นายหัวเมืองเหนือ
โอ้หนอสายฝนพรำรัก ปักอก
ซ่านทรวงซุกอุ่นล้ำ โลมโลก
ซ่อนโศกสุขซ่านเพียง เสน่หา
แซมรักไว้ใต้แผ่นฟ้า เพียงดิน

Tags: ปักษา ภาวนา

ตอน: ตอนที่ 25

ภาวนานั่งลงข้างๆ ย่า ศีรษะซบลงที่ตักของท่าน คุณผกามาศแปลกใจนัก ท่านอยากจะถาม แต่เห็นว่าหลานน้อยนั่งซบตักนิ่งๆ ไม่ยอมพูดยอมจา ก็เลยปล่อยให้อยู่เงียบๆ มืออุ่นนุ่มลูบเรือนผมของหลานสาวคล้ายปลอบโยน ผมภาวนายาวสลวย ตอนยังเด็กท่านต้องถักเป็นเปียยาว บางคราต้องเกล้าเปียทบไว้

“คุณย่า...” เสียงนั้นเอ่ยแผ่ว

คุณผกามาศละมือออกจากเรือนผมสลวย

“ทำไมคุณอาถึงอยู่กับเราไม่ได้คะ ทำไมคุณย่าถึงเลี้ยงอาเล็กไม่ได้” วงหน้าละมุนแหงนเงยมองท่านอย่างวิงวอน ขอคำตอบ ภาวนาอยากฟังเรื่องราวทั้งหมด

ใบหน้าของท่านเคร่งเครียดเมื่อนึกถึงเรื่องที่ผ่านมานานมาก แววตาโศกสลดของท่าน ทำให้ภาวนารู้ว่าไม่ควรถามย่า แต่เธอทนความอยากรู้ไม่ไหวแล้วจริงๆ

“เอาไว้ให้ถึงเวลานั้นก่อน ตอนนี้ให้เจ้ารู้เพียงว่า ถึงอาของเจ้าจะโกรธย่า ก็สมควรที่เขาจะโกรธ ภาวนา...ไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไร ให้เข้าใจอาไว้มากๆ หากสิ้นย่ากับคุณทวด เขาจะเป็นที่พึ่งเพียงคนเดียวที่เจ้าเหลืออยู่ ถ้าเจ้าไม่ใยดีเขา เจ้าก็จะไม่เหลือใคร” ท่านบอกแค่นั้น

“ทำไมถึงบอกไม่ได้ละคะ ถ้าคุณย่าไม่บอก เพลงจะไปถามคุณทวด คุณทวดต้องรู้เรื่องทั้งหมดแน่ๆ”

“ไม่ได้” น้ำเสียงของย่าร้อนรน

“ทำไมคะ”

ภาวนาถามแล้วนิ่งงันไป ยิ่งได้เห็นประกายรวดร้าวที่นัยน์ตาของท่าน ก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่ควรถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะเหตุใดกัน ทำไมคุณย่าต้องกลัวด้วย หากเธอจะไปถามคุณทวดให้รู้เรื่อง

“ก็เพราะฉันเพิ่งจะรู้นะสิ! ว่าตัวเองมีหลานชายกับเขาด้วย” น้ำเสียงทรงอำนาจดังขึ้นที่หน้าประตู คุณผกามาศถึงกับเอามือทาบอก ไม่คิดว่าพ่อของตัวเองจะมาได้ยินเข้า

“คุณทวดหมายความว่ายังไงคะ...”

“ก็หมายความว่า ทวดไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะสิ ว่าย่าของเจ้าเคยท้องมาก่อน เรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง ทำไมเธอถึงปิดบังได้แม้กระทั่งพ่อ หา...ผกามาศ” ท่านตำหนิลูกสาวเสียงดัง แต่เมื่อเห็นสีหน้าตื่นตกใจของเหลน พ่อเลี้ยงแสนคำจึงมีท่าทีอ่อนลง

“เจ้าเพลงออกไปรอข้างนอก ทวดมีเรื่องต้องพูดกับย่าของเจ้าตามลำพัง”

ภาวนามองย่าที่กำลังสะอื้นไห้อย่างเห็นใจ แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มากกว่านี้ ทำได้ก็แต่เพียงเดินออกจากห้องไปเงียบๆ แต่ก็คอยสังเกตการณ์อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล บางคราเธอถึงกับสะดุ้งกับเสียงของคุณทวด ตั้งแต่เกิดมา เธอเพิ่งจะเคยเห็นคุณทวดดุด่าคุณย่าแรงอย่างนี้เลย

สิ่งที่ภาวนาเพิ่งกระจ่างใจก็คือ...คุณย่าตั้งท้องอาเล็กในขณะที่ยังศึกษาอยู่ คุณย่ากลัวว่าคุณทวดจะเสียใจ จึงได้ปิดเรื่องทั้งหมดไว้ หนึ่งปีที่ท่านอุ้มท้อง คุณย่าให้เหตุผลกับคุณทวดว่า เรียนหนัก จึงขอไม่กลับมาบ้าน พอท่านคลอดอาเล็กแล้ว จึงเอาอาเล็กไปฝากคุณทวดใหญ่เลี้ยง แต่เรื่องอื่นต่อจากนี้ เธอฟังไม่ชัด เพราะน้ำเสียงของคุณทวดแผ่วลง



ภาวนาหลบเข้าห้องของย่าได้ ก็เมื่อคุณทวดออกมาแล้ว คุณผกามาศพอเห็นหน้าหลานก็อ้าแขนรับร่างเล็กที่โผเข้าหาอย่างคนขวัญเสีย ท่านร้องไห้ปานใจจะขาด ภาวนาไม่รู้จะทำยังไง จึงได้แต่กอดท่านไว้นิ่งๆ นานทีเดียวกว่าย่าจะยอมเอ่ยอะไรออกมา

“มีใครบ้างที่ไม่เคยทำเรื่องผิดพลาด” ท่านเอ่ยปนเสียงสะอื้น “ย่ารู้ว่าเจ้าคงแอบฟัง แต่ฟังแล้วอย่าเก็บเอาไปคิด ตอนนี้ให้รู้ ให้ได้ยินแค่นั้นพอ อย่าสงสัยไต่ถามสิ่งใดเลยได้ไหมเจ้า”

ภาวนาไม่อยากรับปาก เพราะมีหลายข้อที่ยังรู้สึกแคลงใจ เธออยากรู้ว่าคุณย่าเลี้ยงพ่อได้แต่ทำไมเลี้ยงอาเล็กไม่ได้ อีกอย่าง...คนนั่งคิดถึงกับนิ่งงัน เมื่อฉุกคิดบางอย่างที่ตนเองเคยสงสัยมานานแล้ว เพียงแต่ไม่กล้าถามออกไปก็เท่านั้นเอง

คุณปู่เป็นใคร ทำไมย่าไม่เคยเอ่ยถึง รูปสักใบก็ไม่มีให้เห็น คุณย่าท้องโดยที่คุณปู่ไม่รู้ แล้วทำไมตอนท้องพ่อของเธอ ถึงเปิดเผยได้ล่ะ มันต้องมีอะไรสักอย่างแน่ๆ แต่ถึงจะสงสัยยังไง สุดท้ายก็จำต้องรับปากย่าไว้ก่อน

“ค่ะ”

“ขอบใจนะ ที่เข้าใจย่า” ท่านเอ่ยน้ำเสียงสั่นเครือ

“คุณย่า...อย่าร้องไห้สิคะ เพลงไม่อยากเห็นน้ำตาของคุณย่าเลย” มือน้อยค่อยบรรจงปาดน้ำตาให้กับย่า คุณผกามาศยิ้มน้อยๆ เพราะมีภาวนา ชีวิตที่ผ่านมา จึงไม่เงียบเหงา



ภาวนารีบตื่นแต่เช้าเพื่อออกไปวัด หนึ่งอาทิตย์ที่เธอหลบหน้าเขา...ไม่สิ เป็นนายหัวเองนั่นแหละที่หายหน้าไปเลย เขาไม่เคยสำนึกในสิ่งที่ตัวเองทำ แล้วยังมั่นใจเสมอว่าตัวเองนั้นถูกต้องที่หนึ่ง

วันนี้ภาวนาขับรถเอง หญิงสาวขับแล่นผ่านหน้าสำนักงาน ซึ่งไม่มีใครตามสอดส่องการไปมาของเธออีกแล้ว และเธอไม่คิดที่จะบอกก่อน ถือว่าต่างคนต่างมา ต่างที่ ก็น่าที่จะต่างคน ต่างอยู่ต่างไป ไม่เกี่ยวกัน รถแล่นผ่านไปเร็วอย่างกับคนขับตั้งใจเร่งความเร็วประชด แม้ไม่มีใครที่ตัวเองอยากประชดอยู่แถวนั้นก็ตาม

ทางซึ่งจะนำไปวัดนั้นเล็กแคบ วัดตั้งอยู่บนเนินเขา แต่ไม่ลำบากนักที่รถจะพาหญิงสาวปีนป่ายเข้าไปถึง ทว่าเธอต้องขับรถอย่างระมัดระวัง เพราะกลัวว่าหนทางขรุขระ จะทำให้อาหารหน้าตาไม่น่ารับประทาน เพราะแรงเขย่าได้

วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ฝนทำท่าจะตกปรอยๆ ป่าสองข้างทางมีกอหญ้าสีเขียวขจีขึ้นด้วยรับน้ำกันเต็มอิ่ม อากาศที่เคยร้อนเหลือแสน ตอนนี้มีบ้างในช่วงสายของวัน แต่ถ้าเป็นเวลาเช้าอย่างนี้อากาศกำลังเย็นสบาย

ไม่นานนักรถก็เลี้ยวเข้ามาจอดในอารามสถาน ซึ่งหลวงพ่อจำวัดอยู่ ภาวนาหยิบปิ่นโตแล้วลงจากรถ ขณะแม่อุ้ยพ่ออุ้ยหลายคนต่างพากันเดินขึ้นไปบนศาลา ภาวนาเข้าไปรวมกลุ่มกับชาวบ้านด้วยความคุ้นเคย หญิงสาวยกมือกระพุ่มไหว้ชดช้อย ให้กับทุกคน ก่อนจะเข้าไปกราบหลวงพ่อ

“โยมท่านมาไม่ไหวแล้วสิ”

ภาวนากราบเสร็จแล้วนิ่งไป พอเรื่องที่สงสัยถูกบีบให้ใกล้กับความน่าจะเป็นอีกนิด เธอก็เริ่มประมวลบางเรื่องได้ลางๆ อกน้อยๆ สะท้านขึ้นมาอย่างขวัญเสีย เรื่องนี้น่าคิดมากเลยทีเดียว เพราะที่ผ่านมาหลวงพ่อไม่เคยเรียกคุณย่าว่า ‘คุณโยม’ เลยสักครั้ง ท่านจะแทนตัวคุณย่า ว่าโยมท่านมาตลอด

“ว่ายังไงล่ะ ถามแล้วทำไมถึงได้เงียบไป”

ความคิดของภาวนาหายไปแทบทันที ที่หลวงพ่อเอ่ยคำถามอีกครั้ง

“ค่ะหลวงพ่อ แต่ท่านฝากอนุโมทนามานะคะ ท่านบอกวันหลังจะมาเอง หลายวันก่อนปลีกไปธุดงค์เสียไกล คิดอยู่ว่าเมื่อไหร่จะกลับมาเสียที” น้ำเสียงในประโยคท้ายนั้น มีกระแสหม่นปนอยู่ด้วย หลวงพ่อเห็นดังนั้นจึงยิ้มน้อยๆ พร้อมกับเอ่ยบางอย่างกับภาวนา

“มีเรื่องไม่สบายใจอีกแล้วละสิ”

“ค่ะ”

“ทุกเรื่องมีเหตุมีผลของมันเอง แม้วันนี้ไม่เข้าใจ สักวันก็จะเข้าใจเอง อย่าคิดมาก”

“ไม่อยากคิดค่ะ แต่บางทีใจมันคิด” ภาวนาตอบจู่ๆ น้ำตาก็เอ่อขึ้นมา เธอไม่อยากเอาเรื่องมาให้หลวงพ่อ แต่ไม่รู้จะปรึกษาเรื่องนี้กับใคร เมื่อวานเธอได้ยินคุณย่าสารภาพกับคุณทวด เกี่ยวกับเหตุผลที่หลวงพ่อออกบวชกะทันหัน ทั้งหมดนั้น เป็นการเตรียมการณ์ให้อาเล็กกลับบ้าน

เมื่อขาดคนดูแลไร่ ก็ต้องหาคนช่วยพยุง แล้วคนที่ยื่นมือเข้ามาก็เป็นอาเล็กจริงๆ พวกท่านช่างไม่ระแคะระคายกันบ้างเลย ว่าอาเล็กมาอยู่ใกล้ๆ นี้แล้ว น่าเจ็บใจที่เขาเอาความรู้สึกส่วนตัว มากลั่นแกล้งคนในบ้าน



“อีกสักครู่จะถวายภัตตาหารแล้ว” มัคนายกประจำวัดเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นว่าเหล่าชาวบ้านเตรียมสำรับภัตตาหารเสร็จแล้ว ภาวนาคลานลงไปหลายคืบเพื่อร่วมถวายกับทุกคน และขณะนั้นเอง หญิงสาวรู้สึกว่ากระแสไออุ่นเคลื่อนเข้าใกล้ตัว

นายหัว...ภาวนาคิดขยับแต่ไม่มีที่พอให้ขยับหนีแล้ว จึงได้แต่นั่งรอ จนกระทั่งญาติโยมถวายภัตตาหารและรับพรเสร็จ หญิงสาวจึงถือโอกาสออกมากรวดน้ำเสียเลย

“ฉันมีเรื่องจะพูดกับเธอ”

มือที่กำลังยกคนโทแก้วอันเล็ก ชะงักทันที

“ก็พูดมาสิ” หญิงสาวกรวดน้ำเสร็จแล้ว แต่ไม่ยอมลุกขึ้น น้ำเสียงเอ่ยฟังไม่ออกว่าพอใจที่จะคุยด้วย หรือไม่พอใจ

ปักษารอให้คนตัวเล็กลุกขึ้นก่อนแล้วค่อยพูด เขาพยายามปรับโทนเสียงให้เบาๆ เพราะกลัวว่าจะตกเป็นเป้าสายตาให้กับผู้คนที่มาร่วมทำบุญที่วัด

“เรื่องที่ฉันโกหกทุกคน ฉันจะไม่ขอโทษ แต่หวังว่าเธอจะเข้าใจความจำเป็นของฉันเหมือนกัน”

“ค่ะ” เธอรับคำแบบขอไปที

“ค่ะ นี่...เข้าใจหรือไม่เข้าใจ” ปักษาไม่พอใจคำตอบเท่าไหร่

“ก็คงเข้าใจ” คนตอบไม่มองหน้า

“ภาวนา” ปักษาเริ่มรู้แล้วว่าหลานน้อยรวน

“แล้วถ้าเพลงเข้าใจสิ่งที่นายหัวพูด...” หญิงสาวต้องหยุดพูดกะทันหันเมื่อเขาเอ่ยแทรก

“เรียกอา...ไม่ต้องเรียกนายหัว” ปักษาเลิกคิ้วขึ้นขณะที่เริ่มไล่เลียงความเข้าใจกับภาวนาใหม่

ภาวนาเห็นดังนั้นจึงเมินหน้าไปทางอื่นแล้วเอ่ย

“ก็อา...” เธอย้ำประชดเหน็บแนมปักษาไปด้วยในตัว “แล้วอาเล็ก! จะเข้าใจในสิ่งที่คุณย่าทำหรือเปล่าล่ะ”

คำตอบที่ได้คือการเงียบ

“เห็นไหมล่ะ นายหัวยังไม่เข้าใจ อย่างนี้จะมาบอกให้คนอื่นเข้าใจ เมื่อต่างคนต่างทำไม่ได้ เพลงจะเรียกอาเล็กว่านายหัว มันก็สมควรแล้ว เราอย่ามานับสาแหรกกันเลยจะดีกว่า” ดวงตาคู่สวยมองสบอย่างท้าทาย

“เธอไม่ใช่คนในตระกูลศิลาฉัตรหรือไง ถึงไม่ต้องนับญาติกับฉัน” เขาย้ำกลับด้วยกระแสนัยน์ตาละม้ายกัน

ภาวนาชะงักเพียงครู่จากนั้นจึงเอ่ยต่อ แม้น้ำเสียงจะแปร่งไปบ้างก็ตาม เมื่อเขาเริ่มนับศักดิ์ผูกพัน

“เพลงเป็นคนของศิลาฉัตร” น้ำเสียงเอ่ยสูงลิบ ไม่ต้องคอยระวังแล้วว่าใครจะมอง

ปักษาเห็นแล้ว ว่าหลายๆ คนมองมายังเขากับเธอ ทว่าภาวนาไม่สนใจนักหรอก เธอพร้อมจะมีเรื่องกับเขาตรงนี้นี่แหละ

“ไปคุยกันที่อื่น คุยตรงนี้ไม่เหมาะนัก” เขาเตือนเสียงเบา

ทว่าคนตัวเล็กสวนคำขึ้นทันที

“ถ้าจะคุย ก็ต้องคุยที่นี่เท่านั้น ถ้าไปที่อื่นก็ไม่คุย”

ปักษาเพิ่งรู้ว่าภาวนารั้นมาก อาจจะมากกว่าเขาด้วยซ้ำ เพราะยังถือดีอย่างกับเด็กที่พร้อมจะตีอกชกหัวไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น เขาคว้าเข้าที่ข้อมือเล็กแล้วฉุดไปที่รถ ปักษาพยายามฉุดคนตัวเล็กให้ตามมาอย่างให้แนบเนียนที่สุด เพื่อไม่ให้ใครก็ตามสนใจ พอไปถึงเขาก็จับภาวนายัดเข้าไปในรถ พร้อมกับขู่เสียงต่ำ

“อย่าคิดแม้แต่จะลงมาเชียว” เขาปิดประตูดังลั่น แล้วอ้อมมาทางฝั่งคนขับ ไม่สนใจด้วยซ้ำว่ารถของภาวนาจะอยู่ยังไง เพราะก็อยู่ในเขตวัด คงไม่มีใครกล้าขับไปแน่ อีกอย่างถ้าโจรมีปัญญายกไป ก็ให้มันไปเถอะ เขาคิดอย่างคนหัวเสีย จากนั้นก็เคลื่อนรถออก

“นายหัวจะพาฉันไปไหน หยุดรถเดี๋ยวนี้เลยนะ!” เธอแผดเสียงคล้ายกรีดร้อง สรรพนามแทนที่เคยไพเราะ กลายเป็นห่างเหินในทันที

“ฉันไม่ปล่อยให้เธอลงไปได้ง่ายๆ แน่ แล้วก็พูดจาให้มันน่ารักหน่อยภาวนา ยังไงฉันก็เป็นอาของเธอ หรือย่าเธอไม่เคยสั่งสอน ว่าต้องพูดจาดีๆ กับผู้ใหญ่ยังไงบ้าง แต่อ้อ...ฉันลืมไปว่าย่าของเธอ เขาคงไม่มีเวลาสั่งสอนหรอก คนที่ทิ้งได้แม้กระทั่งลูกในไส้ จะมีเวลาไปสั่งสอนใครได้” เขาโต้กลับ จะเอาชนะคนตัวเล็กให้ได้

“อย่ามาว่าคุณย่านะ ท่านสอนสั่งแต่เรื่องดีๆ เสมอ ถึงอาเล็กจะเห็นว่าย่าเป็นคนไม่ดี แต่ท่านดีสำหรับฉัน แล้วฉันก็รักท่านมากด้วย” ภาวนาสะบัดหน้าไปอีกทาง

ปักษารู้ว่าที่หันไปนั้นกำลังร้องไห้ เขาจอดรถไว้ข้างทาง พอเครื่องยนต์ดับจึงได้ยินเสียงสะอื้นที่คนร้องพยายามข่มไว้ มือเล็กปาดน้ำตาไม่ให้ไหล แต่ดูเหมือนไม่ได้ผลนัก

“จะทำอะไร!”

คนตัวเล็กหันมาแหวอย่างตกใจ เมื่อจู่ๆ ปักษาก็คว้ามือเธอไป ทว่านาทีต่อมาก็เห็นว่าเขาเอาผ้าเช็ดหน้า เช็ดลงที่มือเธอเบาๆ ผ้าไหมปักลายด้วยมือของเธอเอง ผ้าผืนนั้น เขายังคงเก็บเอาไว้ คำพูดที่เธอเคยพูดกับเขา สะท้อนก้องอยู่ในอกผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น ฝากไว้ให้อาเล็ก เพลงปักลายเองกลับมือเลย

มือน้อยเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา เพราะเพียรเช็ดออกจากใบหน้าอยู่หลายครั้ง และคนมอง ก็คงปวดร้าวเช่นกัน ที่เห็นคนตัวเล็กร้องไห้ ภาวนารู้ได้จากหางตา ที่มองเขาเพียงแวบเดียว โอ้หนอ...คนที่เจอกันครั้งแรกแทบจะหาความอ่อนโยนไม่ได้ กลับมีมุมอ่อนโยนซ่อนอยู่ ภาวนารีบชักมือหนี ใจเธอกระโดดไปหาเขาเร็วจนน่ากลัว

“เจ้าเพลง...ฉันไม่ได้หวังมากมาย หวังแค่ว่าเธอจะฟังที่ฉันพูดบ้าง ได้ไหม...” ปักษาทอดถอนใจขณะพูดและรอดูปฏิกิริยาของคนฟัง เมื่อเขาเห็นว่าภาวนาไม่โต้แย้งใดๆ เขาจึงเอ่ยต่อในทันที “ฉันรู้ว่าตัวเองก็มีส่วนผิด ที่ปั้นเรื่องโกหกทุกคน แต่จะให้ฉันทำเป็นลืม เรื่องที่ย่าเธอทิ้งฉันไป บอกตรงๆ ว่ามันทำใจยาก ถ้าเธอเข้าใจความจำเป็นของย่า วันนี้เธอจะเข้าใจความจำเป็นของฉันด้วยได้ไหม...” น้ำเสียงที่เอ่ยปนความเจ็บปวดนั้น ทำให้ภาวนาใจอ่อนยวบ คุณย่าบอกให้เธอมองที่เหตุผล แม้ใจจะขัดเคืองยังไงแต่ก็คงต้องเหลืออภัยไว้บ้าง

“แต่คุณย่าท่านคอยอาเล็ก...ท่านคอยทุกวัน”

“ฉันก็เหมือนกัน เด็กตัวเล็กๆ ที่คอยให้แม่มาหาทุกวัน เจ็บเหมือนกันนะ แต่ก็ได้แค่คอย แล้วก็หวังลมๆ แล้งๆ เท่านั้น” น้ำเสียงเล่า หายไป ชีวิตนี้เขาไม่คิดว่าจะต้องมาบอกเหตุผลเรื่องนี้กับใคร แต่ตอนนี้เขากำลังอธิบายให้ภาวนาฟัง ซึ่งคนฟังนั้น เขาไม่แน่ใจว่าจะรับได้แค่ไหน “จากวันเป็นเดือน...แล้วก็เป็นปี ให้ลืมภายในวันเดียว ฉันทำไม่ได้หรอก” เขาพูดแล้วเหมือนจะหยุดอยู่แค่นั้น เพราะน้ำเสียงเอ่ยเล่าหายไปนานทีเดียว

วงหน้าละมุนค่อยๆ หันกลับมา ขณะที่อาเล็กหันหน้าไปอีกทาง ภาวนามีสองคนที่ต้องเข้าใจ จะทิ้งน้ำหนักลงข้างไหนมากกว่า ก็คงไม่ได้ ดวงตาคู่สวยมองสำรวจเสี้ยวหน้าอาเล็ก ย่าสอนให้เธอเข้าใจอาให้มากๆ เธอไม่ควรละเลยข้อนี้จริงไหม

“อาเล็กไปหาท่านบ่อยๆ ได้ไหมคะ ยังไม่ต้องบอกก็ได้ เพราะคงยากที่จะพูด แต่อยากให้ไปหาบ่อยๆ ท่านจะได้ดีใจเพราะอย่างน้อยก็ชื่นชมนายหัวปักษีอยู่บ้าง” คำเอ่ยของภาวนาเรียกให้ใบหน้าคมสันหันกลับมา “อาเล็กจะทำให้ได้ไหม” ภาวนาเอ่ยแล้วเปิดประตูลงจากรถ ไม่รอฟังคำตอบจากปักษา

“นั่นเธอจะไปไหน”

ภาวนามองสบตาเขา

“เพราะไม่คิดว่าจะได้เจออาเล็กอย่างนี้ เพลงก็เลยยังไม่ชิน” ภาวนาเอ่ยแล้วหันไปโบกรถโดยสารซึ่งแล่นผ่านพอดี ร่างเล็กแทรกผ่านผู้โดยสารหลายคนเข้าไปหาที่นั่ง ซึ่งปักษาไม่อาจมองเห็นร่างนั้นได้แล้ว

**************************************************************************************

สวัสดีวันศุกร์ค้าทุกคน หลังจากลงตอนนี้แล้ววรรษาขอทยอยลบตอนที่ผ่านมานะคะ ^_^

ขออนุญาตตอบเม้นท์ค่ะ วันนี้ขอตอบแบบรวบรัดนะจ๊ะ

คุณmhengjhy คุณ sukhumvit66 คุณฉัตรศรัญ และนักอ่านทุกท่าน เนื้อเรื่องจะเจ้มจ้นขึ้นทุกขณะ ดีใจที่ทุกคนยังแวะเวียนมาให้กำลังใจกันสม่ำเสมอ เร่ิมจะคลายปมแล้วจ้า ใครสงสัยอะไรไว้ วรรษาจะเผยทีละนิดๆ นะคะ ใครที่รอฉากจูบรออีกนิดนะ แต่ถ้าใครรอมารหัวใจของนางเอก เธอจะมาเร็วๆ นี้แหละค่ะ




วรรษา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 พ.ย. 2556, 08:38:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 พ.ย. 2556, 08:38:27 น.

จำนวนการเข้าชม : 1505





<< ตอนที่ 24   ตอนที่ 30 >>
ฉัตรศรัญ 1 พ.ย. 2556, 17:41:13 น.
ซึ้งมาก น้ำตาจะไหลตาม อาเล็กและย่าเล็ก
ติดตามเสมอนะคะ แต่งได้เก่งมากเลยค่ะ
หนังสือวันนี้ไหนจะตามไปสนับสนุนนะคะ
จูบเอาแบบให้เคลิ้มไปสามวันเจ็ดวันเลยนะ 55+


Sukhumvit66 2 พ.ย. 2556, 01:21:46 น.
ต่างคนต่างความรู้สึก เจ็บกันคนละแบบ......


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account