สัญญารักจอมโหดแดนเถื่อน
"พี่สตรองไม่มีวันลืมน้องฟาง วันใดน้องฟางเดือดร้อนพี่สตรองจะมาหา" มันคือคำสัญญาก่อนจากลา
ของปรินทร์ที่มีให้ลษิดาเด็กสาวกำพร้าก่อนจากลาเมื่อสิบห้าปีก่อน
ของปรินทร์ที่มีให้ลษิดาเด็กสาวกำพร้าก่อนจากลาเมื่อสิบห้าปีก่อน
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 4
ตอนที่ 4
ด้านปิยดาซึ่งเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็ทำเป็นใจเย็นรอจนกระทั่งเห็นร่างสูงใหญ่พาลษิดาไปจากบ้านจึง
ค่อยๆย่องขึ้นบ้านโดยไม่ให้วรดาเห็น คงไม่เหมาะแน่ถ้าให้วรดารู้ว่าตนรู้เห็นเรื่องราวทั้งหมดเพราะหญิงสาวอาจ
เล่นงานตนได้ สู้รอให้ถึงเช้าค่อยมาช่วยก็แล้วกัน และถ้าเดาไม่ผิดผู้ชายที่มาช่วยลษิดาไปต้องเป็นปรินทร์เด็ก
หนุ่มที่มาอาศัยอยู่กับชาดาเมื่อสิบห้าปีก่อน มีเพียงมันคนเดียวที่เป็นเดือดเป็นแค้นยามนังฟางถูกรังแก คิดว่าไป
แล้วไปลับ ยังกลับมาหามาช่วยมันจนได้ รอก่อนนะหนูดาด้าแล้วอาจะมาช่วย หนูอยากร้ายนักนี่ขืนอาเข้าไปช่วย
ตอนนี้ก็จะเดือดร้อนไปด้วย ปิยดาคิดเอาตัวรอดจึงไม่เข้าไปช่วยวรดาในตอนนี้
นับเป็นคราวซวยของวรดาจริงๆที่ต้องทนถูกมัดกับต้นไม้ไปไหนไม่ได้แถมถูกยุงกัดจนตัวแดงเป็นจ้ำๆไป
หมดกระทั่งเกือบสว่างปิยดาจึงแสร้งทำเป็นออกมาเดินเล่นแล้วทำหน้าตกใจเมื่อเห็นหลานสะใภ้ถูกมัดติดกับต้น
ไม้หน้าเรือนปีกไม้เสื้อผ้าขาดวิ่น
“ตายแล้ว เกิดอะไรขึ้นเนี่ย หนูดาด้า ทำไมถูกจับเปลือยกายมัดอยู่อย่างนี้ มีใครอยู่บ้างมาช่วยคุณดาด้า
เร็ว” ปิยดาตะโกนร้องเรียกคนในบ้านให้วุ่นไปหมดพลางดึงผ้าปิดปากหลานสะใภ้ออก
“อาดา จะแหกปากร้องเรียกคนให้มาดูดาด้าเหรอไง ยังไม่รีบช่วยดาด้าอีก” พอปากเป็นอิสระวรดาก็ดุ
ว่าญาติสามีอย่างฉุนขาด เธอไม่อยากให้คนในบ้านมาเห็นเธอในสภาพนี้แต่ยัยแก่นี่กลับแหกปากร้องตกอกตกใจ
เรียกหาคนให้วุ่นไปหมด หรืออยากประจานเธอทำให้ได้อายกันแน่ วรดาเริ่มสงสัยแต่ไม่แน่ใจหากเธอรู้ว่าปิยดา
จงใจส่งเสียงร้องตกใจอยากให้คนมาเห็นคงแค้นแทบกระอัก
“จริงอามัวแต่ตกใจเลยลืมคิดเรื่องนี้ไป อาต้องขอโทษจริงๆ แต่อาว่าหนูรีบเข้าบ้านก่อน ฟ้ายังไม่สว่างยังไม่
ค่อยมีใครตื่นหรอก อีกอย่างเรือนนี้ก็อยู่ไกลจากเรืองคนใช้คงไม่มีใครได้ยิน รีบไปเถอะอาจะช่วยดูต้นทางให้”
ปิยดาแสร้งทำเป็นหวังดีพูดให้วรดาสบายใจและทำทีเป็นห่วง
“ถ้าจะช่วยก็ช่วยโทรแจ้งความกับตำรวจดีกว่า บอกว่าเมื่อคืนนังฟางมันพาผู้ชายที่มันเรียกว่าพี่สตรอง
มายกเค้าที่บ้าน และทำร้ายคนในบ้าน โน่นนอนสลบอยู่ใกล้ๆประตู แล้วดาด้าจะบอกคุณลุงให้ช่วยส่งคนติด
ตามมันสองคนด้วย ต่อให้หนีไปสุดหล้าฟ้าเขียวก็จะตามกลับมาให้ได้ ดาด้าขอไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน
อาดาจำไว้นะห้ามบอกใครว่าเห็นดาด้าในสภาพนี้แม้แต่นุ” วรดาแค้นจัดจนลืมนึกไปว่าลษิดากับปรินทร์ไปไกล
แล้วคงไม่มีใครตามทัน
“จ้าๆ แล้วอาจะรีบไปแจ้งความ หนูดาด้ารีบกลับห้องไปเถอะ ขืนชักช้าอาจมีใครมาเห็นเข้า ส่วนอาจะ
ไปแจ้งความเดี๋ยวนี้แหละ” ปิยดาทำเป็นเตือนด้วยความหวังดีก่อนพาร่างท้วมจากไป
วรดาพอเห็นปิยดาไปแล้วก็รีบเดินไปที่ห้องเพราะเธอยังมีอีกเรื่องที่ต้องทำอีกคือพาตัวตนัยออกจากบ้าน
ก่อนที่ปิยดาหรือใครๆจะมาเห็นเข้า คราวนี้เธอหาข้อแก้ตัวไม่เจอแน่ แต่พอเธอไปถึงห้องก็พบว่าตนัยไม่ได้อยู่ที่
ห้องมีแค่กระดาษแผ่นหนึ่งเขียนแปะไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียง
‘ไปก่อนนะดาด้า ฉันให้คนมารับ ขอไปรักษาตัวให้หายก่อนแล้วฉันจะแก้แค้นมันสองคนให้สาสมกับความ
บังอาจของมันต่อให้หนีไปอยู่สุดหล้าฟ้าเขียวฉันก็จะล่าตัวมันสองคนให้ได้’
“ฉันเองก็ไม่ปล่อยพวกมันไว้เหมือนกัน ถ้าเจอตัวอีกครั้ง พวกแกอย่าหวังว่าจะรอด” วรดาเอ่ยอย่างแค้นจัด
เช่นกัน แต่เธอลืมไปว่าคนที่เธอกับตนัยต่างคิดแก้แค้นนั้นไม่ใช่หมู ไม่ได้กลัวอิทธิพลของใครด้วยถึงแม้ว่าเธอจะเป็น
หลานสาวนายกเทศมนตรีผู้ทรงอิทธิพลและบิดาของตนัยเป็นนักธุรกิจผู้ทรงอิทธิพลของเมืองนี้ก็ตาม เพราะเขา
เหนือกว่าทุกด้าน
ชชชชชชชชชชชชชชชชชชชช
ปรินทร์ขับรถพาลษิดาออกจากบ้านสิทธิไพศาลมาเรื่อยๆจนผ่านเข้าเขตจังหวัดท่องเที่ยวแห่งหนึ่งจึงขับรถ
เลี้ยวเข้าโรงแรมแรกที่พบเพื่อพักเพราะเลยเวลาเที่ยงคืนมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว
“พี่สตรองมาโรงแรมทำไมคะ” ลษิดารู้สึกหวั่นใจชอบกลพลางมองหน้าชายหนุ่มอย่างไม่ค่อยไว้วางใจนัก
หญิงสาวยอมรับแม้ผู้ชายตรงหน้าจะเป็นพี่สตรองของเธอแต่การที่เขาพารถเข้ามาจอดในโรงแรมนั้นมันทำให้เธอ
ไว้วางใจไม่ได้เต็มร้อย
“พาสาวสวยมาปล้ำ” ปรินทร์ตอบได้ตรงกับที่เธอกลัวนักและยิ่งเขาเห็นท่าทางหวาดกลัวของลษิดายิ่งอยาก
แกล้งโทษฐานเห็นเขาเป็นคนไม่ดีไปได้ ดังนั้นร่างสูงจึงทำทีเป็นขยับจะเข้าใกล้ร่างบางที่เอามือจับกระเป๋าแน่นราว
กับมันจะช่วยเธอให้พ้นภัยได้
“พี่สตรอง อย่าทะ..ทำอะไรน้องฟางนะคะ น้องฟางไม่น่าปล้ำสักนิด” ลษิดารู้สึกกลัวคนคุ้นเคยในอดีตขึ้น
มาเฉยๆ ใช่สิก็คนคุ้นเคยเปลี่ยนไปมากและจากไปนานจนเธอเริ่มกลัว จะไม่ให้กลัวได้ไงก็แววตาที่จ้องมองสำรวจ
ไปทั่งตัวเธอนั้นดูหื่นๆชอบกล
“ใครบอกไม่น่าปล้ำ เท่าที่พี่เห็นน้องฟางโตแล้วรูปร่างดีมาก หน้าตาก็สวยน่ารักราวกับเทพธิดาใสซื่อ
บริสุทธิ์ ผู้ชายคนไหนเห็นน้องฟางแล้วอดใจไหว พี่ว่ามันต้องฝึกตบะมาอย่างแรงกล้าเชียวล่ะ” คำพูดตรงๆไม่มี
อ้อมกับรอยยิ้มขำพลางขยับร่างสูงใหญ่เข้าหาร่างบางดุจจะแกล้งนั้นยิ่งทำให้ลษิดากลัวเข้าไปอีกแล้วก็ปล่อย
โฮออกมาเมื่อความผิดหวังเสียใจประดังเข้าสู่ใจเพราะพี่สตรองแสนดีของเธอเปลี่ยนไปไม่ต่างจากชายอื่นที่คิด
ไม่ดีกับเธอ
“ฮือๆๆ คนหลอกลวง อย่าเข้ามาใกล้นะ พี่สตรองคนดีของน้องฟางไปไหน ฮือๆๆ” ดวงตากลมโตคู่สวย
ชุ่มไปด้วยน้ำตากับเสียงสะอื้นไห้เสียใจอย่างหนักนั้นทำให้หัวใจแข็งกร้าวอ่อนยวบและนึกด่าตัวเองที่คิดหยอก
ลษิดาเล่นโดยลืมนึกไปว่าหญิงสาวเพิ่งผ่านเรื่องเลวร้ายมา มือแข็งแรงรีบดึงร่างบางอรชรมากอดไว้แนบอกพลาง
เอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่นเหมือนเมื่อสิบกว่าปีก่อนที่ต้องคอยปลอบน้องฟาง
“โอ๋ๆ เงียบเสียน้องฟางคนดีของพี่สตรอง พี่ขอโทษที่หยอกน้องฟางแรงไปหน่อย เอาเป็นว่าพี่ไม่ดีเอง
ที่เล่นไม่ถูกเวลาและอารมณ์ น้องฟางจะเอาคืนพี่เหมือนตอนเล็กๆก็ได้นะ พี่ยินดี ขออย่างเดียวอย่าโกรธกลัว
พี่ก็พอ พี่ยังเป็นพี่สตรองคนเดิมของน้องฟางเสมอ”
ลษิดาขยับออกห่างแหงนมองใบหน้าคมราวรูปสลักที่จ้องมองมาด้วยแววอบอุ่นก่อนนิ้วเรียวแกร่งจะเช็ด
น้ำตาที่แก้มบางใสให้พร้อมรอยยิ้มอันอบอุ่นเหมือนครั้งเธอเป็นเด็กแล้วส่งยิ้มหวานให้ก่อนที่ฟันขาวราวไข่มุกจะ
ก้มลงกัดเนื้อบนท่อนแขนแข็งแรงจนเกิดเป็นรอยฟันเล็กๆแล้วหัวเราะๆเบาๆอย่างสะใจที่ได้เอาคืนขณะที่เจ้าของ
แขนเริ่มทำหน้าไม่พอใจเพราะน้องฟางทำตามที่บอกนั่นเอง ก็ฟันน้องฟางคมน้อยเสียเมื่อไหร่กัน
“ดีใจสินะที่ได้เอาคืนพี่ ยายเด็กใจร้าย ไม่รู้จักออมแรงบ้างเลย” คนตัวใหญ่กว่าอายุมากกว่ามีบ่น
“ก็ ก็ พี่สตรองเป็นคนอนุญาตเองจะมาบ่นทำไม” คนอายุน้อยกว่าตัวเล็กกว่ามีย้อนอย่างกล้าๆกลัว
“เถียงได้ฉอดๆแบบนี้ แสดงว่าหายโกรธพี่แล้ว ไปเช็คอินกันได้แล้ว พี่อยากให้น้องฟางพักสักสามสี่ชั่ว
โมงทำตัวให้สดชื่นแล้วค่อยเดินทางต่อ เรายังต้องเดินทางอีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงที่หมาย อีกอย่างที่นี่ก็ปลอด
ภัยพอสมควร เราเข้าไปพักก่อน พี่เองก็เหนื่อยเหมือนกัน” ในที่สุดปรินทร์ก็ตัดสินใจบอกจุดประสงค์ที่แท้จริงให้
เธอรู้ ไม่อยากเสียเวลาโต้เถียงหยอกล้อกันอีก
“แน่นะคะ ที่ต้องการพักจริงๆ” ลษิดายังไม่ค่อยมั่นใจนัก ถึงแม้ผู้ชายตรงหน้าจะเปรียบเหมือนพี่ชายแสน
ดีสำหรับเธอแต่นั่นมันสมัยเธอยังเป็นเด็ก จากไปสิบกว่าปีเธอไม่ค่อยแน่ใจว่าเขาจะเปลี่ยนไปหรือไม่ มารดาเคย
สอนว่า จะดูคนต้องดูนานๆ อย่าไว้ใจเพราะเขาเคยช่วยเราหรือดีกับเรา
“พี่ไม่เข้าใจจริงๆ น้องฟางโตแล้วทำไมกลายเป็นคนขี้ระแวงอย่างนี้นะ ถ้าพี่คิดร้ายกับน้องฟางจริงๆ
จะมาช่วยน้องฟางทำไม” เขาแกล้งบ่นน้อยใจและนั่นก็ทำให้ลษิดาคิดได้ จริงสินะ เธอเฝ้ารอคอยให้พี่สตรองกลับ
มาช่วยเธอแต่เวลานี้กลับคิดระแวงเขา เธอนี่ใช้ไม่ได้จริงๆฟาง
“น้องฟางขอโทษที่คิดไม่ดีกับพี่สตรองค่ะ แต่..พี่สตรองอยากทำให้น้องฟางไม่วางไว้ใจก่อนทำไมล่ะคะ”
แม้รู้ตัวว่าผิด ลษิดาก็ยังหาข้อแก้ตัวแบบพาโลโฉเกได้เหมือนครั้งสมัยเป็นเด็กที่มักโทษปรินทร์เสมอยามถูกเขาดุ
หรือทำท่าเหมือนไม่พอใจในความดื้อของเธอ
“ดีนะ ทั้งหมดนี่กลายเป็นความผิดของพี่ ก็ได้ๆ ยอมรับ แล้วจะลงจากรถได้หรือยังนางฟ้าตัวน้อยของ
พี่สตรอง” คราวนี้เขาเรียกเธอเหมือนครั้งเมื่อเธอเป็นเด็กยามเธองอน เลยทำให้เด็กที่โตแล้วหน้าง้ำพลางเปิด
ประตูรถแล้วลุกเดินตรงเข้าโรงแรมโดยไม่รอร่างสูงใหญ่ทีหยิบเป้ในรถกับกระเป๋าของเธอแล้วรีบเดินตามไป
“สวัสดีค่ะ มีอะไรให้รับใช้คะ” สาวสวยประจำหน้าเคาท์เตอร์ในชั้นล็อปบี้ของโรงแรมกล่าวทักทายลษิดา
ทันทีที่หญิงสาวเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าและคำถามนั้นก็ทำเอาผู้ถูกถามมีอาการนิ่งอึ้งไปชั่วขณะก่อนบอกจุด
ประสงค์ออกไป
“คือ..เอ่อ..ไม่ทราบมีห้องว่างสักห้องไหมคะ”
“ไม่ทราบจองไว้หรือเปล่าคะ ถ้าไม่ได้จองไว้ล่วงหน้าดิฉันขอเช็คดูก่อนค่ะ ช่วงนี้ห้องพักค่อนข้างเต็มค่ะ”
พนักงานสาวสวยของตอบพลางลอบสบตาร่างสูงใหญ่ที่ยืนข้างลูกค้าสาวสาวยแล้วทำท่ากดแป้นพิมพ์คอมพิว
เตอร์ตรวจสอบอยู่ครู่หนึ่งก่อนเงยหน้าแล้วตอบว่า “ห้องเหลือแค่ห้องเดียวค่ะแต่เป็นเตียงเดี่ยวสำหรับสองท่านค่ะ”
“ตกลงผมจองครับ” คนตอบกลับเป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ยืนข้างลูกค้าสาวสวยซึ่งหันไปมองหน้าคนตอบ
ทันทีที่ได้ยินเสียงก่อนหันไปพูดกับพนักงานสาวสวยของโรงแรมแทน “ไม่ทราบพอจะเปลี่ยนเป็นเตียงคู่ได้ไหมคะ”
คำถามนี้เล่นเอาคนถูกถามต้องหันไปมองชายหนุ่มที่ยืนข้างลูกค้าสาวสวยเป็นเชิงขอคำปรึกษาด้วยสี
หน้าลำบากใจ
“น้องฟางครับ ถ้าเปลี่ยนผ้าปูเตียงหรือปลอกหมอน โรงแรมคงเปลี่ยนให้ง่ายกว่ามั้ง เอาเป็นว่าเรารีบแช็ค
อินดีกว่า จะได้รีบพัก เราต้องเดินทางต่ออีกไกล” ปรินทร์ตัดสินใจแทนโดยไม่ขอความเห็นคนตัวเล็กกว่าที่มีสีหน้า
ไม่พอใจแต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะเวลานี้เขาใหญ่สุด
“นี่ค่ะคีการ์ด ห้อง329 เดี๋ยวจะให้เจ้าหน้าที่พาไปค่ะ” พนักงานสาวสวยบอกพลางยื่นกุญแจห้องให้
จากนั้นลูกค้าเส้นใหญ่ของโรงแรมก็รีบจูงมือสาวสวยใบหน้าหงิกงอไปที่ลิฟต์
‘เฮ่อโล่งอกไปที คิดว่าจะถูกจับได้เสียแล้ว’ พนักงานสาวสวยลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกเพราะเธอได้ทำ
ตามคำสั่งลูกค้าหนุ่มหน้าตาดีสุดๆเท่าที่เคยพบมาที่ได้โทรมาบอกไว้ล่วงหน้าและให้ทำตามแผนที่เขาบอกโดยยินดี
จ่ายค่าบริการเพิ่มเป็นสองเท่าและการทำให้ลูกค้าพึงพอใจก็นโยบายหลักของโรงแรมอยู่แล้วจึงไม่เป็นปัญหาแต่ดู
ท่าลูกค้าหนุ่มหล่ออาจมีปัญหากับคนรักก็ได้
“ตามสบายนะน้องฟางอยากนอนก็นอนได้เลย พี่ขอตัวอาบน้ำก่อน เหนียวตัวไปหมด น้องฟางคงไม่ต้อง
อาบมั้ง เพราะหนีตามพี่ก่อนเข้านอน” ปรินทร์ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษที่ได้แหย่คนสวยหน้าง้ำเล่นหลังเข้ามาในห้อง
พักแล้ว ทว่าคนถูกแหย่กลับไม่พูดไม่มองหน้าหล่อๆของเขาด้วยซ้ำแต่ทำตามที่บอกหน้าตาเฉยเลยทำให้ร่างสูงใหญ่
เกิดอาการเหวอไปชั่วขณะแล้วยิ้มเดินฮำเพลงเข้าห้องน้ำพร้อมพร้อมเป้ในมือจึงไม่เห็นร่างบางลุกขึ้นมามองค้อน
คนอารมณ์ดีไล่หลังพลางพึมพำเบาๆ
“พี่สตรองบ้า ยั่วไม่เลิก เสียงเพราะตายล่ะร้องมาได้” จากนั้นก็มองสำรวจไปทั่วห้องพักอันกว้างใหญ่
ก่อนมองรอบๆเตียงกว้างแล้วลงจากเตียง ไปหยิบหมอนอิงตรงเก้าอี้มาทำเป็นเส้นแบ่งเขตบนเตียงแล้วปิดไฟใน
ห้องเหลือไฟทางเดินกับไฟหัวเตียงอีกฝั่งก่อนสอดตัวเข้าผ้าห่มนอนลืมตาท่ามกลางแสงไฟสลัวในห้องพลางคิด
ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในค่ำคืนที่ผ่านมากระทั่งมานอนลืมตาบนเตียงในเวลานี้แถมมีเพื่อนร่วมเตียงเป็นคนตัวใหญ่
ที่เคยสนิทผูกพันมาตั้งวันแรกที่ได้พบเจอเมื่อสิบห้าปีก่อน
‘พี่สตรองเปลี่ยนไปมาก จะไว้ใจได้แค่ไหน คิดอย่างไรกับเรา ต่อไปจะฝากชีวิตไว้ได้ไหม’ ลษิดาเกิดคำถาม
ในใจมากมายกับคนที่ยังอยู่ในห้องน้ำอีกทั้งรู้สึกหวาดหวั่นไม่มั่นใจในอีกฝ่ายด้วย หญิงสาวคิดกลับไปมากระทั่ง
ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องน้ำออกมาจึงรีบหันหลังแล้วแสร้งทำเป็นหลับทั้งที่ใจตุ้มๆตั่มๆ
ร่างสูงใหญ่พอออกจากห้องน้ำก็มาหยุดยืนที่หัวเตียงอีกฝ่ายพลางกวาดสายตามองคนแสร้งหลับหัน
หลังให้แล้วยิ้มขำให้กับกำแพงเบอร์ลินสีสวยที่ลษิดาสร้างขึ้นก่อนล้มตัวลงนอนแรงๆคล้ายแกล้งและนั่นก็ทำ
ให้คนแสร้งทำเป็นหลับสนิทแทบสะดุ้งด้วยความตกใจหากยังระงับได้ขณะที่ใจต่อว่าคนชอบแกล้ง
‘พี่สตรองบ้า จะแกล้งไปถึงไหนกัน’
ต่อมาก็รับรู้ถึงการขยับตัวของร่างสูงจนเตียงไหวกับเสียงพูดดังๆเหมือนจงใจให้คนที่หลับอยู่ได้ยิน
“อย่าว่าพี่นะน้องฟางถ้าพี่จะเอากำแพงเบอร์ลินระหว่างเราออก เพราะมันถูกทะลายตั้งแต่เยอรมัน
รวมเป็นประเทศเดียวกันตั้งนานแล้ว” มือหนาก็จับหมอนทั้งหลายที่กั้นแบ่งเขตเหวี่ยงทิ้งไปแต่ยังไม่พอคนทำลาย
กำแพงเบอร์ลินยังพูดจาให้หวาดเสียวอีกว่า “ว้าไม่มีหมอนข้างนอนไม่หลับ พี่ขออนุญาตยืมตัวน้องฟางมาเป็น
หมอนข้างให้พี่กอดหน่อยนะ” เท่านั้นแหละคนที่แสร้งทำเป็นหลับก็ทนไม่ไหวรีบลุกขึ้นนั่งขยับตัวหนีแทบไม่ทัน
“อย่านะคะพี่สตรอง น้องฟางไม่ใช่หมอน” ลษิดารีบหาข้ออ้างทันที
“อ้าวคิดว่าหลับไปแล้ว แกล้งเหรอนี่ ร้ายนักนะน้องฟาง อย่างนี้ต้องทำโทษให้เป็นหมอนข้างจริงๆแล้ว”
ปรินทร์ยังคงยั่วคนขี้กลัวไม่เลิก รู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกที่ได้ยั่วน้องฟางของเขาอยากรู้ลษิดาจะทำอย่างไร
“ไม่ให้ทำโทษเพราะน้องฟางไม่ผิด อยากได้หมอนข้างก็ขอทางโรงแรมเองสิ” คราวนี้คนขี้กลัวเกิดอาการ
ฉุนเลยสวนกลับเข้าให้แต่เขากลับยิ้มขำให้กับกิริยาของเธอ
“ใจร้ายจัง น้องฟางคนสวย ช่วยพี่ให้หลับหน่อยก็ไม่ได้ คนอุตส่าห์ช่วย” เสียงบ่นน้อยดังขึ้นพร้อมกับร่าง
สูงใหญ่ที่ล้มตัวลงนอนแต่ดูเหมือนจงใจขยับตัวเข้ามาใกล้ยังไงไม่รู้จนคนตัวเล็กกว่าชักกลัว ครั้นจะถอยก็ถอยไม่
ได้กลัวตกเตียงเมื่อทำอะไรไม่ได้จึงจำต้องล้มตัวลงนอนพร้อมเสียงพึมพำเบาๆอย่างเหลืออดว่า “ฮึ ทำดีเพราะ
หวังผล ไม่เรียกว่าคนดีหรอก” แล้วทำเป็นหลับทั้งที่ใจนั้นคอยระแวงตลอดกลัวคนร่วมเตียงจะฉวยโอกาสคว้าตัว
ไปเป็นหมอนข้างแต่ทำไปทำมาก็หลับจริงๆ
คนร่วมเตียงจึงลุกขึ้นนั่งแล้วชะโงกหน้าไปดูใกล้ๆ พิศมองใบหน้าสวยใสอยู่ครู่หนึ่งก่อนจรดริมฝีปากอุ่นลง
บนแก้มเนียนใสหอมกรุ่นอย่างอดใจไม่ไหว แต่ความหอมของแก้มสาวทำให้ติดใจจนต้องแอบหอมติดๆกันอีก
หลายทีก่อนตัดใจขยับใบหน้าออกห่าง
‘จะกล่าวหาว่าลักจูบก็ยอมแต่ไม่ผิดนี่ แก้มน้องฟางเขาก็หอมออกบ่อยไปตอนเด็กๆ ไม่เห็นว่าอะไร
โตแล้วก็หอมได้เหมือนกัน’ ความคิดแบบเข้าข้างตัวเองสุดๆผุดขึ้นเพื่อเป็นการแก้ตัวให้กับตัวเองก่อนล้มตัวลง
นอนแล้วไม่วายดึงคนตัวเล็กกว่าเข้ามากอดไว้แนบอกไม่ได้เอาขาก่ายร่างบางถือว่าไม่ผิดเพราะไม่ได้เอาตัวมา
มาเป็นหมอนข้างนี่จากนั้นก็หลับไปด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นสุขกับผู้หญิงคนแรกในอ้อมกอดกระทั่งเช้าโดยไม่รู้ตัว
ด้วยความเพลีย
ลษิดาหลับอย่างเป็นสุขรู้สึกอบอุ่นมั่นคงปลอดภัยในอ้อมแขนแข็งแรงโดยไม่รู้ตัวแต่พอรู้สึกตัวลืมตาตื่นขึ้น
สายตาก็กระทบกับกำแพงอกอันแข็งแกร่งกับลมหายใจสม่ำเสมอของเจ้าของอ้อมกอดพลันใบหน้าก็เปลี่ยนสีร้อน
ขึ้นมาเฉยๆด้วยความอายและค่อยๆขยับตัวให้หลุดพ้นจากอ้อมกอดก่อนที่อีกฝ่ายจะตื่นมาแล้วเธอจะหาข้อแก้ตัว
ไม่เจอแม้จะไม่รู้ว่าเป็นเธอหรือเขากันแน่ที่พาตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน แต่กลับทำให้ร่างสูงใหญ่ลืม
ตาตื่นขึ้นพร้อมคำถามทันที
“ตื่นแล้วเหรอ เด็กขี้เซา ไหนว่าไม่ใช่หมอนข้างแล้วมานอนให้พี่กอดทำไม” คำถามนี้ทำเอาเธอไม่รู้จะตอบ
อย่างไรดี รู้อยู่อย่างเดียวคืออยากทำร้ายร่างกายคนขยันพูดให้ได้อายจึงไม่รีรอที่จะจิกเล็บลงบนเนื้อที่อกแกร่ง
แรงๆเป็นการเอาคืนคำถามอันร้ายกาจของพี่สตรองแสนร้ายแทน
“โอ๊ย” ได้ผลเสียงคนถูกทำร้ายร้องดังๆ เธอจึงรีบฉวยโอกาสนี้พาตัวให้พ้นจากอ้อมกอดแข็งแรงทันทีแต่
ยังไม่ทันได้ลงจากเตียงก็ถูกมือแข็งแรงรวบตัวมากอดไว้ทั้งตัว
“ทำร้ายร่างกายแล้วคิดหนี ไม่ดีมั้งน้องฟาง” เสียงขู่ดังข้างหูแต่แก้มเนียนใสหอมกรุ่นนิสิถูกริมฝีปาก
อุ่นแอบสูดดมความหอมไปหลายตลบโดยที่เจ้าของแก้มทำอะไรไม่ได้เอาเลยเพราะสู้แรงไม่ได้อยู่แล้ว
“แล้วที่พี่สตรองลวนลามน้องฟางถือเป็นเรื่องดีเหรอ” เมื่อแรงกายสู้ไม่ได้ลษิดาจึงใช้วาจาโต้กลับแทน
ไม่เคยคิด พี่สตรองคนดีของเธอ จะกลายเป็นคนปากว่ามือถึงเพียงนี้ ที่น่าเจ็บใจคือตัวเองมากกว่าที่ยอมและไม่
นึกรังเกียจเหมือนตอนถูก ตนัยลวนลามด้วย อาจเป็นเพราะความคุ้นเคยกับสัมผัสแบบนี้ สมัยเธอเป็นเด็กปรินทร์
มักแอบหอมแก้มบ่อยๆด้วยความเอ็นดู แล้วตอนนี้แอบหอมด้วยความเอ็นดูหรือมีวาระซ่อนแร้นกันแน่
“ดีสิ ได้หอมแก้มน้องฟางแล้วชื่นใจที่สุด ตอนเด็กๆไม่เห็นบ่นว่าเลยเวลาพี่หอมแก้ม โตแล้วคงกลัวน้ำลาย
พี่ทำให้แก้มเหม็นแล้วมีสิวหมดสวย เลยไม่อยากให้พี่หอมใช่มั้ย” ไม่รู้เป็นอะไรพอเห็นใบหน้าสวยใสงอง้ำแล้ว
ปรินทร์ก็อยากแกล้งทุกที เหมือนสมัยเธอยังเป็นเด็ก
“รู้ก็ดีแล้วนี่” ดูท่าเธอจะโกรธไม่น้อยจึงประชดกลับ
“ไม่เป็นไร พี่จะพาไปรักษา เข้าครอสหน้าใสเด้งไร้รอยสิวเอง” เขาช่างร้ายได้ใจเธอจริงๆ พูดแบบนี้เห็นที
เธอต้องเปลืองแก้มตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันแน่แล้วจะยอมได้อย่างไรกัน
“ขอบคุณในความหวังดี แต่ไม่จำเป็น” เสียงหวานเย็นสนิทสวนกลับอย่างเย่อหยิ่งจนน่าหมั่นไส้สำหรับคน
ฟังเพียงแค่คนเดียวที่ได้ยิน
“เก่งจริงตัวแค่นี้ พี่ก็อยากรู้เหมือนกันว่าจะเก่งได้แค่ไหน...แต่เราอย่ามาเสียเวลาหยอกเล่นกันเลย ต้องรีบ
ออกเดินทางต่อ สายมากแล้ว เดี๋ยวจะไปถึงที่หมายช้า น้องฟางไปล้างหน้าล้างตาก่อนหรืออยากอาบน้ำเปลี่ยนชุด
ก็ได้นะ พี่เอากระเป๋าน้องฟางมาให้แล้ว” ปรินทร์ไม่อยากเสียเวลาอีก ระยะทางจากนี่ไปถึงผาตะวันไม่ใช่ใกล้ๆ
“ไม่ต้องค่ะ น้องฟางแค่ล้างหน้าล้างตาก็พอ” ลษิดาไม่อยากทำตัวเรื่องมาก
“แน่นะ ต้องเดินทางต่ออีกเกือบวัน ไม่กลัวตัวเหม็นเน่าเหรอ” เขาไม่วายยั่วเธอเล่นอีก ไม่เข้าใจตัวเอง
เหมือนกันทำไมอยากยั่วอยากหยอกน้องฟางตลอดเวลา
“ดีจะได้ไม่ถูกคนแถวนี้รังแกเอา” เธอก็ปากไวใช่เล่นสวนกลับแล้วรีบเผ่นเข้าห้องน้ำทันทีกลัวคนแถวนี้
รังแก ร่างสูงได้แต่ส่ายหน้าให้กับความปากร้ายของเธอ ตอนเด็กๆไม่เห็นปากร้ายอย่างนี้เลยนี่แล้วเดินไปหยิบ
ชุดจากเป้มาเปลี่ยน น้ำท่าไม่ต้องอาบหรอก เพิ่งอาบไปไม่กี่ชั่วโมงมานี่เอง แต่พอเปลี่ยนชุดเสร็จเสียงโทรศัพท์
มือถือก็ดังขึ้นจึงหยิบมาดูและกดรับเมื่อมันโชว์เบอร์คนของเขา
“ฟาล มีเรื่องอะไรที่ผาตะวัน”
“ผาตะวันปกติดีครับ แต่พวกมันเปลี่ยนเป้าหมายจากผาตะวันมาเล่นงานคุณแทนครับ”
“ขอบใจที่บอก อย่างอื่นมีอะไรอีกไหม”
“ไม่มีครับ”
“ดี บอกนายแม่ด้วยพรุ่งนี้ฉันจะไปถึงผาตะวันพร้อมของขวัญล้ำค่าให้นายแม่ ให้เตรียมรับขวัญให้ดี”
สั่งจบก็วางสาย จังหวะเดียวกับคนในห้องน้ำออกมาพอดี
“พี่ขอเวลาห้าหน้าทีล้างหน้าล้างตาบ้าง แล้วอย่าเพิ่งออกจากห้อง ให้รอพี่ก่อน” ร่างสูงใหญ่สั่งเสียงเข้ม
แล้วเดินเข้าห้องน้ำไป คนถูกสั่งเลยส่งค้อนตามพลางพึมพำเบาๆ “สั่งอย่างกับกลัวเราหนี จะหนีไปทำไมอีกก็หนี
ตามพี่สตรองมาแล้วนี่”
ชชชชชชชชชชชชช
ที่ล็อบบี้ของโรงแรม ทานุนั่งทานกาแฟรอลูกค้าคนสำคัญ ชายหนุ่มไม่ได้ไปต่างประเทศอย่างที่บอกคนที่
บ้านไว้เพราะไม่อยากให้ตามมารบกวน เวลาเจรจาธุกิจกับลูกค้าสำคัญเขาชอบความเป็นส่วนตัวอีกอย่างที่นี่เขา
ก็มีบ้านพักที่แอบซื้อไว้เพื่อพักผ่อนคลายเครียดโดยไม่มีใครรบกวน พักสักสองสามวันค่อยไปกรุงเทพฯรับลูกค้า
อีกคนไปพักที่บ้านและพาดูกิจการของเขาซึ่งเป็นโรงงานเจียรไนเพชรพลอยกับเครื่องประดับส่งออกไปขายทั่วโลก
กับในประเทศ
ไม่นานนักหนุ่มใหญ่อายุราวสี่สิบห้ารูปร่างสูงใหญ่หนาผิวขาวใบหน้าบอกความเป็นลูกจีนทว่าดูดีสวมชุด
ลำลองสบายๆคล้ายนักท่องเที่ยวมีผู้ติดตามเป็นชายหนุ่มร่างใหญ่สวมกางยาวแค่เข่ากับเสื้อยึดสองนายเดิน
ตรงมาหาขณะที่ผู้ติดตามทั้งสองเดินเลี่ยงไปนั่งโต๊ะอีกตัว และทันทีที่ทานุเห็น เขารีบลุกขึ้นยืนต้อนรับ
“สวัสดีครับคุณกฤติ ผมดีใจที่คุณให้เกียรติผมมาตามนัด เชิญนั่งครับ” ทานุทักทายพร้อมทำท่าเชื้อเชิญ
เขารู้ ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้ามีอิทธิพลและร่ำรวยไม่ใช่ย่อยเพราะเป็นเจ้าของกิจการเรือสำราญกับธุรกิจน้ำมัน
“สวัสดีคุณทานุ คุณโชคดีมากที่บังเอิญผมมาพักผ่อนที่นี่พอดี ไม่อย่างนั้นคุณคงต้องไปเจอผมที่
เกาะซัมมูนแน่” กฤติหมายถึงเกาะส่วนตัวของเขาซึ่งมีคฤหาสน์สุดหรูกับรีสอร์ทสวยๆที่ไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยว
ระดับวีไอพีกับคาสิโนไว้คอยให้ความสำราญกับผู้มาพัก ในท้องทะเลเขตประเทศเพื่อนบ้าน
“ถ้าอย่างนั้นผมก็โชคดีสิครับที่คุณกฤติมาพักหาความสำราญที่นี่ ผมไม่ทราบว่าผมมีเวลาพูดคุยธุระกับ
คุณนานแค่ไหน” ทานุถามอย่างเกรงใจ คงไม่ง่ายนักที่จะนัดลูกค้ารายนี้ได้เพราะนักธุรกิจข้ามชาติผู้กว้างขวาง
อย่างกฤติ ทวีทรัพย์สมบูรณ์นั้นจัดเป็นผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งของประเทศที่ใครๆต่างเกรงใจถ้าไม่บังเอิญเคยเป็น
คู่ค้าของบริษัทของเขามาตั้งแต่สมัยบิดาและกฤติยังหนุ่มไม่มีใครรู้จัก แต่เวลานี้คำถามของเขากลับไม่ได้คำ
ตอบเพราะอีกฝ่าย กำลังให้ความสนใจสาวสวยหน้าใสที่เพิ่งเข้ามานั่งในคอฟฟี่ช็อปในชั้นลอบบี้ของโรงแรมแห่ง
นี้เพราะสวยใสน่ารักมากจนผู้ที่พบเห็นมองตาค้าง
ทานุเห็นว่าคู่สนทนาไม่ตอบแต่ส่งสายตาไปสนใจอย่างอื่นแทนจึงมองตามแล้วเขาก็นิ่งตะลึงงันไปเหมือน
กันกับหญิงสาวที่พบโดยบังเอิญและไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ด้วย
“เป็นไงบ้าง สาวสวยนั่น ทำให้คุณตะลึงเลยเหรอ คุณทานุ” คราวนี้คู่สนทนาของทานุเป็นฝ่ายถามเอง
“เออ ครับ แต่ไม่ใช่หลงในความสวย เพราะเธอหน้าตาเหมือนน้องสาวบุญธรรมของผมมาก” ทานุบอก
พลางลอบสังเกตเห็นสายตาพึงพอใจของอีกฝ่ายกับข้อมูลที่เขาให้
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีสิ ผมอยากทำความรู้จักน้องสาวคุณเสียหน่อย” กฤติเห็นว่าการเจียดเวลามาพบทานุบุตร
ชายผู้มีพระคุณครั้งนี้ดีไม่น้อยที่จริงเขายกเลิกธุรกิจอัญญมณีไปนานแล้วเหลือไว้แค่ร้านเพชรพลอยบนเรือสำราญ
กับที่รีสอร์ตบนเกาะซัมมูนทั้งเพื่อตอบแทนบุญคุณของวัฒนา บิดาทานุที่ยอมเสี่ยงส่งอัญญมณีให้ร้านของเขา
ในสมัยที่เขาเริ่มเปิดร้านเพชรพลอยใหม่ๆทั้งที่ไม่มีใครกล้าเสี่ยงด้วยแถมไม่เคยทางค่าสินค้าถ้าเขาจ่ายไม่ตรงกำ
หนด กระทั่งอยู่ตัวได้จึงเริ่มทำธุรกิจอื่นบ้างและจับถูกทางจึงมีทุกวันนี้ ที่จริงเขาก็ไม่ได้สนใจบุตรชายวัฒนานัก
นานๆถึงจะเจอสักครั้งในฐานะคู่ค้าแต่ครั้งนี้คิดว่าชายหนุ่มคงมีอะไรใหม่ๆมานำเสนอบ้างและก็จริงเมื่อทานุรีบ
พูดเอาใจเมื่อเห็นเขาให้ความสนใจน้องสาวบุญธรรมนั่นเอง
“น้องสาวผมได้รับเกียรติจากคุณกฤติคงยินดีไม่น้อย ผมขอตัวสักครู่จะไปพาตัวยายฟางมาแนะนำให้รู้จัก”
เมื่อเห็นช่องทางที่จะทำให้การเจรจาธุรกิจของเขาประสบความเร็จลางๆ ทานุจึงรีบฉวยไว้ ผู้ชายด้วยกันทำไมจะ
มองไม่ออกว่านักธุรกิจหนุ่มใหญ่มากอิทธิพลผู้นี้มีงานอดิเรกคือกินตับสาวๆทั้งหลายได้หลงชอบน้องสาวบุญ
ธรรมของเขาเสียแล้ว
ลษิดามานั่งหาอะไรทานรองท้องเบาๆก่อนเดินทางต่อตามคำสั่งของปรินทร์ระหว่างรอเขาทำเรื่องเช็ค
เอาท์ออกจากโรงแรม ดวงตากลมโตงดงามมองไปรอบๆแล้วหยุดนิ่งสนิทเมื่อเห็นร่างสูงเพรียวของทานุกำลังเดิน
เข้ามาหาอย่างไม่เชื่อสายตานัก
“พี่นุ ไม่ได้ไปต่างประเทศเหรอคะ” ลษิดาทักขึ้นก่อน
“พี่ควรถามฟางมากกว่า มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” ทานุย้อนถามกลับแทนคำตอบ
“พี่นุน่าจะรู้ดีกว่าฟาง ว่าทำไม” คำตอบของเธอทำเอาทานุงง เกิดอะไรขึ้นกับลษิดากันแน่ แต่เขายังไม่
อยากหาคำตอบ ที่เขาต้องทำคือพาตัวน้องสาวบุญธรรมไปทำความรู้จักกับกฤติเพื่อทำให้การเจรจาการค้าครั้งนี้
ประสบความสำเร็จ เขาอยากให้กฤติช่วยเหมาสต็อกเครื่องประดับเพชรพลอยที่ถูกลูกค้าชาวยุโรปยกเลิกกะทัน
หันเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไม่อย่างนั้นเขาจะเสียหายมากมาย
“ฟาง ไปกับพี่ก่อน มีอะไรไว้กลับไปคุยที่บ้าน” ทานุทำท่าจะจับมืออเรียวสวยให้เดินตามเขาหากลษิดา
ขืนไว้และมองหน้าเขาด้วยสายตากังขาก่อนเอ่ยปฏิเสธด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ไม่ค่ะ ฟางจะไม่กลับไปอีกแล้ว” เป็นครั้งแรกที่ลษิดาแสดงอาการแข็งขืนกับเขาจนเขาแปลกใจ ปกติ
ลษิดาไม่เคยขัดความต้องการของเขาและทำตัวเป็นน้องสาวที่ดีเสมอมาจนเขาอดเอ็นดูไม่ได้ แต่ครั้งนี้
เห็นทีคงไม่ง่ายและต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอแน่
“โอเค พี่จะไม่บังคับฟางให้กลับไปกับพี่ แต่พี่อยากแนะนำคนๆหนึ่งให้ฟางรู้จัก ฟางโชคดีมากที่เขา
อยากรู้จักฟาง พี่ไม่อยากให้ฟางพลาดโอกาสนี้จะถือว่าพี่ขอร้องก็ได้” เวลานี้ทานุให้ความสำคัญกับเรื่องธุรกิจ
มากกว่าเรื่องของลษิดาที่เขาสงสัยเพราะขืนชักช้ากฤติอาจไม่รอ
“ก็ได้ค่ะ” ลษิดาตอบสั้นๆ ถึงอย่างไรทานุก็ไม่เคยทำร้ายเธอและเป็นบุตรชายของมารดาเลี้ยงซึ่งรักเธอ
มาก ดังนั้นเธอจึงจำต้องทำตามด้วยความเกรงใจยอมเดินตามเขาไป
“มาแล้วครับ น้องสาวผม ฟางพี่ขอแนะนำให้รู้จักคุณกฤติคู่ค้าคนสำคัญของแจมส์แอนด์คราฟ คุณกฤติ
ครับผมขอแนะนำให้รู้จักลษิดาน้องสาวผม” ทานุแนะนำให้กฤติรู้จักลษิดาทันทีเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายจ้องมองน้อง
สาวบุญธรรมของเขาตาไม่กระพริบ
“ยินดีที่รู้จักค่ะ คุณกฤติ” เสียงหวานใสเอ่ยออกมาจากสาวสวยหน้าใสน่ารักงดงามไปทั้งเนื้อทั้งตัวนั้นทำ
ให้กฤติผู้มีสาวสวยล้อมรอบกายมากมายมองตาค้างให้กับความงามของหญิงสาวตรงหน้าซึ่งคิดว่าสวยกว่านาง
งามและดาราหลายคนอีก
“ผมดีใจที่ได้รู้จักคนสวยๆน่ารักๆอย่างคุณฟาง” กฤติถือโอกาสเรียกชื่อเล่นลษิดาขณะเดียวกันก็ยื่นมือ
หนาออกไปหมายจะจับมือเรียวสวยมาสัมผัสอยากรู้ว่าจะนุ่มนิ่มสักแค่ไหนแต่ยังไม่ทันได้สัมผัสก็มีเสียงกร้าว
แทรกขึ้นอย่างไม่พอใจ
“คิดจะหลอกจับมือเมียผมเหรอ คุณกฤติ”
***กว่าจะปั่นตอนนี้ออกมาได้มีอุปสรรคเยอะ นานหน่อยนะคะหวังว่าจะยังตามท่ามกลางสถานการณ์บ้านเมืองร้อนระอุ
แต่อย่างไรก็ขอเป็นกำลังใจให้คนเสียสละเพื่อชาติยอมเหนื่อยยอมทนเพื่อทำให้บ้านเมืองถูกต้องตามหลักนิติรัฐนิติธรรม
เพื่อที่สังคมจะได้ไม่มีอันธพาลครองเมือง และจะขอเป็นหนึ่งในล้านที่ออกมาปกป้องชาติบ้านเมืองก่อนจะไม่มีอะไร
เหลือให้ลูกหลานอีกต่อไปเพราะคนเห็นแก่ตัว ผู้ปกครองรัฐที่ไร้ศีลไร้ธรรม ไม่อยากมาร่ำไห้เสียใจภายหลังเมื่อไม่มีสมบัติเหลือ
ให้ลูกหลานอีกต่อไปในภายภาคหน้าเพราะถูกผู้ใหญ่ย่ำยี ทำลายต่อไป เชื่อว่าทุกคนที่ออกไปต่างก็ไปด้วยใจหวงแหนแผ่นดิน
ไทย ทนเห็นปทถูกย่ำยีทำลายอีกต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ทิ้่งความกลัวที่เคยมี เพราะทุกคนคือคนไทยที่รักชาติรักแผ่นดินจึงทนไม่ไหวเลยต้อง
ขอเป็นส่วนหนึ่งของผู้ที่ออกไปปกป้องแผ่นดิน...พูดแบบนี้ไม่รู้จะรอดไหมเนี่ยแต่ยังไงก็ไม่ตกเทรนด์แล้วล่ะ อิอิอิ****
ด้านปิยดาซึ่งเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็ทำเป็นใจเย็นรอจนกระทั่งเห็นร่างสูงใหญ่พาลษิดาไปจากบ้านจึง
ค่อยๆย่องขึ้นบ้านโดยไม่ให้วรดาเห็น คงไม่เหมาะแน่ถ้าให้วรดารู้ว่าตนรู้เห็นเรื่องราวทั้งหมดเพราะหญิงสาวอาจ
เล่นงานตนได้ สู้รอให้ถึงเช้าค่อยมาช่วยก็แล้วกัน และถ้าเดาไม่ผิดผู้ชายที่มาช่วยลษิดาไปต้องเป็นปรินทร์เด็ก
หนุ่มที่มาอาศัยอยู่กับชาดาเมื่อสิบห้าปีก่อน มีเพียงมันคนเดียวที่เป็นเดือดเป็นแค้นยามนังฟางถูกรังแก คิดว่าไป
แล้วไปลับ ยังกลับมาหามาช่วยมันจนได้ รอก่อนนะหนูดาด้าแล้วอาจะมาช่วย หนูอยากร้ายนักนี่ขืนอาเข้าไปช่วย
ตอนนี้ก็จะเดือดร้อนไปด้วย ปิยดาคิดเอาตัวรอดจึงไม่เข้าไปช่วยวรดาในตอนนี้
นับเป็นคราวซวยของวรดาจริงๆที่ต้องทนถูกมัดกับต้นไม้ไปไหนไม่ได้แถมถูกยุงกัดจนตัวแดงเป็นจ้ำๆไป
หมดกระทั่งเกือบสว่างปิยดาจึงแสร้งทำเป็นออกมาเดินเล่นแล้วทำหน้าตกใจเมื่อเห็นหลานสะใภ้ถูกมัดติดกับต้น
ไม้หน้าเรือนปีกไม้เสื้อผ้าขาดวิ่น
“ตายแล้ว เกิดอะไรขึ้นเนี่ย หนูดาด้า ทำไมถูกจับเปลือยกายมัดอยู่อย่างนี้ มีใครอยู่บ้างมาช่วยคุณดาด้า
เร็ว” ปิยดาตะโกนร้องเรียกคนในบ้านให้วุ่นไปหมดพลางดึงผ้าปิดปากหลานสะใภ้ออก
“อาดา จะแหกปากร้องเรียกคนให้มาดูดาด้าเหรอไง ยังไม่รีบช่วยดาด้าอีก” พอปากเป็นอิสระวรดาก็ดุ
ว่าญาติสามีอย่างฉุนขาด เธอไม่อยากให้คนในบ้านมาเห็นเธอในสภาพนี้แต่ยัยแก่นี่กลับแหกปากร้องตกอกตกใจ
เรียกหาคนให้วุ่นไปหมด หรืออยากประจานเธอทำให้ได้อายกันแน่ วรดาเริ่มสงสัยแต่ไม่แน่ใจหากเธอรู้ว่าปิยดา
จงใจส่งเสียงร้องตกใจอยากให้คนมาเห็นคงแค้นแทบกระอัก
“จริงอามัวแต่ตกใจเลยลืมคิดเรื่องนี้ไป อาต้องขอโทษจริงๆ แต่อาว่าหนูรีบเข้าบ้านก่อน ฟ้ายังไม่สว่างยังไม่
ค่อยมีใครตื่นหรอก อีกอย่างเรือนนี้ก็อยู่ไกลจากเรืองคนใช้คงไม่มีใครได้ยิน รีบไปเถอะอาจะช่วยดูต้นทางให้”
ปิยดาแสร้งทำเป็นหวังดีพูดให้วรดาสบายใจและทำทีเป็นห่วง
“ถ้าจะช่วยก็ช่วยโทรแจ้งความกับตำรวจดีกว่า บอกว่าเมื่อคืนนังฟางมันพาผู้ชายที่มันเรียกว่าพี่สตรอง
มายกเค้าที่บ้าน และทำร้ายคนในบ้าน โน่นนอนสลบอยู่ใกล้ๆประตู แล้วดาด้าจะบอกคุณลุงให้ช่วยส่งคนติด
ตามมันสองคนด้วย ต่อให้หนีไปสุดหล้าฟ้าเขียวก็จะตามกลับมาให้ได้ ดาด้าขอไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน
อาดาจำไว้นะห้ามบอกใครว่าเห็นดาด้าในสภาพนี้แม้แต่นุ” วรดาแค้นจัดจนลืมนึกไปว่าลษิดากับปรินทร์ไปไกล
แล้วคงไม่มีใครตามทัน
“จ้าๆ แล้วอาจะรีบไปแจ้งความ หนูดาด้ารีบกลับห้องไปเถอะ ขืนชักช้าอาจมีใครมาเห็นเข้า ส่วนอาจะ
ไปแจ้งความเดี๋ยวนี้แหละ” ปิยดาทำเป็นเตือนด้วยความหวังดีก่อนพาร่างท้วมจากไป
วรดาพอเห็นปิยดาไปแล้วก็รีบเดินไปที่ห้องเพราะเธอยังมีอีกเรื่องที่ต้องทำอีกคือพาตัวตนัยออกจากบ้าน
ก่อนที่ปิยดาหรือใครๆจะมาเห็นเข้า คราวนี้เธอหาข้อแก้ตัวไม่เจอแน่ แต่พอเธอไปถึงห้องก็พบว่าตนัยไม่ได้อยู่ที่
ห้องมีแค่กระดาษแผ่นหนึ่งเขียนแปะไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียง
‘ไปก่อนนะดาด้า ฉันให้คนมารับ ขอไปรักษาตัวให้หายก่อนแล้วฉันจะแก้แค้นมันสองคนให้สาสมกับความ
บังอาจของมันต่อให้หนีไปอยู่สุดหล้าฟ้าเขียวฉันก็จะล่าตัวมันสองคนให้ได้’
“ฉันเองก็ไม่ปล่อยพวกมันไว้เหมือนกัน ถ้าเจอตัวอีกครั้ง พวกแกอย่าหวังว่าจะรอด” วรดาเอ่ยอย่างแค้นจัด
เช่นกัน แต่เธอลืมไปว่าคนที่เธอกับตนัยต่างคิดแก้แค้นนั้นไม่ใช่หมู ไม่ได้กลัวอิทธิพลของใครด้วยถึงแม้ว่าเธอจะเป็น
หลานสาวนายกเทศมนตรีผู้ทรงอิทธิพลและบิดาของตนัยเป็นนักธุรกิจผู้ทรงอิทธิพลของเมืองนี้ก็ตาม เพราะเขา
เหนือกว่าทุกด้าน
ชชชชชชชชชชชชชชชชชชชช
ปรินทร์ขับรถพาลษิดาออกจากบ้านสิทธิไพศาลมาเรื่อยๆจนผ่านเข้าเขตจังหวัดท่องเที่ยวแห่งหนึ่งจึงขับรถ
เลี้ยวเข้าโรงแรมแรกที่พบเพื่อพักเพราะเลยเวลาเที่ยงคืนมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว
“พี่สตรองมาโรงแรมทำไมคะ” ลษิดารู้สึกหวั่นใจชอบกลพลางมองหน้าชายหนุ่มอย่างไม่ค่อยไว้วางใจนัก
หญิงสาวยอมรับแม้ผู้ชายตรงหน้าจะเป็นพี่สตรองของเธอแต่การที่เขาพารถเข้ามาจอดในโรงแรมนั้นมันทำให้เธอ
ไว้วางใจไม่ได้เต็มร้อย
“พาสาวสวยมาปล้ำ” ปรินทร์ตอบได้ตรงกับที่เธอกลัวนักและยิ่งเขาเห็นท่าทางหวาดกลัวของลษิดายิ่งอยาก
แกล้งโทษฐานเห็นเขาเป็นคนไม่ดีไปได้ ดังนั้นร่างสูงจึงทำทีเป็นขยับจะเข้าใกล้ร่างบางที่เอามือจับกระเป๋าแน่นราว
กับมันจะช่วยเธอให้พ้นภัยได้
“พี่สตรอง อย่าทะ..ทำอะไรน้องฟางนะคะ น้องฟางไม่น่าปล้ำสักนิด” ลษิดารู้สึกกลัวคนคุ้นเคยในอดีตขึ้น
มาเฉยๆ ใช่สิก็คนคุ้นเคยเปลี่ยนไปมากและจากไปนานจนเธอเริ่มกลัว จะไม่ให้กลัวได้ไงก็แววตาที่จ้องมองสำรวจ
ไปทั่งตัวเธอนั้นดูหื่นๆชอบกล
“ใครบอกไม่น่าปล้ำ เท่าที่พี่เห็นน้องฟางโตแล้วรูปร่างดีมาก หน้าตาก็สวยน่ารักราวกับเทพธิดาใสซื่อ
บริสุทธิ์ ผู้ชายคนไหนเห็นน้องฟางแล้วอดใจไหว พี่ว่ามันต้องฝึกตบะมาอย่างแรงกล้าเชียวล่ะ” คำพูดตรงๆไม่มี
อ้อมกับรอยยิ้มขำพลางขยับร่างสูงใหญ่เข้าหาร่างบางดุจจะแกล้งนั้นยิ่งทำให้ลษิดากลัวเข้าไปอีกแล้วก็ปล่อย
โฮออกมาเมื่อความผิดหวังเสียใจประดังเข้าสู่ใจเพราะพี่สตรองแสนดีของเธอเปลี่ยนไปไม่ต่างจากชายอื่นที่คิด
ไม่ดีกับเธอ
“ฮือๆๆ คนหลอกลวง อย่าเข้ามาใกล้นะ พี่สตรองคนดีของน้องฟางไปไหน ฮือๆๆ” ดวงตากลมโตคู่สวย
ชุ่มไปด้วยน้ำตากับเสียงสะอื้นไห้เสียใจอย่างหนักนั้นทำให้หัวใจแข็งกร้าวอ่อนยวบและนึกด่าตัวเองที่คิดหยอก
ลษิดาเล่นโดยลืมนึกไปว่าหญิงสาวเพิ่งผ่านเรื่องเลวร้ายมา มือแข็งแรงรีบดึงร่างบางอรชรมากอดไว้แนบอกพลาง
เอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่นเหมือนเมื่อสิบกว่าปีก่อนที่ต้องคอยปลอบน้องฟาง
“โอ๋ๆ เงียบเสียน้องฟางคนดีของพี่สตรอง พี่ขอโทษที่หยอกน้องฟางแรงไปหน่อย เอาเป็นว่าพี่ไม่ดีเอง
ที่เล่นไม่ถูกเวลาและอารมณ์ น้องฟางจะเอาคืนพี่เหมือนตอนเล็กๆก็ได้นะ พี่ยินดี ขออย่างเดียวอย่าโกรธกลัว
พี่ก็พอ พี่ยังเป็นพี่สตรองคนเดิมของน้องฟางเสมอ”
ลษิดาขยับออกห่างแหงนมองใบหน้าคมราวรูปสลักที่จ้องมองมาด้วยแววอบอุ่นก่อนนิ้วเรียวแกร่งจะเช็ด
น้ำตาที่แก้มบางใสให้พร้อมรอยยิ้มอันอบอุ่นเหมือนครั้งเธอเป็นเด็กแล้วส่งยิ้มหวานให้ก่อนที่ฟันขาวราวไข่มุกจะ
ก้มลงกัดเนื้อบนท่อนแขนแข็งแรงจนเกิดเป็นรอยฟันเล็กๆแล้วหัวเราะๆเบาๆอย่างสะใจที่ได้เอาคืนขณะที่เจ้าของ
แขนเริ่มทำหน้าไม่พอใจเพราะน้องฟางทำตามที่บอกนั่นเอง ก็ฟันน้องฟางคมน้อยเสียเมื่อไหร่กัน
“ดีใจสินะที่ได้เอาคืนพี่ ยายเด็กใจร้าย ไม่รู้จักออมแรงบ้างเลย” คนตัวใหญ่กว่าอายุมากกว่ามีบ่น
“ก็ ก็ พี่สตรองเป็นคนอนุญาตเองจะมาบ่นทำไม” คนอายุน้อยกว่าตัวเล็กกว่ามีย้อนอย่างกล้าๆกลัว
“เถียงได้ฉอดๆแบบนี้ แสดงว่าหายโกรธพี่แล้ว ไปเช็คอินกันได้แล้ว พี่อยากให้น้องฟางพักสักสามสี่ชั่ว
โมงทำตัวให้สดชื่นแล้วค่อยเดินทางต่อ เรายังต้องเดินทางอีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงที่หมาย อีกอย่างที่นี่ก็ปลอด
ภัยพอสมควร เราเข้าไปพักก่อน พี่เองก็เหนื่อยเหมือนกัน” ในที่สุดปรินทร์ก็ตัดสินใจบอกจุดประสงค์ที่แท้จริงให้
เธอรู้ ไม่อยากเสียเวลาโต้เถียงหยอกล้อกันอีก
“แน่นะคะ ที่ต้องการพักจริงๆ” ลษิดายังไม่ค่อยมั่นใจนัก ถึงแม้ผู้ชายตรงหน้าจะเปรียบเหมือนพี่ชายแสน
ดีสำหรับเธอแต่นั่นมันสมัยเธอยังเป็นเด็ก จากไปสิบกว่าปีเธอไม่ค่อยแน่ใจว่าเขาจะเปลี่ยนไปหรือไม่ มารดาเคย
สอนว่า จะดูคนต้องดูนานๆ อย่าไว้ใจเพราะเขาเคยช่วยเราหรือดีกับเรา
“พี่ไม่เข้าใจจริงๆ น้องฟางโตแล้วทำไมกลายเป็นคนขี้ระแวงอย่างนี้นะ ถ้าพี่คิดร้ายกับน้องฟางจริงๆ
จะมาช่วยน้องฟางทำไม” เขาแกล้งบ่นน้อยใจและนั่นก็ทำให้ลษิดาคิดได้ จริงสินะ เธอเฝ้ารอคอยให้พี่สตรองกลับ
มาช่วยเธอแต่เวลานี้กลับคิดระแวงเขา เธอนี่ใช้ไม่ได้จริงๆฟาง
“น้องฟางขอโทษที่คิดไม่ดีกับพี่สตรองค่ะ แต่..พี่สตรองอยากทำให้น้องฟางไม่วางไว้ใจก่อนทำไมล่ะคะ”
แม้รู้ตัวว่าผิด ลษิดาก็ยังหาข้อแก้ตัวแบบพาโลโฉเกได้เหมือนครั้งสมัยเป็นเด็กที่มักโทษปรินทร์เสมอยามถูกเขาดุ
หรือทำท่าเหมือนไม่พอใจในความดื้อของเธอ
“ดีนะ ทั้งหมดนี่กลายเป็นความผิดของพี่ ก็ได้ๆ ยอมรับ แล้วจะลงจากรถได้หรือยังนางฟ้าตัวน้อยของ
พี่สตรอง” คราวนี้เขาเรียกเธอเหมือนครั้งเมื่อเธอเป็นเด็กยามเธองอน เลยทำให้เด็กที่โตแล้วหน้าง้ำพลางเปิด
ประตูรถแล้วลุกเดินตรงเข้าโรงแรมโดยไม่รอร่างสูงใหญ่ทีหยิบเป้ในรถกับกระเป๋าของเธอแล้วรีบเดินตามไป
“สวัสดีค่ะ มีอะไรให้รับใช้คะ” สาวสวยประจำหน้าเคาท์เตอร์ในชั้นล็อปบี้ของโรงแรมกล่าวทักทายลษิดา
ทันทีที่หญิงสาวเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าและคำถามนั้นก็ทำเอาผู้ถูกถามมีอาการนิ่งอึ้งไปชั่วขณะก่อนบอกจุด
ประสงค์ออกไป
“คือ..เอ่อ..ไม่ทราบมีห้องว่างสักห้องไหมคะ”
“ไม่ทราบจองไว้หรือเปล่าคะ ถ้าไม่ได้จองไว้ล่วงหน้าดิฉันขอเช็คดูก่อนค่ะ ช่วงนี้ห้องพักค่อนข้างเต็มค่ะ”
พนักงานสาวสวยของตอบพลางลอบสบตาร่างสูงใหญ่ที่ยืนข้างลูกค้าสาวสาวยแล้วทำท่ากดแป้นพิมพ์คอมพิว
เตอร์ตรวจสอบอยู่ครู่หนึ่งก่อนเงยหน้าแล้วตอบว่า “ห้องเหลือแค่ห้องเดียวค่ะแต่เป็นเตียงเดี่ยวสำหรับสองท่านค่ะ”
“ตกลงผมจองครับ” คนตอบกลับเป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ยืนข้างลูกค้าสาวสวยซึ่งหันไปมองหน้าคนตอบ
ทันทีที่ได้ยินเสียงก่อนหันไปพูดกับพนักงานสาวสวยของโรงแรมแทน “ไม่ทราบพอจะเปลี่ยนเป็นเตียงคู่ได้ไหมคะ”
คำถามนี้เล่นเอาคนถูกถามต้องหันไปมองชายหนุ่มที่ยืนข้างลูกค้าสาวสวยเป็นเชิงขอคำปรึกษาด้วยสี
หน้าลำบากใจ
“น้องฟางครับ ถ้าเปลี่ยนผ้าปูเตียงหรือปลอกหมอน โรงแรมคงเปลี่ยนให้ง่ายกว่ามั้ง เอาเป็นว่าเรารีบแช็ค
อินดีกว่า จะได้รีบพัก เราต้องเดินทางต่ออีกไกล” ปรินทร์ตัดสินใจแทนโดยไม่ขอความเห็นคนตัวเล็กกว่าที่มีสีหน้า
ไม่พอใจแต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะเวลานี้เขาใหญ่สุด
“นี่ค่ะคีการ์ด ห้อง329 เดี๋ยวจะให้เจ้าหน้าที่พาไปค่ะ” พนักงานสาวสวยบอกพลางยื่นกุญแจห้องให้
จากนั้นลูกค้าเส้นใหญ่ของโรงแรมก็รีบจูงมือสาวสวยใบหน้าหงิกงอไปที่ลิฟต์
‘เฮ่อโล่งอกไปที คิดว่าจะถูกจับได้เสียแล้ว’ พนักงานสาวสวยลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกเพราะเธอได้ทำ
ตามคำสั่งลูกค้าหนุ่มหน้าตาดีสุดๆเท่าที่เคยพบมาที่ได้โทรมาบอกไว้ล่วงหน้าและให้ทำตามแผนที่เขาบอกโดยยินดี
จ่ายค่าบริการเพิ่มเป็นสองเท่าและการทำให้ลูกค้าพึงพอใจก็นโยบายหลักของโรงแรมอยู่แล้วจึงไม่เป็นปัญหาแต่ดู
ท่าลูกค้าหนุ่มหล่ออาจมีปัญหากับคนรักก็ได้
“ตามสบายนะน้องฟางอยากนอนก็นอนได้เลย พี่ขอตัวอาบน้ำก่อน เหนียวตัวไปหมด น้องฟางคงไม่ต้อง
อาบมั้ง เพราะหนีตามพี่ก่อนเข้านอน” ปรินทร์ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษที่ได้แหย่คนสวยหน้าง้ำเล่นหลังเข้ามาในห้อง
พักแล้ว ทว่าคนถูกแหย่กลับไม่พูดไม่มองหน้าหล่อๆของเขาด้วยซ้ำแต่ทำตามที่บอกหน้าตาเฉยเลยทำให้ร่างสูงใหญ่
เกิดอาการเหวอไปชั่วขณะแล้วยิ้มเดินฮำเพลงเข้าห้องน้ำพร้อมพร้อมเป้ในมือจึงไม่เห็นร่างบางลุกขึ้นมามองค้อน
คนอารมณ์ดีไล่หลังพลางพึมพำเบาๆ
“พี่สตรองบ้า ยั่วไม่เลิก เสียงเพราะตายล่ะร้องมาได้” จากนั้นก็มองสำรวจไปทั่วห้องพักอันกว้างใหญ่
ก่อนมองรอบๆเตียงกว้างแล้วลงจากเตียง ไปหยิบหมอนอิงตรงเก้าอี้มาทำเป็นเส้นแบ่งเขตบนเตียงแล้วปิดไฟใน
ห้องเหลือไฟทางเดินกับไฟหัวเตียงอีกฝั่งก่อนสอดตัวเข้าผ้าห่มนอนลืมตาท่ามกลางแสงไฟสลัวในห้องพลางคิด
ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในค่ำคืนที่ผ่านมากระทั่งมานอนลืมตาบนเตียงในเวลานี้แถมมีเพื่อนร่วมเตียงเป็นคนตัวใหญ่
ที่เคยสนิทผูกพันมาตั้งวันแรกที่ได้พบเจอเมื่อสิบห้าปีก่อน
‘พี่สตรองเปลี่ยนไปมาก จะไว้ใจได้แค่ไหน คิดอย่างไรกับเรา ต่อไปจะฝากชีวิตไว้ได้ไหม’ ลษิดาเกิดคำถาม
ในใจมากมายกับคนที่ยังอยู่ในห้องน้ำอีกทั้งรู้สึกหวาดหวั่นไม่มั่นใจในอีกฝ่ายด้วย หญิงสาวคิดกลับไปมากระทั่ง
ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องน้ำออกมาจึงรีบหันหลังแล้วแสร้งทำเป็นหลับทั้งที่ใจตุ้มๆตั่มๆ
ร่างสูงใหญ่พอออกจากห้องน้ำก็มาหยุดยืนที่หัวเตียงอีกฝ่ายพลางกวาดสายตามองคนแสร้งหลับหัน
หลังให้แล้วยิ้มขำให้กับกำแพงเบอร์ลินสีสวยที่ลษิดาสร้างขึ้นก่อนล้มตัวลงนอนแรงๆคล้ายแกล้งและนั่นก็ทำ
ให้คนแสร้งทำเป็นหลับสนิทแทบสะดุ้งด้วยความตกใจหากยังระงับได้ขณะที่ใจต่อว่าคนชอบแกล้ง
‘พี่สตรองบ้า จะแกล้งไปถึงไหนกัน’
ต่อมาก็รับรู้ถึงการขยับตัวของร่างสูงจนเตียงไหวกับเสียงพูดดังๆเหมือนจงใจให้คนที่หลับอยู่ได้ยิน
“อย่าว่าพี่นะน้องฟางถ้าพี่จะเอากำแพงเบอร์ลินระหว่างเราออก เพราะมันถูกทะลายตั้งแต่เยอรมัน
รวมเป็นประเทศเดียวกันตั้งนานแล้ว” มือหนาก็จับหมอนทั้งหลายที่กั้นแบ่งเขตเหวี่ยงทิ้งไปแต่ยังไม่พอคนทำลาย
กำแพงเบอร์ลินยังพูดจาให้หวาดเสียวอีกว่า “ว้าไม่มีหมอนข้างนอนไม่หลับ พี่ขออนุญาตยืมตัวน้องฟางมาเป็น
หมอนข้างให้พี่กอดหน่อยนะ” เท่านั้นแหละคนที่แสร้งทำเป็นหลับก็ทนไม่ไหวรีบลุกขึ้นนั่งขยับตัวหนีแทบไม่ทัน
“อย่านะคะพี่สตรอง น้องฟางไม่ใช่หมอน” ลษิดารีบหาข้ออ้างทันที
“อ้าวคิดว่าหลับไปแล้ว แกล้งเหรอนี่ ร้ายนักนะน้องฟาง อย่างนี้ต้องทำโทษให้เป็นหมอนข้างจริงๆแล้ว”
ปรินทร์ยังคงยั่วคนขี้กลัวไม่เลิก รู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกที่ได้ยั่วน้องฟางของเขาอยากรู้ลษิดาจะทำอย่างไร
“ไม่ให้ทำโทษเพราะน้องฟางไม่ผิด อยากได้หมอนข้างก็ขอทางโรงแรมเองสิ” คราวนี้คนขี้กลัวเกิดอาการ
ฉุนเลยสวนกลับเข้าให้แต่เขากลับยิ้มขำให้กับกิริยาของเธอ
“ใจร้ายจัง น้องฟางคนสวย ช่วยพี่ให้หลับหน่อยก็ไม่ได้ คนอุตส่าห์ช่วย” เสียงบ่นน้อยดังขึ้นพร้อมกับร่าง
สูงใหญ่ที่ล้มตัวลงนอนแต่ดูเหมือนจงใจขยับตัวเข้ามาใกล้ยังไงไม่รู้จนคนตัวเล็กกว่าชักกลัว ครั้นจะถอยก็ถอยไม่
ได้กลัวตกเตียงเมื่อทำอะไรไม่ได้จึงจำต้องล้มตัวลงนอนพร้อมเสียงพึมพำเบาๆอย่างเหลืออดว่า “ฮึ ทำดีเพราะ
หวังผล ไม่เรียกว่าคนดีหรอก” แล้วทำเป็นหลับทั้งที่ใจนั้นคอยระแวงตลอดกลัวคนร่วมเตียงจะฉวยโอกาสคว้าตัว
ไปเป็นหมอนข้างแต่ทำไปทำมาก็หลับจริงๆ
คนร่วมเตียงจึงลุกขึ้นนั่งแล้วชะโงกหน้าไปดูใกล้ๆ พิศมองใบหน้าสวยใสอยู่ครู่หนึ่งก่อนจรดริมฝีปากอุ่นลง
บนแก้มเนียนใสหอมกรุ่นอย่างอดใจไม่ไหว แต่ความหอมของแก้มสาวทำให้ติดใจจนต้องแอบหอมติดๆกันอีก
หลายทีก่อนตัดใจขยับใบหน้าออกห่าง
‘จะกล่าวหาว่าลักจูบก็ยอมแต่ไม่ผิดนี่ แก้มน้องฟางเขาก็หอมออกบ่อยไปตอนเด็กๆ ไม่เห็นว่าอะไร
โตแล้วก็หอมได้เหมือนกัน’ ความคิดแบบเข้าข้างตัวเองสุดๆผุดขึ้นเพื่อเป็นการแก้ตัวให้กับตัวเองก่อนล้มตัวลง
นอนแล้วไม่วายดึงคนตัวเล็กกว่าเข้ามากอดไว้แนบอกไม่ได้เอาขาก่ายร่างบางถือว่าไม่ผิดเพราะไม่ได้เอาตัวมา
มาเป็นหมอนข้างนี่จากนั้นก็หลับไปด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นสุขกับผู้หญิงคนแรกในอ้อมกอดกระทั่งเช้าโดยไม่รู้ตัว
ด้วยความเพลีย
ลษิดาหลับอย่างเป็นสุขรู้สึกอบอุ่นมั่นคงปลอดภัยในอ้อมแขนแข็งแรงโดยไม่รู้ตัวแต่พอรู้สึกตัวลืมตาตื่นขึ้น
สายตาก็กระทบกับกำแพงอกอันแข็งแกร่งกับลมหายใจสม่ำเสมอของเจ้าของอ้อมกอดพลันใบหน้าก็เปลี่ยนสีร้อน
ขึ้นมาเฉยๆด้วยความอายและค่อยๆขยับตัวให้หลุดพ้นจากอ้อมกอดก่อนที่อีกฝ่ายจะตื่นมาแล้วเธอจะหาข้อแก้ตัว
ไม่เจอแม้จะไม่รู้ว่าเป็นเธอหรือเขากันแน่ที่พาตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน แต่กลับทำให้ร่างสูงใหญ่ลืม
ตาตื่นขึ้นพร้อมคำถามทันที
“ตื่นแล้วเหรอ เด็กขี้เซา ไหนว่าไม่ใช่หมอนข้างแล้วมานอนให้พี่กอดทำไม” คำถามนี้ทำเอาเธอไม่รู้จะตอบ
อย่างไรดี รู้อยู่อย่างเดียวคืออยากทำร้ายร่างกายคนขยันพูดให้ได้อายจึงไม่รีรอที่จะจิกเล็บลงบนเนื้อที่อกแกร่ง
แรงๆเป็นการเอาคืนคำถามอันร้ายกาจของพี่สตรองแสนร้ายแทน
“โอ๊ย” ได้ผลเสียงคนถูกทำร้ายร้องดังๆ เธอจึงรีบฉวยโอกาสนี้พาตัวให้พ้นจากอ้อมกอดแข็งแรงทันทีแต่
ยังไม่ทันได้ลงจากเตียงก็ถูกมือแข็งแรงรวบตัวมากอดไว้ทั้งตัว
“ทำร้ายร่างกายแล้วคิดหนี ไม่ดีมั้งน้องฟาง” เสียงขู่ดังข้างหูแต่แก้มเนียนใสหอมกรุ่นนิสิถูกริมฝีปาก
อุ่นแอบสูดดมความหอมไปหลายตลบโดยที่เจ้าของแก้มทำอะไรไม่ได้เอาเลยเพราะสู้แรงไม่ได้อยู่แล้ว
“แล้วที่พี่สตรองลวนลามน้องฟางถือเป็นเรื่องดีเหรอ” เมื่อแรงกายสู้ไม่ได้ลษิดาจึงใช้วาจาโต้กลับแทน
ไม่เคยคิด พี่สตรองคนดีของเธอ จะกลายเป็นคนปากว่ามือถึงเพียงนี้ ที่น่าเจ็บใจคือตัวเองมากกว่าที่ยอมและไม่
นึกรังเกียจเหมือนตอนถูก ตนัยลวนลามด้วย อาจเป็นเพราะความคุ้นเคยกับสัมผัสแบบนี้ สมัยเธอเป็นเด็กปรินทร์
มักแอบหอมแก้มบ่อยๆด้วยความเอ็นดู แล้วตอนนี้แอบหอมด้วยความเอ็นดูหรือมีวาระซ่อนแร้นกันแน่
“ดีสิ ได้หอมแก้มน้องฟางแล้วชื่นใจที่สุด ตอนเด็กๆไม่เห็นบ่นว่าเลยเวลาพี่หอมแก้ม โตแล้วคงกลัวน้ำลาย
พี่ทำให้แก้มเหม็นแล้วมีสิวหมดสวย เลยไม่อยากให้พี่หอมใช่มั้ย” ไม่รู้เป็นอะไรพอเห็นใบหน้าสวยใสงอง้ำแล้ว
ปรินทร์ก็อยากแกล้งทุกที เหมือนสมัยเธอยังเป็นเด็ก
“รู้ก็ดีแล้วนี่” ดูท่าเธอจะโกรธไม่น้อยจึงประชดกลับ
“ไม่เป็นไร พี่จะพาไปรักษา เข้าครอสหน้าใสเด้งไร้รอยสิวเอง” เขาช่างร้ายได้ใจเธอจริงๆ พูดแบบนี้เห็นที
เธอต้องเปลืองแก้มตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันแน่แล้วจะยอมได้อย่างไรกัน
“ขอบคุณในความหวังดี แต่ไม่จำเป็น” เสียงหวานเย็นสนิทสวนกลับอย่างเย่อหยิ่งจนน่าหมั่นไส้สำหรับคน
ฟังเพียงแค่คนเดียวที่ได้ยิน
“เก่งจริงตัวแค่นี้ พี่ก็อยากรู้เหมือนกันว่าจะเก่งได้แค่ไหน...แต่เราอย่ามาเสียเวลาหยอกเล่นกันเลย ต้องรีบ
ออกเดินทางต่อ สายมากแล้ว เดี๋ยวจะไปถึงที่หมายช้า น้องฟางไปล้างหน้าล้างตาก่อนหรืออยากอาบน้ำเปลี่ยนชุด
ก็ได้นะ พี่เอากระเป๋าน้องฟางมาให้แล้ว” ปรินทร์ไม่อยากเสียเวลาอีก ระยะทางจากนี่ไปถึงผาตะวันไม่ใช่ใกล้ๆ
“ไม่ต้องค่ะ น้องฟางแค่ล้างหน้าล้างตาก็พอ” ลษิดาไม่อยากทำตัวเรื่องมาก
“แน่นะ ต้องเดินทางต่ออีกเกือบวัน ไม่กลัวตัวเหม็นเน่าเหรอ” เขาไม่วายยั่วเธอเล่นอีก ไม่เข้าใจตัวเอง
เหมือนกันทำไมอยากยั่วอยากหยอกน้องฟางตลอดเวลา
“ดีจะได้ไม่ถูกคนแถวนี้รังแกเอา” เธอก็ปากไวใช่เล่นสวนกลับแล้วรีบเผ่นเข้าห้องน้ำทันทีกลัวคนแถวนี้
รังแก ร่างสูงได้แต่ส่ายหน้าให้กับความปากร้ายของเธอ ตอนเด็กๆไม่เห็นปากร้ายอย่างนี้เลยนี่แล้วเดินไปหยิบ
ชุดจากเป้มาเปลี่ยน น้ำท่าไม่ต้องอาบหรอก เพิ่งอาบไปไม่กี่ชั่วโมงมานี่เอง แต่พอเปลี่ยนชุดเสร็จเสียงโทรศัพท์
มือถือก็ดังขึ้นจึงหยิบมาดูและกดรับเมื่อมันโชว์เบอร์คนของเขา
“ฟาล มีเรื่องอะไรที่ผาตะวัน”
“ผาตะวันปกติดีครับ แต่พวกมันเปลี่ยนเป้าหมายจากผาตะวันมาเล่นงานคุณแทนครับ”
“ขอบใจที่บอก อย่างอื่นมีอะไรอีกไหม”
“ไม่มีครับ”
“ดี บอกนายแม่ด้วยพรุ่งนี้ฉันจะไปถึงผาตะวันพร้อมของขวัญล้ำค่าให้นายแม่ ให้เตรียมรับขวัญให้ดี”
สั่งจบก็วางสาย จังหวะเดียวกับคนในห้องน้ำออกมาพอดี
“พี่ขอเวลาห้าหน้าทีล้างหน้าล้างตาบ้าง แล้วอย่าเพิ่งออกจากห้อง ให้รอพี่ก่อน” ร่างสูงใหญ่สั่งเสียงเข้ม
แล้วเดินเข้าห้องน้ำไป คนถูกสั่งเลยส่งค้อนตามพลางพึมพำเบาๆ “สั่งอย่างกับกลัวเราหนี จะหนีไปทำไมอีกก็หนี
ตามพี่สตรองมาแล้วนี่”
ชชชชชชชชชชชชช
ที่ล็อบบี้ของโรงแรม ทานุนั่งทานกาแฟรอลูกค้าคนสำคัญ ชายหนุ่มไม่ได้ไปต่างประเทศอย่างที่บอกคนที่
บ้านไว้เพราะไม่อยากให้ตามมารบกวน เวลาเจรจาธุกิจกับลูกค้าสำคัญเขาชอบความเป็นส่วนตัวอีกอย่างที่นี่เขา
ก็มีบ้านพักที่แอบซื้อไว้เพื่อพักผ่อนคลายเครียดโดยไม่มีใครรบกวน พักสักสองสามวันค่อยไปกรุงเทพฯรับลูกค้า
อีกคนไปพักที่บ้านและพาดูกิจการของเขาซึ่งเป็นโรงงานเจียรไนเพชรพลอยกับเครื่องประดับส่งออกไปขายทั่วโลก
กับในประเทศ
ไม่นานนักหนุ่มใหญ่อายุราวสี่สิบห้ารูปร่างสูงใหญ่หนาผิวขาวใบหน้าบอกความเป็นลูกจีนทว่าดูดีสวมชุด
ลำลองสบายๆคล้ายนักท่องเที่ยวมีผู้ติดตามเป็นชายหนุ่มร่างใหญ่สวมกางยาวแค่เข่ากับเสื้อยึดสองนายเดิน
ตรงมาหาขณะที่ผู้ติดตามทั้งสองเดินเลี่ยงไปนั่งโต๊ะอีกตัว และทันทีที่ทานุเห็น เขารีบลุกขึ้นยืนต้อนรับ
“สวัสดีครับคุณกฤติ ผมดีใจที่คุณให้เกียรติผมมาตามนัด เชิญนั่งครับ” ทานุทักทายพร้อมทำท่าเชื้อเชิญ
เขารู้ ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้ามีอิทธิพลและร่ำรวยไม่ใช่ย่อยเพราะเป็นเจ้าของกิจการเรือสำราญกับธุรกิจน้ำมัน
“สวัสดีคุณทานุ คุณโชคดีมากที่บังเอิญผมมาพักผ่อนที่นี่พอดี ไม่อย่างนั้นคุณคงต้องไปเจอผมที่
เกาะซัมมูนแน่” กฤติหมายถึงเกาะส่วนตัวของเขาซึ่งมีคฤหาสน์สุดหรูกับรีสอร์ทสวยๆที่ไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยว
ระดับวีไอพีกับคาสิโนไว้คอยให้ความสำราญกับผู้มาพัก ในท้องทะเลเขตประเทศเพื่อนบ้าน
“ถ้าอย่างนั้นผมก็โชคดีสิครับที่คุณกฤติมาพักหาความสำราญที่นี่ ผมไม่ทราบว่าผมมีเวลาพูดคุยธุระกับ
คุณนานแค่ไหน” ทานุถามอย่างเกรงใจ คงไม่ง่ายนักที่จะนัดลูกค้ารายนี้ได้เพราะนักธุรกิจข้ามชาติผู้กว้างขวาง
อย่างกฤติ ทวีทรัพย์สมบูรณ์นั้นจัดเป็นผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งของประเทศที่ใครๆต่างเกรงใจถ้าไม่บังเอิญเคยเป็น
คู่ค้าของบริษัทของเขามาตั้งแต่สมัยบิดาและกฤติยังหนุ่มไม่มีใครรู้จัก แต่เวลานี้คำถามของเขากลับไม่ได้คำ
ตอบเพราะอีกฝ่าย กำลังให้ความสนใจสาวสวยหน้าใสที่เพิ่งเข้ามานั่งในคอฟฟี่ช็อปในชั้นลอบบี้ของโรงแรมแห่ง
นี้เพราะสวยใสน่ารักมากจนผู้ที่พบเห็นมองตาค้าง
ทานุเห็นว่าคู่สนทนาไม่ตอบแต่ส่งสายตาไปสนใจอย่างอื่นแทนจึงมองตามแล้วเขาก็นิ่งตะลึงงันไปเหมือน
กันกับหญิงสาวที่พบโดยบังเอิญและไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ด้วย
“เป็นไงบ้าง สาวสวยนั่น ทำให้คุณตะลึงเลยเหรอ คุณทานุ” คราวนี้คู่สนทนาของทานุเป็นฝ่ายถามเอง
“เออ ครับ แต่ไม่ใช่หลงในความสวย เพราะเธอหน้าตาเหมือนน้องสาวบุญธรรมของผมมาก” ทานุบอก
พลางลอบสังเกตเห็นสายตาพึงพอใจของอีกฝ่ายกับข้อมูลที่เขาให้
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีสิ ผมอยากทำความรู้จักน้องสาวคุณเสียหน่อย” กฤติเห็นว่าการเจียดเวลามาพบทานุบุตร
ชายผู้มีพระคุณครั้งนี้ดีไม่น้อยที่จริงเขายกเลิกธุรกิจอัญญมณีไปนานแล้วเหลือไว้แค่ร้านเพชรพลอยบนเรือสำราญ
กับที่รีสอร์ตบนเกาะซัมมูนทั้งเพื่อตอบแทนบุญคุณของวัฒนา บิดาทานุที่ยอมเสี่ยงส่งอัญญมณีให้ร้านของเขา
ในสมัยที่เขาเริ่มเปิดร้านเพชรพลอยใหม่ๆทั้งที่ไม่มีใครกล้าเสี่ยงด้วยแถมไม่เคยทางค่าสินค้าถ้าเขาจ่ายไม่ตรงกำ
หนด กระทั่งอยู่ตัวได้จึงเริ่มทำธุรกิจอื่นบ้างและจับถูกทางจึงมีทุกวันนี้ ที่จริงเขาก็ไม่ได้สนใจบุตรชายวัฒนานัก
นานๆถึงจะเจอสักครั้งในฐานะคู่ค้าแต่ครั้งนี้คิดว่าชายหนุ่มคงมีอะไรใหม่ๆมานำเสนอบ้างและก็จริงเมื่อทานุรีบ
พูดเอาใจเมื่อเห็นเขาให้ความสนใจน้องสาวบุญธรรมนั่นเอง
“น้องสาวผมได้รับเกียรติจากคุณกฤติคงยินดีไม่น้อย ผมขอตัวสักครู่จะไปพาตัวยายฟางมาแนะนำให้รู้จัก”
เมื่อเห็นช่องทางที่จะทำให้การเจรจาธุรกิจของเขาประสบความเร็จลางๆ ทานุจึงรีบฉวยไว้ ผู้ชายด้วยกันทำไมจะ
มองไม่ออกว่านักธุรกิจหนุ่มใหญ่มากอิทธิพลผู้นี้มีงานอดิเรกคือกินตับสาวๆทั้งหลายได้หลงชอบน้องสาวบุญ
ธรรมของเขาเสียแล้ว
ลษิดามานั่งหาอะไรทานรองท้องเบาๆก่อนเดินทางต่อตามคำสั่งของปรินทร์ระหว่างรอเขาทำเรื่องเช็ค
เอาท์ออกจากโรงแรม ดวงตากลมโตงดงามมองไปรอบๆแล้วหยุดนิ่งสนิทเมื่อเห็นร่างสูงเพรียวของทานุกำลังเดิน
เข้ามาหาอย่างไม่เชื่อสายตานัก
“พี่นุ ไม่ได้ไปต่างประเทศเหรอคะ” ลษิดาทักขึ้นก่อน
“พี่ควรถามฟางมากกว่า มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” ทานุย้อนถามกลับแทนคำตอบ
“พี่นุน่าจะรู้ดีกว่าฟาง ว่าทำไม” คำตอบของเธอทำเอาทานุงง เกิดอะไรขึ้นกับลษิดากันแน่ แต่เขายังไม่
อยากหาคำตอบ ที่เขาต้องทำคือพาตัวน้องสาวบุญธรรมไปทำความรู้จักกับกฤติเพื่อทำให้การเจรจาการค้าครั้งนี้
ประสบความสำเร็จ เขาอยากให้กฤติช่วยเหมาสต็อกเครื่องประดับเพชรพลอยที่ถูกลูกค้าชาวยุโรปยกเลิกกะทัน
หันเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไม่อย่างนั้นเขาจะเสียหายมากมาย
“ฟาง ไปกับพี่ก่อน มีอะไรไว้กลับไปคุยที่บ้าน” ทานุทำท่าจะจับมืออเรียวสวยให้เดินตามเขาหากลษิดา
ขืนไว้และมองหน้าเขาด้วยสายตากังขาก่อนเอ่ยปฏิเสธด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ไม่ค่ะ ฟางจะไม่กลับไปอีกแล้ว” เป็นครั้งแรกที่ลษิดาแสดงอาการแข็งขืนกับเขาจนเขาแปลกใจ ปกติ
ลษิดาไม่เคยขัดความต้องการของเขาและทำตัวเป็นน้องสาวที่ดีเสมอมาจนเขาอดเอ็นดูไม่ได้ แต่ครั้งนี้
เห็นทีคงไม่ง่ายและต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอแน่
“โอเค พี่จะไม่บังคับฟางให้กลับไปกับพี่ แต่พี่อยากแนะนำคนๆหนึ่งให้ฟางรู้จัก ฟางโชคดีมากที่เขา
อยากรู้จักฟาง พี่ไม่อยากให้ฟางพลาดโอกาสนี้จะถือว่าพี่ขอร้องก็ได้” เวลานี้ทานุให้ความสำคัญกับเรื่องธุรกิจ
มากกว่าเรื่องของลษิดาที่เขาสงสัยเพราะขืนชักช้ากฤติอาจไม่รอ
“ก็ได้ค่ะ” ลษิดาตอบสั้นๆ ถึงอย่างไรทานุก็ไม่เคยทำร้ายเธอและเป็นบุตรชายของมารดาเลี้ยงซึ่งรักเธอ
มาก ดังนั้นเธอจึงจำต้องทำตามด้วยความเกรงใจยอมเดินตามเขาไป
“มาแล้วครับ น้องสาวผม ฟางพี่ขอแนะนำให้รู้จักคุณกฤติคู่ค้าคนสำคัญของแจมส์แอนด์คราฟ คุณกฤติ
ครับผมขอแนะนำให้รู้จักลษิดาน้องสาวผม” ทานุแนะนำให้กฤติรู้จักลษิดาทันทีเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายจ้องมองน้อง
สาวบุญธรรมของเขาตาไม่กระพริบ
“ยินดีที่รู้จักค่ะ คุณกฤติ” เสียงหวานใสเอ่ยออกมาจากสาวสวยหน้าใสน่ารักงดงามไปทั้งเนื้อทั้งตัวนั้นทำ
ให้กฤติผู้มีสาวสวยล้อมรอบกายมากมายมองตาค้างให้กับความงามของหญิงสาวตรงหน้าซึ่งคิดว่าสวยกว่านาง
งามและดาราหลายคนอีก
“ผมดีใจที่ได้รู้จักคนสวยๆน่ารักๆอย่างคุณฟาง” กฤติถือโอกาสเรียกชื่อเล่นลษิดาขณะเดียวกันก็ยื่นมือ
หนาออกไปหมายจะจับมือเรียวสวยมาสัมผัสอยากรู้ว่าจะนุ่มนิ่มสักแค่ไหนแต่ยังไม่ทันได้สัมผัสก็มีเสียงกร้าว
แทรกขึ้นอย่างไม่พอใจ
“คิดจะหลอกจับมือเมียผมเหรอ คุณกฤติ”
***กว่าจะปั่นตอนนี้ออกมาได้มีอุปสรรคเยอะ นานหน่อยนะคะหวังว่าจะยังตามท่ามกลางสถานการณ์บ้านเมืองร้อนระอุ
แต่อย่างไรก็ขอเป็นกำลังใจให้คนเสียสละเพื่อชาติยอมเหนื่อยยอมทนเพื่อทำให้บ้านเมืองถูกต้องตามหลักนิติรัฐนิติธรรม
เพื่อที่สังคมจะได้ไม่มีอันธพาลครองเมือง และจะขอเป็นหนึ่งในล้านที่ออกมาปกป้องชาติบ้านเมืองก่อนจะไม่มีอะไร
เหลือให้ลูกหลานอีกต่อไปเพราะคนเห็นแก่ตัว ผู้ปกครองรัฐที่ไร้ศีลไร้ธรรม ไม่อยากมาร่ำไห้เสียใจภายหลังเมื่อไม่มีสมบัติเหลือ
ให้ลูกหลานอีกต่อไปในภายภาคหน้าเพราะถูกผู้ใหญ่ย่ำยี ทำลายต่อไป เชื่อว่าทุกคนที่ออกไปต่างก็ไปด้วยใจหวงแหนแผ่นดิน
ไทย ทนเห็นปทถูกย่ำยีทำลายอีกต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ทิ้่งความกลัวที่เคยมี เพราะทุกคนคือคนไทยที่รักชาติรักแผ่นดินจึงทนไม่ไหวเลยต้อง
ขอเป็นส่วนหนึ่งของผู้ที่ออกไปปกป้องแผ่นดิน...พูดแบบนี้ไม่รู้จะรอดไหมเนี่ยแต่ยังไงก็ไม่ตกเทรนด์แล้วล่ะ อิอิอิ****
เพลงใบไม้
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 พ.ย. 2556, 21:28:56 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 พ.ย. 2556, 21:28:56 น.
จำนวนการเข้าชม : 1747
<< ตอนที่ 3 | ตอนที่ 5 >> |
konhin 29 พ.ย. 2556, 22:31:37 น.
น้องฟ่างอย่าตกหลุมน้า
น้องฟ่างอย่าตกหลุมน้า