นายหัวเมืองเหนือ
โอ้หนอสายฝนพรำรัก ปักอก
ซ่านทรวงซุกอุ่นล้ำ โลมโลก
ซ่อนโศกสุขซ่านเพียง เสน่หา
แซมรักไว้ใต้แผ่นฟ้า เพียงดิน

Tags: ปักษา ภาวนา

ตอน: ตอนที่ 30

“คนไข้เริ่มรู้สึกตัวแล้ว” หมอเจ้าของไข้บอกกับปักษา “โชคดีที่ล้มไม่โดนจุดที่สำคัญก็เลยไม่เป็นอะไรมาก ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว ให้กลับบ้านได้เลย”

“ขอบคุณ คุณหมอมากนะครับ”

“ไม่เป็นไร ถ้างั้นผมขอตัวก่อนก็แล้วกันนะ ต้องไปดูคนไข้รายอื่นต่อ”

หลังจากที่หมอไปแล้ว ปักษาก็ผลักประตูเข้าไปในห้องคนป่วย ท่านนอนเหมือนแค่หลับไปเฉยๆ ใบหน้าท่านซีดเล็กน้อย แต่ริมฝีปากซับสีจางๆ ให้คนมองได้อุ่นใจบ้าง ว่าอีกวันสองวันท่านก็คงจะหายเป็นปกติ

“เล็ก...” เสียงแหบโหยเบาราวกระซิบ

ปักษาตื่นจากภวังค์ เขาขยับห่างจากเตียงคนไข้ เป็นจังหวะเดียวกับที่คุณผกามาศลืมตาขึ้นพอดี ชายหนุ่มปั้นหน้าขรึมแก้เก้อ เมื่อสายตาสงสัยส่งตรงมายังเขา กระแสอาทรส่งมาจากท่านเพียงครู่เดียวเท่านั้น

“พ่อปุ่นนั่นเอง” ท่านเพียงยิ้มแล้วเอ่ยความในใจกับชายหนุ่มรุ่นลูก “ตอนแรกนึกว่าเป็นเล็กมาหา มองดีๆ ถึงรู้ว่าไม่ใช่” คุณผกามาศคล้ายจะลุกขึ้น ปักษาต้องเข้าไปช่วยปรับเตียงให้สูงขึ้นอีก

“อย่าเพิ่งขยับครับ หมอให้นอนนิ่งๆ ไปก่อน”

“นอนนานชักจะเมื่อย คนแก่ก็อย่างนี้แหละ แล้วเจ้าเพลงล่ะ” พอฟื้นก็ถามหาหลานท่านทันที

“ไม่ได้มาด้วยครับ เพลงเขาไม่รู้ว่าคุณท่านป่วย ผมไม่ได้บอก เพราะกลัวจะเป็นห่วง” ปักษาแจ้งไปตามความจริง

“งั้นหรอกเหรอ ขอบใจพ่อปุ่นมากที่มาคอยดูแลฉัน แล้วก็ยังอุตส่าห์นึกถึงใจของเจ้าเพลงด้วย ว่าแต่...ขอน้ำกินหน่อยได้ไหม”

ปักษารินน้ำแล้วยื่นให้กับท่าน

“ค่อยๆ ทานนะครับ เดี๋ยวสำลัก”

น้ำเสียงเผลอห่วงใยที่ได้ยินเมื่อครู่ ทำคนไข้ถึงกับยิ้มปลื้มเปรม

ปักษาวางสีหน้าเรียบเฉย เมื่อคุณผกามาศยิ้มไม่ยอมหุบ ความทิฐิในใจของเขา คลายลงเพราะเหตุใด เขาย่อมรู้ดีแก่ใจ คงเป็นเพราะน้ำใจของภาวนากระมัง ที่ทำให้เขาได้เห็น คำเจรจาของภาวนาแว่วคอยเตือนเขาอยู่ตลอดเวลา

ขอให้เขาเข้าใจย่าบ้าง...



ดูเหมือนว่าฝนจะมีเวลาตกที่แน่นอน ปักษาไม่สนใจสายฝนที่ตกพรำๆ เขาขับรถตรงกลับบ้าน ถึงแม้สินจะอยู่เป็นเพื่อนภาวนาแต่เขาก็ยังรู้สึกห่วงอยู่ดี รถคันหรูเลี้ยวเข้าไปในรั้วสีเขียว สินที่รอคอยนายกลับบ้าน ทำหน้าที่ส่งร่มให้นายอีกตามเคย

ปักษามองคนตัวเล็กที่มายืนรอรับอยู่หน้าบ้าน แล้วอดใจพองโตไม่ได้

“อากลับมาแล้ว” ปักษารายงานตัวพร้อมกับปัดมือไปตามตัว เพื่อไล่เม็ดฝนที่ติดตามเสื้อผ้า

“นี่ค่ะ ผ้าเช็ดตัว” ภาวนายื่นผ้าในมือให้กับปักษา

คนที่เพิ่งกลับมาจากไปส่งคุณท่านเล็กกลับบ้าน เลิกคิ้วอย่างฉงน เพราะหลังจากวันที่พี่ชายของเขาเดินทางกลับ ภาวนาก็มีท่าทีเปลี่ยนไป ไอ้เรื่องที่ใจดีกับเขามากขึ้นก็ข้อหนึ่งล่ะ ไม่ดื้อไม่เถียงนี่ก็อีกข้อ เอ...หรือว่าจะคิดถึงบ้านจนเพี้ยนไปแล้ว

“วันนี้กลับไปนอนบ้านรินดาวได้ไหมคะ คิดถึงคุณย่ากับคุณทวดจะแย่”

นี่ไงล่ะ เหตุผลที่มาทำตัวน่ารักกับเขา อย่างนี้ค่อยโล่งใจหน่อย ยิ่งกลัวๆ อยู่ว่า จะโดนพี่ชายวางยาก่อนกลับระยองเข้าแล้ว

“แต่อาเพิ่งกลับมาถึงนะ แล้วอีกอย่าง ฝนก็ตกหนักด้วย

“ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นค่ะ รถ...มีหลังคา” ภาวนาเอ่ยน้ำเสียงทะเล้น ส่วนคนถูกเย้าหน้าหงิกไปแล้ว

“ว่าจะขายคันนี้ทิ้ง แล้วไปซื้อคันอื่นมาใช้อยู่พอดี เอาแบบเปิดประทุนลมโกรกเย็นสบาย จะได้มีข้ออ้างว่าฝนตก ขับออกไปข้างนอกไม่ได้” ปักษาเย้ากลับ

“คันไหนก็ได้ ถ้าอาเล็กเป็นคนขับรถให้ เพลงก็นั่งได้ทุกคันแหละ ตกลงกลับบ้านรินดาวนะคะ เพลงจะได้ขึ้นไปยกกระเป๋าเสื้อผ้า” คนตัวเล็กสรุปเองทั้งหมด แล้ววิ่งตึงๆ ขึ้นบ้าน

“คงไม่ต้องขออนุญาตกันแล้วมั้ง เล่นเก็บกระเป๋าไว้รอขนาดนี้แล้วนี่นา” ปักษาได้แต่ยิ้มกับตัวเองอย่างปวดร้าว ถ้าถึงวันที่ต้องเลือกระหว่างความรัก กับความเสียใจของภาวนา เขาหวังว่าภาวนาจะไม่เจ็บปวดกับการตัดสินใจของเขา



ภาวนาเก็บจดหมายที่อ่านแล้ว ใส่ไว้ในลิ้นชัก ถ้าหากอาปักษีต้องการเห็นเธอร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่าละก็ ขอบอกว่าฝันไปเถอะ ไอ้เสียใจมันก็เสียใจอยู่บ้าง แต่พอนึกถึงความรักของคุณย่ากับคุณทวดที่มอบให้กับเธอและพ่อเรื่อยมา มันก็ทำให้ภาวนาคิดได้ว่า จะนึกหาเหตุผลในรักที่ไร้ข้อแม้จากท่านทั้งสองไปไย ในเมื่อเธอรู้ดีว่าท่านรักเธอมากแค่ไหน อาเล็กเสียอีกที่ยังไม่เคยได้รับความรักอย่างเต็มที่

“เสร็จหรือยังเพลง”

ปักษาเห็นว่าหญิงสาวหายไปนานจึงขึ้นมาดู

“เสร็จแล้วค่ะ”

“ส่งมานี่ดีกว่า อาถือให้เอง” ปักษาแย่งกระเป๋าไปถือจนได้

รถแล่นฝ่าสายฝนตรงไปยังบ้านรินดาว ทิ้งเงาเลือนรางของรั้วบ้านสีเขียวไว้เบื้องหลัง สายฝนกำลังส่งเธอกลับบ้าน แม้ฐานะของเธอเปลี่ยนไปแล้ว แต่สิ่งเดียวที่ไม่มีวันเปลี่ยนก็คือ เธอรักคุณย่า รักคุณทวด รักทุกคนที่บ้านรินดาว แล้วก็...รักอาเล็ก

โอ้หนอสายฝนพรำรัก ปักอก
ซ่านทรวงซุกอุ่นล้ำ โลมโลก
ซ่อนโศกสุขซ่านเพียง เสน่หา
แซมรักไว้ใต้แผ่นฟ้า เพียงดิน


เมื่อมาถึงบ้านรินดาว ฝนก็เลิกตกแล้ว ลุงเหมือนที่กำลังนั่งซ่อมแคร่อยู่มุมหนึ่งของบ้าน พอเห็นว่าใครมา แกก็รีบวิ่งไปรับทันที ภาวนาวิ่งขึ้นบ้านไปก่อน แล้วตามด้วยปักษา พอเห็นหน้าคุณทวด คนตัวเล็กก็โผเข้ากอดด้วยความคิดถึง พลางเอ่ยเสียงน่ารักว่า

“คิดถึงคุณทวดจังเลยค่ะ แล้ว...คุณย่าละคะ”

“อยู่โน่นไง นั่งทำอะไรก็ไม่รู้กับนังอุ่นสองคน” ท่านชี้มือไปยังเรือนชาน

บริเวณนั้นคุณย่ากับป้าอุ่นมักใช้เป็นที่นั่งเล่น ภาวนาเดินไปดูว่าย่ากำลังทำอะไร เพื่อปล่อยให้ปักษาได้มีเวลาคุยกับคุณทวดบ้าง คนตัวเล็กมองอาของตัวเอง คล้ายตัดสินใจบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

สักพักปักษาก็เข้ามานั่งด้วยอีกคน ที่มองเห็นอยู่นั้น เป็นมะละกอขนาดโตกำลังดี ป้าอุ่นกับเด็กบัวกำลังนั่งปลอกเปลือก ส่วนลูกไหนที่ปลอกเสร็จแล้ว ภาวนาก็นำมาไสเป็นแผ่นบางๆ ตามแนวยาว เสร็จแล้วก็นำมาเฉือนเป็นเส้นขนาดกลาง คล้ายเส้นก๋วยเตี๋ยว

“อย่างกับรู้แนะค่ะว่านายหัวจะมา ท่านนึกอยากจะทำแกงส้มปลาตะเพียน” ป้าอุ่นเอื้อนเอ่ย

“อาเคยกินแกงส้มปลาตะเพียนไหมคะ แกงส้มมะละกอใส่ปลาตะเพียนน่ะ” ภาวนาถามแล้วหัวเราะคิกคัก คิดว่าหลอกปักษาได้
ปักษาไม่ตอบ เขามองหน้าคุณท่านเล็กที่ยิ้มบางๆ กระทั่งหลานน้อยหันมาถามอีกครั้ง

“เพลงถามว่าเคยทานไหมคะ อายังไม่ตอบเลย”

“เคย...” เขาตอบ แล้วนั่งลงเอามือจับเส้นมะละกอที่ภาวนาหั่นเรียบร้อยแล้ว มาจับม้วนเข้าที่นิ้วอย่างชำนาญ จนได้ปลาตะเพียนตัวน้อยน่ารักหนึ่งตัว

“อ้าว...รู้ด้วยเหรอ แกล้งให้หลอกอยู่ได้”

“รู้สิ ไม่ได้หลอกง่ายขนาดนั้น” เขายิ้มสรรพยอกหลานน้อย “ว่าแต่เราเถอะ สานเป็นรึเปล่า ปลาตะเพียนน่ะ” ปักษาท้าคนหั่นเส้นมะละกอ คุณท่านเล็กกับป้าอุ่นถึงกับยิ้มให้กัน รู้ดีว่าคนนี้เขาถนัดแต่หั่น ไอ้งานที่ต้องใช้ฝีมือน่ะ เขาไม่ค่อยถนัด ฉะนั้นอย่าได้ถามเลยว่าสานเป็นไหม

“ทำหน้าอย่างนี้ แสดงว่าสานไม่เป็น มานี่มา เดี๋ยวจะสอนให้ ทำอย่างนี้นะ” เขาจับเส้นมะละกอยัดใส่มือของคนตัวเล็ก แล้วลงมือสอน
นิ้วน้อยๆ จับเส้นมะละกอเก้กัง จนปักษาต้องรวบจับทั้งมือคนหัดสานกับเส้นมะละกอไว้ แถมยังช่วยม้วนพันนิ้วน้อยๆ ให้ด้วยอีกต่างหาก กิริยานั้นทำให้คุณท่านเล็ก ที่ลอบมองอยู่ถึงกับยิ้มสมใจ ต่างกับคนถูกสอนให้สานปลาตะเพียน ที่หน้าแดงแล้วแดงอีก กระทั่งสายตาประสานกันเข้ากับคนสอน โดยบังเอิญนั่นแหละ เส้นมะละกอก็เลยพันได้แค่นิ้วเล็กๆ ของภาวนา

เสร็จจากการสานปลาตะเพียน แม่ครัวเอกที่นำทีมโดยคุณท่านเล็ก ก็รับหน้าที่ต่อในการทำแกงส้ม โดยมีป้าอุ่นคอยเป็นลูกมืออยู่ใกล้ๆ ส่วนภาวนานั่งคุยกับปักษาที่ชานบ้าน กินขนมไปหัวเราะไปอย่างมีความสุข จนกระทั่งได้เวลารับประทานอาหาร ทั้งสองคนจึงขยับย้ายวง
หลังอาหารค่ำ สมาชิกในครอบครัว นั่งสนทนากันอยู่พักใหญ่ คุณท่านเล็กก็กลับเข้าห้องไปพัก ส่วนคุณท่านใหญ่ ท่านหยิบหนังสือติดมือไปด้วยหนึ่งเล่ม แล้วเรียกลุงเหมือนให้เป็นเพื่อนเดินเล่น เพื่อให้อาหารย่อย



“ไปกันหมดเลย อาเล็กอยู่ก่อนนะคะ เพลงมีเรื่องจะคุยด้วย” คนสั่ง เท้าคางกับเข่าตัวเอง ขณะที่นั่งอยู่ตรงยกพื้น ก็เลยไม่รู้ว่าโดนตวัดหางตาใส่เข้าให้แล้ว

ปักษาเอามือเท้าไปข้างหลังทั้งสองข้าง ขณะที่สองขาซอยประสานกันในท่านั่งสบาย

“สั่งใคร”

“เอ้า...ถามแปลก อยู่กันสองคน เพลงคงไม่ได้สั่งลมสั่งฟ้าหรอกมั้งคะ” คนตัวเล็กยิ้มตาใส

“เห็นใจดีเข้าหน่อย เดี๋ยวนี้ริต่อปากต่อคำนะ” เขาชี้นิ้วไม่จริงจังนัก

“ตั้งแต่รู้จักกันมา ก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่เพลงจะไม่ต่อปากต่อคำอาเล็กนี่นา ยังไม่ชินอีกเหรอ” ภาวนายิ้มน่ารัก

“แล้วเคยชนะสักครั้งไหมละ” ปักษาเริ่มเท้าความ เรื่องที่เคยต่อล้อต่อเถียงกันมาก่อน

คนตัวเล็กถึงกับส่ายหน้า ทุกครั้งที่เริ่มทะเลาะกัน เธอก็ต้องเป็นฝ่ายถอยให้อาเล็กก่อนทุกครั้ง อาเล็กมีเหตุผลที่จะห้ามเธอทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือใหญ่ก็ตาม แต่เขาพูดดีๆ ไม่ค่อยเป็น โชคดีที่ตอนนี้นิสัยดีขึ้นเยอะ

“แต่เรื่องที่เพลงจะพูดกับอาเล็กวันนี้ ไม่ได้ต้องการผลแพ้ชนะนะคะ เพลงอยากให้ฟังแล้วถือซะว่า เพลงมาขอคำปรึกษาเกี่ยวกับอาเล็กเท่านั้น” ภาวนามองลึกเข้าไปในนัยน์ตาสีนิล

ปักษาเปลี่ยนมาเท้าคางกับเข่า หันหน้ามองคนตัวเล็กเช่นกัน เขาเห็นรอยเด็ดเดี่ยวจริงจังในดวงตาคู่สวย

“จะพูดอะไรก็พูดมาตรงๆ เลยดีกว่า อย่าอ้อมค้อม ถ้าง่วงนอนมากๆ จะไม่อยู่ฟังแล้วนะ” เขาเอ่ยแล้วรอคอย เรื่องที่ภาวนากำลังจะพูดต่อไปนี้

ภาวนามองหน้าเขาอย่างไตร่ตรอง ก่อนเอ่ยกับเขาแผ่วเบา

“เพลงว่าอาเล็กน่าจะบอกความจริงกับทุกคนได้แล้ว” น้ำเสียงคนเอ่ยคล้ายกระซิบ

“เอาเถอะ ขอบใจที่ทำตัวเป็นกาวใจนะ ไว้จะลองคิดดูอีกทีก็แล้วกัน ว่าจะบอกดีไหม” เขาบอกแล้วผุดลุกขึ้น

“อ้าว...” คนตัวเล็กออกอาการงงๆ ที่อาเล็กเหมือนจะเข้าใจทุกอย่างดีเกินไป

“อ้าวอะไร อาจะไปสำนักงานหน่อย อย่านอนดึกนักละ เดี๋ยวตีนกาขึ้น หน้าแก่เร็วเดี๋ยวขายไม่ออกนะ” เขาว่าแล้วเดินตัวปลิวหนีไปอย่างลอยนวล

ส่วนคนที่โดนว่านั้น รู้ตัวอีกทีก็เมื่อคนว่าลงจากเรือนไปแล้ว ภาวนาบ่นพึมพำตามหลังเขาไป แล้วเดินเข้าห้องตัวเอง ทว่าเธอยังไม่อาจข่มตาให้หลับได้ จึงคิดหาเพื่อนคุยแก้เหงา ภาวนากดโทรศัพท์หาชลดา ทว่าเสียงตอบกลับมา กลายเป็นเสียงฝากข้อความ ภาวนาจึงกรอกเสียงหวานใสทักทายลงไปแทน

“ชล...นอนรึยัง ถ้ายังไม่นอน โทรกลับมาด่วนเลย มีเรื่องจะเล่าให้ฟัง” พอฝากข้อความเสร็จ ก็หงายหลังลงบนเตียงนุ่ม บิดขี้เกียจไปมาสองที แล้วคอยฟังเสียงโทรศัพท์ กระทั่งนานจนเริ่มรู้สึกง่วงงุน ชลดาก็ไม่โทร.กลับมาเสียที สุดท้ายภาวนาจึงผล็อยหลับไป



“ก็ใช่นะสิ เมื่อคืนชลยิ่งกว่านอนไม่หลับอีก แล้วนี่จะทำยังไงดี คนหายไปทั้งคน ไม่น่าเห็นแก่เงินเล้ย เมื่อคืนออกตามหาทั้งคืน แต่ก็ไม่พบ” ยิ่งร้อนใจ ชลดาก็ยิ่งขับรถได้แย่ลงๆ ขึ้นเรื่อยๆ

ภาวนานั่งทำหน้าแห้งแล้งเพราะต้องตื่นขึ้นมาตั้งแต่ย่ำรุ่ง แต่ก่อนจะมา เธอได้บอกกับลุงเหมือนเอาไว้แล้ว ว่าเธอจะไปหาชลดา เผื่อคุณทวดกับคุณย่าถามหา จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง

“ชล...ถ้ายังไม่รู้ว่าจะไปไหน เพลงว่าเราจอดรถก่อนดีไหม ขับรถเดี๋ยวแตะเบรกๆ อย่างนี้ เพลงเวียนหัว แต่ถ้าไม่จอดนะ เพลงขอเสนอว่า ขอเป็นคนขับรถเองจะดีกว่า” ภาวนาเอ่ยเชิงขอร้อง

“ไม่ต้องๆ ใกล้ถึงแล้ว” บอกปุ๊บก็เลี้ยวปั๊บทันที

“นี่มันทางไปบ้านนายเหนือนี่นา” ภาวนาเอ่ยสีหน้าตื่น

“ ใช่แล้ว คนหายไปทั้งคน ชลต้องบอกนายเหนือ เขาจะได้ช่วยตามหาอีกแรง”

รถจอดสนิท ตรงหน้าบ้าน แต่ดูเหมือนว่าคนบ้านนี้จะนอนขี้เซากันทั้งนั้น ไก่ขันรอบสองแล้ว ยังไม่มีคนตื่นอีก ภาวนาก้าวลงไปก่อน
“รู้สึกได้กลิ่นเหม็นไหม้นะชล กลิ่นแรงขึ้นเรื่อยๆ ชลได้กลิ่นไหม”

“กลิ่นอะไร ชลไม่เห็นได้กลิ่น” ชลดาทำจมูกยื่น สูดดมหากลิ่นที่ภาวนาพูดถึง

ภาวนาไม่มั่นใจ จึงเดินไปยังบันได กระทั่งเวลาผ่านไปสิบห้านาทีภาวนาจึงเห็นกลุ่มไฟกลุ่มหนึ่งลอยอยู่เหนือเรือน เธอเห็นหลังใครสักคนไวๆ บนบ้านด้วย ทว่ายังช้ากว่าชลดาที่ชี้มือบอกจุดเป้าหมายทันที

“เพลง! ดูนั่นสิ ลุงคนบ้านี่น่า คุณลุง!” ชลดาตะโกนเรียก พร้อมกับก้าวขึ้นไป หวังจะจับตัวชายผู้นั้น

“ชลอย่าตามไป มันอันตรายนะรู้ไหม” คนตัวเล็กร้องห้าม ทว่าไม่ทันเสียแล้ว

ชลดาไม่ฟังที่ภาวนาพูดเลย เธอวิ่งขึ้นเรือนไปจนได้ สุดท้ายเมื่อห้ามไม่ฟัง ภาวนาจึงต้องวิ่งตามเพื่อนไปอีกคน ภาพตรงหน้าทำให้ภาวนาถึงกับเข่าอ่อน ไฟเริ่มลุกไหม้แล้วบางส่วน แต่ทำไมที่นี่ถึงได้เงียบเชียบ ราวกับไม่มีใครอยู่เลยสักคน

“เพลง ไฟไหม้ใหญ่เลย ทำยังไงดี นั่นๆ เขากำลังจะเผาอีกแล้ว ทำไงดี” ชลดามัวแต่ตกใจ ทำอะไรไม่ถูก

“จะทำยังไง ก็ขวางไว้สิ” คนตัวเล็กเผ่นพรวดเข้าไปขวาง ทว่าโดนผลักออกมา “คุณลุงอย่าค่ะ!” ภาวนาร้องลั่นเมื่อเห็นชายเสียสติถือคบไฟตรงไปยังห้องๆ หนึ่ง

สองสาวต้องผนึกกำลังกันเพื่อนช่วยกันจับ ชลดากลัวว่าเขาจะทิ้งคบไฟลงบนเตียงกว้าง จึงตรงเข้าไปดึงร่างนั้นไว้ ทว่าถูกสะบัดออกมาอีกจนได้

ชายเสียสติล้วงบางอย่างออกมาจากใต้หมอน มันเป็นกรอบรูปขนาดเล็ก ภาวนาไม่อาจเห็นได้ว่าเป็นรูปของผู้ใด ทว่ามีรอยอาลัยอาวรณ์ จากสายตาของชายผู้นั้น ภาวนาเริ่มห่วงหน้าพะวงหลัง เพราะไฟกำลังลุกลามขึ้นเรื่อยๆ เธอได้ยินเสียงครางอย่างปวดร้าว มาจากผู้ชายคนนั้น

“ภูดิส แกพรากคนรักไปจากฉัน สมควรแล้วที่แกจะได้รับสิ่งนี้” ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ที่ภาวนาเห็นว่าเขาปล่อยให้คบไฟล่วงหล่นจากมือ

“อย่า!” ไฟลุกพรึบขึ้นอย่างรวดเร็ว มือของชายผู้นั้นกวาดชั้นหนังสือล้มตึง ภาวนาใจหายเพราะมันเกือบจะเฉียดเข้ากับศีรษะของเธอด้วย ดวงตาคู่สวยเบิกกว้าง เมื่อเห็นภาพบางอย่างที่ซ่อนอยู่หลังชั้นหนังสือ ภาพของย่าเธอไม่ผิดแน่ เป็นภาพถ่ายคู่กับพ่อเลี้ยงภูดิส
ชายคนนั้นกรีดร้องโหยหวนก่อนคว้าเอารูปนั้นมาไว้แนบอก เปลวเพลิงทำให้ภาพนั้นมีสีสันบาดตา จนเกิดความพร่ามัว

“รูปนี้เป็นรูปคนรักของฉัน...มันพรากคนรัก แล้วก็ลูกไปจากฉัน” เสียงนั้นครางเบาอย่างรวดร้าว

ภาวนานิ่งงัน เธอได้ยินเขาพูดชัดเจนทุกคำ ทำไมชายคนนั้นถึงได้บอกว่าคนในรูป เป็นรูปของคนรักของเขา หญิงสาวสงสัยแต่ก็จำต้องตัดเรื่องนั้นทิ้ง เพราะเปลวเพลิงลุกไหม้หนักขึ้นทุกที แม้อยากจะหนีแต่ก็ทำไม่ได้ เธอต้องเอาชายคนนี้ออกไปด้วย ไม่งั้นได้ตายในกองเพลิงแน่

“เพลง ไฟไหม้ใหญ่แล้ว หนีเถอะ” ชลดาที่เพิ่งตั้งสติได้ร้องเตือน “ไฟลามใกล้เข้ามาแล้วเพลง ไปเถอะ” หญิงสาวฉุดมือเพื่อนรักให้ไปด้วยกัน

“ชล เอาคุณลุงไปด้วยสิ เอาเขาไปด้วย” ภาวนามองร่างที่ไม่ทุกข์ร้อนกับเปลวเพลิง

ชลดาพยักหน้าเอาด้วยทันที ถึงจะเป็นคนบ้าแต่ก็ต้องช่วยเหลือ ทั้งสองคนเข้าไปลากร่างชายเสียสติ ที่กำลังเลื่อนลอยอยู่ในโลกของตัวเอง ให้มาด้วยกัน

“ไม่ ฉันไม่ไป ฉันจะอยู่ดูความพินาศของมัน” เขาคำรามลั่น

“ไม่ได้ค่ะ” ภาวนาไม่ยอม แล้วดันแผ่นหลังของร่างนั้นสุดแรง ขณะที่ชลดาช่วยดึงแขน ทั้งสองคนยื้อยุดฉุดกระชากกระทั่งสามารถพาชายเสียสติออกมาได้แล้ว ทว่าต้องหนักใจกับเปลวเพลิงตรงหน้า ชลดารู้สึกใจชื้นที่เห็นสายน้ำฉีดพุ่งขึ้นเหนือเรือน แต่ด้านหลังของทั้งสามคนนี่สิ เริ่มไม่น่าไว้ใจ เพราะถูกไฟจี้ก้นอย่างรวดเร็ว

“คุณลุงค่ะเดินเร็วๆ ค่ะ” ภาวนาเริ่มกังวล เพราะต้องคอยดันหลังให้เขาเดิน แต่ชายเสียสติไม่ให้ความร่วมมือนัก เธอเกรงตัวในวินาทีหนึ่ง เมื่อรู้สึกได้ว่าแผ่นหลังของชายเสียสติเหยียดตรง และพลัน!

“โอ้ย!” จู่ๆ คนที่ทำหน้าที่ดันอยู่ข้างหลังก็ถูกสะบัดเต็มแรง ภาวนาเสียหลักกระเด็นตัวปลิวกลับไปที่เดิมซึ่งตอนนี้มีไฟลุกโหมน่ากลัว
ชลดาร้องตามเพื่อน แต่เธอไม่อาจเข้าไปช่วยได้ เพราะประตูห้องหล่นมาปิดทางเดินไว้เสียก่อน หญิงสาวผลักร่างชายเสียสติเต็มแรงเพื่อให้หลุดจากรัศมีของเปลวไฟ พอเขาตั้งหลักได้ชายเสียสติวิ่งหายไปทางบันได ส่วนชลดาเธอวิ่งตามชายเสียสติไปด้วยอีกคน เพื่อหาคนช่วยเหลือเพื่อนรักอย่างเร่งด่วน

“ช่วยด้วยค่ะ! ใครก็ได้ช่วยที เพลงติดอยู่ในห้อง ช่วยด้วย!” ชลดาวิ่งหนีควันไฟลงมาซึ่งพอมาถึง เธอก็เห็นว่าข้างล่างวุ่นวายไม่น้อยทีเดียว สายตาเธอจับเข้ากับต้นวงศ์พอดี

“นายเหนือ!”

“อ้าว เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงชลดา”

“นายเหนืออย่ามัวแต่ถามเลยค่ะ รีบไปช่วยเพลงเถอะ เพลงติดอยู่ข้างบน” เธอบอกแล้วก็สลบไปเลย ต้นวงศ์ฝากชลดาไว้กับลูกน้องของเขา จากนั้นก็วิ่งขึ้นบนบ้านพร้อมกับเอ่ยในใจว่า ขออย่าให้ละอ่อนน้อยเป็นอะไรไปเลย เพราะถ้าเป็นอะไรไป เขาคงใจขาดตายตามแน่ๆ

เมื่อช่วงเย็นเขาเข้าไปในไร่กับพ่อ เพราะมีรายงานมาว่า มีสัตว์ป่าลงมาป้วนเปี้ยนที่ไร่ นึกไม่ถึงว่า เขากับพ่อไม่อยู่บ้านเพียงแค่คืนเดียว จะมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นถึงเพียงนี้



ปักษาตามหาภาวนาที่รีสอร์ทชลดาแต่ไม่พบ พนักงานที่นั่นบอกกับเขาว่า ทั้งสองคนมาพบต้นวงศ์ที่ไร่อินสร ชายหนุ่มจึงตามมา แต่พอมาถึงก็พบว่าที่นี่เกิดเพลิงไหม้ เขาถามคนของต้นวงศ์จึงรู้ว่าภาวนาติดอยู่ข้างบน คำบอกเล่านั้นทำเอาปักษาแทบคลั่ง...เขาวิ่งไปโดยคว้าผ้าชุบน้ำติดมือไปด้วย

“อ้าวนายหัว คุณมาที่นี่ได้ยังไง” ต้นวงศ์ถามสีหน้าตื่น

แทนคำตอบปักษาโยนผ้าเปียกให้กับต้นวงศ์

“เจอเพลงไหม” ปักษาไม่สนใจตอบ ตอนนี้เขาห่วงแต่ภาวนาเท่านั้น

“ยังหาตัวไม่พบ เหลืออีกห้องที่ยังไม่ได้เข้าไปดู ” ต้นวงศ์ว่าพลางชี้มือขึ้น ห้องนั่นก็คือห้องของพ่อเขาเอง ห้องที่ต้นวงศ์ไม่ชอบที่จะเฉียดเข้าใกล้นัก

ปักษากระโจนไปพร้อมกับต้นวงศ์ทันที

“เพลง! อยู่ไหน ได้ยินเสียงอาไหม นี่อาเล็กนะ” เขาตะโกนถามด้วยความหวัง ว่าจะมีเสียงตอบกลับมาบ้าง และในนาทีที่เขาเกือบจะสิ้นหวังนั้น เขาก็ได้ยินเสียงของภาวนาแทรกผ่าน เสียงพัดหวือของลมและเปลวเพลิงออกมา

“อาเล็ก! เพลงอยู่นี่ค่ะ อาเล็ก...” แทบไม่ต้องสงสัยเลยว่า ที่เขาได้ยินนั้นเป็นเสียงของใคร

“เพลงไม่ต้องกลัวนะ อากำลังจะเข้าไปช่วยแล้ว” ปักษาปลอบ ก่อนจะหันมาตวาดเสียงเข้มใส่ต้นวงศ์ “อย่า!” ปักษาเตือนเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าจะถีบประตู

“นายหัวจะห้ามทำไม ไม่ได้ยินเหรอว่าละอ่อนน้อยอยู่ในนั้น ผมจะเข้าไปช่วยละอ่อนน้อย” ต้นวงศ์อยากเข้าไปดูให้แน่ใจ ว่าละอ่อนน้อยยังคงปลอดภัยดี เขาเป็นห่วงเธอเหลือเกิน

“เราไม่รู้ว่าเพลงอยู่ตรงไหน ฉันอยากให้แน่ใจกว่านี้” ปักษาไม่อยากเสี่ยง

ต้นวงศ์คิดอย่างเร็วว่า ถ้าไม่ถีบแล้วจะทำยังไง เพราะประตูก็ถูกไฟไหม้เช่นกัน

“นายคอยอยู่ข้างนอก” ปักษาตัดสินใจรวดเร็ว เขาคว้าผ้าเปียกซึ่งถือติดมือมาเผื่อต้นวงศ์ไปด้วย ตอนนี้ต้นวงศ์คงไม่ต้องใช้มันแล้ว ปักษาพันผ้าเปียกรอบลำแขนอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ทำในสิ่งที่ต้นวงศ์ถึงกับตาค้าง เพราะไม่คิดว่าปักษาจะยอมทำเรื่องเสี่ยงเพื่อช่วยภาวนา

“มันอันตรายมากนะนายหัว ให้ผมช่วยละอ่อนน้อยเองจะดีกว่า” ต้นวงศ์ค้านอยู่ใกล้ๆ

เมื่อเห็นปักษาใช้ฝ่ามือที่มีผ้าเปียกกันไว้ทั้งสองข้าง ผลักประตูให้กระเด็นออกไปจากทาง เขาได้ยินเสียงร้องครางจากปักษาทว่าไม่ดังมากนัก

“ฉันจะไม่สบายใจอย่างมาก ถ้าไม่ได้ช่วยเพลงด้วยมือของฉันเอง นายหุบปากแล้วคอยรับภาวนาดีๆ ล่ะ ถ้าเพลงได้แผลเพิ่มอีกแม้แต่แผลเดียว ฉันอัดนายเละแน่” ปักษาเอ่ยเสียงกร้าว เขาร้อนและเจ็บปวด แต่เพื่อภาวนาแล้ว เขาทนได้

เมื่อประตูถูกผลักทิ้ง ปักษาจึงได้เห็นภาวนาซึ่งฟุบอยู่ตรงหน้าประตู ต้นวงศ์ใจหายถึงตาตุ่ม ถ้าหากเขาถีบประตูละก็วันนี้คงเสียไปจนตาย

“อาเล็ก” เสียงภาวนาเริ่มขาดเป็นห้วงๆ เพราะสูดเอาควันเข้าไปเต็มปอด

“เพลง” ปักษารีบอุ้มร่างหญิงสาวออกมาจากห้องซึ่งร้อนไปด้วยเปลวไฟ

“มืออาเล็ก” ถึงจะใกล้หมดสติ แต่ภาวนาก็ยังเป็นห่วงปักษา

“ช่างเถอะน่า!” ปักษาเอ่ยเสียงห้วนสะบัด “เราไม่เป็นอะไรก็ถือว่าดีแล้ว” ปักษาวางร่างในอ้อมแขนลงกับพื้น

ต้นวงศ์เข้าไปแตะร่างหญิงสาวดูพร้อมกับเอ่ย

“หายใจไม่โล่ง สูดเอาควันไปเยอะ ส่งละอ่อนน้อยให้ผมเถอะ มือนายหัวคงเจ็บไม่น้อย” ปักษายอมส่งภาวนาให้กับต้นวงศ์แต่โดยดี แต่ไม่ยอมปล่อยมือภาวนาที่กุมมืออีกข้างของเขาไว้แน่น ดวงตาที่ใกล้พริ้มเพราะหมดสติลงทุกที ยังจับจ้องมาที่คนตัวสูง ปากก็เอ่ยแผ่วเบาๆ เรียกเขา อาเล็ก...

ต้นวงศ์ฟังเสียงเรียกกระซิบอย่างเจ็บปวด ก่อนจะพาร่างซึ่งไร้สติลงจากเรือนโดยไว ทั้งสามคนทิ้งเปลวเพลิงไว้เบื้องหลัง เสียงอื้ออึ้งดังขึ้นทันทีที่ เมื่อทุกคนเห็นว่าทั้งสามคนปลอดภัยออกมา
****************************************************************
สวัสดีวันเสาร์ค่ะ ใครที่ตามอ่านอยู่ วรรษามาลงเพิ่มให้แล้วนะคะ ใครสงสัยมาแต่ต้นเรื่อง ตอนนี้ใกล้จะคลายปมแล้วค่ะ มีความสุขกับการอ่านนะคะ

ขออนุญาตตอบเม้นท์นะคะ

คุณmhungjhy อาปุ่นมาช่วยได้ทันเวลาพอดีคึๆ

พี่จุ๊บ ดวงมาลย์ ฮั่นแน่...ยังอุตส่าห์เจียดเวลาอันน้อยนิดมาจิ้มให้เขา ขอบคุณนะคร๊าบ...

คุณใบบัวน่ารัก ถ้าภาวนาทำกับข้าว คงมีคนน้ำตาซึมหลายคนค่ะ เอามาลุ้นกันดีกว่าว่าสุดท้ายแล้ว จะมีใครรับเธอเป็นลุกศิิษย์ไหม เฮอๆ



วรรษา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 พ.ย. 2556, 08:15:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 พ.ย. 2556, 08:15:29 น.

จำนวนการเข้าชม : 1677





<< ตอนที่ 25   ตอนที่ 37 แจ้งข่าวค่ะ >>
mhengjhy 16 พ.ย. 2556, 08:48:11 น.
เฮ้อ


ดวงมาลย์ 16 พ.ย. 2556, 08:58:26 น.
ชอบจิ้ม 5555 จัดไป


sonakshi 16 พ.ย. 2556, 17:14:57 น.
ค้างอ่่ะ


Sukhumvit66 16 พ.ย. 2556, 19:16:14 น.
ใกล้จะคลายปมแล้วซินะ มาอัพไวไวเน้อ


ใบบัวน่ารัก 17 พ.ย. 2556, 06:36:20 น.
เรื่องราวอาเล็ก ยากจัง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account