ลำนำรักใต้แสงจันทร์
เมื่อเจ้าหญิงกาอิยาห์พยายามจะช่วยชีวิตหญิงสาวเคราะห์ร้ายผู้หนึ่งแต่พลาดจนทำให้เธอผู้นั้นกลายเป็นหิน เมลิอานาร์จึงต้องยื่นมือช่วยเหลือด้วยการเดินทางไปค้นหายาถอนพิษ ซึ่งงานนี้คงไม่ยากเย็นนัก ถ้าหญิงสาวจะไม่บังเอิญต้องร่วมทางไปกับราชาหนุ่มรูปงามแห่งกรีนแลนด์ที่คอยแต่จะกวนโมโหกันอยู่เรื่อย ..มาร่วมผจญภัยไปพร้อมกับสองหนุ่มสาวในนิยายรักเบาๆ ที่มีกลิ่นอายแฟนตาซีอ่อนๆ และไม่ค่อยจะโรแมนติกเรื่องนี้กันนะคะ ^ ^
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 25

ฤดูใบไม้ร่วงพาให้อากาศหนาวเย็นลงทุกขณะ ใบไม้ในปราสาทลินเด็นเริ่มเปลี่ยนสีจากเขียวสดเป็นเหลืองบ้างแดงบ้างอย่างน่าดู พอนานเข้ามันก็เหี่ยวแห้งร่วงหลุดจากต้น ทับถมลงบนถนนศิลาจนแทบจะมองไม่เห็นพื้นผิวสีเทาอันขรุขระ เพิ่มภาระให้คนงานต้องคอยเก็บกวาดอยู่ตลอดทั้งวัน

ชายฉกรรจ์สองคนก้มหน้าก้มตากวาดเศษใบไม้แห้งง่วนอยู่ริมถนน ไม่สนใจขบวนม้าห้าหกตัวที่เพิ่งควบผ่านหน้าไป มีเพียงเด็กหนุ่มผมแดงที่หยุดมือ เหลียวมองตามพลางขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เขาถึงกับทิ้งไม้กวาดในมือวิ่งตามไปเมื่อแน่ใจว่าม้าตัวหนึ่งในจำนวนนั้นคือเจ้าโอนิกซ์ และคนที่แนบร่างอยู่บนหลังของมันก็คือท่านเมล

ซิสพยายามป้องปากตะโกนเรียก ทว่าเสียงดังก้องของกีบเท้าม้ากลบกลืนเสียงเขาไปเสียสิ้น เมื่อฝุ่นดินที่ลอยฝุ้งอยู่ในอากาศจางหาย ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าก็เหลือเพียงถนนศิลาว่างเปล่า ทหารยามร่างผอมกำลังหมุนล้อโซ่เพื่อปิดประตูปราสาทลงตามเดิม
นับตั้งแต่มีข่าวว่าเจ้าชายดิเร็กซ์ทรงยกทัพล่วงล้ำเขามาถึงเลอัน การตรวจตราผู้คนที่ผ่านเข้าออกปราสาทลินเด็นก็ยิ่งเข้มงวดขึ้นเป็นทวีคูณ ประตูใหญ่ที่เคยเปิดปิดเป็นเวลา บัดนี้แทบจะไม่เปิดอีกเลยหากไม่มีเหตุจำเป็น ทว่าซิสไม่รู้สึกเดือดร้อนนัก เพราะคนงานอย่างเขามีประตูเล็กสำหรับเข้าออกแยกอยู่ต่างหากทางทิศใต้

เด็กหนุ่มละสายตาจากภาพตรงหน้า ยังไม่ทันจะหมุนตัวกลับ ไม้กวาดที่โยนทิ้งไว้เมื่อครู่ก็ถูกยัดใส่มือ ใครบางคนใช้เรี่ยวแรงมหาศาลบังคับให้เขาก้าวเดินไปยังมุมอับสายตา ซิสพยายามจะหันไปมอง หากเจ้าของมือที่กำอยู่รอบต้นแขนออกแรงบีบเบาๆ เป็นเชิงปราม พร้อมกับกระซิบเตือนเสียงหนัก

“อย่าหันกลับมา เสด็จตรงไปทางนั้น เรามีเรื่องต้องคุยกันพ่ะย่ะค่ะ”

เด็กหนุ่มชะงักเล็กน้อยเพราะจำได้ว่าเสียงทุ้มต่ำที่ได้ยินเป็นของอเล็กซ์ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าหลังจากคลาดกันที่จัตุรัสเมือง องครักษ์หนุ่มจะยังไม่ล้มเลิกความพยายามในการควานหาตัวเขา ถึงขนาดลักลอบเข้ามาในปราสาทลินเด็นซึ่งกวดขันการเข้าออกอย่างเข้มงวดได้สำเร็จ ซิสสูดลมหายใจหนาวเหน็บเข้าปอด บอกตัวเองว่าเป็นอย่างไรก็เป็นกัน ถึงจะถูกคนของบิดาตามหาจนพบ เขาก็ไม่มีวันยอมกลับวูดแลนด์อย่างเด็ดขาด

อเล็กซ์ซึ่งสวมเสื้อทูนิกเก่าโทรมทับกางเกงรัดปลายขาสีคล้ำ มีผ้าผืนใหญ่โพกศีรษะแบบผู้ใช้แรงงานทั่วไป รุนหลังเด็กหนุ่มเข้าไปตรงข้างกำแพงซึ่งมีชายร่างเล็กผู้หนึ่งยืนกวาดใบไม้อยู่ก่อนแล้ว ซิสมองเห็นไม่ถนัดว่าเขาเป็นใครเพราะหมวกฟางใบใหญ่ปิดบังใบหน้านั้นไว้เสียครึ่งค่อน ต่อเมื่อขยับเข้าใกล้ เด็กหนุ่มจึงจำได้ว่าฝ่ายนั้นคือเกรย์ มหาดเล็กที่ดึงดันจะติดตามไปรับใช้เขาตอนที่หนีออกจากบ้าน แล้วก็มีเหตุให้ต้องพลัดหลงกันไปในท้ายที่สุด

“เจ้าชายซีซาร์...”

เกรย์ร้องเรียกเสียงเครือ พยายามห้ามตัวเองอย่างหนักไม่ให้ค้อมกายลงถวายคำนับเด็กหนุ่มตามความเคยชิน ใบหน้าอ่อนกว่าอายุเหยเกราวกับจะร้องไห้เมื่อรำพันต่อไปว่า

“กระหม่อมนึกว่าจะไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระองค์อีกแล้ว โชคดีเหลือเกินที่พวกโจรขโมยม้ามันไม่ได้ทำอันตรายพระองค์”

...ใครว่า...

ซิสปรายตามองมหาดเล็กผู้มีอายุมากกว่าตนหากทำตัวเหมือนเด็กพลางเถียงในใจ ความจริงแล้วเขาถูกโจรขโมยม้าพวกนั้นเล่นงานเสียสะบักสะบอม ซ้ำร้ายตอนที่หมดสติยังถูกพวกมันขโมยทรัพย์สินเงินทองไปจนเกลี้ยง กระทั่งเสื้อคลุมกำมะหยี่ที่สวมติดกายก็ไม่เหลือ โชคดีที่ได้พบกับคนตัดฟืนชาวกรีนแลนด์เขาจึงรอดชีวิตมาได้

“เงียบเถอะเกรย์ เจ้ากำลังจะทำให้เราเสียเรื่อง” อเล็กซ์ดุสหายแล้วหันมาทางเด็กหนุ่ม

“เกรย์เล่าเรื่องที่ทรงหนีออกจากปราสาทให้กระหม่อมฟังหมดแล้ว ทำเช่นนี้ไม่ดีเลยนะพ่ะย่ะค่ะ ทรงทราบบ้างหรือเปล่าว่าองค์ราชาเป็นห่วงพระองค์มากแค่ไหน”

“ถ้าจะมาเทศนาข้าละก็ กลับไปดีกว่าอเล็กซ์”

“กระหม่อมจะกลับก็ต่อเมื่อเจ้าชายเสด็จกลับพร้อมกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ” อเล็กซ์ตอบเสียงหนักแน่นสมกับที่เป็นทหารองครักษ์ ท่าทางขึงขังเอาจริงของเขาทำให้เกรย์ต้องลอบกลืนน้ำลายอย่างไม่สบายใจ
ซิสยักไหล่

“ถ้าเช่นนั้นเราก็คงไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก”

เด็กหนุ่มทำท่าจะผละจากไป หากถูกมือใหญ่แข็งแรงของอเล็กซ์คว้าต้นแขนไว้เสียก่อน

“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมยังกราบทูลไม่จบ”

“งั้นก็รีบว่ามา”

อเล็กซ์พยายามข่มโทสะที่แล่นเป็นริ้ว เปิดเผยข้อเท็จจริงว่ากองทัพวูดแลนด์และทาเนียร์ต่างก็เตรียมพร้อมจะบุกโจมตีกรีนแลนด์ในเวลาอันใกล้ ขอเพียงได้รับสัญญาณจากราชาคาลอส พันธมิตรทั้งสองจะกรีฑาทัพเข้าบดขยี้กรีนแลนด์ทั้งทางตะวันออกและตะวันตกพร้อมกัน นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาต้องเร่งร้อนตามหาเด็กหนุ่มแสนดื้อรั้นผู้นี้ให้พบ เพื่อพาออกจากพื้นที่เสี่ยงอันตรายเสียโดยเร็ว

“เวลานี้กรีนแลนด์ไม่ใช่ที่ๆ ควรประทับ” อเล็กซ์สรุปในตอนท้าย “เสด็จกลับวูดแลนด์เถอะพ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่”

ซิสยืนกรานปฏิเสธเสียงแข็ง ทำให้เกรย์ที่คอยเงี่ยหูฟังอยู่ด้วยถึงกับหน้าถอดสี เขาแทบจะคุกเข่าลงกับพื้นเพื่ออ้อนวอนหนุ่มน้อยผู้เป็นนาย

“อย่าทรงดื้อสิพ่ะย่ะค่ะ เจ้าชายควรเสด็จกลับวูดแลนด์ได้แล้ว เจ้าหญิงแคธรีนเองก็เช่นกัน ที่นี่ไม่ปลอดภัยพอจะประทับได้อีกต่อไป”

ซิสหูผึ่งเมื่อได้ยินชื่อพี่สาวคนที่สาม เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าแคธรีนก็พักอยู่ในลินเด็น เจ้าหญิงกาอิยาห์ไม่เคยเอ่ยถึงนาง คนอื่นๆ ในปราสาทก็เช่นกัน

“พี่แคธน่ะหรืออยู่ที่นี่ อย่ามาหลอกข้าดีกว่า”

คำพูดนั้นทำให้เกรย์และอเล็กซ์ต้องเหลียวมองหน้ากันเอง

“พวกกระหม่อมจะหลอกพระองค์ไปทำไม ใครๆ ก็รู้ว่าเจ้าหญิงแคธรีนเสด็จมาร่วมงานฉลองวันคล้ายวันพระประสูติของราชาแห่งกรีนแลนด์ แล้วทรงมีพระประสงค์จะประทับอยู่ต่ออีกระยะ ราชาเอลเบอเรธจึงทรงรับไว้เป็นพระราชอาคันตุกะ ตอนที่คนจากกรีนแลนด์นำพระราชสาส์นมาถวายองค์ราชา กระหม่อมก็เข้าเฝ้าอยู่ด้วย” นายทหารหนุ่มยืนยัน

ซิสเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่หนักไปทางครึ่งที่ไม่เชื่อเสียมากกว่า แม้กระนั้นเขาก็ไม่อาจนิ่งนอนใจ เกรย์พูดถูกที่ว่าแคธรีนควรจะกลับวูดแลนด์ไปเสียก่อนที่สงครามจะเกิด ...ถ้าหากว่านางยังอยู่ในลินเด็นจริง

เด็กหนุ่มขยับจะถามต่อให้หายสงสัย ทว่ายังไม่ทันได้อ้าปาก เสียงตะโกนโหวกเหวกของหัวหน้าคนงานก็ดังขัดจังหวะขึ้น ทำให้การสนทนาของเขากับองครักษ์หนุ่มมีอันต้องหยุดชะงักลงเพียงนั้น อเล็กซ์รีบกำด้ามไม้กวาดแล้วทำทีเป็นกวาดพื้นอย่างขันแข็ง ไม่นานนักก็เลี่ยงห่างออกไปจากกลุ่มเช่นเดียวกับเกรย์ เหลือเพียงเด็กหนุ่มที่ยังคงยืนหันรีหันขวางทำอะไรไม่ถูกอยู่ที่เดิม

“เอ้า เจ้าหนู อย่ามัวแต่เหม่อ รีบๆ กวาดเข้า ไม่เห็นหรือว่าใบไม้พวกนี้มันร่วงเกลื่อนถนนไปหมดแล้ว หรืออยากจะให้ข้าไปฟ้องหัวหน้าคอกม้าว่าเจ้ามันใช้งานอะไรไม่ได้” ชายเคราแพะรูปร่างอ้วนใหญ่เดินส่ายอาดๆ เข้ามาชี้นิ้วสั่งด้วยน้ำเสียงวางอำนาจ

ซิสไม่ตอบ เขาเรียนรู้ที่จะข่มอารมณ์ได้นานแล้วจึงเพียงแต่หันหลังให้อีกฝ่าย ก้มหน้าก้มตากวาดใบไม้ไปเงียบๆ ครุ่นคิดเรื่องพี่สาวอยู่ในใจ พอนึกขึ้นมาได้ว่าควรจะลองถามอีกฝ่ายดู เขาก็เอ่ยปากทันที

“พี่ชาย”

หัวหน้าคนงานชะงักฝีเท้า หันกลับมามอง

“มีอะไร”

“ท่านรู้จักเจ้าหญิงแคธรีนมั้ย”

“เจ้าหญิงแคธรีนไหน ที่ลินเด็นนี่ไม่มีเจ้าหญิงที่ทรงพระนามว่าแคธรีนหรอกเจ้าหนู”

“ข้าหมายถึงเจ้าหญิงแคธรีนที่เสด็จมาร่วมงานฉลองวันคล้ายวันประสูติของราชาเอลเบอเรธเมื่อเร็วๆ นี้น่ะ”

ชายร่างใหญ่ลูบเคราแพะของตนพลางขมวดคิ้วทำท่าคิด เพียงครู่เดียวก็ดีดนิ้วดังเปาะ

“เจ้าคงหมายถึงเจ้าหญิงจากวูดแลนด์”

ซิสพยักหน้ารับโดยแรง เขาแทบจะระงับความตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่เมื่อกลั้นใจเลียบเคียงถามต่อ “นั่นละ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าหญิงยังประทับอยู่ที่นี่”

“โฮ้ยยย...” หัวหน้าคนงานลากเสียงพลางโบกมือ

“ฝันกลางวันอยู่หรือไงเจ้าหนู เจ้าหญิงแคธรีนเสด็จกลับวูดแลนด์ไปตั้งนานแล้ว พอจบงานฉลองได้ไม่กี่วันนางก็เดินทางกลับประเทศเหมือนแขกเมืองคนอื่นๆ นั่นแหละ ว่าแต่... เจ้าถามทำไม”

“ไม่มีอะไร ข้าก็แค่ถามดูเท่านั้น”

ซิสแสร้งหัวเราะกลบเกลื่อนแล้วก้มหน้าก้มตากวาดพื้นต่อ ทว่าในสมองกลับเต็มไปด้วยความงุนงงสับสน นั่นเป็นเพราะคำตอบที่ได้รับจากหัวหน้าคนงานช่างตรงกันข้ามกับสิ่งที่เกรย์และอเล็กซ์ยืนยันกับเขาอย่างสิ้นเชิง




แปลก...

ซิสทรุดตัวลงนั่งบนขั้นบันไดหน้าวิหารจันทราพลางยกมือขึ้นกุมขมับ

หลังจากกวาดใบไม้และทำความสะอาดคอกม้าเสร็จเรียบร้อย เขาก็มีเวลาว่างพอจะคิดไตร่ตรองเรื่องพี่สาวได้อีกครั้ง ยิ่งคิดเด็กหนุ่มก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล ไม่ว่าเขาจะเอ่ยปากถามชาวลินเด็นสักกี่คน ก็ได้รับคำตอบที่ตรงกันว่าเจ้าหญิงแคธรีนเสด็จกลับวูดแลนด์ไปนานแล้ว

ถ้าเช่นนั้นเหตุใดทั้งเกรย์และอเล็กซ์ถึงได้มั่นอกมั่นใจนักว่าพี่สาวของเขายังอยู่ในลินเด็น ซ้ำยังกล้าอ้างถึงจดหมายของราชาเอลเบอเรธเสียด้วย จะว่าสองคนนั้นพูดปดก็ไม่น่าใช่ หรือจะว่าชาวลินเด็นพร้อมใจกันโกหกก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่

“โธ่เว้ย มันยังไงกันแน่เนี่ย” ซิสขยี้ผมตัวเองอย่างหงุดหงิด

“ซิส!”

เสียงใสแจ๋วดุจระฆังเงินที่ร้องเรียก ทำให้เด็กหนุ่มต้องลดมือลง เขาอดเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยไม่ได้เมื่อมองเห็นเด็กสาวในชุดกระโปรงพองฟูสีดอกลาเวนเดอร์ที่กำลังวิ่งกระหืดกระหอบตรงมา

“เมลล่ะ”

เจ้าหญิงกาอิยาห์ตั้งคำถามพลางกวาดสายพระเนตรเหมือนจะมองหาเจ้าของชื่อ เมื่อไม่พบจึงเบือนพระพักตร์กลับมาที่ใบหน้างุนงงของเด็กหนุ่มอีกรอบ ตรัสถามซ้ำด้วยน้ำเสียงร้อนรนยิ่งกว่าเดิม

“เมลไม่ได้อยู่กับเจ้าหรอกหรือ”

“เปล่านี่” ซิสส่ายหน้าปฏิเสธ “ข้าเห็นท่านเมลขี่ม้าออกไปนอกปราสาทตั้งแต่เช้าแล้ว”

“ขี่ม้าออกไปนอกปราสาท!” เจ้าหญิงอุทานเสียงดัง พระเนตรโตเท่าไข่ห่าน พระพักตร์ที่เผือดสีอยู่แล้วดูเหมือนจะยิ่งซีดเซียวลงอีก

“ทำไมเจ้าถึงไม่ห้ามเอาไว้”

“อ้าว..” มันเรื่องอะไรที่เขาจะต้องห้าม ซิสยังไม่ค่อยเข้าใจนัก

เด็กหนุ่มมองอาการคล้ายคนหมดเรี่ยวแรงจนต้องทรุดกายลงนั่งบนขั้นบันไดของอีกฝ่ายด้วยความพิศวง

“เป็นอะไรไปล่ะเจ้าหญิง ทำท่าพิลึก”

แทนที่จะได้ยินเสียงแหวกลับมาอย่างทุกครั้ง ซิสกลับได้รับคำตอบที่ฟังดูหมดอาลัยตายอยากชอบกล

“เมลทิ้งพวกเรากลับแลมพ์ตันไปพร้อมเจ้าชายเอเดรียนแล้วน่ะสิ”

“แล้วยังไงล่ะ ท่านเมลเป็นชาวแลมพ์ตันจะกลับแลมพ์ตันก็ไม่เห็นแปลก”

“มันก็ใช่ แต่ข้าไม่คิดว่าเมลจะทิ้งกันไปง่ายๆ ทั้งที่ยัง...ช่างเถอะ” เด็กสาวทิ้งคำพูดค้างไว้แค่นั้น เปลี่ยนอิริยาบถเป็นเงยหน้ามองเด็กหนุ่ม หลังจากนิ่งอยู่ครู่หนึ่งนางก็เอ่ยโพล่งขึ้น

“เจ้าเองก็ไม่ควรจะอยู่ที่นี่เหมือนกันซิส”

“หมายความว่ายังไง”

“เจ้าเป็นชาววูดแลนด์”

คำตอบนั้นทำให้คนฟังเริ่มจะเข้าใจลางๆ ว่าเจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงต้องการบอกอะไร พร้อมกับความเข้าใจก็คือความโมโห

“ข้าเป็นชาววูดแลนด์แล้วยังไง แค่มีข่าวศึกเจ้าก็จะไล่ข้ากลับอย่างนั้นหรือ”

“ข้าเป็นห่วงเจ้านะซิส ถ้าหากเจ้าชายดิเร็กซ์บุกมาถึงเมืองหลวง ลินเด็นก็ไม่ใช่ที่ปลอดภัย ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องพลอยรับเคราะห์ไปด้วย”

คำว่า ‘เป็นห่วง’ ที่หลุดจากปากเด็กสาว กระแทกหัวใจคนฟังอย่างจัง เขาต่างหากที่ควรจะเป็นห่วงนาง เจ้าหญิงกาอิยาห์ยังไม่รู้ว่าบิดาของเขากับราชาคาลอสเตรียมกรีฑาทัพเข้าบดขยี้กรีนแลนด์อยู่เร็วๆ นี้แล้ว แต่กระนั้นซิสก็ยังลังเลที่จะบอกความจริงออกไป

เจ้าหญิงกาอิยาห์เห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบก็พยายามโน้มน้าวต่อ

“เจ้าควรจะรีบออกเดินทางตอนที่ยังทำได้นะซิส ข้าไม่รู้ว่าเจ้าหนีออกจากบ้านเพราะต้องการเรียกร้องความสนใจจากคนในครอบครัวหรืออะไร แต่ตอนนี้วูดแลนด์น่าจะปลอดภัยกว่าที่นี่ ข้าจะขอให้ท่านคาร์ลหาคนพาเจ้าไปส่งจนถึงชายแดนเอง”

ซิสตวัดหางตามองเด็กสาวอย่างขัดใจ เขาไม่ได้หนีออกจากบ้านเพื่อเรียกร้องความสนใจจากคนในครอบครัว หากเป็นเพราะต้องการหลีกหนีจาก ‘ปีก’ ที่คอยกางปกป้องอย่างไร้เหตุผลของบิดาต่างหาก

ราชาไมนาสทรงมีพระโอรสเพียงองค์เดียวในวัยที่ชรามากแล้ว จึงทรงประคบประหงมเลี้ยงดูราวกับไข่ในหิน ซิสเติบโตขึ้นมาท่ามกลางปราการอันแน่นหนาของผู้เป็นบิดา จนไม่มีเด็กคนไหนกล้าเข้าใกล้หรือแม้แต่พูดคุยกับเขา เพื่อนเพียงคนเดียวที่เด็กหนุ่มรู้จักจึงมีเพียงลูคัสซึ่งเป็นครูดาบของเขา แต่แล้วเมื่อซิสเกิดล้มป่วยลงเพราะแอบไปฝึกซ้อมดาบกลางสายฝน ลูคัสก็ถูกราชาไมนาสลงโทษด้วยการประหารชีวิต กว่าซิสซึ่งไข้ขึ้นสูงจนไม่ได้สติจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็สายเกินกว่าจะช่วยชีวิตครูดาบที่เขารักเหมือนพี่ชายแท้ๆ ได้เสียแล้ว ความโกรธผนวกกับความเสียใจผลักดันให้เด็กหนุ่มเลือกที่จะต่อต้านบิดา เขาจึงจงใจทำตัวให้หายไปจาก ‘รังไหม’ อันแน่นหนาที่ราชาไมนาสสร้างขึ้นห่อหุ้มตัวเขาด้วยการหนีออกจากบ้าน และหวังว่าเมื่อไม่มีรัชทายาทแห่งวูดแลนด์ก็คงจะไม่มีผู้ใดถูกลงโทษโดยปราศจากเหตุอันควรอีก คำแนะนำของเจ้าหญิงกาอิยาห์จึงเท่ากับผลักไสให้เด็กหนุ่มกลับเข้าไปอยู่ในกรงขังอีกครั้ง จึงยากนักที่เจ้าตัวจะยินยอม

“ข้าไม่อยากกลับไปที่นั่น” ซิสสารภาพตามตรง เรียกรอยพิศวงให้ปรากฏขึ้นบนดวงตาคู่สวยของคนฟังทันที

“ทำไมล่ะ” เด็กสาวเอ่ยถาม

“ข้ามีเหตุผลของข้า”

“งั้นก็บอกเหตุผลของเจ้ามา”

“เจ้าจะอยากรู้ไปทำไมเจ้าหญิง รู้ไปเจ้าก็ช่วยอะไรข้าไม่ได้อยู่ดี”

เจ้าหญิงกาอิยาห์เริ่มจะหมดความอดทนกับคนท่ามาก จึงทรงงัด ‘ไม้ตาย’ มาใช้ ด้วยการยึดแขนข้างหนึ่งของเด็กหนุ่มเอาไว้แน่น พร้อมกับขู่ว่า

“ถ้าเจ้าไม่บอก ก็นั่งอยู่ด้วยกันตรงนี้แหละ ไม่ต้องไปไหน ข้ายินดีอดมื้อกลางวัน”

ซิสส่ายหน้ามองเด็กสาวอย่างระอา คำขู่แบบเด็กๆ ของนางไม่ได้น่ากลัวเลยสำหรับเขา แต่ความเป็นห่วงอย่างบริสุทธิใจที่สะท้อนออกมาทางดวงตาใสแจ๋วนั่นต่างหาก ที่ทำให้หัวใจแข็งๆ อ่อนยวบ

“ยัยเจ้าหญิงม้าดีดกะโหลกเอ๊ย เคยมีใครเคยบอกมั่งมั้ยว่าเจ้าน่ะนิสัยเสียแล้ว”

“ไม่มีหรอก” เจ้าหญิงกาอิยาห์แย้มสรวลจนพระเนตรหยี ลองซิสพูดแบบนี้ก็แปลว่าพระองค์เป็นต่อ จึงทรงเขย่าแขนอีกฝ่ายอย่างเร่งเร้า แถมยังกล้าออกคำสั่ง

“เล่ามา”

ซิสจำใจเล่าเรื่องที่เป็นสาเหตุให้เขาหนีออกจากบ้านอย่างย่นย่อ ตัดทอนความจริงที่โหดร้ายบางส่วนออกเสียบ้าง และปรับเปลี่ยนฐานะของราชาไมนาสเสียใหม่ให้เป็นเพียงคหบดีธรรมดา ตลอดเวลาที่เขาเล่า เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงพยักพระพักตร์แสดงอาการรับรู้เป็นระยะ ดวงเนตรจ้องเป๋งอย่างจดจ่อราวกับกำลังฟังนิทาน เมื่อเขาเล่าจบ เสียงถอนหายใจก็ดังขึ้น พร้อมกับคำพูดที่เด็กหนุ่มไม่นึกว่าจะได้ยิน

“พ่อของเจ้านี่ รักเจ้ามากเลยนะซิส”

ซิสจ้องมองอีกฝ่ายราวกับเห็นสิ่งมหัศจรรย์

“พ่อข้าเนี่ยนะ เจ้าฟังยังไงกัน จะต้องให้ข้าเล่าซ้ำอีกรอบมั้ยเจ้าหญิง”

เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงพระสรวล มองสหายที่อายุมากกว่าพระองค์สองปีอย่างซุกซน พลางคาดเดาต่อไปว่า

“เจ้าก็คงรักพ่อของเจ้ามากเหมือนกัน แต่ทำปากแข็ง”

“เพ้อเจ้อแล้ว” ซิสมองเมินไปทางอื่น ซ่อนสีหน้าไม่ให้เด็กสาวเห็นความหวั่นไหวบางประการในดวงตาเขา

“ข้าเกลียดพ่อต่างหาก เขามันตาแก่ใจดำเห็นแก่ตัว”

“แต่เขารักเจ้านะซิส ข้อนั้นข้ามั่นใจ ไม่งั้นเขาจะส่งคนมาตามหาเจ้าจนถึงลินเดนสไตน์หรือ”

“นั่นเพราะเขากลัวไม่มีทายาทสืบทอดบัล..เอ๊ย ตำแหน่งประมุขของบ้านต่างหาก”

เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงปล่อยพระหัตถ์ที่ยึดแขนเด็กหนุ่ม ยกขึ้นกอดพระอุระ สะบัดพระพักตร์ไปอีกทางอย่างขัดพระทัย

“เจ้ามันดื้ออย่างนี้ไงล่ะ ถึงไม่มีวันเข้าใจพ่อ”

“เจ้าไม่เคยพบพ่อข้าสักครั้งนะเจ้าหญิง อย่าด่วนสรุปอะไรง่ายๆ” ซิสโต้กลับ

เจ้าหญิงกาอิยาห์ส่ายพระเศียร วางท่าเป็นผู้ใหญ่แนะนำอีกฝ่ายอย่างแก่แดด

“ถึงไม่เคยพบ แต่ฟังจากที่เจ้าเล่ามาทั้งหมด ข้าก็สรุปได้แล้วว่าเจ้ากับพ่อไม่เข้าใจกัน เจ้าเห็นว่าพ่อบังคับตีกรอบเจ้ามากเกินไป ไม่ปล่อยให้เจ้าได้ทำอะไรอย่างอิสระเหมือนเด็กคนอื่นๆ ในขณะที่พ่อของเจ้าก็ทำเกินไปในหลายๆ เรื่องเพราะว่ารักและเป็นห่วงกลัวจะเกิดอันตรายกับเจ้า อย่าลืมสิว่าท่านต้องรอมานานแค่ไหนกว่าจะได้ลูกชาย เจ้าควรจะกลับไปวูดแลนด์ กลับไปหาพ่อของเจ้า พูดกับท่านตรงๆ ว่าเจ้าต้องการอะไร ข้าเชื่อว่าไม่มีพ่อที่ไหนจะไม่ฟังคำขอของลูกหรอก”

“มีสิ ก็พ่อข้านี่ไง”

“เจ้ามันก็เป็นซะอย่างนี้ ไม่เอาละ พูดกับเจ้าแล้วปวดหัว ข้าไปดีกว่า เจ้าอยากจะอยู่เสี่ยงอันตรายในลินเด็นต่อไปก็เชิญ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นอย่ามาร้องไห้ขี้มูกโป่งให้ข้าช่วยก็แล้วกัน”

ว่าแล้วเด็กสาวก็ลุกขึ้นสะบัดหน้าเดินจากไป ทิ้งให้อีกฝ่ายนั่งจมอยู่กับความคิดของตนตามลำพัง




ความมืดค่อยโรยตัวลงห่มคลุมปราสาทลินเด็นอย่างแช่มช้า ตามตำหนักและเรือนบริวารต่างๆ เริ่มมีแสงสีเหลืองนวลจากคบไฟปรากฏให้เห็นประปราย ทว่าภายในห้องทรงพระอักษรของราชาแห่งกรีนแลนด์กลับมืดสลัว ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องประทับอยู่เพียงลำพังบนพระเก้าอี้ ทอดพระเนตรออกไปยังท้องฟ้าสีครามเข้มนอกหน้าต่าง พระศอพาดกับพนักพิง พระหัตถ์ที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือหมุนกระปุกหมึกอันแป็นแก้วเจียระไนเล่นอย่างเลื่อนลอย พระองค์ประทับอยู่เช่นนั้นนานเท่าใดไม่มีผู้ใดรู้ จนกระทั่งเจ้าชายกันนาร์เสด็จมาเห็นเข้า จึงอุทานลั่น

“ประทับอยู่อย่างไรมืดๆ ทำไมไม่เรียกเฟรดเข้ามาจุดเทียนล่ะพ่ะย่ะค่ะ”

ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวยังจัดการสั่นกระดิ่งเงินที่วางอยู่บนโต๊ะมุมห้องเรียกมหาดเล็กให้มาจุดเทียนขี้ผึ้งถวาย เพียงครู่เดียวแสงสว่างนวลตาก็สาดกระจายไปทั่ว เผยให้เห็นห้องกว้าง ผนังโดยรอบเรียงรายไปด้วยตู้ใส่หนังสือสีน้ำตาลแดงสูงท่วมศีรษะ สลับกับหน้าต่างบานยาวกรุกระจกใสแจ๋วประดับม่านกำมะหยี่เนื้อหนาสีน้ำเงินเข้ม มีเกลียวไหมสีอ่อนปลายประดับพู่รวบแบ่งเป็นสองไข กึ่งกลางห้องปูพรมกำมะหยี่สีเดียวกับผ้าม่าน ทอเป็นลวดลายดอกไม้สีแดงสดสลับดำและขาว เหนือผืนพรมวางเก้าอี้ยาวทำด้วยไม้แกะสลักหุ้มทองบุนวมนุ่มสองตัว คั่นกลางด้วยโต๊ะไม้ขัดมันตัวเล็กขาแกะสลักหุ้มทองเช่นเดียวกัน ลึกเข้าไปด้านในสุดเป็นที่ตั้งของโต๊ะเขียนหนังสือทรวดทรงเทอะทะแบบโบราณ

‘สภาพ’ ของราชาหนุ่มในฉลองพระองค์ยับยู่ยี่ที่ประทับอยู่หลังโต๊ะตัวนั้น ทำให้เจ้าชายกันนาร์อดเป็นห่วงไม่ได้ จึงทูลถามขึ้น

“มีอะไรไม่สบายพระทัยหรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ หรือว่าทรงกังวลเรื่องการศึก”

ไม่มีเสียงตอบ

“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าชายหนุ่มออกจะตกพระทัยจริงจังที่เห็นพระอาการนิ่งเฉยของอีกฝ่าย จนเกือบจะร้องเรียกให้มหาดเล็กไปตามหมอหลวงอยู่แล้ว ก็พอดีพระสุรเสียงแหบห้าวดังขึ้นเสียก่อน

“ข้าไม่ได้เป็นอะไร”

“แล้วทำไมประทับอยู่องค์เดียวมืดๆ” ผู้เป็นพระสหายบ่นงึมงำพลางส่ายหน้า รู้สึกไม่สบายใจที่เห็นราชาหนุ่มในลักษณะที่ต่างไปจากทุกที แม้จะไม่ใช่หนุ่มสำอาง หากราชาเอลเบอเรธก็ไม่เคยปล่อยพระองค์ให้ดูแย่เช่นนี้ ต้องมีอะไรบางอย่างรบกวนพระทัยอยู่เป็นแน่

“กันนาร์”

“พ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้ารู้ใช่มั้ยว่าท่านเมลตามเสด็จเจ้าชายเอเดรียนกลับแลมพ์ตันไปแล้ว”

“พ่ะย่ะค่ะ”

เงียบไปอึดใจใหญ่ ราชาหนุ่มจึงตรัสขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นคำถามที่ทำให้เจ้าชายกันนาร์แทบจะอ้าพระโอษฐ์ค้าง

“เจ้าเคยหลงรักผู้หญิงที่มีเจ้าของอยู่แล้วบ้างมั้ย”

“ไม่เคยหรอกพ่ะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มทูลตอบตามตรง

“งั้นข้าขอถาม ถ้าเจ้าเกิดหลงรักผู้หญิงสักคนหนึ่ง แล้วมารู้ทีหลังว่านางมีคู่หมั้นอยู่ก่อน เจ้าจะทำอย่างไร”

“แหม กระหม่อมก็ไม่เคยมีประสบการณ์ตรงเสียด้วย ถ้าเป็นเจ้าชายเอเดรียนคงจะถวายคำตอบได้ดีกว่า”

พระนามนั้นดุจหนามแหลมทิ่มแทงพระกรรณ ทำให้ดวงพักตร์หล่อเหลาขมวดบึ้งทันที

“กันนาร์ ข้าถามเจ้า ไม่ต้องเอ่ยถึงผู้อื่น”

เจ้าชายหนุ่มทำท่าคิด

“เอ ถ้าเป็นกระหม่อม ก็คงจะต้องดูก่อนกระมังพ่ะย่ะค่ะว่าผู้หญิงคนนั้นรักกระหม่อมหรือเปล่า ถ้านางรักกระหม่อม แต่ไม่ได้รักชายที่เป็นคู่หมั้น กระหม่อมก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้นางมาครอบครอง”

“แล้วถ้านางเกิดรักชายที่เป็นคู่หมั้นล่ะ”

“ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมก็คงต้องปล่อยนางไปพ่ะย่ะค่ะ”

คำตอบของเจ้าชายกันนาร์ทำไห้คนฟังนิ่งอั้น ...ไม่มีทางเป็นไปได้หรอกที่คนเราจะตัดใจเลิกรักใครได้ง่ายดายเหมือนกับตัดเชือกเช่นนั้น

“แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่านางรักใครกันแน่”

“อ้าว ก็ต้องทรงถามนางสิพ่ะย่ะค่ะ ของแบบนี้” ชายหนุ่มมองหน้าผู้เป็นทั้งเพื่อนและนายด้วยความรู้สึกกึ่งขันกึ่งรำคาญ หากก็อดซักไม่ได้

“ฝ่าบาททรงหลงรักใครอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ”

เท่านั้นดวงพักตร์คมเข้มก็แดงก่ำตลอดพระศอ พระหัตถ์คว้ากระปุกหมึกที่ทรงหมุนเล่นเงื้อง่าทำท่าจะขว้างใส่คนถาม ซึ่งรีบกระโดดหลบแทบไม่ทัน

“โอ๊ะ กระหม่อมถามเพราะอยากช่วยนะพ่ะย่ะค่ะ เรื่องอะไรจะทรงทำร้ายร่างกายกัน”

“ข้าจะรักใครมันเรื่องของข้า เจ้าไม่ต้องแส่มาอยากรู้ ความผิดของเจ้าข้ายังไม่ได้ชำระเลยนะ”

“ความผิดเรื่องใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าชายกันนาร์ทูลถามอย่างพาซื่อ แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินคำตอบจากพระโอษฐ์

“เรื่องที่เจ้ากับน้องสาวช่วยกันปกปิดความจริงว่าท่านเมลเป็นผู้หญิงและเป็นคู่หมั้นของเจ้าชายเอเดรียนไงล่ะ”

“ทร..ทรงทราบ!”

ราชาหนุ่มตวัดหางพระเนตรมองหน้าสหายก่อนเมินไปทางอื่น “ใช่ น้องสาวของเจ้าเพิ่งสารภาพให้ข้าฟังเมื่อตอนบ่ายนี่เอง”

“ระ เรื่องนั้น เอ่อ...กระ...กระหม่อมอธิบายได้นะพ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่ต้องอธิบายแล้ว เจ้าเตรียมตัวรับโทษเถอะ”

ระหว่างที่เจ้าชายกันนาร์พยายามส่งเสียงโอดครวญขอความเห็นพระทัย ราชาเอลเบอเรธก็ทรงร่างจดหมายฉบับหนึ่ง พับใส่ซองปิดผนึก หยดครั่งแล้วประทับตราประจำพระองค์ ทรงยื่นส่งให้ชายหนุ่มพร้อมกับออกคำสั่งว่า

“เจ้าจะต้องเดินทางไปแลมพ์ตันเพื่อถวายจดหมายฉบับนี้ให้ราชาซาเรีย ไม่ใช่ถวายเฉยๆ นะกันนาร์ เจ้าจะต้องเกลี้ยกล่อมพระองค์ด้วย ทำอย่างไรก็ได้ให้ราชาซาเรียทรงส่งกองทัพมาช่วยกรีนแลนด์ โดยมีเจ้าชายเอเดรียนเป็นผู้นำทัพ”

“ทำไมต้องเจ้าชายเอเดรียนพ่ะย่ะค่ะ”

ดวงเนตรคมปลาบตวัดมองหน้าคนขี้สงสัยทันที ตามมาด้วยคำตอบห้วน สั้น แต่ชัดเจน

“ไม่ต้องถาม ข้าสั่งให้ทำอะไรเจ้าก็ทำไปตามนั้นแหละ อ้อ.. แล้วอย่าลืมว่าต้องสำเร็จด้วยนะกันนาร์”
ชายหนุ่มเจ้าของชื่ออยากจะแย้งว่าคงไม่มีทางสำเร็จง่ายๆ หรอก แต่หากล้าอ้าปากไม่ เขาถวายคำนับเพื่อทูลลาประมุขแห่งกรีนแลนด์ไปเตรียมตัว ทว่ายังเดินไม่ทันถึงประตูห้อง พระสุรเสียงห้าวๆ ก็เรียกไว้เสียก่อน

“กันนาร์”

ชายหนุ่มหันกลับไปตามเสียงเรียก “พ่ะย่ะค่ะ”

“เสร็จเรื่องแล้วก็รีบกลับมาล่ะ อย่ามัวไปเถลไถลคุยกับใครเข้าใจมั้ย”

“ทรงหมายถึงพี่เกลด้าหรือพ่ะย่ะค่ะ”

เสียงย้อนถามซื่อเท่าสีหน้า แต่พอเห็นราชาเอลเบอเรธทรงคว้ากระปุกหมึกทำท่าจะขว้างมาอีกรอบ คนถามก็เผ่นแผล็วออกประตูไปโดยไม่รอฟังคำตอบ



angelK
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 พ.ย. 2556, 23:57:22 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 พ.ย. 2556, 23:57:22 น.

จำนวนการเข้าชม : 1598





<< ตอนที่ 24   ตอนที่ 26 >>
ree 17 พ.ย. 2556, 01:41:56 น.
พี่เกลด้าคือใครหนอ


angelK 17 พ.ย. 2556, 09:31:56 น.
พี่เกลด้าคือพี่สาวของเจ้าชายกันนาร์กับเจ้าหญิงกอิยาห์ ที่ไปแต่งงานกับเจ้าชายรัชทายาทแห่งแลมพ์ตันค่ะ (เป็นตัวประกอบที่มีแต่ชื่อไม่มีบทค่ะ 555)


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account