรดอย่ายิง!’
ชายผู้เคยเห็นหญิงสาวเป็นเหยื่อถึงเวลาจะต้องร้องขอสั่นพร่าเมื่อเห็นปืนเล็งมา
ความกร่างในน้ำเสียงยามเคยเป็นผู้เหนือกว่าไม่มีเหลือ

‘เพิ่งเคยเห็นคุณรู้จักพูดดีกับคนอื่น แต่ขอโทษนะ ฉันในตอนนี้ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว’

ปังงง!

หญิงสาวเห็นร่างตรงหน้าดิ้นพล่านด้วยความเจ็บปวดก่อนจะกระตุกนิ่งไป เธอไม่หยุด
ยังหันไปยิงอีกคนที่นอนกองนิ่งอยู่แล้วแถมเสียด้วย...
ปังงงงง!

น้ำตาแห่งความแค้นหลั่งไหลรินลง แม้จะไม่ใช่จุดตายในเฉียบพลันเสียทีเดียว
แต่วนัสสาก็เลือกยิงเข้าตรงช่องท้อง หากจะรอดก็นับเป็นบุญของพวกมัน ตอนนี้เธอบ้าเลือดแล้ว
พลังในตัวก็เดือดพล่านราวกับกำลังหาทางระบายออก จะไม่มีอะไรมาหยุดเธอได้ ไม่ว่าคนพวกนี้
หรือนายของพวกมัน

วนัสสาก้าวออกไปสู่สวนหลังทางประตูที่พวกมันโผล่เข้ามา สีท้องฟ้าส้มอมแดงเลือด
บ่งบอกว่าเป็นยามโพล้เพล้ ลมพัดใบไม้ที่ร่วงหล่นปลิดปลิวไป หญิงสาวปล่อยให้ประตูเปิด
ทิ้งค้างไว้เพื่อว่าถ้านวาระตามมาเห็นเขาจะรู้ทันทีว่าเธอออกมาทางนี้ หรือหากเป็นคนอื่น
เธอซึ่งหาทำเลซุ่มดูอยู่ก็จะเห็นได้ว่าเป็นใครก่อนอีกฝ่ายจะเห็นเธอ


หญิงสาววิ่งเลียบไปกับเรือนกระจก มองจากข้างนอกเช่นนี้ไม่เห็นเลยว่างข้างในมีอะไรอยู่
ทว่าทันใดนั้นเอง ร่างของครามก็โผล่มาดักหน้าเธอ
‘วนัส!’

เหมือนกับภาพลวงตา เมื่อจู่ๆคนที่เธออยากเจอมากที่สุดก็โผล่มาจากพุ่มไม้ข้างเรือนกระจก
หญิงสาวเสียใจเรื่องพ่อ อยากให้ใครบางคนกอดเธอ แต่ถ้าข้างกายเป็นนวาระเธอก็ไม่ต้องการ
มีเพียงคนตรงหน้าเท่านั้นที่อ้อมกอดของเขามีความหมาย ทว่า...ร่างกายของเธอกลับทะลุผ่านร่างเขาไป!

วนัสสาปากคอสั่น ก่อนจะเอ่ยตะกุกตะกักออกมา ‘ร่างคุณอยู่ไหน’

ครามที่หันมามองเธออยู่แล้วมีสีหน้าสิ้นหวังอย่างประหลาดจนวนัสสาตัวชา
เขาวิ่งออกมาจากทางนั้น หรือว่า
‘อย่าบอกว่าคุณอยู่ในเรือนกระจก ไฟ...กำลังถูกพ่นเข้าไปเผาดอกไม้’




วนัสสารู้สึกราวกับถูกตีแสกหน้า เธอวิ่งถลาไปทุบกระจกรัวๆด้วยกำลังจิตที่ทำให้เรี่ยวแรงเพิ่มมา
แต่ดูเหมือนมันไม่สะเทือนเลย หรือว่าจิตใจเธอหวั่นไหวซ้ำแล้วซ้ำอีกจนกระจัดกระจายไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียว

ไม่นะ...คราม นี่มันไม่จริงใช่ไหม’

น้ำตาดูเหมือนจะไหลออกมาอีก ตอนเปิดมันเธอตรวจดูแน่แล้วว่าระบบการพ่นไฟนั้น
ไม่มีการยกเลิกกลางคันได้ มีทางเดียวคือต้องทำลายเรือนจกแล้วให้เขาออกมาเท่านั้น
วนัสสารู้ว่าครามเข้าไปเคาะกระจกตอบมาจากด้านใน เธอสัมผัสความรู้สึกของเขาได้
ผ่านกระจกอย่างพิเศษที่ทั้งหนาทั้งทึบตรงหน้า ยิ่งคิดว่าเป็นความผิดของตนเองน้ำตาก็ยิ่งหลั่งไหล

‘ขอโทษนะ ฉันมันบ้าเอง ตอนเผาคิดว่าจะมีใครอยู่ข้างในก็ไม่สน ใครก็ตายก็ช่างหัวมัน
แต่พอกลายเป็นคนที่ตัวเองรักแล้วฉัน...’ ใช่เธอรักคราม! วนัสสาเพิ่งจะรู้ตัวเอาตอนนี้เอง
บางทีก็คงจะหลงรักเขามาตั้งแต่แรกแล้ว ในลานเต้นรำอันมีเพียงมนตราแห่งแสงจันทร์ กับเขาและเธอ

ร่างที่สร้างจากพลังจิตของครามปรากฏขึ้นอีกครั้ง
‘ผมมีเรื่องต้องบอก ก่อนที่เราจะจากกัน’

‘ฉันไม่ยอมให้คุณตาย!’ วนัสสาตัดสินใจแน่วแน่ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทำลายกระจกบ้านี่ให้สำเร็จ
หญิงสาววิ่งไปยกหินประดับสวนก้อนใหญ่ขึ้นมาถือไว้ด้วยสองมือ ก่อนจะปรี่เข้าไปหาเรือนกระจก
ทุบมันลง ครั้งแล้ว...ครั้งอีก

‘ไม่มีประโยชน์หรอก’ ครามพูดออกมาเบาๆ วางมือลงบนไหล่อีกฝ่าย เมื่อไม่ได้สัมผัสกันรุนแรง
ร่างของเขาก็ไม่ทะลุผ่านเธอไป

วนัสสาค่อยๆทรุดตัวลงนั่งแปะลงกับพื้นอย่างหมดกำลังใจ ‘ฉันขอโทษ ขอโทษนะคราม...ฉันเป็นบ้า
เพิ่งจะเห็นพ่อตายวันนี้ที่ตึกบลูไดมอนด์ ก่อนตายก็ยกพลังทั้งหมดให้ฉันมา คงอยากให้ใช้มันเอาตัวรอด
แต่สุดท้ายแล้วทั้งหมดมันก็เป็นแค่การทดสอบของเทวัญ ฉันเลยสติแตก มาถึงนี่ได้ก็เลยปล่อยไฟเข้าไป
เผาดอกไม้ มันเป็นความผิดของฉันเอง’

ครามนั่งลงเบื้องหน้าเธอ นิ่งอั้นไปสองสามอึดใจ ก่อนจะพูดต่อ ‘ยังไงผมก็รอดยากอยู่แล้ววนัส
แต่ก่อนที่เราจะไม่ได้เจอกันอีก เธอช่วยจำเอาไว้อย่าง ว่าผมไม่เคยเกลียดเธอเลย
ไม่ว่าเธอจะทำอะไรร้ายๆลงไปขนาดไหน เพราะผมรู้ว่าคนที่ตัวเองรักที่จริงแล้วเป็นคนดี
ดังนั้นถ้าเธอได้มีชีวิตรอดออกไป ไม่ว่าจะหนีไปได้ หรือว่าจะต้องกลับมาเจอกับการทดลองครั้งที่สอง
ขอให้จำไว้อย่าง ไม่ว่าตอนนั้นตัวผม ความทรงจำ หรืออะไรก็ตามจะหายไป แต่ความดีจะยังอยู่กับใจเธอ
ความรักของพ่อจะยังอยู่กับเธอ รวมถึงความรักของผมด้วยเหมือนกัน ได้ยินไหม...ผมรักเธอ วนัส’

ครามสวมกอดร่างบอบบางราวตุ๊กตาไว้ในอ้อมแขน นึกเสียใจที่มันอาจจะเป็นครั้งสุดท้าย
แต่เขาก็รู้จากหลายครั้งที่เคยถูกเอาตัวเข้าไปในเรือนกระจก ว่ากระจกนี้ไม่มีทางทำลาย
มันถูกออกแบบมาเพื่อกักขังคนที่มีพลังจิตเอาไว้ข้างใน

วนัสสากอดตอบ สัมผัสร่างเขาได้แผ่วเบา

‘ฉันรักคุณ ฉันไม่มีวันลืมคุณ ต่อให้คุณยังอยู่หรือตายไปแล้ว ฉันก็จะรักคุณต่อไปจนถึงวันสุดท้าย’

‘ผมไม่ตายง่ายๆหรอก อาจมีคนรู้ว่าผมติดอยู่ในนั้น จากนี้เราจะจากกันไป...หลงลืมกันไป
บางทีถ้าหนีไปไกลๆชีวิตเธออาจจะมีความสุขกว่าได้กลับมาเจอผม’

‘ไม่ การทดลองครั้งต่อไปฉันจะกลับมาดูว่ามีคุณหรือเปล่า แล้วเราจะรอดด้วยกัน
ฉันจะมีความสุขได้ยังไงถ้าต้องสงสัยอยู่ตลอดเวลา ถึงจะลืมไปหมดว่าสิ่งที่ติดค้างในใจคือเรื่องอะไร
แต่จิตใต้สำนึก...คงไม่ลืม’

‘ถ้าปล่อยผีเสื้อตัวเดิมไปพ้นมือแล้ว ผมไม่ค่อยแน่ใจว่ามันจะย้อนกลับมากินน้ำหวานที่ดอกไม้ดอกเดิมอีก
สมองคนเรามันแปลกนะ มันปิดล็อกความทรงจำบางส่วนไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ’

‘สมองลืม แต่หัวใจฉันไม่มีวันลืม เพราะงั้น ถ้าเราได้พบกันใหม่
ช่วยรักฉัน และทำให้ฉันจำคุณได้อีกครั้งทีเถอะนะ’ วนัสสาพูดทั้งน้ำตา
ครามนิ่งไปครู่ แต่ที่สุดเขาก็ยิ้ม

‘เอาละ เธอพูดถูก ผมจะทำให้เป็นอย่างนั้น เชื่อเถอะ...ว่าถ้าเราเป็นคู่กัน ไม่ว่าจากกันไปสักกี่ครั้ง
หลงลืมกันไปสักกี่ที เราก็จะย้อนกลับมาพบเจอกันเสมอ’


เขาบอกให้เธอเชื่อ แต่เขาเองก็ยังไม่ได้เชื่อเต็มร้อยตามที่พูดไป บางทีมันอาจเป็นแค่คำปลอบ ปลอบเธอ
และรวมถึงปลอบใจตัวเอง เพราะแพร่งทางนับพันของชีวิตที่บิดผัน อาจพัดพาคนสองคนไปคนละทิศละทาง
ไม่ได้หวนคืนกลับมาหรือแม้แต่จะเข้าใกล้กันอีกด้วยซ้ำไป

หญิงสาวมองตาเขาผ่านม่านน้ำตาพร่างพราย แล้วก็รู้สึกได้ ร่างของครามชักจะจางลงไปทุกที
วนัสสายิ่งสะอื้นไห้ พ่อตายเพราะถ่ายพลังให้เธอ ตอนนี้คนที่เธอรักอีกคนก็กำลังจะตายเพราะเธออีกเหมือนกัน

เมื่อร่างของชายหนุ่มเลือนหายไปจากตรงนั้น หญิงสาวกรีดร้องรุนแรงจนเรือนกระจกปริร้าว
อย่างไม่น่าเป็นไปได้ ก่อนละล้มฟุบลงสิ้นสติไปในทันที

นวาระเห็นประตูสู่สวนเปิดอ้าอยู่ เขาวิ่งไปโดยคิดว่าวนัสสาเองก็คงออกมาสำรวจทางหนีออกนอกคฤหาสน์
แต่สิ่งที่พบคือลวดหนามที่สะไว้หนาโดยรอบทุกทิศก่อนจะได้เข้าใกล้รั้วเสียอีก
ดูท่าว่าจะเดินกระแสไฟฟ้าไว้เสียด้วย แต่ก่อนที่เขาจะตัดสินใจขั้นต่อไป สายตาของชายหนุ่มก็สอดส่าย
มองหาวนัสสา พอดีกับที่เสียงกรีดร้องบาดประสาทของเธอดังขึ้น แก้วหูเขาลั่นเปรี๊ยะ มันไม่ใช่แค่คลื่นเสียง
แต่เปี่ยมไปด้วยพลังจิตอัดแน่น แล้วชายหนุ่มก็วิ่งไปพบร่างเธอกองแน่นิ่งอยู่ไม่ห่างเรือนกระจก

...เมื่อฝันร่วมกันหรือการเดินทางตามรอยความทรงจำดำเนินมานานหลายวันจนถึงจุดนี้
เป็นนวาระที่พยายามจะปลุกทุกคนให้ตื่นด้วยพลังจิตของตนเอง แม้ทุกคนจะได้รู้เรื่องเขากับศศิราศีไปแล้ว
แต่เขาไม่อยากให้วนัสสารู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในตอนจบ ทว่าพอมาถึงตรงที่ต้องการจะหยุด กลับกลายเป็น
พลังความมุ่งมั่นของคนอีกสี่คนซึ่งยืนยันจะฝันต่อกดเขาไว้ หนักอึ้งจนไม่สามารถควบคุมสิ่งใดได้อีก
ชายหนุ่มจึงได้แต่ปล่อยไป เอาเถอะ เขาเองก็มาถึงจุดสุดท้ายแล้ว รวมทั้งชีวิตที่กำลังดำเนินอยู่
ในการทดลองครั้งสองนี่ด้วย อะไรจะเกิดก็คงต้องให้เป็นไป

สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้น...นวาระเข้าไปอุ้มร่างที่กองอยู่กับพื้นของวนัสสาขึ้นมา เกือบๆจะรู้สึกสิ้นหวังไปด้วย
ลำพังตัวเขาเองคนเดียวคงไปต่อไม่ไหว และแน่นอนว่าเป็นเรื่องใหญ่ สถานที่ถูกทำลายไปขนาดนี้
ภายในชั่ววันคนพวกนั้นจะต้องมาฉีดยาเข็มที่สองให้ทุกคนแน่ๆเพื่อทำให้สงบลงและลืมเลือนทุกอย่าง
เขาได้ยินมาว่าพวกนั้นจะนำตัวแต่ละคนกลับไปส่งไว้ยังโลกภายนอกทันที ซึ่งเป็นกระบวนการหนึ่งใน
การทดลองกับสภาพจิตใจและพัฒนาการ ตอนนี้อาจยังไม่รีบร้อนตามมาจับตัวเหยื่อที่หนีกระจัดกระจาย
เพราะมัวแต่วุ่นเรื่องสถานที่ อาจจะคิดว่ายังไงพวกเขาก็คงหนีไปไม่รอด

ไม่ว่าอย่างไรนวาระก็มีเวลาเหลืออีกแค่ไม่นาน ชายหนุ่มเร่งพาวนัสสาไปจนถึงห้องพักหมายเลขห้า
ที่ชั้นบนของเขา คนอื่นจะยังไงไม่รู้ แต่นวาระเองเตรียมการที่จะทำให้ตัวเองกลับมาที่นี่อย่างผู้ชนะเอาไว้แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแอบรวบรวมกลีบบลูเทียร์และสารสกัดเข้มข้นมาซ่อนไว้ในที่ทางสำหรับตัวเอง
หรือกระทั่งรอยสักกลางหลังของวนัสสา ตอนนี้เขายังต้องจัดการกับตัวเองอีกอย่าง

นวาระหยิบเอาของที่ต้องการออกมา สมุดฉีกเล่มเล็ก ปากกาหมึกซึมหัวแหลมที่เขาเอาติดมา
เผื่อเป็นอาวุธได้ด้วย กับกล่องสักชุดเล็กที่ข้างในมีเข็มกับขวดสี ระหว่างรอให้วนัสสาตื่น
นวาระก็เริ่มสักแขนซ้ายของตัวเองเป็นตัวหนังสือเอียงๆ ถ้าเป็นไปได้เขาคงเขียนอะไรยาวๆลงไปแล้ว
แต่พวกนั้นคงถลกหนังเขาทิ้งเสียแทนที่จะยอมให้คงมันไว้
ชายหนุ่มจึงได้แต่ทิ้งคำภาษาอังกฤษที่คนอื่นจะอ่านได้ว่ารูมนัมเบอร์ไฟว์ แต่เมื่อไม่มีจุด
ความฝังใจเฉพาะตัวจะทำให้เขาเองเข้าใจได้ทันทีว่าตนต้องการหมายถึงหมายถึงรูมโนไฟว์
คือไม่เอาห้องหมายเลขห้า กับอีกคำที่สักลงไปเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษเช่นเดียวกัน
ความจริงภายใต้สีน้ำเงิน หลังจากนี้คนที่น่าจะยอมให้เขาโกงเล็กๆน้อยๆ
คงจะเป็นพี่สาวของนวาระเองนั่นแหละ

เมื่อวนัสสาตื่น เขาจะต้องจัดการกับความรู้สึกของเธอ จริงอยู่ กับคนอื่นอาจเห็นว่า
ความเป็นความตายสำคัญกว่า แต่สมองของเขาทำงานต่างออกไป นวาระเห็นว่ารักที่เขา
ไม่เคยมีนี่แหละมีค่ายิ่งกว่าชีวิต เกินกว่าอะไรทั้งหมด แม้ครั้งนี้เธอไม่ได้รัก แต่เมื่อเจอกันอีกครั้ง
หญิงสาวจะต้องหันมารักเขาก่อนคราม เหมือนกับลูกเจี๊ยบที่ฟักออกจากไข่แล้วถูกจัดแจง
ให้เห็นหน้าตัวอะไรก็ตามตัวแรกจนหลงคิดว่าเป็นแม่ จากนั้นมันก็จะตามแจอยู่แต่ตัวที่มันฝังใจ
จะต้องทำให้เธอฝังใจอยู่กับเขาคนเดียว

ชายหนุ่มใช้เวลาอย่างเร่งรีบ แต่งานสักที่ออกมาก็ดูไม่เลว ในขณะที่นวาระกำลังทำความสะอาดแผล
วนัสสาที่เขาจัดแจงให้นอนอยู่บนเตียงกำลังตื่นขึ้นมาปิดหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้น เธอคงยังเสียใจเรื่องพ่อ
เป็นเรื่องดีที่จะทำให้การสะกดจิตเป็นไปอย่างง่ายดาย ชายหนุ่มตรงเข้าไปดึงข้อมือเธอให้ลุกนั่ง
ก่อนจะวางสมุดฉีกเล่มเล็กของเขาลงบนเตียง

‘วนัส มองตาผม แล้วฟังที่ผมพูดให้ดีๆ มองสิ! เอาละ...ตั้งใจฟังนะ’ นวาระยัดเยียดปากกาหมึกซึม
แท่งเดียวที่เขามีนั้นใส่มือเธอ ‘เขียนลงไปตามที่ผมบอก อย่าให้พลาดแม้แต่คำเดียว’ ชายหนุ่มถอนหายใจ
รอจนมือสั่นๆของวนัสสาจรดปากกาลงบนแผ่นกระดาษในสมุดฉีก จึงเริ่มบอกช้าๆและชัดๆให้เธอเขียนตาม

‘ผมชื่อนวาระ ถึงตอนนี้เราคงจำกันไม่ได้
ผมเองก็น่าจะลืมชื่อวนัสสาไปแล้วเช่นกัน
แต่ความหวังอย่างเดียวของเรา วนัสต้องตามหาผมให้เจอ
ตามร่องรอยของผีเสื้อไป เพื่อที่เราจะได้กลับมาพบกัน
และรักกัน...อีกครั้ง’

ชายหนุ่มอ่านทวนในกระดาษสีน้ำตาลอ่อนที่เขาฉีกออกมาจากเล่ม ยิ้มอย่างพึงใจ
ก่อนขยำมันเป็นก้อนเล็ก ยัดเยียดให้เธอกำไว้ด้วยมือซ้ายซึ่งเป็นข้างที่น่าจะสะดุดตาคนน้อยกว่า

‘ฟังนะวนัส คุณจะต้องกำไว้ให้แน่นสุดชีวิต จะไม่มีใครทำให้มือนี้คล้ายจากท่ากำได้
มือของคุณเป็นเหล็ก แข็ง...เหนียว และจะกำกระดาษนี้ไว้ไม่มีวันปล่อยออกมา
จนกว่าคุณจะถูกฉีดยา หลับไป และตื่นขึ้นมาอีกครั้งในสถานที่ซึ่งปลอดภัยแล้ว
ตัวคุณเองจะได้สติ นึกสงสัยอยากรู้ว่ากำอะไรอยู่ ถึงตอนนั้นมือถึงจะคลาย’

หญิงสาวมองเห็นแต่ดวงตาสวยของนวาระ กับคำพูดสะกดของเขาที่ตอกลึกลงในหัวใจ
เธอพยักหน้าช้าๆอย่างไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่มือบอบบางก็คล้ายแปรสภาพเป็นเหล็กกล้าไปแล้วจริงๆ

แล้วทันใดคนของดร.กฤษณะก็ทะลักเข้ามาผ่านทางประตูลับในห้องหมายเลขห้าราวกับสายน้ำ
พรากเหยื่อทดลองที่ไม่มีทีท่าจะขัดขืนอีกแล้วแยกจากกันเพื่อไปรับการฉีดยาเข็มที่สอง
ลบความทรงจำ!


นวาระได้มายืนอยู่ต่อหน้าดร.กฤษณะ ในท่าพร้อมยอมรับชะตากรรมเมื่ออีกฝ่ายถือเข็มทื่อเข้ามาหา
สบตาเขาพร้อมรอยยิ้มน่าทุเรศเหมือนปลาตายแสยะปาก ปรีดาเหลือเกินที่จะได้จัดการขั้นสุดท้ายกับเหยื่อ
ทว่าวินาทีแห่งความปิตินั้นเองที่นักวิทยาศาสตร์มือฉมังลืมระวังตัว...ระวังใจ

มือที่กำลังจะยื่นเข็มฉีดยาจุน้ำยาใสๆไปหานวาระสั่นระริก ก่อนจะส่งเข็มฉีดยาทิ่มพรวด
เข้าหาคอของผู้ถือเอง พร้อมกับที่นิ้วโป้งสั่นๆกดฉีดยาเข้าไปจนหมดหลอด

นวาระแย้มยิ้มอ่อนโยนคล้ายปลอบใจชายผู้ที่จะเรียกจริงๆแล้วก็ต้องว่าเป็นพี่เขยของเขาเอง
‘ก่อนที่ผมจะต้องลืม ขอฝากของขวัญสุดท้ายไว้ให้คุณ...ยาเข็มแรก จากนี้ไปจะได้เตือนตัวเอง
ว่าอย่าให้มีเข็มสองตามมาก็แล้วกัน’



ครามรู้สึกว่าร่างกายเขากำลังค่อยๆตายไป จิตไม่สามารถกลับสู่ร่างได้ ตัวเขาไม่หายใจอีกแล้ว
ในเรือนกระจกอันเต็มไปด้วยกลุ่มควันหนาและไฟผลาญเผา จิตของเขาที่แยกออกมากลับแข็งแกร่งขึ้น
เท่าตัวจึงเร่งกลับไปที่แผงควบคุมเพื่อพยายามหาทางดับไฟแต่ดูเหมือนจะไร้ผล ชายหนุ่มแทบไม่รู้ว่า
เกิดอะไรขึ้นกับร่าง จนกระทั่งกระแสพลังบางอย่างถูกถ่ายเทมาจากฝ่ามือใครบางคน
แล้วเขาก็ถูกกระชากกลับไปมีชีวิต สำลักอากาศ ลุกพรวดขึ้นมาไออยู่หลายที
น้ำตาไหลพรากลงมาพร้อมความรู้สึกอยากอาเจียน

‘เฮ้ย ในที่สุดก็ไม่ตายจริงๆ โชคยังดีไม่ต้องผายปอด’
สัตวแพทย์หนุ่มผู้รู้สึกดีใจอย่างที่สุดเมื่อเห็นครามลืมตาเอ่ยออกมา

ครามได้ยินเสียงแหบห้าวนั้น เขาจึงหันไปมองใครคนนั้นที่ยังนั่งอยู่ข้างๆ คนที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้
‘วาริช...’

คนถูกเรียกอย่างเป็นมิตรครั้งแรกหัวเราะหึๆในคอ หลังจากวนัสสากับนวาระแสดงให้เห็นชัด
ว่าเขาไม่ใช่พรรคพวกที่แท้จริง ชายหนุ่มก็รู้สึกผิดขึ้นมาทันทีที่เคยเชื่อนวาระ ไม่ว่าฝ่ายนั้นจะ
ให้ร้ายครามเรื่องอะไรเขาก็พร้อมจะเชื่อด้วยใจที่เคยเขม่นหน้ากันอยู่เองตั้งแต่ก่อนจะโดนยุเสียอีก

ตอนเขาปีนบันไดขึ้นไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นเบื้องบน จึงได้เห็นอีกฝ่ายนอนไม่ได้สติอยู่ในเรือนกระจก
ที่ดอกไม้สีน้ำเงินกำลังลุกเป็นไฟ เขาลากครามลงมาเพื่อจะช่วย และมาตอนนี้ก็คล้ายเพิ่งจะเห็น
ว่าในแววตาครามยังดูมีความจริงจังและจริงใจอยู่มากกว่านวาระเสียอีก

วาริชซึ่งกำลังใกล้สิ้นสติชูหลอดเข็มฉีดยาที่ว่างเปล่าให้ครามดู ‘รู้อะไรไหม นี่คือหลอดยาฉีดเข็มที่สอง
นอกจากจะทำให้ลืมเรื่องราวสองเดือนบ้าๆนี่ไป รู้มาว่ายังมีตัวยาที่จะช่วยเร่งจิตให้มีพลังมากขึ้น
เป็นผลข้างเคียงอยู่ด้วย...ตอนแรกผมไม่รู้จะใช้มันกับใคร แต่ก็ดีใจที่มีมันติดมา’

‘คุณฉีดยานั่นใส่ผมเหรอ!’ ครามถามอย่างตระหนก

‘โน!’ วาริชยักคิ้ว ‘ยานี่มันไม่ได้ช่วยรักษาคนใกล้ตายได้หรอก ผมฉีดให้ตัวเอง
เพื่อที่พลังรักษาจะได้เพิ่มมา เพื่อกู้ชีวิตคนที่กำลังตายอยู่ตรงหน้าตะหาก’
วาริชพูดเหมือนคนละเมอ เห็นได้ชัดว่ายากำลังมีผลรุนแรงกับเขา

‘วาริช ผมไม่รู้จะพูดยังไง...’ ครามมีสีหน้าทั้งขอบคุณและลำบากใจ
‘ขอบคุณ ผมไม่คิดว่าคุณจะทำเพื่อผมขนาดนี้’

‘เปล่าหรอก ผมก็แค่อยากรู้สึกว่าตัวเองเป็นหมอจริงๆสักครั้ง ที่ผ่านมาผมไม่เคยเข้าถึงคำคำนั้นเลย
ต้องขอบคุณคุณมากกว่าที่เกิดจะโผล่มานอนระทวยวัดใจกันอยู่ต่อหน้า’ คนพูดหัวเราะเสียงห้าว

‘เสียดายที่เราไม่ได้เป็นเพื่อนกัน ถ้ามีคราวหน้า ผมจะเป็นเพื่อนที่ดีกับคุณให้มากเข้าไว้ เป็นการตอบแทน’

‘คราม...อินดิโก้ ชาง คุณก็เป็นคนดีเหมือนกันนี่หว่า เอาเถอะ ครั้งต่อไป...หวังว่าเราจะเป็นเพื่อนกันได้จริงๆ’

ครามส่งยิ้มให้อีกฝ่ายทั้งตาและปาก เป็นภาพสุดท้ายที่วาริชได้เห็นก่อนที่จะหลับลง แล้วความทรงจำสองเดือนของสัตวแพทย์หนุ่มก็หายไป...


พอฝันมาถึงตรงนี้ทั้งวาริชที่อยู่ในเครื่องสร้างฝันและครามซึ่งนอนไม่ตื่นอยู่บนเตียงในห้อง
ก็แทบจะหัวเราะออกมาพร้อมกัน กลับมาพบกันใหม่ก็ยังเหม็นหน้ากันแต่แรกพบเหมือนเดิม
แต่จากนี้ไป หวังว่าจะได้เป็นเพื่อนกันจริงๆเสียที

ในห้องผสมเคมีใต้เรือนกระจกนั้น เมื่อมีคนมาพบพวกเขา ครามถูกเอาตัวเข้าไปในห้อง
ซึ่งมีเจ้าหน้าที่เกือบสิบกับเทวัญซึ่งลงมาคุมด้วยตัวเอง ร่างสูงสง่ายืนรออยู่พร้อมดร.เบ็น
ในแสงไฟหน้าเตียง ก่อนที่นายแพทย์อาวุโสจะเป็นผู้เอ่ย
‘คุณเป็นคนสุดท้าย คนอื่นได้รับยากันหมดแล้ว ยกเว้นดาหวันที่เราประชุมกันว่าจะละเว้น
คุณก็รีบมานอนลงเถอะ จะได้ตามเพื่อนๆไปเสียที’

‘ยกเว้นให้เพราะเป็นลูกสาวเจ้าพ่อหรือ’ ครามเอ่ยหยันๆ

‘นั่นก็ด้วย แต่เพราะสมองได้รับความกระทบกระเทือนไปหมาดๆอีกอย่าง ฝีมือนังเด็กวนัสสาตัวดีนั่นไง’
คนเป็นพ่อของดาหวันอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงคำรามให้ครามรู้ว่าควรจะหุบปาก

‘วนัสสาเป็นยังไงบ้าง’

เบ็นถอนใจ ‘ปลอดภัยดีไม่มีรอยขีดข่วน ไม่เหมือนคุณ ดูไม่จืด...น่วมเลย ดีไม่โดนย่างสด’

ชายหนุ่มขึ้นเตียงไปโดยไม่ขัดขืน ยิ่งพวกนี้จัดการเขาเร็วเท่าไหร่ เขาก็จะได้ก้าวไปสู่การทดลองครั้งที่สอง
เร็วขึ้นเท่านั้น เพื่อเจอเธอที่เขาห่วงใยและรักมากที่สุดคนนั้น ด้วยความเชื่อมั่นจากใจทั้งใจว่าจะกลับมารักกันใหม่

เขาไม่กลัว ไม่สงสัย เพราะแน่ใจว่าคำว่ารักในจิตใต้สำนึกของวนัสสา
มันมีความหมายเดียวคือชื่อของเขา...คราม




อสิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ต.ค. 2556, 10:12:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ต.ค. 2556, 02:14:20 น.

จำนวนการเข้าชม : 1481





<< ความทรงจำที่ ๑๑ ไพ่พลิกชะตา [เล่นเกม ชิงนิยายชุด"ความลับของผีเสื้อ" 2วันสุดท้าย!!! รายละเอียดในเฟซบุคอสิตา]   ความทรงจำที่ ๑๓ ด้านที่สามของเหรียญ (เลขสวยตอนสุดท้าย บ้ายบายจ้ะที่รัก...หนังสือผีเสื้อเข้างานแล้วนะคะ!!! .......คนเขียนไป19-20และ26-27) >>
อสิตา 15 ต.ค. 2556, 10:25:07 น.
คุณเรือใบ – อืมมมม SM น่าจะเป็นค่ะ เป็นนิยามแทนตัวอสิตาที่ดีมากทีเดียว เวลาเขียนเรื่องรุนแรงแล้วมันสะใจยังไงไม่รู้อะ รู้สึกว่าจ๊าบ เหอๆ
คุณเกดซ่า – เป็นไงคะ ตอนนี้ครบทุกรสไหม มัน เศร้า ซึ้ง สะเทือน มาร่วมพิสูจน์ความรักของวนัสและครามกันไปจนสุดทางนะ
คุณเลิฟหมวย – ตอนนี้คนเขียนเขียนแบบองค์ลงมากค่ะ ประหนึ่งเข้าร่วมการทดลองด้วยจริงๆ หน้าเบ้ไปมาตอนเขียน ศศิราศีเป็นตัวแทนของบทเรียนของคนพวกนี้
คุณซาอิแกะน้อยงุงิถูกทับแบน – สงสารหมอริชเหรอ แต่หมอก็อึด ถึก สู้ไม่ถอยนะ เชียร์หมอกัน เรื่องนี้ทุกตัวต้องช่วยกันเดินเรื่องเต็มที่


อสิตา 15 ต.ค. 2556, 10:25:29 น.
คุณพี่พันแตงที่ร้ากกก – จุดจบของพวกนี้น่าจะโหดกว่าเข้าคุกนะ เดี๋ยวรอดูแล้วกัน น้องยังลงต่ออย่างเมามัน เพื่อนร่วมทีมหยุดกันไปแย้ว ง้ากๆ
คุณสุขุมวิท66 – ตะกี้เกือบพิมพ์เป็น69ค่ะ แหมตอนนี้ระทึก แต่เค้าก็ซึ้งกันแบบเว่อร์ๆนะ อย่าลืมร่วมอินไปด้วยกัน
คุณหนอนน้อยดังปัณณ์ – ตอนนี้ลงยาวมาก ขอกรี๊ดดังๆหน่อย คนเขียนเหนือ่ยมากกับฉากพวกนี้ เขียนยากสุดๆไปเลยนะหนอน นิยายอสิตาไม่ว่าจะหยุดฉากไหนมันก็ค้างทั้งนั้นละก๊าบบบ มันสนุกชิมิล่า หลงตัวเองอีก
คุณพระอาทิตย์สีทองผ่องไพศาล – ยังคงปางตายกันต่อไปและปางตายยิ่งขึ้นเรื่อยๆ มาดูกันค่ะว่าจะรอดได้ยังไง ทุกคนสู้ๆๆ รับบทหนักไม่แพ้กัน แต่ก็แอบหวานนะ
คุณภาวิน – นั่นน่ะสิ ขนาดมาอ่านย้อนตอนเคาะตัวลงโพสต์ ยังตื่นเต้นไปเองเลย แหม่ ทำไมหลงตัวเองฉะนี้

คุณนักอ่านเหนียวหนับหยุบหยับหงุบหงับมุบมับ – มีอะไรหลายอย่างเกิดขึ้นบนโลก ขณะที่เรายังดำเนินชีวิตปกติสุขของเราไปค่ะ โลกนี้มันมีเรื่องเหลือเชื่อเยอะจริงๆนะ
คุณรี – พีคแล้ว ลงแบบยาวเลยจะได้มันกันต่อเนื่อง ใช่ค่ะ คราวนี้ทุกคนจะได้เห็นความรู้สึกคนอื่นด้วย แต่ความรู้สึกของนิวก็ไม่เบานะ ฮีดราม่าไม่แพ้กัน


นักอ่านเหนียวหนึบ 15 ต.ค. 2556, 11:19:29 น.
โว๊ ย๊าววววววยาว
ย้อนอดีตกันจบแล่วชิมิ
จะตัดเข้่าสู่ภาคปัจจุบันแล้วชิมิ
หนูวนัส จริงๆ ก็ไม่ได้ร้ายกาจมากนี่นา โดนใส่ความทั้งนั้น
อิตาจิต เอเดนตะหาก ร้ายจริงๆ


Chii 15 ต.ค. 2556, 11:21:02 น.
อาทิตย์นี้แล้วสินะ

//ไปรับพี่ครามมานอนกอด >.,<


ketza 15 ต.ค. 2556, 11:59:07 น.
อ่านตอนที่ครามกับวนัสสาสั่งลากันแล้วเศร้าอ่ะ แอบน้ำตาซึม( อินไปป่าวเนี่ย) มันซึ้งและเศร้าไปพร้อมๆกันอ่ะ ชอบตอนนี้ที่สุดเลยค่ะ มีหลายอารมณ์ ครบจริงๆ ค่ะ....... มาหลุดขำตอนที่นึกภาพตามว่าหมอริชต้องผายปอดครามจิงๆมันจะเป้นไงเนี่ย 555


เรือใบ 15 ต.ค. 2556, 12:00:34 น.
สอนนี้สนุกมาก ในที่สุดก็รู้เรื่องทั้งหมดแล้ววว วนัสสาใจร้ายกับหมอริชมากเลยอ่า กับดาหวันด้วย โกรธแล้วนะเนี่ยย

ขอนอกเรื่องนิดนึงแล้วกันนะคะ คือพออ่านเรื่องนี้ แล้วนึกถึงวนัสสา นึกถึงจิตตาภา แจ่มปฐม ที่รับบทเป็น ญาณิน ในเรื่อง Sixth Senses มากเลยอ่ะค่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม จะคล้ายกับที่คุณอสิตาจิ้นไว้บ้างมั้ยอ่า


Zephyr 15 ต.ค. 2556, 12:05:18 น.
ตัวร้ายคือวนัสนี่เอง ฮ่าๆๆๆๆๆ
เฮ่อ แหม เรื่องแบบ ลุ้นจะแย่แล้วววววว
หมดไปภาคนึง เล่นเอาเครียดเลย แหะแหะ
เอิ่ม ซับซ้อนจริงๆ ตอนหน้าเอายาวๆแบบนี้นะ มะม้า


ดังปัณณ์ 15 ต.ค. 2556, 12:19:17 น.
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด กรี๊ดก่อนเดี๋ยวมาอีกรอบ ฮ่าๆๆ


ree 15 ต.ค. 2556, 13:30:44 น.
ที่จริงแล้ววนัสสาอาจจะร้ายที่สุดเลยนะเนี่ย


พันธุ์แตงกวา 15 ต.ค. 2556, 18:23:18 น.
นาวาระฉวยโอกาสอ่ะ เค้าเคืองแทนพ่อคราม
สงสารหมอริช ตอนนี้จุใจมาก มันส์หยด


ภาวิน 15 ต.ค. 2556, 18:32:57 น.
ลงมาให้อ่านกันจุใจเลย เค้ารักหมอริชเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน


sai 15 ต.ค. 2556, 18:40:51 น.
อ่านมา ทุกคนในการทดลองไม่ได้มีแค่พลังจิตนะเนี่ย แต่โรคจิตด้วย บรึ่ยๆๆ หลอนนนน แต่ก้อตามอ่านเคลียร์คราวนี้ต่อไปก้อมาลุ้นกันต่อว่าจะจัดการกะพวกนั้นยังไง อ่านแล้วสงสารดาหวันแหะตอนนี้


Sukhumvit66 15 ต.ค. 2556, 18:45:23 น.
วันนี้แอบไปส่องที่ซีเอ็ด ยังไม่มาอีกหรอ.....เฮ้อ


Sansanook 15 ต.ค. 2556, 19:46:12 น.
ลุ้นมากๆ ตอนเดียวมีครบทุกรส สุดยอดนักเขียน ไม่ค่อยได้มาเมนท์ แต่อยากบอกว่าสนุกน่าติดตามทุกตอนเลยคะ


ดังปัณณ์ 15 ต.ค. 2556, 20:00:01 น.
เหนด้วยกะคุณsai 555+ แต่เว้นหมอริชกะครามนะ ที่ดูจะเป็นผู้เป็นคนที่สุด เอิ่ม น่าสงสารหนูวันสเนอะ แต่เธอก็ร้ายได้ใจ สมแล้วล่ะ เรื่องนี้ดาหวันน่าสงสารอ่ะในฐานะฝ่ายหญิง เช่นเดียวกะหมอหมาของเก๊า โถพ่อคุณ ช่างเป็นพระรองเกาหลีจริงๆนะ แม้จะลืมไปแล้ว แต่ก็ยังแอบรักผีเสื้อตัวน้อยของเรื่องอยู่ดี แต่พ่อดอกกุหลาบคะ อิชั้นสงสารคุณจิงๆ อิพี่สาวน่ะร๊ายร้ายอ่ะ

ปูลม. เค้าบอกแล้ว เอเดนโรคจิต 555+

คุณแป้งงงงงงงงงงงงงง ตอนต่อไป รอหนังสือใจจะขาด กระซิกๆๆๆ


ดังปัณณ์ 15 ต.ค. 2556, 20:02:02 น.
แอ๊ะ ลืม ฉากนี้ครามคุงยังแย่งซีนไม่ได้ยุดี ถึงเค้าจะเคลิ้มตอนท้ายๆก็เหอะ 555+ ยกให้หมอริชเค้าอ่ะ ริชชี่ ออกน้อยแต่ขโมยซีนทุกคนเบย


Barby 15 ต.ค. 2556, 21:38:39 น.
ซึ้งง่ะ ตอนนี้เต็มอิ่มจริงๆ วนัสอย่าโกรธนวาระของเค้านะ เขาทำไปเพราะรัก


goldensun 16 ต.ค. 2556, 13:47:28 น.
มิน่า ดาหวันถึงไม่ชอบหน้าวนัส มีคดีเก่านี่เอง พลังวนัสมาพีคตอนพ่อเสียนี่เอง
ดูแล้ว ดาหวันน่าสงสารกว่าเพื่อน ส่วนวนัสก็ทำทุกอย่างโดยยึดความต้องการตัวเองเป็นหลัก
ดูๆ ไปก็คล้ายนวาระนะคะ จะดีกว่าหน่อยตรงที่ยังรู้สึกผิดบ้าง
ส่วนคราม ดีที่สุดเลย เพื่อเธอจริงๆ หมอริชก็ใช่ย่อย จุใจจริงๆ ตอนนี้ สุดท้ายแล้วใช่มั้ยคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account