เงื่อนเสน่หา
ความผูกพันที่ทำให้เขาและเธอได้เจอกัน เกมชีวิตที่ใครบางคนลิขิตไว้ เธอ อยู่เพื่อ ดูแลเขาด้วยชีวิต เขา อยู่เพื่อ ค้นหาบางอย่าง ปมแค้นทำให้เธอได้เจอเขา และ ปมเสน่หา ทำให้เขาได้เจอเธอ
Tags: เงื่อนเสน่หา คีตา

ตอน: บทที่ ๓ ผู้ต้องหา(แก้ไข)

บทที่ ๓

ผู้ต้องหา



เสียงฝีเท้าที่ค่อยๆ เดินลงไปตามบันไดหนีไฟ ดวงตาสวยกวาดสายตามองไปตามราวบันได เรื่อยๆเพื่อหาสิ่งผิดปกติ ศีรณาคิดได้ระหว่างที่ขึ้นลิฟท์กลับกลับห้องพัก เธอนึกขึ้นได้ว่าตัวฆาตกรอาจจะไม่ได้กลับทางเดิมซึ่งหมายถึงว่า ไม่ได้เข้าลิฟท์แต่อาจจะลงบันไดหนีไฟแทน

“มาทำอะไรที่นี่แต่เช้าวะครับ หมวดศี”ดุลวัตถามพร้อมกับทรุดตัวลงนั่งที่ขั้นบันได มองหญิงสาวสำรวจราวบันไดเหล็กต่อไป ถ้อยคำหยอกล้อนั้นทำให้ศีรณาอมยิ้ม

“คิดว่า คนร้ายน่าจะหนีมาทางบันไดหนีไฟ”

“รู้ได้ยังไง”

“นั่งดูภาพในกล้องวงจรปิด แล้วหาจุดที่น่าสงสัยไม่เจอ กล้องมีเฉพาะในลิฟท์กับมุมทางเดินของชั้น แล้วเมื่อคืนก็คิดได้ว่า ถ้าฉันจะหนีตำรวจหลังจากฆ่าคน ฉันควรหนีไปทางไหน เลยคิดได้ว่า ทางหนีไฟน่าจะเหมาะที่สุด”

“นั่นสินะ ลืมไปได้ยังไง แล้วหมวดเจออะไรผิดปกติหรือยัง”

“นี่ไง” เธอบอกพร้อมชี้มาที่ราวบันไดเปื้อนรอยแดงๆ ลากยากไปไม่มาก เธอคิดว่าคนร้ายอาจจะเผลอจับราวบันไดระหว่างวิ่งลง ตามความเคยชินของคนทั่วไป

“น้ำหมากหรือเปล่า” คำค้านนั้นทำให้ศีรณาหัวเราะพรืดออกมาอย่างอดไม่อยู่

“จะบ้าเรอะ! คุณยายที่ไหนจะมานั่งเคี้ยวหมากที่บันไดหนีไฟในโรงแรมละ มั่ว”

“อ้าว ก็ต้องหาเหตุผลมาแย้ง เหมือนอย่างที่หมวดพยายามแย้งว่านายเชนไม่เกี่ยวกับคดีนี้ทั้งๆ ที่ น่าจะเกี่ยวอยู่ไม่น้อย”

“เรายังไม่มีหลักฐาน กล่าวหาคนลอยๆ ได้ยังไงละ” เธอให้เหตุผลแม้จะรู้ว่าดุลวัตต้องการที่จะบอกอะไรเธอ

เสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมกับทีมพิสูจน์หลักฐาน ศีรณาชี้ให้พวกเขาดูร่องรอยต่างๆ เพื่อเก็บหลักฐานเพิ่มเติม ก่อนจะขอตัวออกมาพร้อมกับดุลวัตระหว่างที่เดินนออกมาถึงลานจอดรถ อยู่ดีๆดุลวัตก็หยุดกึก สีหน้าเคร่งอย่างที่ไม่ค่อยจะได้เห็นมากนัก ศีรณาหันกลับมามองเขาด้วยแววตาสงสัย

“แต่ผมว่า...หมวดไม่ได้ทำเพราะเรื่องกล่าวหาลอยๆหรอก เรื่องนี้มันกวนใจผมมาก ถึงจะคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ความรู้สึกของผมก็บอกว่าไม่น่าจะใช่ บอกผมได้ไหมว่าทำไมหมวดอยู่คอนโดเดียวกับนายเชน”

หญิงสาวถอนหายใจแผ่วเบา จ้องตาเพื่อนร่วมงานก่อนจะแสร้งหัวเราะ “เฮ้ย จริงจังไปได้ มันก็แค่เรื่องบังเอิญเท่านั้นแหละ”

“หมวดแน่ใจว่าต้องการตอบอย่างนี้จริงๆนะ” เขาถามย้ำ ดวงตาคู่นั้นยังคมเข้ม แทบไม่ยอมกระพริบเสียด้วยซ้ำศีรณายิ้มเจื่อนลงเล็กน้อย

“คนเราทุกคนต่างก็มีความลับที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้...หมวดจุนก็คงเหมือนกัน ไม่ใช่เหรอ” น้ำเสียงเย็นเฉียบ เพียงเสี้ยววินาทีศีรณาหัวเราะออกมา

“แหม หมวดจุน ฉันจะไปคลั่งดาราจนถึงขั้นมาพักที่เดียวกันกับเขาเชียวเหรอ บ้าไปแล้ว”

หญิงสาวเดินนำออกไปถึงรถของหน่วย ดุลวัตซึ่งยืนนิ่งอึ้งอยู่นั้นค่อยๆ ก้าวตามไป สีหน้ายังคงเคร่งเครียดด้วยความเคลือบแคลงสงสัย

...ทำได้ดีศีรณา...ยิ้มให้เหมือนกับไม่มีอะไร

แก้วเซรามิกสีขาวขุ่นถูกวางลงบนจานรองหลังจากชายหนุ่มจิบเครื่องดื่มสีน้ำตาลเข้มภายในแก้วนั้นเล็กน้อย สายตาเขายังคงทอดยาวไปยังทิวทัศน์ของตึกสูงใหญ่ตรงหน้า มันไม่ได้สวยงามพอให้รู้สึกผ่อนคลายแต่ก็ดีกว่าการอุดอู้อยู่ในห้องพักเพียงอย่างเดียว ชวินจัดการแซนวิชที่ทำเองนั้นกัดได้เพียงสองคำก็ต้องวางลง เสียงประตูห้องเปิดออกพร้อมกับร่างสูงใหญ่ของอังกูรที่ก้าวฉับๆ มาถึงระเบียงห้องหรู

“เชน...” น้ำเสียงเหมือนเงียบไปทำให้นักร้องหนุ่มหันกลับไปมองหน้าผู้จัดการ ที่บัดนี้ทำหน้าเคร่งเครียดเอาการ “วันนี้ตอนบ่าย พี่ยกเลิกตารางทุกอย่างให้วงเราไปให้ปากคำกับตำรวจที่โรงพักนะ”

“ทำไมพวกเราต้องไปด้วย นี่พวกเราไปเกี่ยวกับการตายของเจี๊ยบงั้นเหรอ”

“มันไม่แน่ไม่ใช่เหรอเชน” น้ำเสียงของอังกูรปนอารมณ์บางอย่างจนเสียงสั่นเล็กน้อย

ชวินถอนหายใจแผ่วเบา “ได้ครับ เดี๋ยวผมขับรถไปเอง แล้วพี่มาหาผมเพื่อบอกเรื่องนี้เท่านั้นเหรอครับ”

อังกูรเม้มปากแน่น จ้องเข้าไปในดวงตาคมของชวิน “มีเรื่องที่พี่อยากถามเชนต่อหน้า พี่ถามจริงๆ เชนเคย...เคยมีอะไรกับ...เจี๊ยบหรือเปล่า”

“พี่โอมผมยืนยันได้ว่า ผมไม่มีทางทำอะไรเจี๊ยบแน่ๆ พี่เชื่อผมเถอะ” เขายืนยันหนักแน่น อังกูรเป็นฝ่ายถอนหายใจบ้าง

“พี่รักแกเหมือนน้องชายนะเชน...แต่พี่ก็กลัวว่า ความไว้ใจของพี่มันจะกลายเป็นหอกทิ่มแทงทำร้ายตัวพี่เอง เมื่อวานตำรวจโทร.มาบอกพี่ว่า บางทีคนในวงอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของเจี๊ยบ พี่ใจเต้นรัว กลัวว่า...มันจะเป็นเรื่องจริง”

“พี่โอม...”

“เอาเถอะ พี่ต้องไปจัดการงานที่บริษัทก่อนจะเข้าไปรอที่โรงพัก แล้วเจอกัน” อังกูรตัดบทก่อนจะก้าวฉับๆ ออกไปจากห้องพักของชวิน

ชายหนุ่มที่ยังนั่งอยู่ที่เดิมกลับเป็นฝ่ายหนักใจแทน เขาปฏิเสธไม่ได้ทั้งหมดว่าไม่เกี่ยวข้องกับนันทิดา หลายครั้งที่เผลอไปกับน้ำเสียงหวานอ้อนวอนให้เขาทำตาม นันทิดาเป็นเด็กสาวขี้อ้อนแต่ในคำออดอ้อนเหล่านั้นก็เหมือนมีรอยกร้านชีวิตอยู่ไม่น้อย สิ่งที่เขาทำกับนันทิดามีเพียง คำสอน ที่อยากให้เธอก้าวไปในทางที่ถูกที่ควร ทว่าบางครั้งเขาก็เหมือนมีอารมณ์ที่รำคาญความงี่เง่าของนันทิดาเช่นกัน



เสียงกริ่งดังไปทั่วโรงเรียนสตรี เป็นการบ่งบอกเวลาเรียนในคาบแรก ทว่านักเรียนจากห้องเรียนหนึ่งหนึ่งกลับต้องนั่งรอเป็นแถวอยู่หน้าห้องครูใหญ่เพื่อรอการสอบถามจากนายตำรวจ ดุลวัตให้เด็กเข้ามาทีละห้าคนเพื่อความรวดเร็ว โชคดีที่ห้องนี้มีเพียงสามสิบคนเท่านั้น

ศีรณาแอบสังเกตเด็กสาวๆ เหล่านั้นอยู่เงียบ เธอจำไม่ได้แล้ว่า สมัยเรียนมัธยมเธอเป็นอย่างไรบ้าง เพราะในใจเธอมีเรื่องที่ยิ่งใหญ่และหนักมากจนลืมไปแล้วว่าตัวเองอยากเป็นอะไรกันแน่ เธอจำได้แค่ว่า ในวัยที่แสนสดใส เธอพยายามทำตัวให้มีความสุขมากที่สุด มีเพื่อนรายล้อมมากมาย ผิดกับมาลีหลานสาวตาอุ่มที่อยู่บ้านเดียวกัน มาลีเป็นคนเงียบขรึม เรียบร้อย แต่มีเพื่อนน้อย

‘รณาต่างจากฉันทุกอย่างเลย เรียนเก่ง เพื่อนเยอะแล้วยังมีเงินมากพอจะเรียนจบตรีอีก’ น้ำเสียงเหมือนน้อยอกน้อยใจในชะตาชีวิตของมาลีซึ่งหลุดปากพูดออกมาในคืนหนึ่งที่เธอติวหนังสือให้

ตอนนั้นเธอไม่ได้คิดและเอะใจ แค่ยิ้มบางส่งให้โดยไม่รู้ว่า มาลีคิดว่าตัวเองด้อยกว่าใครอื่นอยู่ตลอดเวลา จนวันหนึ่ง...เธอได้พบความรักที่ทำให้เธอตัวใหญ่ มีทุกอย่างเหมือนคนอื่น...ทว่ามันกลับเป็นเพียงแค่สายลมที่พัดมาเพียงวูบเดียวเท่านั้น

เธออยากบอกมาลีเสมอว่า...ภาพที่เห็นเธอสดใสในตอนนั้น มันเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้นเอง...

ปลายปากกาลูกลื่นสะกิดที่มือของเธอเบาๆทำให้ศีรณาสะดุ้งเล็กน้อย ตื่นจากภวังค์ความคิดในอดีต หันกลับมามองปัจจะบันอีกครั้ง ดุลวัตเหล่เหลือบส่งสายตาเข้มๆมาให้ หญิงสาวจึงยิ้มกลับไปแทน

“พอจะรู้ไหมว่า ใครในห้องบ้างที่สนิทกับนันทิดา” ดุลวัตถามขึ้นเพื่อทำให้กรอบการสอบพยานลดลงไปบ้าง

“เจี๊ยบไม่ค่อยสนิทกับใครในห้องหรอกค่ะ เธอเป็นคนหยิ่ง ถือว่าตัวเองรวย แถมรู้จักดารานักร้องดังตั้งหลายคน เลยทำตัวเหมือนคนละชั้นกับพวกเรา” หนึ่งในเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งเล่าด้วยสีหน้าไม่ใคร่จะชอบใจนัก

“ใช่ค่ะ เจี๊ยบทำตัวเหมือนพวกเราเป็นเบ๊เธอ ทั้งๆ ที่เธอก็ไม่ได้ดีเด่นไปกว่าเราสักนิด”

“แล้ว...เขาไม่เคยเล่าเรื่องตัวเองให้ฟังบ้างเหรอ” ศีรณาถามพลางสังเกตสีหน้าของเหล่าสาวๆ

“เล่าแต่เรื่องที่เธอสนิทกับพี่เชน บอกว่าไปโน่น ทำนี่ด้วยกันตลอด ทำเหมือนว่าพี่เชนเป็นแฟนเธออย่างนั้นแหละ ทั้งๆที่พี่เขาก็ประกาศออกมาแล้วว่ากำลังคบอยู่กับเจน”

“ใช่ เธอชอบทำตัวเหมือนแฟนพี่เชน เอาของพี่เชนมาอวดตลอด บางทีก็เอารูปคู่มาอวดกับพวกเรา อ้อ...นี่คะ ฉันเก็บไว้อยู่” อีกเสียงหนึ่งยืนยันพร้อมกับค้นหารูปถ่ายที่บอกนั้นภายในกระเป๋าแต่เกือบนาทีก็ยังไม่เห็นสิ่งที่หาอยู่

“หายไปไหนนะ จำได้ว่าเก็บไว้ในกระเป๋า” เธอบ่น สีหน้ายุ่ง

“ไม่เป็นไร ถ้าไม่เจอ แต่ถ้าเจอค่อยเอาให้ครูใหญ่ฝากไว้ให้พี่ก็แล้วกัน” ศีรณาบอกเพราะดูเวลาแล้วคงต้องรีบกลับไปที่โรงพักเสียก่อน

“หรือว่าแกทำหายที่ร้านอาหาร”

“นั่นสิ จำได้ว่าพวกเราเอามาคุยกันว่าเป็นรูปจริงหรือเปล่า คุยกันเสียงดังมากจนโต๊ะข้างๆ หันมามอง” เสียงของเพื่อนนักเรียนคนหนึ่งกล่าวอย่างขบขัน ศีรณาเหลือบมองเด็กสาวเหล่านั้นด้วยความประหลาดใจ แววตาสงสัยนั้นวาบขึ้นเป็นระยะ ในสิ่งที่พวกเธอเล่า

มันแปลก...ความรู้สึกข้างในของเธอ บอกอย่างนั้น



หญิงสาวเปิดประตูห้องรับรองเข้าไปก็เห็นกลุ่มแขกภายในห้อง สมาชิกของวงไฟท์ และอีกหนึ่งคนนั้นนั่งใกล้กับสารวัตรโกศลซึ่งเธอไม่รู้จักว่าเขาเป็นใคร

“อ้อ มาพอดี ผมขอแนะนำก่อนนะครับ หมวดรณา เป็นคนที่รับผิดชอบคดีนี้ร่วมกับหมวดดุลวัต ส่วนหมวดคงรู้จักวงไฟท์แล้ว และนี่ก็คุณอังกูรผู้จัดการของวงครับ” สารวัตรแนะนำ ตำรวจหญิงยกมือไหว้ผู้จัดการนักร้องก่อนจะหันไปมองสมาชิกวงร็อคทั้งสี่คนนั้น เธอเพียงแต่ยิ้มให้คนเหล่านั้นแล้วหันกลับมาทางสารวัตรโกศล

“ห้องเรียบร้อยแล้วค่ะ” เธอบอก

“งั้น ผมขอเชิญคุณเชนให้ปากคำก่อนนะครับ” โกศลหันไปบอกนักร้องหนุ่มแต่กลับทำให้เพื่อนร่วมวงทำหน้าประหลาดใจยิ่งขึ้น

“ทำไมต้องสอบแยก ที่คุยกันเมื่อครู่นี่ละ”พัชเป็นคนที่โพล่งถามขึ้นมาด้วยความสงสัยก่อนเพื่อน

“สอบแยกน่าจะดีกว่าคุยกันแบบรวมๆ น่ะค่ะ” ตำรวจหญิงบอกยิ้มๆเพื่อไม่ให้ดูน่าสงสัย

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่มีอะไรปิดบังอยู่แล้ว” ชวินว่าพลางลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเดินตามตำรวจหญิงออกไป ศีรณานั้นหันกลับมาจ้องหน้าอังกูรอีกครั้งเหมือนกับเพิ่งนึกอะไรบางอย่างได้

“คุณหยุดทำไม มีอะไรหรือเปล่า” ชวินถามน้ำเสียงแปลกใจเหมือนเห็นว่าอยู่ดีๆ หญิงสาวก็หยุดกึกหันขวับไปมองอังกูร

“เปล่าค่ะ ตามมาเลยค่ะ” เธอหันมายิ้มให้หลังจากตอบเสร็จ ชวินขมวดคิ้วประหลาดใจกับคำตอบและท่าทีของเธอซึ่งมันขัดกัน ระหว่างที่เดินไปยังห้องสอบปากคำชายหนุ่มทำหน้าเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างก่อนจะเร่งฝีเท้าเข้ามาดักหน้าหญิงสาวไว้

“ผมว่า...ผมคุ้นหน้าคุณมาก เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า”คำทักนี้ทำเอาหญิงสาวตกใจ แอบลุ้นว่าเขาจะจำเธอได้ หัวใจเต้นแรงขึ้นแต่ความรู้สึกนั้นถูกกดทับไว้ด้วยรอยยิ้มและดวงตาว่างเปล่าแทน

“ไม่รู้สิ คุณคิดว่าคุณเคยเจอฉันที่ไหนมาก่อนละ”เป็นคำถามหยั่งเชิง สีหน้าของเธอกำลังรอคำตอบด้วยลุ้นอยู่ในใจ

“เหมือน...เหมือน...” เขายังคงทำหน้านึก

นานแล้ว...เขาจะจำได้แน่เหรอ?...

“รีบเข้าห้องสอบปากคำดีกว่าค่ะ กว่าที่คุณจะนึกได้ ก็หมดเวลาแล้ว” เธอตัดบทนึกไม่อยากรู้เอาเสียดื้อๆ หรือบางที อาจจะกลัวคำตอบมากกว่า

“ผมจำได้แล้ว...คุณ...อยู่คอนโดเดียวกับผมใช่ไหม เราเจอกันในลิฟท์บ่อยๆ แต่ไม่เคยคุยกันเลย”

...จำป้านายไม่ได้เหรอ?

“ถือว่าคุณความจำดีเหมือนกัน”เธอว่าทั้งแสร้งยิ้ม

“แปลกดีนะ ที่พอจะรู้จักกันก็เป็นเรื่องไม่ดีเท่าไหร่”เขาบอกด้วยความรู้สึกขบขัน แม้จะเป็นอย่างนี้แต่เขาก็รู้ตัวดีว่าไม่ค่อยได้ทักทายใครนัก แม้แต่คนที่อยู่คอนโดเดียวกัน นอกจากยามและพนักงานด้านล่างแล้ว

“ส่วนใหญ่คนที่รู้จักฉัน...ก็ไม่ค่อยมีเรื่องดีๆให้จำหรอกค่ะ” เธอกล่าวทั้งเปิดประตูให้เขาเข้าไปในห้อง

ชวินนั่งลงบนเก้าอี้กลางห้อง ตรงข้ามเป็นดุลวัต นายตำรวจหนุ่มยิ้มให้ก่อนจะเริ่มการสอบปากคำ

“สวัสดีครับคุณเชน ผมหมวดดุลวัต จะขอรบกวนสอบถามคุณไม่นานนะครับ”

“ได้ครับ ไม่มีปัญหา”

“คุณกับคุณนันทิดาคบหากันในฐานะอะไรเหรอครับ”

“เจี๊ยบ เป็นเหมือนน้องสาวครับ ผมนับถือพี่โอม ผู้จัดการน่ะครับ ผมรู้จักเจี๊ยบมาตั้งแต่ตอนที่เริ่มเข้าวงการใหม่ๆ ตอนนั้นวงไฟท์เพิ่งประกวดวงดนตรีหน้าใหม่ชนะ ค่ายเพลงก็หันมาสนใจเรามากขึ้น หลายค่ายติดต่อเราแต่ พวกเราเลือกที่นี่ครับ เจอกับเจี๊ยบวันแรกที่เข้าไปห้องอัด เธอมารอพี่ชายแล้วเราก็เริ่มคุยกันตอนนั้น มันผ่านมาหกปีแล้วมั้ง”

“แสดงว่าตอนนั้นคุณนันทิดาก็เพิ่งสิบสองเอง คุณแก่กว่าเธอตั้งเยอะ”

“ครับ ผมถึงได้รู้สึกกับเธอแค่พี่ชายกับน้องสาวเท่านั้นเอง”

ดุลวัตพยักหน้ารับ ทำเหมือนเข้าใจสิ่งที่ชวินพูด “ผมเห็นรูปของคุณนันทิดาหลายรูป เธอโตขึ้นแล้วสวยนะครับคุณไม่คิดอย่างนี้บ้างเหรอ

"หมวดคิดว่า ผมจะใจอ่อนไปกับความสวยของเจี๊ยบอย่างนั้นเหรอ” ชวินถามกลับอย่างไม่เข้าใจ ดวงตาคมคู่นั้นเหมือนกร้าวประท้วงด้วยความโกรธอยู่ลึกๆ “ถึงผมเป็นผู้ชายแต่ผมก็เลือกที่จะรักหรือไม่รักใคร ผมมีแฟนอยู่แล้ว”

“ครับ ผมเห็นข่าว กับดาราสาวสวย เจนจิรา” ดุลวัตตอบรับก่อนจะยื่นถุงหลักฐานให้ชายหนุ่มดู “ใช่ลายมือคุณหรือเปล่า ดูเหมือนคุณจะนัดเจอเธอในคืนวันเกิดเหตุนะครับ”

ชวินรับถุงพลาสติกที่เก็บโพสต์อิทสีเหลืองนั้นมาดู ลายมือหวัดนั้นทำให้นักร้องหนุ่มขมวดคิ้ว ริมฝีปากเม้มอย่างคนกำลังใช้ความคิด “ไม่ใช่ ไม่ใช่ลายมือผม”

“แต่มันลงชื่อว่าเป็นคุณ”

“ไม่ใช่ คืนนั้นผม...” ชวินชะงักกึกเหมือนพยายามชั่งใจว่าควรพูดดีหรือไม่ ดุลวัตกระตุกยิ้ม

“บอกมาสิครับว่าไปที่ไหน มีคนยืนยันที่อยู่คุณได้ไหม” ดุลวัตถามย้ำ เหมือนพยายามต้อนให้นักร้องหนุ่มจนมุม ศีรณาที่นั่งอยู่มุมห้องจ้องคนทั้งคู่ด้วยสายตาเย็นเฉียบ เธอเห็นดุลวัตหันมาสบตาเธอ หญิงสาวรู้ว่าเขาไม่ได้ส่งสายตามาส่งสัญญาณอะไร แต่เขาต้องการจะดูปฏิกิริยาของเธอต่างหาก

“ผม...ผมอยู่ที่ห้องของเจน” คำตอบนั้นยิ่งทำให้นายตำรวจหนุ่มหันมาสบตาศีรณาแทบจะทันที ทว่าศีรณาไม่ได้แสดงท่าทีอาการใดให้เขาเห็น ดูนิ่งเงียบเหมือนอย่างทุกครั้งที่สอบปากคำผู้ต้องหาทุกคน

“อยู่กับแฟน เธอยืนยันได้ใช่ไหมว่าอยู่กับคุณ แล้วอยู่ที่นั่นตั้งแต่กี่โมงถึงกี่โมงครับ”

“ผมไปหาเจนตอนสามทุ่มแล้วก็กลับ...เอ่อ ตอนตีสอง” ดุลวัตพยักหน้ารับ พยายามที่จะไม่ยิ้มออกมาให้ชวินเห็น แต่ดวงตาวาวโรจน์ด้วยแรงแห่งความยินดีบางอย่าง

“โอเคครับ หวังว่าคุณเจนจิราจะพูดแบบเดียวกับคุณ”

“เจนยืนยันได้ เพียงแต่พวกคุณช่วยเก็บเป็นความลับด้วย อย่างน้อยหน้าที่การงานเธอก็จะไม่เสียภาพพจน์”

“ครับ พวกเราต้องการแค่...ความจริงเท่านั้นเอง” ดุลวัตบอกน้ำเสียงเรียบ

“อ้อ ผมมีอีกเรื่องสงสัย ภาพกากบาทที่มือของคุณบนหน้าปกซีดี มีความหมายอะไรหรือเปล่า”

“มันสื่อความหมายว่า เราโดนปิดหูปิดตา ปิดปากห้ามพูดแบบนั้น อัลบั้มนั้นสื่อเรื่องของการใช้ชีวิตที่ถูกตีกรอบไว้ด้วย สังคม ชนชั้นอะไรแบบนั้น ผมเลยเสนอให้เป็นสักปลอมรูปกากบาทใส่มือ เวลาเล่นในมิวสิควีดีโอก็จะทำท่าปิดปาก ปิดตาให้เห็น” นักร้องหนุ่มอธิบาย ดุลวัตพยักหน้าเข้าใจ

“แปลกดี แต่มันก็สะดุดตาดีนะครับ” นายตำรวจแสร้งชม ชวินลุกขึ้นหันไปมองด้านหลังห้องซึ่งศีรณานั่งอยู่

“ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการนะครับหมวดรณา แล้วก็หมวดดุลวัต”

“เรียกผมหมวดจุนก็ได้ครับ ยินดีที่ได้รู้จักกับนักร้องชื่อดังเหมือนกันครับ ไม่คิดว่าผมจะได้มีโอกาสัมภาษณ์นะเนี่ย”

ชวินยิ้มน้อยๆ ก่อนถอนหายใจแผ่วเบา “รู้จักกันในแบบที่ไม่มีเรื่องเศร้าก็คงดีครับ”

นักร้องหนุ่มเดินออกไปจากห้องสอบปากคำ ดุลวัตหันไปจ้องใบหน้าด้านข้างของศีรณาเหมือนกำลังค้นหาอะไรบางอย่างจากท่าทีอาการที่เธอแสดงออกมา

ศีรณารู้สึกตัวดีว่าเพื่อนร่วมงานกำลังจ้องเธออย่างเอาเป็นเอาตาย เขาอาจจะแค่ต้องการจับผิดอาการแปลกๆที่เธอเผลอแสดงออกมา แต่...เธอไม่มีทางปล่อยให้เขาเห็นหรอก...

“ฉันไม่มีสิวหรอกหมวดจุน”เธอบอกหน้าตาย บอกเขาโดยไม่หันไปมองหน้า ดุลวัตยิ้มทั้งกลั้นหัวเราะ

“ไม่ได้อยากหาสิว แต่อยากรู้ว่าจะแสดงอาการกรี๊ดกร๊าดเมื่อไหร่ หมวดชอบเขานี่”

“ชอบเพลง” แต่หลังจากที่เขาเรียกเธอว่าป้า...เริ่มจะต้องคิดใหม่แล้ว หญิงสาวบ่นในใจ

“นักร้องหน้าตาดีอย่างนี้ไม่ชอบบ้างเหรอ แม้มีสไตล์ดิบๆ เถื่อนๆ ไว้เคราหน่อยๆ ผมยาว เซอร์นิดๆ นี่แหละสาวชอบ”ตั้งคำถามเหมือนต้องการหยั่งเชิง ศีรณายิ้มบาง เหล่เหลือบมองคนถามอย่างหมั่นไส้

“ฉันเหมือนสาวๆ ที่หมวดเหมารวมไหมละ ผู้หญิงไม่ได้ชอบแบบเดียวกันหมดนะ”

“ได้ไง อย่างน้อยตอนที่ผมบอกว่านายเชนมีหลักฐานเกี่ยวว่าจะเป็นฆาตกร หมวดยังค้านเสียงแข็งเลย”

“ตามใจ ฉันชอบก็ได้ หมวดจะได้เลิกถาม”พูดเพื่อตัดปัญหาแต่คนฟังกลับทำหน้าบึ้ง

“อย่าพูดอย่างนั้นสิ ที่ถามนี่ก็เพราะไม่อยากให้ชอบ” น้ำเสียงจริงจังผิดกับทุกครั้ง ใบหน้าเรียบ ดวงตาคมนั้นจ้องตาเธอ แต่ศีรณากลับหัวเราะออกมา

“หมวดทำหน้าเหมือนหิวข้าวจัดเลย ไปกันเถอะ หิวแย่แล้ว” เธอเปลี่ยนเรื่องก่อนจะเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็วไม่หันกลับมามองท่าทีของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย

เธอไม่อยากรับความรู้สึกที่มันมากกว่านี้อีกแล้ว...ดุลวัตเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอ ไม่อยากให้เขาเจ็บเลย

ดุลวัตถอนหายใจแผ่วเบาอีกครั้ง แล้วค่อยๆ ก้าวเท้าออกไปตามออกมา



ศีรณาเดินกลับมาถึงห้องพักหลังจากเลิกงาน เธอไม่เคยแวะเที่ยวเล่นที่ไหน มีบ้างบางครั้งที่ต้องเข้าสังคมกับเพื่อนนายตำรวจ เธอเชื่อว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็คือบ้าน คนที่ไม่มีอะไรก็ย่อมที่จะเห็นสิ่งนั้นสำคัญเสมอ...เธอก็เช่นกัน

ตอนที่อยู่บ้านเด็กกำพร้า อาของเธอพยายามที่จะทำเรื่องให้เธอเข้าไปอยู่ภายในการดูแลให้ได้แต่เธอก็ยังยืนกรานที่จะไม่อยู่กับเขาเด็ดขาดเพราะคิดว่า อามีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของพ่อกับแม่

จนวันหนึ่งเธอได้เจอกับตาอุ่ม ญาติฝ่ายแม่ที่เข้ามารับเธอไปดูแล แม้ว่าท่านเองก็มีลูกหลานอยู่หลายคน หนึ่งในนั้นมี มาลี หลานสาวอีกคนของตาอุ่มที่เป็นเพื่อนเล่นกับเธอมาตลอด มาลีเป็นสาวหวานซึ่งผิดกับเธอที่ทำงานบ้านไม่เก่งเลยสักอย่าง เธอแยกกับครอบครัวนี้หลังจากสอบติดนายร้อยตำรวจ จนเรียนจบและเริ่มทำงาน ตาอุ่มกลับโทรศัพท์มาบอกให้เธอไปร่วมงานศพของมาลี...

ศีรณาได้แต่จ้องรูปของมาลีอยู่หน้าโลงศพ ด้วยความรู้สึกเสียใจ ครั้งสุดท้ายที่เธอได้เจอมาลีโดยบังเอิญ

มาลีเปลี่ยนไปมาก แก้มมีรอยช้ำ ดวงตาข้างซ้ายถูกปิดด้วยผ้าก๊อตสีขาว สภาพของเธอเหมือนแม่บ้านวัยสี่สิบทั้ง ๆที่ เพิ่งยี่สิบเอ็ดเท่านั้นเอง

‘เกิดอะไรขึ้นมาลี’เธอถามขณะที่บังคับให้มาลีนั่งลงพูดคุยกันได้ในที่สุด แม้มาลีจะพยายามขัดขืนมากแค่ไหนก็ตาม

‘ไม่มีอะไร’ตอบทั้งพยายามหลบตาศีรณา

‘ไม่มีอะไรแล้วทำไมสภาพเธอเป็นแบบนี้ บอกฉันมาดีกว่า’ศีรณายังเค้นเรื่องให้มาลีตอบให้ได้ มาลีเป็นหญิงสาวอ่อนหวาน คอยดูแลพี่น้องที่อยู่ในบ้านตลอด เธอไม่ควรที่จะมีสภาพอย่างนี้

‘อย่ายุ่งเรื่องของฉันเลย ยุ่งเรื่องตัวเองไปดีกว่า’

‘ทำไมจะยุ่งไม่ได้...ฉันรู้สึกเสมอว่ามาลีไม่ใช่แค่เพื่อนแต่ยังเป็นพี่น้อง เราเติบโตมาด้วยกัน ให้ฉันเห็นเธอในสภาพนี้แล้วฉันจะมีความสุขได้ยังไง ฉันทำแบบนั้นไม่ได้หรอก’

มาลีเงยหน้าขึ้นมองเธอ ดวงตาดูเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา ทว่ามือเล็กของหญิงสาวสั่นเทา เธอก้มลงมองดูเวลา นาฬิกาข้อมือเส้นเล็กนั้น “ฉะ...ฉันต้องกลับแล้ว เขาจะโทร.มาเช็กว่าฉันอยู่บ้านหรือเปล่าทุกๆ สองชั่วโมง”

‘มาลี!’

‘รณา...ฉันขอร้องละ ไม่ต้องสนใจฉัน ฉันมีความสุขดี ถึงแม้จะเป็นอย่างนี้...แต่ฉันก็มีความสุขดี ความสุขของฉันคือ เขา อย่าตามหาหรือบอกพ่อนะ ฉันเลือกแล้วที่จะเป็นอย่างนี้’ มาลีขอร้องพร้อมกับน้ำตาร่วงเผาะ เธอไม่รู้ว่าตอนนั้นรู้สึกอย่างไรกันแน่ ทั้งโกรธ เจ็บปวดและเสียดาย ที่ทำได้แค่...มองเพื่อนวัยเด็กเดินจากไป

ความสุขที่เธอเลือกเอง ได้ทำลายชีวิตเธอเอง...มาลีฆ่าตัวตายหลังจากนั้นไม่กี่เดือน มันคงเป็นความสุขสินะ...

ศีรณาเสียดายที่ไม่ได้รั้งมาลีไว้ เธอควรดึงมาลีออกมาจากนรกขุมนั้น...แต่กลับนั่งเฉย มองเธอเดินจากไปอย่างง่ายดาย

ตาอุ่มยื่นรูปถ่ายของมาลีและแฟนหนุ่มให้ศีรณาหลังงานศพ รูปถ่ายใบนั้นดูเหมือนตอกย้ำความสุขที่มาลีพูดถึง ผู้ชายที่ทำให้เธอยิ้มหวานรับกล้อง กอดแขน ซุกซบที่หน้าอกกว้างของเขา ผู้ชายที่ไม่เคยก้าวเข้ามาในงานศพของเธอเลย!

นี่เหรอความสุขที่มาลีต้องการ!!!

ศีรณานำรูปถ่ายใบนั้นขึ้นมาดูอีกครั้ง...เธอเชื่อเสมอว่าทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ล้วนมีเหตุและผลของมัน ทั้งเรื่องของมาลีและเธอเองก็ด้วย มันมีเหตุและผลในตัวเสมอ

เธอคงไม่ได้เข้าข้างใครโดยใช้เพียงแค่ความรู้สึกเพียงอย่างเดียวก็คงเหมือนกับที่มาลีทำ...ทว่าเหตุและผลนั้นต่างกัน เธอไม่ได้เข้าข้างชวินเพราะความรัก...แต่เพราะ...สัญญา



ณิชนิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 พ.ย. 2556, 08:21:09 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ธ.ค. 2556, 23:58:24 น.

จำนวนการเข้าชม : 2426





<< บทที่ ๒ หลักฐาน(แก้ไข)   บทที่ ๔ ติดลบ(๑)แก้ไข >>
ดวงมาลย์ 29 พ.ย. 2556, 09:56:37 น.
มาให้กำลังใจจ้า เขียนเร็วไปไหม อิจฉานะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account