เงื่อนเสน่หา
ความผูกพันที่ทำให้เขาและเธอได้เจอกัน เกมชีวิตที่ใครบางคนลิขิตไว้ เธอ อยู่เพื่อ ดูแลเขาด้วยชีวิต เขา อยู่เพื่อ ค้นหาบางอย่าง ปมแค้นทำให้เธอได้เจอเขา และ ปมเสน่หา ทำให้เขาได้เจอเธอ
Tags: เงื่อนเสน่หา คีตา
ตอน: บทนำ(แก้ไข)
บทนำ
เสียงไซเรนที่ดังเป็นจังหวะเด็กหญิงที่สวมชุดเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดนั้นนั่งเหม่อลอยขณะที่เจ้าหน้าที่เข้ามาช่วยปลอบโยน เธอเหลือบมองไปยังเปลสีขาวที่เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิกำลังแบกขึ้นไปยังรถของหน่วย น้ำใสๆที่เอ่อล้นจนร้อนขอบตานั้นร่วงเผาะลงอาบแก้ม
“พ่อ...” เธอเอ่ยเสียงแผ่วเบา “แม่...” หนูน้อยยังคงร้องออกมา ร่างเล็กของเธอลุกขึ้นจะเดินตามเปลนั้นไปแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาคว้าตัวเธอไว้ก่อนแต่กระนั้นเธอก็ยังดิ้นรนทั้งกรีดร้อง ร้องไห้บอกจะไปหาพ่อกับแม่อยู่อย่างนั้น
“หนู...” น้ำเสียงนั้นเหมือนชั่งใจว่าจะปลอบประโลมอย่างไรดี จนเธอเหนื่อยและหยุดไปเอง เด็กหนุ่มที่ดูอายุไล่เลี่ยกันเดินเข้ามาหาแล้วแตะบ่าเธอเบาๆ
“ไม่ต้องกลัวนะ เดี๋ยวเราอยู่เป็นเพื่อน” เขาบอกทั้งยิ้มบางให้ เด็กชายที่แต่งตัวเรียบร้อย หวีผมเรียบแปร้ ดวงตากลมใสซื่อ ศีรณาจ้องมองท่าทางนั้นด้วยรู้สึกขอบคุณ
ใช่...เธอต้องขอบคุณเขาที่ช่วยเธอได้ทันเวลา ก่อนที่เธอจะตายตามพ่อกับแม่ไป ด้วยความบังเอิญที่เขาทะเล่อทะล่าเข้ามาเจอเธอในพงหญ้าที่กำลังวิ่งหนีคนร้ายแล้วจับจูงมือเธอวิ่งหนีออกมาถึงถนนใหญ่ที่มีรถของพี่ชายเขาจอดอยู่
“สารวัตรครับ เจ้าหน้าที่ติดต่อกับญาติของเด็กได้แล้วครับ ชื่อเฉลิมเห็นว่าเป็นอาของเด็กครับ เห็นว่าอยู่ที่ภูเก็ตพรุ่งนี้น่าจะเดินทางมาถึงตอนเย็นๆ”เสียงเจ้าหน้าที่ตำรวจรายงานให้คนที่กอดเธอไว้ฟัง ศีรณาดวงตาลุกวาวด้วยความหวาดกลัวทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น
“ไม่!!” เสียงหวีดร้องขึ้นพร้อมกับมือเล็กๆที่เกาะเกี่ยวแขนนายตำรวจที่คอยปลอบเธอไว้ “ไม่นะ หนูไม่ไปอยู่กับอาเฉลิม หนูเกลียดเขา หนูไม่ไป” เธอบอกเสียงสั่น ดวงหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตายิ่งทำให้ดูน่าสงสารขึ้นไปอีก
“จ้ะ ลุงเข้าใจนะ ไม่ไปก็ไม่ไป เอางี้ หนูไปอยู่บ้านลุงก่อน อยู่กับเชนไง โอเคไหม”
ศีรณามองเด็กชายรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอ เด็กชายยิ้มให้เธอก่อนจะยื่นมือมาหา “เราชื่อเชนนะ ไป ไปบ้านเรา”
เธอไม่รู้ว่าควรจับมือนั้นดีไหม ความรู้สึกหวาดกลัว เสียใจ และอีกหลายอย่างสับสนปนเปกันไปหมด เธอควรทำอย่างไรดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งวันนี้ และต่อจากนี้ไป...คิดไปอย่างนี้ น้ำตาก็รื้นไหลออกมาอีกครั้ง
ระหว่างที่น้ำตาไหลออกมา เธอไม่รู้จะทำเช่นไรนั้น มือเล็กของราเชนทร์ก็เอื้อมมาคว้าข้อมือเธอไว้ ความอบอุ่นบางอย่างมันแผ่ซ่านเข้ามา เหมือนน้ำอุ่นที่กำลังไหลเข้ามาในร่างกายของเธอผ่านมือเล็กข้างนั้น
“ไปกันเถอะ” บอกศีรณาพร้อมกับดึงเธอให้ออกมาที่รถซึ่งมีพี่ชายของเขายืนกอดอกรออยู่
ราเชนทร์และพี่ชายพาเธอไปที่บ้านซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนัก บ้านสองชั้นที่ดูไม่ได้ใหญ่โตนักเมื่อเทียบกับบ้านของเธอที่ภูเก็ต แม่ของราเชนทร์ดูเป็นแม่บ้านใจดี ท่านยิ้มให้อย่างอบอุ่นระหว่างที่เปิดห้องหนึ่งให้เธออยู่
“ที่บ้านมีแต่เด็กผู้ชาย ก็เลยดูรกๆหน่อย”
ศีรณาไม่พูดอะไรนั่งนิ่งเงียบอยู่บนเตียง ก้มหน้าไม่สบตา นิ้วเล็กๆนั้นขัดกันไปมาอย่างที่ไม่รู้ว่าควรทำอะไรดี
“นี่เสื้อผ้าที่ป้าไปขอยืมจากบ้านข้างๆ ให้หนูอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ ป้าต้องไปทำงานก่อน มีอะไรให้เรียกเชนนะ เชนอยู่ข้างนอก”บอกเสร็จก็ออกไปจากห้อง ปล่อยให้ศีรณานั่งเงียบงันอยู่อย่างนั้น
เธอไม่รู้ว่าต้องทำอะไรดี...ภาพที่พ่อกับแม่ถูกฆ่ายังคงติดตาเธออยู่เลย สายตาที่แม่จ้องมาระหว่างที่บอกให้เธอวิ่งหนีจนสุดชีวิต ภาพของพ่อที่โดนยิงทั้งๆที่เธอหลบอยู่ในกองไม้ใกล้ๆ ได้เห็นภาพสุดท้ายของพ่อ ดวงตาที่ปิดไม่ลง...เธอต้องกลั้นเสียงร้องไห้ไม่ให้โจรได้ยิน ทว่ากลับกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้มันไหลออกมาทั้งๆที่มือยังปิดปากตัวเองอยู่
ศีรณาค่อยๆ เอนร่างลงบนที่นอน พยายามที่จะปิดตาลง เผื่อว่าภาพต่างๆที่ฝังในใจนั้นจะลบเลือนหายไป
ร่างเล็กนอนขดตัวนิ่งอยู่บนเตียง หมอนสีขาวเปียกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำตาที่มันไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว...
เย็นจัง...
เธอรู้สึกเย็นที่ใบหน้าและลำคอ จากที่หลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน ดวงตาเล็กนั้นลืมขึ้นทันที สะดุ้งสุดตัวจนถอยกรูดไปอยู่ที่หัวเตียง จากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ทำให้เธอตระหนกและตกใจหวาดกลัวโดยอัตโนมัติภาพที่เห็นในตอนนี้คือ ราเชนทร์ถือผ้าขนหนูผืนเล็กอยู่มือ ทำหน้าตกใจไม่แพ้กัน
“ขอโทษนะ เราเช็ดหน้าให้ แม่เคยสอนไว้เวลาไม่สบายให้เช็ดตัว เราเห็นเธอตัวสั่น หน้าก็มอมแมม เราเลยเอาน้ำอุ่นมาเช็ดตัวให้” ศีรณาค่อยๆคลายอาการหวาดกลัวนั้นลง
“หิวไหม ไปอาบน้ำก่อนสิ เดี๋ยวเราทำอะไรให้กิน” ราเชนทร์บอกพร้อมกับส่งยิ้มให้ ศีรณามองตามหลังเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับเธอด้วยความแปลกใจ
หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยเธอเดินออกมายังห้องโถงที่จัดโต๊ะไว้เป็นโต๊ะอาหาร มีกับข้าวสองอย่างก็คือผัดผักรวมกับทอดเนื้อหมู ข้าวสวยร้อนๆ ถูกตักไว้ในจานให้เธอเรียบร้อย
ดวงตาที่เคยมีน้ำตามาตลอดตั้งแต่เช้า บัดนี้กลับมีแววฉงนปนอยู่ในนั้น เพียงแค่จ้องมองจานข้าวโดยที่ไม่ยอมปริปากใดๆ ศีรณาไม่เคยทำอะไรแบบนี้ เธอมีคนทำให้หมดทุกอย่าง แล้วต่อจากนี้ละ...
“เป็นอะไร ทำไมจ้องจานข้าว ไม่ยอมกิน”
“นายอายุเท่าไหร่”
“สิบสองย่างสิบสามแล้ว ที่ถามกลัวทำอะไรประหลาดให้กินหรือไง ไม่ต้องกลัวหรอก เราทำบ่อย แม่ต้องออกไปทำงานไม่ค่อยอยู่บ้าน แม่จะสอนให้ทำกับข้าวเอง จะได้ช่วยเหลือตัวเองได้ พ่อกับพี่ชายเรายังเคยบอกว่าเราอาหารอร่อยเลยนะ ลองชิมก่อน” ราเชนทร์คะยั้นคะยอ
ศีรณาไม่ได้คิดเรื่องนั้นแต่แปลกใจที่เขาทำได้มากกว่า มือเล็กเขี่ยข้าวไปมา เธอไม่รู้สึกหิวเลย ทุกอย่างมันทำให้มีอาการตื้อ “ขอบใจนะ” เสียงแผ่วเบานั้นทำให้ราเชนทร์เงยหน้าขึ้นมอง
“ว่าอะไรนะ”
“ฉันบอกว่าขอบใจไงล่ะ!!” ศีรณาแผดเสียง ตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยกล่าวคำนี้เลย ไม่พอใจก็โยนข้าวของ กรีดร้องให้พ่อแม่เอาใจ และยอมทำตามที่เธอบอก สิ่งใดถูกใจหรือใครทำอะไรให้เธอก็ไม่เคยพูดเพราะถือว่า ช่วยไม่ได้ อยากทำให้เอง แต่คราวนี้เธอกลับรู้สึกว่า ควรพูด...
“อ๋อ ขอโทษที่ไม่ได้ยิน ไม่เป็นไรนะ เต็มใจ” ราเชนทร์ไม่ได้อารมณ์เสียกลับมาเหมือนอย่างคนอื่นๆแต่กลับบอกว่าตัวเองผิด ศีรณามองเขาอย่างแปลกใจ
“เรามีพี่ชายสองคน อ้อ อีกคนต้องเรียกว่าเป็นลูกพี่ลูกน้อง เพราะเป็นลูกของอาแต่อาเสียแล้วเลยมาอยู่ด้วย ตอนนี้เป็นตำรวจ ส่วนพี่ชัชพี่ชายแท้ๆของเราเพิ่งสอบติดนายร้อย จำได้ใช่ไหมคนที่ช่วยเราไง”
ศีรณาพยักหน้า มองดูสีหน้าสุขใจของราเชนทร์แววตานิ่งๆ “นายอยากเป็นตำรวจเหมือนพ่อกับพี่ชายไหม”
“อยากสิ อยากเป็นเหมือนพ่อ พ่อเราเป็นตำรวจที่เก่งที่สุด” ทั้งน้ำเสียงและสีหน้านั้นดูภูมิอกภูมิใจจนศีรณานึกถึงพ่อตัวเอง
เธอไม่เคยคิดเรื่องแบบนี้เพราะการเป็นลูกคนเดียวทำให้รู้ดีว่าทุกอย่างของพ่อกับแม่จะตกเป็นของเธอ ในความทรงจำของเธอ พ่อคือ นักธุรกิจที่ทำงานอย่างจริงจัง แข็งแกร่งแต่หน้าที่การเป็นพ่อ ท่านกลับเป็นชายใจดีที่สุดในโลก
พ่อของเธอสอนแค่ว่าอย่าไว้ใจใคร เงินคือสิ่งสำคัญที่สุด คนเราจะแปรเปลี่ยนไปตามอัตราเงินที่ให้ไป
สีหน้าเศร้าๆของเธออาจจะทำให้ราเชนทร์สงสารเขาเดินเข้าไปในบ้านเพียงไม่นานก็กลับออกมาพร้อมกับเครื่องเล่นเทปแบบพกพา เขาเอาหูฟังเล็กๆนั้นเหน็บให้ที่หูของเธอ
“เวลาเราไม่สบายใจ เราก็จะนั่งฟังเพลงแล้วก็...เงยหน้ามองฟ้า” เขาบอกพร้อมกับส่งยิ้มบางๆมาให้ “พ่อกับแม่ของเธอ...ท่านคงอยู่บนนั้น สบายแล้ว”
“รู้ได้ยังไงว่าสบายจริงๆ ฟังจากผู้ใหญ่บอกมาใช่ไหมละ พวกผู้ใหญ่ชอบโกหก”เธอแย้งเสียงเรื่องสั่นเครือ
“งั้น...พูดยังไงเธอจะสบายใจละ เราก็ปลอบผู้หญิงไม่เก่ง” สีหน้าจ๋อยๆของราเชนทร์ทำให้เธอรู้สึกผิดขึ้นมา อย่างน้อยเขาก็คงอยากช่วยเธอเท่านั้นเอง
ศีรณาเงยหน้าขึ้นมองฟ้า ในหูมีเสียงเพลงดังขับกล่อมให้ความรู้สึกเจ็บปวดร้อนรนนั้นผ่อนคลายลงไปได้บ้าง
เมื่อเงยหน้า...น้ำตาก็จะไม่ไหล
เมื่อเงยหน้า...ท้องฟ้านั้นกว้างใหญ่แต่กลับไม่ทำให้อ้างหว้าง
เมื่อเงยหน้า...หัวใจที่แปลบปร่าเหมือนหลุดลอยไปเช่นเมฆสีขาว
เกือบสองสัปดาห์ที่ศีรณามาอยู่ที่บ้านของสารวัตรกาจพล ราเชนทร์ยังช่วยเป็นพยานในคดีเพื่อชี้ตัวคนร้ายอีกหนึ่งคนด้วยซึ่งเป็นเรื่องสำคัญต่อศีรณามาก...แม้ราเชนทร์จะไม่คิดว่านั่นคือบุญคุณ แต่สำหรับเธอ ที่ไม่เหลืออะไรอีกต่อไปแล้ว...คือ สิ่งสุดท้ายที่จะยึดเหนี่ยวชีวิตเธอไว้...
แม้คดียังไม่สิ้นสุดแต่ศีรณาต้องไปอยู่ในบ้านเด็กกำพร้าแล้วเพราะเธอยืนยันที่จะไม่ไปอยู่กับอาเฉลิม คนที่เธอจำฝังใจว่าทะเลาะกับพ่อก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์เลวร้าย ราเชนทร์เดินมาส่งเพื่อนที่เขาได้ช่วยชีวิตไว้จนเธอขึ้นรถ
ศีรณายื่นมือออกมาหาพร้อมกับสร้อยเส้นเล็กที่ห้อยติดตัวอยู่เสมอจี้เงินทรงกลมมีรูปมังกรตามราศีเกิดของเธออยู่ด้านหน้า ส่วนด้านหลังสลักชื่อ ศีรณา ไว้ตัวเล็กๆ ที่พ่อให้เธอไว้เป็นของขวัญวันเกิดที่เพิ่งผ่านพ้นไปได้ไม่กี่วัน...สมบัติชิ้นเดียวที่เหลือติดตัว...
“เราให้แล้วเราจะกลับมาหานายนะ เราสัญญาว่าจะกลับมา ตอบแทนในสิ่งที่นายเคยช่วยเราไว้”
คำมั่นสัญญานั้นตราตรึงเข้าไปในก้นบึ้งของหัวใจ ศีรณา เธอจำทุกคำพูดนั้นได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าเวลาจะนานแค่ไหน เธอจะไม่มีวันลืม...เธอจะกลับมาหาเขาอีกครั้ง!
เช้าวันหนึ่งหลังจากที่ได้อยู่บ้านพักของสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า เจ้าหน้าที่เข้ามาบอกให้เธอเก็บของเตรียมไปอยู่กับญาติที่ติดต่อมารับตัวเธอ ศีรณาไม่รู้ว่าเป็นใครจนได้เห็น ชายแก่ท่าทางใจดีคนหนึ่งเดินมาพร้อมกับคนหนุ่มท่าทางภูมิฐาน ซึ่งเธอจำได้ว่าเคยเห็นหน้าเขาที่บ้านมาก่อน
“สวัสดี หนูรณา จำลุงได้ไหม ลุงทำงานให้พ่อหนูไง ลุงชื่อภุชงค์” ศีรณาพยักหน้าดวงตาดูหวาดกลัวเล็กน้อย
“ส่วนนี่ตาอุ่ม ญาติทางแม่ของหนูที่จะรับหนูไปอยู่ด้วย”
ตาอุ่มยิ้มให้ มือเหี่ยวนั้นยื่นมาหาเธอ ศีรณามองอย่างหวาดๆ เธอไม่รู้จัก จะให้ไปด้วยได้ยังไง...
“หนูไม่ต้องห่วงนะ ลุงจะอยู่คอยช่วยหนูเสมอ” น้ำเสียงของลุงภุชงค์ดูมั่นคงและอบอุ่น เธอไม่รู้หรอกว่าเขาจะทำตามที่พูดไหม จนได้รู้ว่าลุงภุชงค์ทำตามที่พูดตลอดเวลา เพียงแต่ทำในแบบลับๆ
เธอเติบโตมาในบ้านไม้หลังเล็กของตาอุ่มที่มีหลานๆ ของตาอุ่มอยู่ด้วยอีกสองคน เธอได้เรียนรู้ชีวิตในอีกด้านที่ไม่เคยรู้จัก จนมันหล่อหลอมให้เธอกลายเป็นคนใหม่โดยไม่รู้ตัว
...คนที่ยิ้มให้กับชีวิตที่น่ากลัว หัวเราะให้กับความวกวนในจิตใจคน...
/////////////////////////////////
คนเขียนได้ทำการแก้ไขปรับปรุงเนื้อเรื่องใหม่นะคะ เลยกำลังลงตอนเก่าๆที่แก้ไขอยู่ ต้องขอโทษเพื่อนๆ ที่เข้ามาอ่านก่อนหน้านี้ด้วยนะคะ ^^
เสียงไซเรนที่ดังเป็นจังหวะเด็กหญิงที่สวมชุดเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดนั้นนั่งเหม่อลอยขณะที่เจ้าหน้าที่เข้ามาช่วยปลอบโยน เธอเหลือบมองไปยังเปลสีขาวที่เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิกำลังแบกขึ้นไปยังรถของหน่วย น้ำใสๆที่เอ่อล้นจนร้อนขอบตานั้นร่วงเผาะลงอาบแก้ม
“พ่อ...” เธอเอ่ยเสียงแผ่วเบา “แม่...” หนูน้อยยังคงร้องออกมา ร่างเล็กของเธอลุกขึ้นจะเดินตามเปลนั้นไปแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาคว้าตัวเธอไว้ก่อนแต่กระนั้นเธอก็ยังดิ้นรนทั้งกรีดร้อง ร้องไห้บอกจะไปหาพ่อกับแม่อยู่อย่างนั้น
“หนู...” น้ำเสียงนั้นเหมือนชั่งใจว่าจะปลอบประโลมอย่างไรดี จนเธอเหนื่อยและหยุดไปเอง เด็กหนุ่มที่ดูอายุไล่เลี่ยกันเดินเข้ามาหาแล้วแตะบ่าเธอเบาๆ
“ไม่ต้องกลัวนะ เดี๋ยวเราอยู่เป็นเพื่อน” เขาบอกทั้งยิ้มบางให้ เด็กชายที่แต่งตัวเรียบร้อย หวีผมเรียบแปร้ ดวงตากลมใสซื่อ ศีรณาจ้องมองท่าทางนั้นด้วยรู้สึกขอบคุณ
ใช่...เธอต้องขอบคุณเขาที่ช่วยเธอได้ทันเวลา ก่อนที่เธอจะตายตามพ่อกับแม่ไป ด้วยความบังเอิญที่เขาทะเล่อทะล่าเข้ามาเจอเธอในพงหญ้าที่กำลังวิ่งหนีคนร้ายแล้วจับจูงมือเธอวิ่งหนีออกมาถึงถนนใหญ่ที่มีรถของพี่ชายเขาจอดอยู่
“สารวัตรครับ เจ้าหน้าที่ติดต่อกับญาติของเด็กได้แล้วครับ ชื่อเฉลิมเห็นว่าเป็นอาของเด็กครับ เห็นว่าอยู่ที่ภูเก็ตพรุ่งนี้น่าจะเดินทางมาถึงตอนเย็นๆ”เสียงเจ้าหน้าที่ตำรวจรายงานให้คนที่กอดเธอไว้ฟัง ศีรณาดวงตาลุกวาวด้วยความหวาดกลัวทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น
“ไม่!!” เสียงหวีดร้องขึ้นพร้อมกับมือเล็กๆที่เกาะเกี่ยวแขนนายตำรวจที่คอยปลอบเธอไว้ “ไม่นะ หนูไม่ไปอยู่กับอาเฉลิม หนูเกลียดเขา หนูไม่ไป” เธอบอกเสียงสั่น ดวงหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตายิ่งทำให้ดูน่าสงสารขึ้นไปอีก
“จ้ะ ลุงเข้าใจนะ ไม่ไปก็ไม่ไป เอางี้ หนูไปอยู่บ้านลุงก่อน อยู่กับเชนไง โอเคไหม”
ศีรณามองเด็กชายรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอ เด็กชายยิ้มให้เธอก่อนจะยื่นมือมาหา “เราชื่อเชนนะ ไป ไปบ้านเรา”
เธอไม่รู้ว่าควรจับมือนั้นดีไหม ความรู้สึกหวาดกลัว เสียใจ และอีกหลายอย่างสับสนปนเปกันไปหมด เธอควรทำอย่างไรดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งวันนี้ และต่อจากนี้ไป...คิดไปอย่างนี้ น้ำตาก็รื้นไหลออกมาอีกครั้ง
ระหว่างที่น้ำตาไหลออกมา เธอไม่รู้จะทำเช่นไรนั้น มือเล็กของราเชนทร์ก็เอื้อมมาคว้าข้อมือเธอไว้ ความอบอุ่นบางอย่างมันแผ่ซ่านเข้ามา เหมือนน้ำอุ่นที่กำลังไหลเข้ามาในร่างกายของเธอผ่านมือเล็กข้างนั้น
“ไปกันเถอะ” บอกศีรณาพร้อมกับดึงเธอให้ออกมาที่รถซึ่งมีพี่ชายของเขายืนกอดอกรออยู่
ราเชนทร์และพี่ชายพาเธอไปที่บ้านซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนัก บ้านสองชั้นที่ดูไม่ได้ใหญ่โตนักเมื่อเทียบกับบ้านของเธอที่ภูเก็ต แม่ของราเชนทร์ดูเป็นแม่บ้านใจดี ท่านยิ้มให้อย่างอบอุ่นระหว่างที่เปิดห้องหนึ่งให้เธออยู่
“ที่บ้านมีแต่เด็กผู้ชาย ก็เลยดูรกๆหน่อย”
ศีรณาไม่พูดอะไรนั่งนิ่งเงียบอยู่บนเตียง ก้มหน้าไม่สบตา นิ้วเล็กๆนั้นขัดกันไปมาอย่างที่ไม่รู้ว่าควรทำอะไรดี
“นี่เสื้อผ้าที่ป้าไปขอยืมจากบ้านข้างๆ ให้หนูอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ ป้าต้องไปทำงานก่อน มีอะไรให้เรียกเชนนะ เชนอยู่ข้างนอก”บอกเสร็จก็ออกไปจากห้อง ปล่อยให้ศีรณานั่งเงียบงันอยู่อย่างนั้น
เธอไม่รู้ว่าต้องทำอะไรดี...ภาพที่พ่อกับแม่ถูกฆ่ายังคงติดตาเธออยู่เลย สายตาที่แม่จ้องมาระหว่างที่บอกให้เธอวิ่งหนีจนสุดชีวิต ภาพของพ่อที่โดนยิงทั้งๆที่เธอหลบอยู่ในกองไม้ใกล้ๆ ได้เห็นภาพสุดท้ายของพ่อ ดวงตาที่ปิดไม่ลง...เธอต้องกลั้นเสียงร้องไห้ไม่ให้โจรได้ยิน ทว่ากลับกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้มันไหลออกมาทั้งๆที่มือยังปิดปากตัวเองอยู่
ศีรณาค่อยๆ เอนร่างลงบนที่นอน พยายามที่จะปิดตาลง เผื่อว่าภาพต่างๆที่ฝังในใจนั้นจะลบเลือนหายไป
ร่างเล็กนอนขดตัวนิ่งอยู่บนเตียง หมอนสีขาวเปียกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำตาที่มันไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว...
เย็นจัง...
เธอรู้สึกเย็นที่ใบหน้าและลำคอ จากที่หลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน ดวงตาเล็กนั้นลืมขึ้นทันที สะดุ้งสุดตัวจนถอยกรูดไปอยู่ที่หัวเตียง จากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ทำให้เธอตระหนกและตกใจหวาดกลัวโดยอัตโนมัติภาพที่เห็นในตอนนี้คือ ราเชนทร์ถือผ้าขนหนูผืนเล็กอยู่มือ ทำหน้าตกใจไม่แพ้กัน
“ขอโทษนะ เราเช็ดหน้าให้ แม่เคยสอนไว้เวลาไม่สบายให้เช็ดตัว เราเห็นเธอตัวสั่น หน้าก็มอมแมม เราเลยเอาน้ำอุ่นมาเช็ดตัวให้” ศีรณาค่อยๆคลายอาการหวาดกลัวนั้นลง
“หิวไหม ไปอาบน้ำก่อนสิ เดี๋ยวเราทำอะไรให้กิน” ราเชนทร์บอกพร้อมกับส่งยิ้มให้ ศีรณามองตามหลังเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับเธอด้วยความแปลกใจ
หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยเธอเดินออกมายังห้องโถงที่จัดโต๊ะไว้เป็นโต๊ะอาหาร มีกับข้าวสองอย่างก็คือผัดผักรวมกับทอดเนื้อหมู ข้าวสวยร้อนๆ ถูกตักไว้ในจานให้เธอเรียบร้อย
ดวงตาที่เคยมีน้ำตามาตลอดตั้งแต่เช้า บัดนี้กลับมีแววฉงนปนอยู่ในนั้น เพียงแค่จ้องมองจานข้าวโดยที่ไม่ยอมปริปากใดๆ ศีรณาไม่เคยทำอะไรแบบนี้ เธอมีคนทำให้หมดทุกอย่าง แล้วต่อจากนี้ละ...
“เป็นอะไร ทำไมจ้องจานข้าว ไม่ยอมกิน”
“นายอายุเท่าไหร่”
“สิบสองย่างสิบสามแล้ว ที่ถามกลัวทำอะไรประหลาดให้กินหรือไง ไม่ต้องกลัวหรอก เราทำบ่อย แม่ต้องออกไปทำงานไม่ค่อยอยู่บ้าน แม่จะสอนให้ทำกับข้าวเอง จะได้ช่วยเหลือตัวเองได้ พ่อกับพี่ชายเรายังเคยบอกว่าเราอาหารอร่อยเลยนะ ลองชิมก่อน” ราเชนทร์คะยั้นคะยอ
ศีรณาไม่ได้คิดเรื่องนั้นแต่แปลกใจที่เขาทำได้มากกว่า มือเล็กเขี่ยข้าวไปมา เธอไม่รู้สึกหิวเลย ทุกอย่างมันทำให้มีอาการตื้อ “ขอบใจนะ” เสียงแผ่วเบานั้นทำให้ราเชนทร์เงยหน้าขึ้นมอง
“ว่าอะไรนะ”
“ฉันบอกว่าขอบใจไงล่ะ!!” ศีรณาแผดเสียง ตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยกล่าวคำนี้เลย ไม่พอใจก็โยนข้าวของ กรีดร้องให้พ่อแม่เอาใจ และยอมทำตามที่เธอบอก สิ่งใดถูกใจหรือใครทำอะไรให้เธอก็ไม่เคยพูดเพราะถือว่า ช่วยไม่ได้ อยากทำให้เอง แต่คราวนี้เธอกลับรู้สึกว่า ควรพูด...
“อ๋อ ขอโทษที่ไม่ได้ยิน ไม่เป็นไรนะ เต็มใจ” ราเชนทร์ไม่ได้อารมณ์เสียกลับมาเหมือนอย่างคนอื่นๆแต่กลับบอกว่าตัวเองผิด ศีรณามองเขาอย่างแปลกใจ
“เรามีพี่ชายสองคน อ้อ อีกคนต้องเรียกว่าเป็นลูกพี่ลูกน้อง เพราะเป็นลูกของอาแต่อาเสียแล้วเลยมาอยู่ด้วย ตอนนี้เป็นตำรวจ ส่วนพี่ชัชพี่ชายแท้ๆของเราเพิ่งสอบติดนายร้อย จำได้ใช่ไหมคนที่ช่วยเราไง”
ศีรณาพยักหน้า มองดูสีหน้าสุขใจของราเชนทร์แววตานิ่งๆ “นายอยากเป็นตำรวจเหมือนพ่อกับพี่ชายไหม”
“อยากสิ อยากเป็นเหมือนพ่อ พ่อเราเป็นตำรวจที่เก่งที่สุด” ทั้งน้ำเสียงและสีหน้านั้นดูภูมิอกภูมิใจจนศีรณานึกถึงพ่อตัวเอง
เธอไม่เคยคิดเรื่องแบบนี้เพราะการเป็นลูกคนเดียวทำให้รู้ดีว่าทุกอย่างของพ่อกับแม่จะตกเป็นของเธอ ในความทรงจำของเธอ พ่อคือ นักธุรกิจที่ทำงานอย่างจริงจัง แข็งแกร่งแต่หน้าที่การเป็นพ่อ ท่านกลับเป็นชายใจดีที่สุดในโลก
พ่อของเธอสอนแค่ว่าอย่าไว้ใจใคร เงินคือสิ่งสำคัญที่สุด คนเราจะแปรเปลี่ยนไปตามอัตราเงินที่ให้ไป
สีหน้าเศร้าๆของเธออาจจะทำให้ราเชนทร์สงสารเขาเดินเข้าไปในบ้านเพียงไม่นานก็กลับออกมาพร้อมกับเครื่องเล่นเทปแบบพกพา เขาเอาหูฟังเล็กๆนั้นเหน็บให้ที่หูของเธอ
“เวลาเราไม่สบายใจ เราก็จะนั่งฟังเพลงแล้วก็...เงยหน้ามองฟ้า” เขาบอกพร้อมกับส่งยิ้มบางๆมาให้ “พ่อกับแม่ของเธอ...ท่านคงอยู่บนนั้น สบายแล้ว”
“รู้ได้ยังไงว่าสบายจริงๆ ฟังจากผู้ใหญ่บอกมาใช่ไหมละ พวกผู้ใหญ่ชอบโกหก”เธอแย้งเสียงเรื่องสั่นเครือ
“งั้น...พูดยังไงเธอจะสบายใจละ เราก็ปลอบผู้หญิงไม่เก่ง” สีหน้าจ๋อยๆของราเชนทร์ทำให้เธอรู้สึกผิดขึ้นมา อย่างน้อยเขาก็คงอยากช่วยเธอเท่านั้นเอง
ศีรณาเงยหน้าขึ้นมองฟ้า ในหูมีเสียงเพลงดังขับกล่อมให้ความรู้สึกเจ็บปวดร้อนรนนั้นผ่อนคลายลงไปได้บ้าง
เมื่อเงยหน้า...น้ำตาก็จะไม่ไหล
เมื่อเงยหน้า...ท้องฟ้านั้นกว้างใหญ่แต่กลับไม่ทำให้อ้างหว้าง
เมื่อเงยหน้า...หัวใจที่แปลบปร่าเหมือนหลุดลอยไปเช่นเมฆสีขาว
เกือบสองสัปดาห์ที่ศีรณามาอยู่ที่บ้านของสารวัตรกาจพล ราเชนทร์ยังช่วยเป็นพยานในคดีเพื่อชี้ตัวคนร้ายอีกหนึ่งคนด้วยซึ่งเป็นเรื่องสำคัญต่อศีรณามาก...แม้ราเชนทร์จะไม่คิดว่านั่นคือบุญคุณ แต่สำหรับเธอ ที่ไม่เหลืออะไรอีกต่อไปแล้ว...คือ สิ่งสุดท้ายที่จะยึดเหนี่ยวชีวิตเธอไว้...
แม้คดียังไม่สิ้นสุดแต่ศีรณาต้องไปอยู่ในบ้านเด็กกำพร้าแล้วเพราะเธอยืนยันที่จะไม่ไปอยู่กับอาเฉลิม คนที่เธอจำฝังใจว่าทะเลาะกับพ่อก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์เลวร้าย ราเชนทร์เดินมาส่งเพื่อนที่เขาได้ช่วยชีวิตไว้จนเธอขึ้นรถ
ศีรณายื่นมือออกมาหาพร้อมกับสร้อยเส้นเล็กที่ห้อยติดตัวอยู่เสมอจี้เงินทรงกลมมีรูปมังกรตามราศีเกิดของเธออยู่ด้านหน้า ส่วนด้านหลังสลักชื่อ ศีรณา ไว้ตัวเล็กๆ ที่พ่อให้เธอไว้เป็นของขวัญวันเกิดที่เพิ่งผ่านพ้นไปได้ไม่กี่วัน...สมบัติชิ้นเดียวที่เหลือติดตัว...
“เราให้แล้วเราจะกลับมาหานายนะ เราสัญญาว่าจะกลับมา ตอบแทนในสิ่งที่นายเคยช่วยเราไว้”
คำมั่นสัญญานั้นตราตรึงเข้าไปในก้นบึ้งของหัวใจ ศีรณา เธอจำทุกคำพูดนั้นได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าเวลาจะนานแค่ไหน เธอจะไม่มีวันลืม...เธอจะกลับมาหาเขาอีกครั้ง!
เช้าวันหนึ่งหลังจากที่ได้อยู่บ้านพักของสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า เจ้าหน้าที่เข้ามาบอกให้เธอเก็บของเตรียมไปอยู่กับญาติที่ติดต่อมารับตัวเธอ ศีรณาไม่รู้ว่าเป็นใครจนได้เห็น ชายแก่ท่าทางใจดีคนหนึ่งเดินมาพร้อมกับคนหนุ่มท่าทางภูมิฐาน ซึ่งเธอจำได้ว่าเคยเห็นหน้าเขาที่บ้านมาก่อน
“สวัสดี หนูรณา จำลุงได้ไหม ลุงทำงานให้พ่อหนูไง ลุงชื่อภุชงค์” ศีรณาพยักหน้าดวงตาดูหวาดกลัวเล็กน้อย
“ส่วนนี่ตาอุ่ม ญาติทางแม่ของหนูที่จะรับหนูไปอยู่ด้วย”
ตาอุ่มยิ้มให้ มือเหี่ยวนั้นยื่นมาหาเธอ ศีรณามองอย่างหวาดๆ เธอไม่รู้จัก จะให้ไปด้วยได้ยังไง...
“หนูไม่ต้องห่วงนะ ลุงจะอยู่คอยช่วยหนูเสมอ” น้ำเสียงของลุงภุชงค์ดูมั่นคงและอบอุ่น เธอไม่รู้หรอกว่าเขาจะทำตามที่พูดไหม จนได้รู้ว่าลุงภุชงค์ทำตามที่พูดตลอดเวลา เพียงแต่ทำในแบบลับๆ
เธอเติบโตมาในบ้านไม้หลังเล็กของตาอุ่มที่มีหลานๆ ของตาอุ่มอยู่ด้วยอีกสองคน เธอได้เรียนรู้ชีวิตในอีกด้านที่ไม่เคยรู้จัก จนมันหล่อหลอมให้เธอกลายเป็นคนใหม่โดยไม่รู้ตัว
...คนที่ยิ้มให้กับชีวิตที่น่ากลัว หัวเราะให้กับความวกวนในจิตใจคน...
/////////////////////////////////
คนเขียนได้ทำการแก้ไขปรับปรุงเนื้อเรื่องใหม่นะคะ เลยกำลังลงตอนเก่าๆที่แก้ไขอยู่ ต้องขอโทษเพื่อนๆ ที่เข้ามาอ่านก่อนหน้านี้ด้วยนะคะ ^^
ณิชนิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 ต.ค. 2556, 17:42:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ธ.ค. 2556, 23:40:38 น.
จำนวนการเข้าชม : 2158
บทที่ ๑ เธอยัง...(แก้ไข) >> |
Pat 19 ต.ค. 2556, 19:44:31 น.
รับฝากค่า
รับฝากค่า
ปลายสี 21 ต.ค. 2556, 13:03:05 น.
น่าติดตามมากค้าาา นางเอกสวยดุหรือเปล่าน้าา
น่าติดตามมากค้าาา นางเอกสวยดุหรือเปล่าน้าา
nutcha 29 ต.ค. 2556, 21:05:46 น.
เรื่องน่าติดตามค่ะ
เรื่องน่าติดตามค่ะ