นายหัวเมืองเหนือ
โอ้หนอสายฝนพรำรัก ปักอก
ซ่านทรวงซุกอุ่นล้ำ โลมโลก
ซ่อนโศกสุขซ่านเพียง เสน่หา
แซมรักไว้ใต้แผ่นฟ้า เพียงดิน

Tags: ปักษา ภาวนา

ตอน: ตอนที่ 24

เสียงโหวกเหวกดังเรียกให้ชายหนุ่มที่หลับถึงกับสะดุ้งตื่นขึ้น ปักษาจำได้ว่าเป็นเสียงของต้นวงศ์และ...นายสิน เสียงนั้นแว่วเข้ามาใกล้ ทว่าหญิงสาวที่นอนขี้เซาคงไม่ได้ยิน ปักษายืดตัวตรงพร้อมกับทำหน้าเหยเก ตอนนี้เขารู้สึกระบมที่ไหล่นิดๆ

“นายหัว!” เสียงของนายสินดังขึ้นก่อน

“ละอ่อนน้อย!” ต้นวงศ์เอาบ้าง เพราะกลัวน้อยหน้าลูกน้องของนายหัว

ร่างเล็กที่นอนซุกอยู่กับอกเขา คงได้ยินเข้า จึงรีบขยับตัวนั่งหลังตรงแทบทันที ปักษาคลายวงแขนที่โอบคนตัวเล็กออกอย่างเสียดาย

“ฉันอยู่นี่สิน” ปักษาลุกขึ้นแล้วเดินออกจากกระท่อม สิ้นเสียงของเขา ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้ามาออกันที่หน้ากระท่อม
ภาวนานั่งเรียบร้อยอยู่เบื้องหลังคนตัวสูง ทุกคนแม้จะมองนายหัว แต่สายตาก็อดไพล่มองไปยังคนที่นั่งอยู่ไม่ได้ อยู่กันสองต่อสอง ทั้งคืนเชียวเหรอ...

“นายหัวปลอดภัยดีใช่ไหมครับ” สินถามอย่างดีใจ

“ก็อย่างที่เห็น เจ็บไหล่นิดหน่อย”

“แล้วละอ่อนน้อยล่ะ ปลอดภัยดีใช่ไหม ไม่มีใครทำอะไรใช่หรือเปล่า” ต้นวงศ์ถามแล้วทำท่าจะก้าวขึ้นไปบนกระท่อม ติดแต่เพียงว่านายหัวยืนขวางอยู่ เขาจึงทำได้แค่เพียงชะเง้อมองอย่างห่วงๆ

“นายเหนืออยากให้มีใครทำอะไรหรือเปล่าล่ะ” น้ำเสียงไม่พอใจสวนกลับมาแทบทันที ภาวนาไม่พอใจที่ต้นวงศ์ถามคำถามเช่นนี้กับเธอ คำถามคล้ายจับผิด

“กลับกันเถอะ” ปักษาเรียกภาวนาให้ลุกขึ้น

ต้นวงศ์ยิ้มเจื่อน ผ่านไปแค่คืนเดียว ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะสนิทชิดเชื้อกันมากยิ่งขึ้น เห็นแล้วมันน่าปวดใจ เป็นมดแดงแฝงพวงมะม่วงมานาน ยังไม่เคยแตะถึงก้านผลมะม่วงเลย แต่นายหัวมาไม่ทันไร ก็ทำท่าจะเด็ดมะม่วงไปกินเสียแล้ว

ภาวนายืนขึ้นแต่รู้สึกว่าหัวหมุนเล็กน้อย ตัวเธอรุมด้วยพิษไข้แต่ไม่สูงนัก รอยยิ้มเจื่อนส่งให้สินเป็นการทักทาย นายหัวก้าวลงไปก่อนแล้วยื่นมือมารับอีกคนที่ตามลงมา ปักษาจับได้ว่ามือภาวนาอุ่นขึ้นกว่าเดิม ระหว่างเดินนั้นต้นวงศ์หาทางแทรกที่จะเข้าไปคุยกับภาวนาให้ได้ แต่เข้าไม่ถึงเพราะนายหัวเดินประกบคนตัวเล็ก



เรื่องยุ่งที่เกิดขึ้นไม่เพียงแต่ชั้นลูกชั้นหลานต้องหัวหมุนกันแค่นั้น มันหมายถึงการประจันหน้ากันระหว่างพ่อเลี้ยงแสนคำกับพ่อเลี้ยงภูดิสด้วย ท่านปักหลักคอยเหลนของท่าน เป็นครั้งแรกกระมัง ที่ช่องทางซึ่งติดกับเขตของไร่ทั้งสองถูกเปิด หลังจากที่เลิกไปมาหาสู่กันนานหลายปี

พ่อเลี้ยงภูดิสกับผกามาศมีสีหน้ากังวลไม่ต่างกันนัก ส่วนชลดายืนใจตุ่มๆ ต่อมๆ กลัวว่าจะเกิดเรื่องปะทะกันขึ้นระหว่างนักเลงรุ่นลูกกับนักเลงเก่าอย่างพ่อเลี้ยงแสนคำ

“นังอุ่น เอ็งพาผกามาศกลับเรือน” พ่อเลี้ยงแสนคำสั่งเสียงเข้ม

“แต่ลูกอยากอยู่รอรับหลานค่ะ คุณพ่อ” คุณผกามาศห่วงหลาน ท่านอยากเห็นภาวนายิ่งกว่าใคร

“จะอยู่ทำไม พ่อยู่คนเดียวคงพอ เหลนของพ่อเหมือนกัน” พ่อเลี้ยงแสนคำไม่ชอบใจที่พ่อเลี้ยงภูดิสมองมาทางลูกสาวของท่านด้วยสีหน้าเยาะหยัน

“ถ้างั้นลูกยืนรออยู่ห่างๆ ก็ได้ค่ะ” คุณผกามาศถอยออกไปเสียไกล อย่างน้อยก็ให้พ้นสายตาของคนที่ไร่อินสร พ่อเลี้ยงภูดิสเมินไปทางอื่น หลังจากที่สบตากับผกามาศแล้ว

“เพลง!” เสียงชลดาแทรกขัดความเงียบ เธอแทบปรี่เข้าหาเพื่อนรัก แต่เกรงสายตาของพ่อเลี้ยงภูดิส ที่ฝ่ายนั้นส่งสัญญาณมาทางสายตาว่า ห้ามรุกเข้ามาในเขตไร่ของเขาแม้แต่ก้าวเดียว ทุกคนรอกระทั่งนายหัวพาภาวนาเข้ามา

ปักษาสบตาเข้ากับพ่อเลี้ยงภูดิสอย่างบังเอิญ แค่มองก็รู้ว่าพ่อเลี้ยงไม่ค่อยพอใจเขานัก

“คุณทวด! คุณย่า!” ภาวนาโผเข้าหาอ้อมกอดของคุณทวด

พ่อเลี้ยงแสนคำอ้าแขนรับเหลน ด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม

“ขวัญมานะลูก ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว ไม่ต้องกลัวๆ ขอบใจพ่อปุ่นมาก” ท้ายประโยค คุณท่านใหญ่หันไปขอบใจนายหัว ที่เสี่ยงเป็นเสียงตายไปรับเหลนของท่านกลับมา

ปักษาเดินข้ามเขตของไร่อินสรมาเป็นคนที่สองต่อจากภาวนา เบื้องหลังของเขา ต้นวงศ์วางท่าฮึดฮัดไม่พอใจกับพ่อของตัวเอง แต่ทำอะไรได้ไม่มากไปกว่านั้น

“ไหล่ของพ่อปุ่น มีแผลนี่นา” เสียงของคุณผกามาศดังขึ้นใกล้ๆ ท่านขยับมาตั้งแต่เมื่อไหร่คนตัวสูงไม่รู้ตัวเลย

ปักษาเบี่ยงไหล่หนี เมื่อมือของท่านทำราวจะแตะลงสำรวจ

“ไม่เป็นอะไรมากครับ” เขาบอกสั้นๆ น้ำเสียงค่อนข้างแปร่ง จากนั้นจึงหันไปเอ่ยกับคนไร่โน้น “เราเกือบตายเพราะคนเสียสติคนนั้น ทำไมพ่อเลี้ยงภูดิสถึงได้ปล่อยคนบ้าไว้ที่ท้ายไร่ล่ะ”

“คนบ้างั้นเหรอ...” เสียงคุณผกามาศคราง

“นายหัวเอาอะไรมาพูด คนพเนจรที่ไหนก็ไม่รู้ คงไม่เกี่ยวกับเรากระมัง”

“แต่ผมเห็นจริงๆ ผู้ชายคนนั้น หน้าของเขามีรอยแผลเป็นน่าเกลียด ตัวสูงเท่าๆ กับพ่อเลี้ยงนี่แหละ” ปักษาบอกลายละเอียดอย่างไม่คิดอะไรมาก

“ภูริช...” เสียงของผกามาศดังคล้ายละเมอ จากนั้นก็มองไปที่พ่อเลี้ยงภูดิส

“มันตายไปแล้ว อย่าแม้แต่คิดว่าเธอจะได้เห็นมันอีกผกามาศ!” ภูดิสเอ่ยอย่างเคียดแค้น รอยบางอย่างที่เขาไม่อาจปัดทิ้งไปได้ จนถึงทุกวันนี้หัวใจของเขาก็ยังเจ็บปวดมาโดยตลอด

ภาวนามองคนโน้นทีคนนี้ทีอย่างไม่เข้าใจนัก รู้สึกอ่อนหล้าจนอยากจะนอนเสียตรงนี้ ในหัวเธอคล้ายมีอะไรอื้ออึงอยู่ตลอดเวลา ไม่ปลอดโปร่ง เธอมองเห็นหน้านายหัวเป็นเงาทับซ้อน จนต้องส่ายหน้าแรงๆ หลายที

“นายหัว...” เสียงนั้นแผ่วหวิว อาการทรุดลงไปอย่างรวดเร็วของภาวนา ยุติสงครามฝีปากไปชั่วขณะ และสุดท้ายต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันไปในที่สุด



“เหนือ แกยังไปไหนไม่ได้ เรามีเรื่องต้องคุยกัน” พ่อเลี้ยงภูดิส ชี้มือให้ลูกชายนั่งลง

“แต่ผมไม่มีเรื่องคุยนี่พ่อ ผมขอไปทำงานก่อนก็แล้วกัน” ต้นวงศ์เลี่ยงหนีหน้า ไม่ยอมนั่งตามที่พ่อสั่ง เขายังยืนอยู่เช่นนั้น

“ถ้าแกก้าวขาออกจากบ้านแม้แต่ก้าวเดียว แกจะไม่ได้มาเหยียบที่นี่อีก” คำสั่งเข้ม แววตายืนยันกับลูกชายหนักแน่น ว่าคราวนี้ท่านพูดจริง ทำจริง

ต้นวงศ์พรั่นพรึงกับสายตาคู่นั้นนัก เขายอมนั่งลง แต่ไม่ยอมมองมาทางผู้เป็นพ่อเลย จนกระทั่งพ่อเลี้ยงนั่งลงอีกฝั่งนั่นแหละ ชายหนุ่มจึงปรายตามองเพียงแวบเดียว

“ร้อยวันพันปี พ่อไม่เห็นจะเคยสนใจผม ถ้าไม่เกี่ยวกับคนไร่นั้น เราสองคนพ่อลูก แทบไม่มีเวลาคุยกันด้วยซ้ำ” ต้นวงศ์กระแนะกระแหนพ่อของตนเอง

“ก็เพราะฉันไม่มีเวลาคุยกับแกนี่แหละ ฉันถึงไม่รู้ ว่าแกซุกคนบ้าไว้ที่ท้ายไร่”

ต้นวงศ์ลอบกลืนน้ำลาย เมื่อเจอสายตาจับผิดจากผู้เป็นพ่อ

“ผมไม่ได้ซุก เขาหลงมาอยู่ที่ท้ายไร่เอง นี่ก็ว่าจะไล่ให้ไปอยู่ที่อื่นเหมือนกัน” เขาตอบน้ำเสียงเรียบ คล้ายไม่มีอะไรให้จับผิด

“งั้นก็ดี แล้วก็อีกเรื่อง ฉันขอสั่งห้ามแกเด็ดขาดว่า ไม่ให้ไปยุ่งกับละอ่อนน้อยไร่รินดาวอีก” คำสั่งเด็ดขาด เหมือนแส้ฟาดลงมากลางใจ ของชายหนุ่มผู้ยึดมั่นในรักแรกพบ

“แต่ผมรักละอ่อนน้อยนะพ่อ ห้ามอย่างอื่นผมทำได้ แต่เรื่องนี้ ผมไม่ยอม” ต้นวงศ์มีสีหน้าเสียใจจนผู้เป็นพ่อต้องหลับตาถอนหายใจยืดยาว

“แกจะรักผู้หญิงสักกี่คนพ่อไม่ห้าม แต่สำหรับแม่หนูคนนั้น พ่อขอเถอะนะ เหนือไม่เคยได้ยินโบราณเขาว่าหรือไง ดูช้างต้องดูที่หาง ดูนางต้องดูที่แม่ แต่ถ้าจะดูให้แน่ ต้องดูไปถึงย่าถึงยายโน่น”

“แต่แม่ของละอ่อนน้อยแสนดีจะตายไป เธอใจดีนะพ่อ”

“แล้วย่าของเธอล่ะ” คำนี้คล้ายหยันไปถึงผู้ที่ถูกดึงเข้ามาร่วมในบทสนทนาด้วย

“ไม่รู้แหละ ถึงยังไงผมก็ยังยืนยันว่า จะรักละอ่อนน้อยต่อไป” พูดจบก็ลุกหนีดื้อๆ

พ่อเลี้ยงภูดิสส่ายหน้ากับความรั้นของลูกชาย ที่ต้องนั่งปากเปียกปากแฉะห้ามปรามกันอยู่นี่ ก็เพราะท่านไม่อยากให้ต้นวงศ์ต้องเสียใจ คนอาบน้ำร้อนมาก่อน มีหรือจะดูไม่ออกว่า ต่อให้ดิ้นตายยังไง ลูกชายของเขาก็คงไม่สมหวังในรักอย่างแน่นอน ถ้ามันจะลงเอยกันจริงๆ ป่านนี้ดอกรักที่เฝ้าปลูกไว้มันก็คงออกดอกบ้างแล้วแหละ ไม่ปล่อยให้เนิ่นนานมาจนถึงทุกวันนี้หรอก ตามเทียวไร้เทียวขื่อหลานสาวบ้านนั้นมาหลายปี ไม่มีรักตอบมาสักกระผีกเดียว



เป็นเวลาย่ำเย็นแล้ว ร่างเล็กที่นอนคุดคู้บนเตียงกว้างขยับตัวลุกขึ้น ตอนนี้อาการไข้หายไปบ้าง จะเหลือก็แต่เพียงความอ่อนเพลียเล็กน้อย ภาวนาเหยียดแขนออก เพื่อไล่อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย จากนั้นเธอก็เดินเข้าห้องน้ำเพื่อชำระร่างกายและแต่งตัว ภาวนาทำเวลาเร็วกว่าปกติที่มักอ้อยอิ่งในการอาบน้ำ

“ละอ่อนน้อยจะไปไหนคะ” ป้าอุ่นถามอย่างเป็นห่วง กลัวว่าอาการไข้ของเจ้านายจะกำเริบขึ้นอีก

“จะไป...พอดีว่านอนนานๆ มันรู้สึกเมื่อยจ้ะ ว่าจะออกไปเดินเล่นสักหน่อย ป้าอุ่นไม่ต้องให้บัวตามไปด้วยนะจ๊ะ ให้อยู่ช่วยงานป้าอุ่นก็แล้วกัน”

แม้ไม่บอกโดยตรงว่าไปหานายหัว ป้าอุ่นก็รู้ทัน คงเป็นเพราะอาการเพ้อเพราะพิษไข้ของคุณหนูกระมัง ที่ทำให้คนเฝ้าไข้ถึงกับยิ้มออก

ภาวนาเดินลัดเลาะมาจนถึงบ้านพักของนายหัว บริเวณรอบบ้านเงียบมาก แม้แต่เสียงย่ำเท้าของเธอ ยังฟังคล้ายว่าดังเกินไปด้วยซ้ำ หญิงสาวเยี่ยมมองผ่านประตูกระจกหน้าบ้านพัก ตรงช่องที่ผ้าม่านถูกเปิดไว้เล็กน้อยสามารถมองเข้าไปข้างในได้ ดวงตาคู่สวยหรี่ลงเพื่อดูให้ถนัดยิ่งขึ้น ภายในนั้น ไม่เห็นใครเลยสักคน เธอเคาะประตูเพื่อเตือนถึงการมา และภาวนาก็พบว่าประตูไม่ได้ล็อก หญิงสาวจึงถือวิสาสะเข้าไปข้างใน

โต๊ะทำงานของนายหัวเต็มไปด้วยเอกสาร หญิงสาวนั่งลงแล้วมองดูเฉยๆ ไม่คิดวุ่นวายกับงานบนโต๊ะของนายหัว นาทีต่อมาชามแก้วบรรจุขนมเปียกปูน ก็ถูกวางเพิ่มลงไป ขนมในถ้วยนี้ เป็นฝีมือของป้าอุ่น ภาวนาอยากขอบคุณนายหัว จึงได้หยิบมาด้วย พอวางของเสร็จแล้ว ก็เดินไปนั่งเล่นที่โซฟา ขณะรอเจ้าของบ้านพัก ก็มีเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

ด้วยนิสัยอยากรู้อยากเห็นภาวนาจึงเดินไปยืดคอมอง

ปักษี

‘เอ...นี่ก็โทรศัพท์ของนายหัว แล้วเขาจะโทรเข้าเครื่องตัวเองทำไมกัน’ คนมองถึงกับคลึงกระหม่อม เพราะคิดว่าอาจเป็นผลพวงมาจากที่เพิ่งหายจากไข้ก็ได้ ที่ทำให้เกิดอาการตาลาย ทว่าพอมองดูอีกที ก็ยังเห็นเป็นชื่อเดิมอยู่ ภาวนายื่นมือไปจับโทรศัพท์ แล้วกดรับสายทันที เสียงที่ได้ยินเป็นเสียงนุ่มน่าฟัง

“นายเล็ก อาการที่ไหล่เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นแล้วรึยัง ถ้ายังไม่ดีขึ้น ก็ไปหาหมอเลยนะ อย่าทำให้ฉันเป็นห่วง เพราะถ้าห่วงมากๆ ฉันจะขึ้นไปดูแลนายด้วยตัวของฉันเอง คนอย่างปักษีพูดจริงทำจริงนะเว้ย” เสียงที่ได้ยินหยุดไป ราวกับกำลังรอคำโต้ตอบกลับจากคนที่ตัวเองสนทนาด้วย

คนที่ฟังอยู่ เกิดแปลกใจจนแทบหน้ามืด แต่พอตั้งสติได้ก็รีบเอ่ยตอบกลับไป

“ปักษี...อาปุ่น...อาปุ่นที่เป็นลูกชายของคุณทวดใหญ่นะเหรอคะ” เสียงนั้นคล้ายละเมอ

“อ้าว...ฉันนึกว่าเล็กคุยอยู่ แล้วนี่เธอเป็นใคร แล้วรู้จักพ่อของฉันกับฉันได้ยังไง” น้ำเสียงคนถามกลับมาค่อนข้างแปลกใจ แต่ก็ยังเอ่ยได้นุ่มหูคนฟัง

ทว่าภาวนาสติแตกไปแล้ว หญิงสาวมือสั่นจนเกือบทำโทรศัพท์หล่นจากมือ แล้วยิ่งตกใจหนักเข้าไปอีก เมื่อเสียงเข้มคุ้นหูดังขึ้น คาดว่าปักษีตัวจริงคงได้ยินเช่นเดียวกับเธอ เพราะภาวนาได้ยินเสียงทักคลับคล้ายพูดว่า

อ้าวเล็ก...มาพอดีเลย ฉันเป็นห่วงนายมากรู้ไหม

“นั่นเธอกำลังทำอะไรน่ะ!” เสียงห้วนดังขึ้น

แต่ภาวนาตกใจกับเสียงที่อยู่ในสายมากกว่า เธอจึงได้ยินเสียงนายหัวที่คุ้นเคยเบามาก ภาวนาต้องการมั่นใจมากกว่านี้ เธอปรับเสียงไม่ให้สั่น แล้วถามกลับไปยังคนที่โทร.มา

“คุณคืออาปักษีจริงๆ หรือคะ”

“ก็ใช่นะสิ แล้วเธอคิดว่าฉันเป็นใคร แม่สาวน้อย เอาโทรศัพท์ให้เล็กหน่อย ฉันมีเรื่องต้องพูดกับเขา”

“ค่ะ...” ภาวนารับคำแผ่วเบา แล้วค่อยๆ ลดมือลง ตอนนี้มือเธอเย็นราวกับจับน้ำแข็งก้อนใหญ่เอาไว้ ความรู้สึกชาที่แล่นผ่านมายังฝ่ามือ จากนั้นได้กลายเป็นความร้อน จนต้องปล่อยโทรศัพท์ให้ล่วงลง เสียงของปักษีตัวจริงตะโกนก้องลอยห่าง กลายเป็นเพียงเสียงแผ่วน่ารำคาญ

ร่างเล็กถึงกลับทรุดลงกับพื้น ขณะตามองนายหัวซึ่งปรี่เข้ามาหา แต่เธอแผดเสียงคล้ายกรีดร้องห้ามเขาเอาไว้

“หยุด! อย่าเข้ามา”

“เพลง” ปักษาไม่สนใจคำห้ามของคนตัวเล็กแม้แต่น้อย

“บอกว่าอย่าเข้ามาไงล่ะ! ไม่ได้ยินที่ฉันพูดรึไง!” ภาวนาตวาดลั่น รอยผิดหวังส่งผ่านดวงตาคู่สวยไปยังเขา ภาวนาปล่อยให้น้ำตาเอ่อขึ้นมาโดยไม่คิดเก็บไว้ ความจริงใจ...ความเชื่อใจที่มีให้เขา...ตอนนี้ลดลงแทบไม่เหลือเลย เป็นเขาที่เธอและใครหลายคนต่างรอคอย เป็นปักษา...อาเล็กซึ่งเธอคิดเข้าข้างตัวเองเสมอ ในจินตนาการช่างแตกต่างกันนัก

“เรื่องทั้งหมดฉันอธิบายได้” ปักษาเข้าใกล้หมายจะพยุงหญิงสาวให้ลุกขึ้น แต่โดนอีกฝ่ายปัดมือออกอย่างไร้เยื่อใย

ภาวนาไม่ฟังเขาอีกต่อไปแล้ว

“นายหัว...คืออาเล็ก ทำไมต้องโกหก!” หญิงสาวป่ายมือเพื่อเกาะโต๊ะพยุงร่างตัวเองขึ้น ใบหน้าเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา “ไม่ใช่ยังจะดีเสียกว่า” ก้อนสะอึกแล่นมาจุกตรงอก ถูกแล้ว น่าจะดีกว่าหากอาเล็กไม่ใช่นายหัว...ไม่ใช่ในตอนที่ใจของเธอเริ่มมีเขาแทรกเข้ามา ภาวนารู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดก็คราวนี้เอง

เธอเดินผ่านร่างนั้นดุจคนละเมอ ปักษาเหมือนถูกตรึงไว้กับที่ เขามองดูคนตัวเล็กที่เดินเกือบถึงประตู แล้วรีบเอ่ยห้าม เพื่อให้ภาวนาหยุด

“ฟังที่อาพูดก่อนได้ไหม เพลง” สรรพนามที่ใช้เปลี่ยนไปในทันที

ภาวนามองประตูผ่านม่านน้ำตา แล้วเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงกระด้าง

“ต่อให้ตอนนี้มีเรื่องดีๆ สักเรื่อง ฉันก็ไม่อยากฟังมันแล้ว” มือน้อยผลักประตูทันทีเมื่อพูดจบ

ปักษาอยากไขว่คว้าร่างนั้นไว้ แต่ก็ทำได้แค่เพียงมองดู เขาไม่ถนัดเรื่องแก้ตัวเสียด้วย...ให้ตายสิ เขาเหมือนคนโง่ที่อมอะไรไว้ในปาก

เป็นนานกว่าเขาจะเคลื่อนไปยังโต๊ะ ชายหนุ่มหยิบถ้วยแก้วขึ้นมาดู เขาเจ็บที่ถูกมารดาทิ้ง ท่านควรเจ็บอย่างที่เขาเจ็บบ้าง ภาวนาจะเข้าใจเหตุผลข้อนี้บ้างหรือไม่ คนที่ทนเลียบาดแผลของตัวเองมาหลายปี คงไม่อาจทำใจดี และให้อภัยได้เพียงแค่วันเดียว พูดอย่างนี้เธอจะฟังเขาไหม เขาเป็นผู้ชายคนหนึ่งซึ่งละความโกรธไม่ได้ เพราะใจของเขาถูกกระทำก่อน จะให้ทำตัวเป็นคนดีที่แสนอ่อนโยนได้ยังไง ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เขาอยากจะบอกภาวนา...

***************************************************************************
สวัสดีค่ะนักอ่่านทุกท่าน วันนี้วรรษามาเปิดโปงนายหัวโดยเฉพาะค่ะ ^__^

ขออนุญาตตอบเม้นนะคะ

คุณsukhumvit66 จบความคิดไ้ว้แค่นั้นเลยค่ะ ฉากจุมพิตมันยังไม่มาตอนนี้แน่ ขอโทษจริง ^__^

คุณฉัตรศรัญ ฉากจุมพิตมีแน่นอน แต่ยังไม่ใช่ตอนน้อ่า...

คุณmhengjhy เพลงหวั่นไหว คนเขียนก็หวั่นไหวค่ะ อยากจะเขียนให้หวานกว่านี้ แต่กลัวว่ามันจะเกินงาม ว้าก...คึๆ



วรรษา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 ต.ค. 2556, 08:32:21 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 ต.ค. 2556, 08:32:21 น.

จำนวนการเข้าชม : 1528





   ตอนที่ 25 >>
mhengjhy 31 ต.ค. 2556, 09:56:43 น.
เง้อ นายหัวสู้ๆ


Sukhumvit66 31 ต.ค. 2556, 11:51:33 น.
มันต้องมีความรักความหลังอะไรแน่เลย ภูริช ภูดิส ผกามาศ
ว๊ากกก!..........อยากรู้


ฉัตรศรัญ 31 ต.ค. 2556, 20:19:21 น.
ชอบมากเลย มาอัพต่อเร็วๆนะคะ
เยอะๆเลย อิอิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account