ที่สุด...ของหัวใจ
คืนวันล่วง...ผ่านราว...สายน้ำไหล ดวงฤทัย...กลับมั่นคง...เฉกภูผา
ฝังลึกล้ำ...ความรัก...ปักวิญญา สายธารา...ความทรงจำ...ยังย้ำครอง
คือสองหัต...ถานี้...หรือมิใช่ โอบมลาย...ความเหว่ว้า...ในใจหมอง
ด้วยสองเนตร...อบอุ่น...ที่ทอดมอง เฝ้าปกป้อง...ปลอบประโลม...มาเนิ่นนาน

Tags: อาเรีย

ตอน: บทที่ 7

ร่างสูงหนา ยืนกอดอกเอนตัวพิงกราบเรือทางด้านซ้าย ดวงหน้าคร้ามคมแหงนเงยมองใบเรือที่กำลังถูกดึงพับเก็บ ก่อนจะแลเลยไปยังหมู่นกที่บินร่อนอยู่บนท้องนภาสีครามอันแจ่มใสไร้เมฆหมอก ดวงอาทิตย์สาดแสงจ้ากระทบผิวน้ำสีเข้มให้ทอประกายระยิบระยับ สายลมเย็นโชยพัดเส้นผมสีดำยาวระต้นคอให้ลู่สะบัดไปด้านหลัง ศีรษะเงยขึ้นมากกว่าเดิมพร้อมหลับตาลงสูดลมหายใจลึกรับเอากลิ่นไอทะเลเข้าเต็มปอด ก่อนจะดึงศีรษะขึ้นตั้งตรง ดวงตาสีน้ำเงินลืมขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงเดินมาหยุดอยู่ข้างหน้า ริมฝีปากหนาได้รูปเหยียดยิ้มรับชายหนุ่มสองคนผู้มีดวงหน้าพิมพ์เดียวกันทั้งดวงตาและผมที่มีสีน้ำตาล หนึ่งในสองชี้นิ้วไปยังเบื้องหลังของเขา ทำให้ต้องเอี้ยวตัวหันกลับไปมองยังท่าเทียบเรือที่อยู่ไม่ไกล ครั้นได้แลเห็นร่างของคนที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี เสียงอุทานด้วยความแปลกใจจึงดังขึ้น

“อ้าว เอไลอัซนี่นา มารอที่ท่าเลยหรือ...” เมื่อได้เห็นเจ้าของชื่อผู้อยู่บนฝั่งโบกมือมาให้ รอยยิ้มก็จุดที่ริมฝีปาก แล้วหันไปหาชายหนุ่มฝาแฝดทั้งคู่ “ว่ายน้ำเล่นกันสักหน่อยไหม ริยาห์ ลาซิส” และโดยไม่รอคำตอบ ร่างสูงพลันเหวี่ยงตัวขึ้นไปยืนบนกราบเรือแล้วพุ่งตัวลงไปในทะเลทันที ทิ้งให้ชายหนุ่มทั้งสองยืนมองหน้ากันเอง

“เอาอย่างไร ลาซิส” หนึ่งในสองถามเอ่ยปากถาม หากอีกคนเหวี่ยงตัวขึ้นไปบนกราบเรืออย่างรวดเร็ว แล้วหันมายักคิ้วพร้อมส่งยิ้มให้

“ก็...ว่ายน้ำเล่นไง ทรงชวนแล้วนี่” กล่าวจบก็พุ่งตัวลงสู่ทะเล ติดตามผู้ล่วงหน้าไปก่อนทันที

ผู้เป็นคู่แฝดได้แต่ถอนหายใจตามด้วยเสียงหลุดหัวเราะ ก่อนจะกระโดดตามไปด้วยอีกคน ทิ้ง ‘เรือรบ’ ที่มีหมู่ปืนเรียบรายบนดาดฟ้าไว้เบื้องหลัง

ผู้ยืนรออยู่ที่ท่าเทียงเรือถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วยื่นมือส่งให้หัตถ์หนาจับเพื่อดึงตัวขึ้นมาจากน้ำ พร้อมเสียงบ่นดัง “ฝ่าบาท ทำไมไม่รอให้เรือเทียบท่า ทรงว่ายมาเองทำไมพ่ะย่ะค่ะ”

“เอาน่า อยากว่ายน้ำเล่นน่ะ เดี๋ยวก็ไม่ได้ว่ายแล้ว” สุรเสียงตรัสตอบปนสรวล ในขณะที่ทรงหันกลับไปช่วยดึงสองฝาแฝดที่เพิ่งว่ายตามมาถึง

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าเอไลอัซ” ลาซิสที่ขึ้นมาได้เป็นคนแรกเอ่ยปากถาม ก่อนจะตามมาด้วยเสียงริยาห์

“นั่นสิ นึกว่าจะยังนั่งตรวจรายงานอยู่ที่อู่เสียอีก”

“รายงานพวกนั้นน่ะข้าดูหมดแล้ว เหลือแค่ให้ฝ่าบาททรงตรวจดูอีกรอบเท่านั้นเอง” เอไลอัซตอบสองหนุ่มฝาแฝด แล้วหันไปทางวรองค์สูง “การทดสอบเรือเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ ท่านลันเทียร์”

สองหัตถ์ของเจ้าชายหนุ่มยกขึ้นลูบพระเกศาที่เปียกน้ำปรกระพระพักตร์ให้ลู่ไปด้านหลัง แล้วรับสั่งตอบ “ไม่เลว เร็วแม้แต่ตอนลมอ่อน เหมาะสำหรับเป็นเรือจู่โจมเร็ว หรือตีล่อ” ทรงหยุดเล็กน้อย “อัลโทเรียถือตัวว่าเป็นอาณาจักรใหญ่ แถมยังมั่นใจในกองเรือของตัวเอง ถึงได้กล้าระรานอาณาจักรอื่น นี่เราส่งหนังสือร้องเรียนเรื่องล้ำแดนไป ทางโน้นกลับเงียบเฉย ดีแล้วที่เราเตรียมตัวให้พร้อม รบกันเมื่อไหร่เราจะให้ได้รู้ว่าวินเทียร์มิใช่รังแกได้โดยง่าย...ว่าแต่ เจ้าคงไม่ได้มารอเราเพราะอยากรู้ผลทดสอบเรือเพียงอย่างเดียวกระมัง”

เอไลอัซพยักหน้ารับ “พ่ะย่ะค่ะ มีข่าวจากนีซ แจ้งมาว่าอาเรียถูกทำร้าย แต่นี่...ข่าวจากอาเรียพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่ได้เปิด” ชายหนุ่มส่งม้วนกระดาษถวายให้เจ้าชายลันเทียร์ ครั่งสีแดงประทับตราของหญิงสาวโดดเด่น อันเป็นความหมายว่า ห้ามผู้ใดเปิดนอกจากผู้รับสาร

เจ้าชายลันเทียร์ทรงเปิดอ่านโดยเร็ว พระขนงเข้มขมวดเข้าหากัน ในขณะที่ริยาห์และลาซิสสบตากันอย่างเป็นกังวลตั้งแต่ได้ยินว่าหญิงสาวถูกทำร้าย หากแต่ม้วนข่าวที่มาจากหญิงสาวทำให้พวกเขานิ่งรอฟัง

พระพักตร์ที่แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมของเจ้าชายหนุ่มเงยขึ้นหลังจากอ่านข้อความจากอาเรียจบ ตามมาด้วยรับสั่งเล่าต่อทุกคนเบา ๆ “เรื่องอาเรียเป็นข่าวลวงน่ะ ทางนีซมีเรื่องยุ่ง เจ้าชายรัซเซลแห่งเมลาวีถูกลอบปลงพระชนม์ขณะที่เข้ามาสืบข่าวในนีซ ตอนนี้อาควิลถวายการอารักขาอยู่” จากนั้น ทรงส่งกระดาษในพระหัตถ์ให้คนทั้งสามรับไปอ่านรายละเอียด

“จะเสด็จนีซไหมพ่ะย่ะค่ะ” ลาซิสถามขึ้น หลังกวาดสายตามองรายละเอียดปราด

“ไม่ต้องหรอก ราเอลอยู่ที่นั่นแล้ว เพราะฉะนั้นเราวางใจได้ว่าทุกอย่างจะถูกจัดการอย่างเรียบร้อยที่สุด” ทรงหยุดเล็กน้อยแล้วรับสั่งต่อ “ให้เจ้าชายรัซเซลเป็นรัชทายาทน่ะดีกว่าเจ้าชายอัลดีน เพราะถึงพระนิสัยจะเอาเรื่องอยู่ แต่ก็ทรงตรงไปตรงมา เราไม่อยากที่จะต้องมาคอยระวังพวกลอบกัด เล่นไม่ซื่อ ...ว่าแต่...พวกนั้นคงแย่หน่อย แหย่ใครไม่แหย่ มาแหย่น้องเราเข้า” ทรงหลุดพระสรวลเบายามนึกถึงพระอนุชา

“นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ กล้ามาก่อเรื่องแบบนี้ ฝ่าบาทราเอลคงจะทรงอาละวาดเสียสนุกไปเลย” เอไลอัซพูดอย่างเห็นด้วย พวกเขารู้ดี แม้เจ้าชายลันเทียร์จะมีพระอุปนิสัยเด็ดขาดจนดูน่ากลัว แท้ที่จริงทรงรื่นเริง แจ่มใส ทรงพระทัยดีกว่าเจ้าชายราเอลที่เห็นพระพักตร์ยิ้ม ๆ อ่อนโยนอย่างนั้น แต่ทรงเหี้ยมได้แบบทหารแท้ทีเดียว

“นี่อาเรียอยู่นีซงั้นหรือ...” ริยาห์เปรยขึ้นเบา ๆ กับตัวเอง หากเจ้าชายลันเทียร์ผินพระพักตร์มาตรัสด้วย

“เป็นห่วงหรือ เกิดเรื่องขึ้นแบบนี้...ก็เป็นไปได้ที่อาเรียจะได้เจอกับเอลนั่นละ แต่เราว่าอย่าเป็นกังวลให้มากเลย ถึงเอลอาจจะดูแข็งไปบ้าง แต่จริง ๆ ก็ใจอ่อนพอสมควรนั่นล่ะ มีใครไม่ใจอ่อนกับน้องสาวเจ้าบ้าง”

ริยาห์หันมาสบตากับลาซิส ที่รับสั่งก็ถูก ไม่เคยมีใครที่จะทำใจแข็งกับหญิงสาวผู้มีศักดิ์เป็นลูกผู้น้องของพวกเขาได้ ยกเว้นเพียงคนเดียว คนเดียวจริง ๆ และเขาหวังว่า เอลย่าคงจะเป็นดังเช่นที่เจ้านายของพวกเขาตรัสไว้...



“เอล...” เสียงใสดุจระฆังเงินของอาเรียดังขึ้นยามเจ้าของเสียงเดินผ่านประตูเข้ามาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ประตูจะถูกปิดลงด้วยมือของหน่วยรักษาการณ์ซึ่งเฝ้าอยู่หน้าห้อง ทำให้ดวงหน้าสวยของผู้ถูกเรียกละสายตาจากเอกสารในมือขึ้นมอง และเห็นหญิงสาวเดินเข้าตรงเข้ามาหาตนเองยังโต๊ะยาวกลางห้องซึ่งวางไว้ด้วยกองเอกสารมากมาย

คนจำนวนเกือบสิบคนที่กระจัดกระจายอยู่ภายในห้องเหลือบตาขึ้นมองดูผู้เข้ามาใหม่ก่อนจะหันกลับไปสนใจในงานที่ตนเองกำลังทำอยู่ ปึกกระดาษในมืออาเรียถูกวางลงบนโต๊ะพร้อมกับการทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวที่ติดกับเอลย่าผู้นั่งอยู่ก่อน อีกฝ่ายเหลือบตามองกระดาษเหล่านั้น และจำได้ว่านั่นคือรูปวาดจากฝีมือของเอ็ดเพื่อนของเธอ

“รูปพวกนี้ หน่วยตรวจสอบระบุลงมาแล้วบางคนเป็นคนของหมู่บ้านวาปี ตรงตามที่เอลสงสัย ว่าหมู่บ้านนี้น่าจะมีความเกี่ยวข้องด้วย”

“คนที่ส่งไปจับตาที่หมู่บ้านว่าอย่างไร” เอลถามขึ้น

“มีรายงานเข้ามาสักครู่ ว่าตอนนี้ที่หมู่บ้านมีการวางเวรยามแน่นหนา เราทำได้แต่จับตาดูห่าง ๆ” มือบางดึงรูปสามใบจากด้านใต้ของปึกกระดาษขึ้นมาวางเรียงกัน แล้วดีดนิ้วเบา ๆ ทำให้ทุกคนที่อยู่ภายในห้องเข้ามายืนล้อมรอบโต๊ะ เจ้าของเสียงใสพูดดังให้ได้ยินกันทั่ว

“เราได้รับการยืนยันจากท่านเนวินแล้ว ผู้ชายสองคนนี้คืออูราลและกาย่า คนของทางเมลาวี ส่วนคนนี้ หน่วยตรวจสอบแจ้งว่าชื่อเอกิล เป็นหัวหน้าหมู่บ้านวาปี”

“คนที่คอยเฝ้าสามคนนี้อยู่แจ้งมาว่า ตอนนี้ทั้งสามคนหลบขึ้นไปที่หมู่บ้านแล้วครับ” เสียงหนึ่งดังขึ้น

อาเรียพยักหน้า “ทหารจากกองพันที่สามได้รับคำสั่งจากท่านนัซเซอร์ให้ทำการตรวจค้นในเมืองและพื้นที่โดยรอบอย่างละเอียด คนพวกนั้นย่อมไม่กล้าเสี่ยงที่จะปักหลักอยู่ที่นี่ เป็นไปตามแผนที่จะบีบพวกเขาให้กลับขึ้นไปบนวินิเทียร์ แต่ก็ยังวางใจไม่ได้ เราไม่รู้ว่ายังมีคนอื่นอีกหรือไม่ที่ให้ความร่วมมือด้วย เพราะฉะนั้นนอกเหนือจากพวกวาปี ให้คนคอยสังเกตการณ์ในเมืองไว้ด้วย”

”ข่าวจากเชิงเขาด้านชายแดน มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งกำลังลอบขึ้นเขามาครับ”

“เนอร์ราห์ลดการป้องกันทางชายแดนลง เพื่อปล่อยให้พวกนั้นเข้ามาได้ง่าย ๆ แต่อย่าคิดกลับออกไป พวกเราจะจัดการพวกนั้นบนวินิเทียร์ตามแผน” เอลย่าเป็นฝ่ายตอบขึ้น จากนั้นจึงหันไปทางอาเรีย “ข้าจะเปลี่ยนคนข่าวของฝ่ายทหารที่เฝ้าอยู่ตรงกระท่อมในหุบ เราจะใช้คนของเราแทน จะได้ประสานงานกันได้สะดวก”

“ได้จ้ะ...ดีเหมือนกัน ถ้าอย่างไรฝากให้เจ้าช่วยประสานด้วย” อาเรียรับคำอย่างเห็นด้วย

“ข้าจะไปจัดการเรื่องนี้ก่อน” เอลย่าลุกขึ้นทันที พยักหน้าให้ทุกคนนิดหนึ่งเป็นการลา

ประตูถูกปิดลงพร้อมแว่วเสียงของอาเรียที่สั่งงานต่อ “ให้คนคอยเฝ้าด้วยว่าคนพวกนั้นจะไปสมทบกันที่ไหน อย่าให้พลาด พวกหน่วยปฏิบัติการจะลงมือกันที่นั่น”



เอลย่าเดินออกจากห้องประชุมของหน่วยข่าวซึ่งอยู่ด้านในสุดของตึกทางด้านหลังไปตามโถงทางเดินที่ทอดยาว แล้วก้าวลงบันไดซึ่งวนเป็นแนวโค้งลงสู่ชานพัก ก่อนจะตีโค้งลงยังชั้นล่าง แล้วชะงักฝีเท้าทันทียามได้เห็นเจ้าของวรองค์สูงสง่าทรงยืนหันพระปฤษฎางทอดสายพระเนตรออกไปยังนอกหน้าต่างที่บริเวณชานพักนั้น สายลมอ่อน ๆ พัดเส้นพระเกศาให้พลิ้วไสว หญิงสาวหยุดยืนมองนิ่งอยู่บนบันไดชั่วครู่ก่อนจะก้าวเท้าออกเดินต่อ จังหวะเดียวกับที่เจ้าชายหนุ่มผินพระพักตร์กลับมาทอดพระเนตร เมื่อเห็นเป็นผู้ใด พระโอษฐ์ก็แย้มออกเล็กน้อย พระสุรเสียงนุ่มร้องทัก

“เอล...”

หญิงสาวเดินลงมาหยุดที่ชานพักบันได น้อมศีรษะถวายความเคารพ หากไม่มีคำพูดอะไรออกจากปาก ดวงตาหลุบลงต่ำ

“ตั้งแต่เข้ามาที่นี่ ดูเหมือนว่าเราจะไม่ได้คุยกันเลยนะ”

“เพคะ” เสียงตอบเรียบ

“ประสานงานกับอาเรียเรียบร้อยดีหรือ”

“เพคะ”

ทรงเงียบไปเล็กน้อย เมื่อทอดพระเนตรเห็นหญิงสาวเบื้องพระพักตร์ไม่พูดอะไรต่อ มีเพียงอาการก้มหน้าหลุบสายตาลง ทำให้ทรงยกพระหัตถ์กอดพระอุระ เอียงพระพักตร์ลงต่ำมองหน้าอีกฝ่าย พระขนงขมวดเล็กน้อย “เป็นอะไรหรือเอล เหนื่อยหรือ”

“เปล่าเพคะ”

“ถ้าอย่างนั้นเป็นอะไร ทำไมถึงได้พูดน้อยจริง เราว่าตอนที่รู้จักกันเจ้าเป็นคนพูดมากกว่านี้นะ”

“หม่อมฉันไม่ใช่คนพูดมากสักหน่อย” หญิงสาวเถียงออกไปทันควัน ตวัดตามองค้อนก่อนจะกัดริมฝีปากตัวเองทันทีที่รู้ตัว เรียกรอยแย้มพระสรวลจากวรองค์ตรงหน้า

“อย่างน้อยก็พูดมากกว่าตอนนี้ละ ดูสิ พอเจอหน้าเราก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตา พูดทีก็มีแต่คำว่าเพคะ จนเรานึกว่าเจ้าลืมปากไปทิ้งไว้ที่ไหนเสียแล้วสิ”

“ก็หม่อมฉันไม่ทราบว่าจะกราบทูลอะไรกับเสด็จท่านผู้บัญชาการดีนี่เพคะ ส่วนเรื่องงาน...อะไรที่หม่อมฉันทราบก็กราบทูลไปหมดแล้วในการประชุม” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงเย็น พร้อมหันไปมองทางอื่น

น้ำเสียงและคำพูดของหญิงสาวทำให้ทรงเข้าพระทัยในทันที “อ้อ รู้ละ โกรธเรานี่เอง”

“หม่อมฉันคงมิบังอาจที่จะโกรธฝ่าบาทได้หรอกเพคะ” ถ้อยประโยคชดประชันแสดงความขุ่นเคือง

“น้ำเสียงแบบนี้ยังจะบอกว่าไม่โกรธอีก การที่รู้ว่าเราคือเจ้าชายราเอลทำให้เจ้าไม่พอใจมากเลยหรือ”

ประโยครับสั่งที่ได้ยินทำให้หญิงสาวหันขวับมาทันที ดวงตาสีนิลคู่คมจ้องสบพระเนตรของผู้อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาบ่งบอกถึงความไม่พอใจ “หม่อมฉันไม่ชอบถูกหลอกเพคะ ทำไมไม่ทรงบอกหม่อมฉันแต่แรกว่าฝ่าบาทคือเจ้าชายราเอล ไม่ใช่ซารัส ท่านตาเองก็ต้องรู้ มีแต่หม่อมฉันที่ไม่รู้”

เจ้าชายหนุ่มผ่อนพระปัสสาสะเล็กน้อย “ถ้าอยู่ ๆ เราบอกเจ้าว่า เราคือเจ้าชายราเอล เจ้าจะเชื่อหรือ อีกอย่างเวลาที่เราอยู่ข้างนอก คนอื่น ๆ ก็เรียกเราว่าซารัส ทั้งรีฟ ไคล์ และอาเรีย หรือว่าสำหรับเจ้าแล้ว ซารัสเป็นเพื่อนได้แต่ราเอลเป็นไม่ได้”

“ฝ่าบาทเป็นเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์ หม่อมฉันคงไม่อาจเอื้อมเป็นพระสหายได้หรอกเพคะ”

“ทีสามคนนั้นยังเป็นเพื่อนเราได้เลย แล้วทำไมเจ้าถึงเป็นไม่ได้ หรือเจ้ารังเกียจเรา”

“หม่อมฉันเปล่า แต่...เพื่อนต้องไม่โกหกเพื่อนสิ” หญิงสาวพูดสวนทันควัน หากน้ำเสียงดูจะอ่อนลง

รอยแย้มพระสรวลเจ้าเล่ห์จุดที่มุมโอษฐ์ทันทีที่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย “รู้ชื่อของเราแบบเต็ม ๆ ไหม”

“มีใครในวินเทียร์ไม่รู้จักพระนามของฝ่าบาทบ้างเพคะ เจ้าชายราเอล ซา...รัส...” ปลายเสียงขาดหายทันที ดวงตาดำคมเบิกกว้าง เมื่อเริ่มรู้ตัวว่าตนพลาด

“หึ หึ เห็นไหม เพื่อนโกหกเพื่อนที่ไหนกัน ซารัสก็ชื่อเราจริง ๆ ใช่ไหมล่ะ แค่ไม่ได้บอกเท่านั้นเอง ว่ามีคำว่าเจ้าชายนำหน้า เจ้าถามว่าเรามาจากกรมฯ หรือ เราก็ยอมรับ แต่เจ้าไม่ได้ถามสักหน่อยว่าเรามีตำแหน่งอะไรในกรมฯ” เนตรสีน้ำเงินพราววะวิบยามจับจ้องหญิงสาวตรงหน้าด้วยความรู้สึกเป็นต่อ ทรงพยายามกลั้นเสียงพระสรวล หากดูจะยากเย็นยิ่ง

เอลย่าคอแข็งพูดไม่ออกกับคำแก้ต่างของพระองค์ ใช่สิ...ทรงไม่ได้โกหก แค่ทรงบอกไม่หมดเท่านั้นเอง แถมยังย้อนมาให้เป็นความผิดของเธอหน้าตาเฉย หญิงสาวคิดอย่างหงุดหงิด หากมิสามารถทำอะไรได้ ค้อนวงใหญ่จึงถูกส่งไปถวายเจ้าของพระนามซารัสจริง ๆ พร้อมด้วยเสียงทูลตอบแบบกัดฟันพูด “เพคะ ไม่ได้ทรงโกหก” ยิ่งเห็นพระเนตรพราวอย่างขำขันพร้อมพระสุรเสียงสรวลเพราะเห็นอาการของเธอ หญิงสาวก็ยิ่งอยากทำร้ายวรองค์ตรงหน้าเป็นกำลัง มือเรียวกำหมัดแน่นอย่างพยายามข่มอารมณ์สุดฤทธิ์ ...ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวท่านตาที่แสนดุทำโทษละก็

“น่า...เอล อย่าโมโหเลยนะ เอาเป็นว่าเราขอโทษเจ้าก็แล้วกัน” เจ้าชายหนุ่มตรัสอย่างยอมอ่อนให้ เพราะไยจะไม่ทรงสังเกตเห็นกิริยากำหมัดของหญิงสาวที่บ่งบอกถึงอารมณ์ของเจ้าตัว

ครั้นได้ยินพระสุรเสียงที่ตรัสขอโทษ เอลย่าก็ใจอ่อน ...เพราะไหน ๆ ก็ทรงขอโทษเธอนี่นะ อีกประการทรงอุตส่าห์ช่วยเธอเอาไว้ไม่ให้ร่วงลงผาไป ถือว่าหายกันเถอะ ที่สำคัญ สายพระเนตรที่มองมานั่นสิ ช่างทรงอำนาจและบีบบังคับมิให้เธอกล้าเอ่ยคำปฏิเสธได้เลย หญิงสาวจึงปรับสีหน้าให้ดีขึ้น เสียงตอบรับเบา “เพคะ”

พระโอษฐ์งามจึงแย้มออกน้อย ๆ “ขอบใจ ว่าแต่...เจ้าจะไปไหนหรือ”

“หม่อมฉันจะไปฝ่ายข่าวของทหารเพคะ จะเปลี่ยนคนข่าวของเขาให้เป็นคนของเราที่อยู่ในนั้นแทน เผื่อมีอะไร การประสานงานจะได้ไม่ยุ่งยาก”

ทรงพยักพระพักตร์รับอย่างเห็นด้วย “ก็ดีเหมือนกัน ไปสิ...เราอยากเข้าไปดูในเมืองด้วย”

“จะเสด็จด้วยหรือเพคะ” หญิงสาวร้องอุทาน

“ก็ใช่น่ะสิ บอกแล้วว่าอยากเข้าเมือง ไปกันเถอะ” ตรัสจบก็เสด็จออกเดินนำ หากเพียงสองก้าวก็ทรงชะงักแล้วหันกลับมามองร่างสูงโปร่งที่ยังยืนนิ่งอยู่ สายพระเนตรที่ทอดมาทำให้หญิงสาวต้องก้าวตาม เพราะรับรู้ถึงประกายแห่งอำนาจในแววพระเนตรที่บังคับให้เธอต้องกระทำตามโดยที่มิต้องรับสั่งเตือน



พระพักตร์สวยราวสตรีและท่วงท่างามสง่าอันเป็นบุคลิกประจำพระองค์ทำให้ทรงดูสะดุดตานักสำหรับผู้คนในเมืองที่พบเห็น กอปรกับความสวยคมของสตรีที่เดินข้างเคียง ยิ่งทำให้คนทั้งคู่ตกเป็นเป้าสายตาของคนส่วนใหญ่ที่มองมาอย่างชื่นชมแกมอิจฉา หากนั่นกลับสร้างความอึดอัดให้เอลย่า หญิงสาวจึงดึงผ้าคลุมศีรษะซึ่งกองอยู่รอบคอขึ้นไปคลุมศีรษะของตน แล้วตวัดชายด้านหนึ่งให้บังดวงหน้าตั้งแต่ช่วงริมฝีปากลงไป เสียงเรียกวรองค์ข้างกายแผ่วเบา “ฝ่าบาท”

“เรียกซารัสเถอะ ถ้าใครมาได้ยินเข้าจะวุ่นวายเสียเปล่า ๆ” ตรัสตอบเบาเช่นกัน สายพระเนตรกวาดมองรอบ ๆ เห็นทหารอยู่ทุกหนทุกแห่ง หากมิได้ระรานชาวบ้าน และชาวบ้านเองก็ไม่ได้มีทีท่าหวาดกลัวอันใด กลับให้ความร่วมมือกันเป็นอย่างดี “ท่านนัซเซอร์ควบคุมลูกน้องได้ดีมากจริง ๆ พวกชาวบ้านก็ดูจะเข้ากันได้ดีกับพวกทหารด้วย”

“ใช่ค่ะ เราไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องทหารรังแกชาวบ้าน ถ้าหากมีปัญหาเกิดขึ้นแล้วสอบสวนได้ความว่าทหารเป็นฝ่ายผิด ท่านนัซเซอร์จะลงโทษตามวินัยทหารอย่างหนัก เรื่องนี้ทุกคนล้วนรู้ดี ในขณะเดียวกัน หากพลเมืองเป็นฝ่ายผิด ก็ต้องรับโทษหนักเช่นกัน”

“ทหารมีหน้าที่ดูแลปกป้องบ้านเมือง เป็นผู้เสียสละ เพราะถ้าหากเกิดอะไรขึ้น พวกเขาจะเป็นผู้เสียสละเลือดเนื้อและชีวิตเป็นกลุ่มแรก เพราะฉะนั้นเป็นการไม่สมควรที่จะไปทำการหาเรื่องพวกเขา ในขณะเดียวกัน ในฐานะของผู้ถืออาวุธ มีอำนาจและศักยภาพที่รุนแรงอยู่ในมือ ก็ไม่สมควรเช่นเดียวกันที่จะใช้อำนาจเหล่านั้นไปรังแกประชาชนที่ตนต้องทำการปกป้อง เพราะอำนาจที่มีอยู่นั้น ล้วนแล้วแต่ได้มาจากประชาชน ท่านนัซเซอร์ทำถูกแล้ว ไม่ว่าฝ่ายไหนเป็นผู้กระทำผิด ฝ่ายนั้นสมควรที่จะโดนโทษหนักเป็นอย่างยิ่ง”

เอลย่าผงกศีรษะรับแสดงความเห็นด้วย “ท่านพูดเหมือนท่านตา”

คำพูดที่ทรงได้ยินจุดรอยแย้มพระสรวลอ่อนโยน “ลืมแล้วหรือ เราเป็นลูกศิษย์ใคร”

เอลย่าไม่ตอบคำ หากคลี่ยิ้มรับบาง ๆ และเมื่อเข้าใกล้ที่ตั้งของฝ่ายทหาร หญิงสาวจึงทูลขอให้เจ้าชายหนุ่มทรงรอตนเองอยู่บริเวณนั้น ด้วยคงไม่เหมาะที่จะให้เสด็จไปที่หน่วยข่าวด้วยกัน โดยทรงทำตามอย่างเห็นด้วย เพราะไม่ต้องการให้ผู้ใดรับรู้ว่าเสด็จมาที่นี่ วรองค์สูงจึงแยกเข้าสู่ร้านอาหารใกล้ ๆ



“นั่นทรงลุกขึ้นมาเดินทำไมน่ะเพคะ”

เสียงร้องถามดังมาจากเบื้องพระปฤษฎางค์ ทำให้วรองค์สูงหนาของเจ้าชายรัซเซลที่กำลังทรงพระดำเนินอยู่ตรงโถงทางเดินหันกลับไปช้า ๆ พร้อมกับสองราชองครักษ์ประจำพระองค์ หากต้องกะพริบพระเนตรราวกับไม่แน่ใจในร่างเล็กบางเบื้องพระพักตร์ ที่บัดนี้อยู่ในเสื้อคอปาดตัวใหญ่โคร่งยาวถึงหน้าขา ผูกไว้ด้วยผ้าที่เอว กางเกงขายาวปล่อยชาย และรองเท้าสานแบบพื้นเมือง ไหนจะยังผ้าโพกศีรษะเก็บผมมิดชิดและดวงหน้าที่ถูกทำให้เข้มขึ้นเล็กน้อยนั่นอีก มองอย่างไรก็เป็นหนุ่มน้อย แต่เสียงที่ทรงได้ยินนั่นเป็นเสียง ‘แม่ตัวดี’ ชัด ๆ ทำให้ต้องทรงเขม้นมองใบหน้านั้นอีกครั้ง

คราวนี้ชัดเจนจนแน่พระทัย...ทรงส่ายพระพักตร์พร้อมพระขนงขมวดเล็กน้อย พระสุรเสียงห้าวรับสั่งถามอย่างรู้ทัน “ปลอมตัวแบบนี้ คิดจะหนีออกไปเที่ยวเล่นที่ไหนล่ะ”

นาซินและเนวินฟังรับสั่งแล้วก็ลอบถอนหายใจ รับสั่งแบบนี้แสดงว่าตั้งพระทัยแหย่หญิงสาวชัด ๆ

“หม่อมฉันไม่ได้คิดจะหนีออกไปเที่ยวสักหน่อย จะออกไปทำงานต่างหาก” ดวงหน้าผู้พูดง้ำลงทันควันเมื่อถูกกล่าวหาว่า ‘หนีเที่ยว’

“ถูกยิงไม่ใช่หรือ คนถูกยิงจะออกไปเพ่นพ่านได้อย่างไร”

“หม่อมฉันก็ปลอมตัวแล้วนี่เพคะ” เจ้าของร่างบางก้มมองตัวเอง แล้วหมุนตัวให้ทอดพระเนตรเสียด้วย

เสียงถอนพระทัยเฮือกใหญ่ ตามมาด้วยถ้อยรับสั่งดุแกมระอา “นี่คิดว่าไม่มีคนจำได้หรือไรกัน”

รอยยิ้มเจ้าเล่ห์จุดที่มุมปากของคนตัวเล็ก “ฝ่าบาทเองยังทรงจำไม่ได้เลยไม่ใช่หรือเพคะ”

เจ้าชายรัซเซลขมวดพระขนงทันที “ถ้าจำไม่ได้ เราจะทักได้อย่างไรว่าเจ้าปลอมตัว”

คราวนี้หญิงสาวคลี่ยิ้มกว้าง นัยน์ตาพราวระริกอย่างเป็นต่อ “หม่อมฉันเห็นนะเพคะ ว่าตอนแรกสายพระเนตรแสดงความไม่แน่พระทัย ต้องทรงจ้องอยู่ตั้งนาน อีกอย่างถ้าไม่ทรงได้ยินเสียงจะทรงทราบหรือเพคะว่าเป็นหม่อมฉัน”

“ถึงจะได้ยินเสียง แต่ก็เพราะจ้องดูให้ชัด ๆ นั่นละ ถึงได้รู้ว่าเป็นเจ้า” ทรงเถียง หากราชองค์รักษ์ทั้งสองคนคิดในใจ ‘รับรอง ทรงเถียงแพ้แน่’

“น่าน...ไง” เสียงลากยาวพร้อมอาการผงกศีรษะหงึก “ตรัสเองนะ ว่าจ้องชัด ๆ ถึงจะรู้ แสดงว่าถ้าดูผ่าน ๆ ก็จำไม่ได้ แล้วเด็กกะโปโลมอมแมมคนหนึ่งที่เดินไปเดินมา จะมีใครที่ไหนมาคอยสนใจจ้องหน้าเพื่อจะจับผิดกันเล่าเพคะ” คนตัวเล็กพูดด้วยกิริยายิ้มลอยหน้าลอยตา แถมด้วยความหมายในดวงตาที่มองสบพระเนตรดุอย่างกล่าวหาว่า ‘นอกจากฝ่าบาทนั่นล่ะ’

นั่นปะไร อย่างที่คิดไว้ไหมล่ะ สองหนุ่มร้องในใจ ก็อดีตเชลยในมือของพวกเขาน่ะแสบจะตาย ดูแต่เมื่อคราวที่พวกเขาสองคนจะต่อยกันจนหญิงสาวต้องมาห้ามนั่นสิ เป็นคนอื่นเขาก็คงพูดว่า ‘หยุดนะ อย่ามีเรื่องกัน’ แต่นี่แม่เจ้าประคุณเล่นมาเดินวนรอบเขาสองคน แล้วกวาดสายตามองพวกเขาขึ้นลงตั้งแต่หัวจดเท้า จนพวกเขาต้องหยุดยืนมองด้วยความงุนงง จากนั้นหญิงสาวก็ส่ายหัวยิ้มเหยียดแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเสียใจและเห็นใจอย่างสุดซึ้ง

‘เจ้าชายรัซเซลช่างน่าสงสารเสียจริง มีองครักษ์มาคอยร่วมทุกข์ร่วมสุขในเวลาวิกฤตเช่นนี้อยู่แค่เพียงสองคน แต่น่าเสียดาย ที่ทั้งสองคนกลับไม่สามารถทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับพระองค์ได้เลย นอกเสียจากจะมา ‘กัด’ กันเองให้ทรงขายพระพักตร์’ จากนั้นก็ถอนหายใจยาว แล้วหันไปอาควิลที่ตามตัวเธอมา พูดด้วยน้ำเสียงออดอ่อน สีหน้าแสดงความเหน็ดเหนื่อยและทำใจ ‘เอาเถอะ เรายอมทำงานกันเหนื่อยหน่อยก็แล้วกันนะ สำหรับคืนนี้...คงไม่ค่อยเท่าไหร่ ก็แค่ประชุมกันเท่านั้นเอง น่าจะได้นอนสัก...เช้า ๆ กระมัง แต่ไม่เป็นไร ถือว่าสงสารเจ้าชายท่าน วินเทียร์เราไม่คิดมากอยู่แล้ว เนอะ’ พ่วงท้ายด้วยการแสดงอาการพยักเพยิดกับอาควิลที่ยืนทำหน้าปุเลี่ยน ๆ อยู่ข้าง ๆ

เท่านั้นล่ะที่แม่ตัวดีของเจ้านายเขาพูด โดยไม่มีคำเอ่ยห้ามสักนิด พวกเขาที่กลายเป็น ‘หมากัดกัน’ เลยต้องยืนหน้าม้านหมดอารมณ์มีเรื่องกันทันที แถมด้วยความรู้สึกเจ็บจี๊ด ๆ จากการโดนด่า ที่ ‘ทำอะไรไม่ได้’

เจ้าชายแห่งเมลาวีสูดพระอัสสาสะลึกอย่างกลั้นพระอารมณ์จนแปลบที่บาดแผล หากทรงข่มเอาไว้ ความรู้สึกหงุดหงิดหมั่นไส้หญิงสาวเบื้องพระพักตร์แล่นปราด ก็ไอ้อาการลอยหน้าอย่างที่หญิงสาวทำน่ะ มีใครที่ไหนในเมลาวีกล้าทำใส่พระองค์บ้างเล่า มันน่าจับคอบาง ๆ นั่นมาบีบเขย่า ๆ ให้น้ำตาซึมเหมือนก่อนหน้านี้จริง ๆ แล้วยังไอ้ตัวดีสองคนนี้อีก ทรงพระดำริพร้อมตวัดพระเนตรขุ่นเขียวไปให้ผู้เป็นลูกน้องที่พยายามกลั้นเสียงหัวเราะอย่างเต็มที่ หากยังหลุดรอดมาให้เข้าพระกรรณ แถมยังทรงทันเห็นหญิงสาวตัวต้นเหตุแอบขยิบตาให้คนทั้งคู่เสียด้วย ให้ตายสิ...คราวนี้พระสุรเสียงจึงเย็นยะเยียบ

“ถ้าอยากจะหัวเราะ ก็หัวเราะออกมาดัง ๆ เสียเลยสิ กุก ๆ กัก ๆ อยู่ได้น่ารำคาญ”

ราชองครักษ์หนุ่มทั้งคู่สำลักเสียงหัวเราะทันที รอยยิ้มจืดเจื่อน เพราะรู้ดีว่าความโชคร้ายมาเยือนเสียแล้ว ‘ทรงพาล’ และแน่นอน พวกเขานี่ล่ะคือผู้โชคดี

“นั่นน่ะสิ เสียงหัวเราะทำให้โลกนี้แจ่มใสนะ อายุยืนดีด้วย เขาว่าคนหน้านิ่วคิ้วขมวดจะอายุไม่ยืน พวกท่านหัวเราะมาก ๆ น่ะดีแล้ว” เสียงกังวานใสดุจระฆังเงินดังขึ้นสนับสนุนทันควัน

นาซินสะดุ้งเฮือก ‘นั่น...หาเรื่องให้พวกเขาแล้วไหมล่ะ โธ่เอ๋ย...ไม่พูดก็ไม่มีใครว่าสักหน่อย’ สายตาเหล่ไปทางองค์ผู้มีวี่แววว่าจะอายุไม่ยืนอย่างหวาดหวั่น หากพระเนตรวาววับคู่นั้นกลับเปลี่ยนเป้าหมายจากพวกเขา

“แล้วเจ้าคิดว่าตัวเองจะอายุยืนไหม หือ...” ตรัสพร้อมการก้าวพระบาทย่างสามขุมเข้าหาคนตัวเล็กบาง

อาเรียเห็นแววพระเนตรที่ดูท่าทางเอาจริงขึ้นมา ก็ให้หวนนึกขึ้นได้ถึงความดุของวรองค์ตรงหน้า รวมไปถึงรสชาติของการถูกบีบคอที่ไม่ค่อยน่าพิสมัย จึงก้าวถอยหลังอย่างเกรง ๆ แล้วเงยดวงหน้ายิ้มหวานอย่างประจบ ”สนพระทัยจะไปห้องหนังสือไหมเพคะ”

เงียบ!!

“หรือว่าไปทอดพระเนตรลานฝึกอาวุธดีไหม” ข้อเสนอต่อมารวดเร็วเมื่อข้อแรกไม่เป็นผล เพราะองค์ผู้ตีพระพักตร์บึ้งไม่ทรงหยุดชะงักแม้แต่น้อย หากข้อนี้ก็ไม่เป็นประสบความสำเร็จอีกเช่นกัน พระบาทก้าวเข้าใกล้ทุกที ในขณะที่เธอต้องกระเถิบถอยหนีเรื่อย ๆ สุดท้ายจึงตัดสินใจหยุดยืน สูดหายใจลึก พลางยกมือเท้าสะเอว แล้วทำใจกล้ามองวรองค์ตรงหน้าราวกับไม่กลัวเกรง “ถ้าไม่สนพระทัยทั้งสองข้อ งั้นข้อสุดท้าย กลับไปบรรทมที่ห้องเพคะ จะทรงเลือกข้อไหน” หญิงสาวยื่นคำขาดด้วยความมั่นใจว่า ต้องทรงเบื่อที่จะอยู่ในห้องอย่างแน่นอน

คราวนี้ทำให้ทรงหยุดจริง ๆ แล้วทรงแค่นพระสรวลอย่างกึ่งขำกึ่งกริ้ว ‘ให้ตายสิ แม่สาวตรงหน้านี่ เมื่อสักครู่ยังทำท่าเกรง ๆ ยิ้มประจบอยู่ดี ๆ เผลอแป๊บเดียวทำกร่างอีกแล้ว’ จากนั้นทรงพระดำริ ‘ก็ไม่อยากกลับไปนอนนี่นะ เอาก็เอา รับข้อเสนอแม่ตัวแสบก็แล้วกัน’

“ไปลานซ้อมอาวุธ” สุรเสียงห้าวที่ตรัสบอกเรียบ ๆ ทำให้สองหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอก ด้วยดูเหมือนตัวโมโหจะหลุดออกไปจากการเข้าสิงเจ้าชายของตนเสียแล้ว หากองค์ผู้เป็นนายกลับรู้ทัน และตวัดพระเนตรมองมาอย่างคาดโทษ เรียกความรู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ ให้เกิดขึ้นทันควัน



อาเรียเดินนำอาคันตุกะจากต่างแดนผ่านโถงทางเดิน ที่ประดับไปด้วยภาพเขียนเป็นระยะ บ้างก็เป็นรูปวิวทิวทัศน์ธรรมชาติ บ้างก็เป็นรูปภาพวิถีชีวิตของผู้คน หรือสงครามแบบโบราณ หากในบางช่วงกลับประดับไว้ด้วยพรมทอมืองดงามหลากหลายรูปแบบ เมื่อสุดทางที่ทอดไปสู่ตัวตึกซึ่งอยู่ทางด้านหลัง หญิงสาวก็นำเสด็จขึ้นบันไดที่ทอดวนขึ้นสู่ดาดฟ้าตรงบริเวณหัวมุม และยามเปิดประตูออกสู่ด้านนอก ผู้เป็นแขกจึงได้เห็นพื้นที่บนดาดฟ้านั้นถูกแบ่งเป็นสัดส่วน มีมุมที่เป็นราวกับสวนขนาดย่อมให้นั่งเล่นพักผ่อน มุมที่ถูกจัดไว้สำหรับเป็นที่ซ้อมการปามีด โดยมีเป้าฝึกวางเรียงรายเป็นระเบียบ และมุมที่เป็นลานกว้างสำหรับซ้อมอาวุธหรือการต่อสู้มือเปล่า โดยผนังด้านหนึ่งก่อเป็นอัฒจันทร์สำหรับนั่งดู

หญิงสาวเดินนำไปยังลานสำหรับกว้างฝึกอาวุธ ซึ่งขณะนี้กำลังฝึกมีดสั้นกันอยู่ เหล่าทหารอาควิล ที่อยู่ที่นั่นหยุดกิจกรรมที่ต่างทำกันอยู่ทันที แล้วหันมาถวายความเคารพแด่เจ้าชายแห่งเมลาวี ขณะที่เจ้าชายหนุ่มค้อมพระเศียรเล็กน้อยรับ พร้อมแย้มพระโอษฐ์ให้ พระสุรเสียงห้าวกังวาน

“ตามสบายเถิด เรามาขอชมการฝึกหน่อยน่ะ หวังว่าคงไม่รังเกียจ”

“ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งต่อการเสด็จมาทอดพระเนตรพวกกระหม่อม” ผู้เป็นหัวหน้าการฝึกซ้อมพูดขึ้น “เชิญเสด็จมาประทับทางนี้เถิดพ่ะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มทูลเชิญเสด็จไปยังอัฒจันทร์ซึ่งมีผู้นั่งชมอยู่หลายคน คนเหล่านั้นลุกขึ้นยืนถวายความเคารพ จวบจนวรองค์แห่งผู้มาเยือนประทับลงเรียบร้อย จึงนั่งตาม จากนั้นผู้เป็นหัวหน้าควบคุมการฝึกได้หันไปให้สัญญาณเพื่อเริ่มการฝึกซ้อมต่อ

“ทรงทราบไหมเพคะ ไม่เคยมีคนนอกที่จะได้ขึ้นมาถึงข้างบนนี่ หม่อมฉันเชิญเสด็จมาเป็นพระองค์แรก นี่หม่อมฉันใจป้ำนะนี่” อาเรียส่งเสียงทูลหงุงหงิง เรียกสายพระเนตรที่จับจ้องการฝึกซ้อมเบื้องหน้าให้หันมาทอดพระเนตรอย่างหมั่นไส้

“อยากให้เราตอบแทนความใจป้ำของเจ้าหรือไร”

“แหม หม่อมฉันไม่อยากได้ของตอบแทนสักหน่อย แต่ถ้าฝ่าบาทมีพระเมตตาประทานให้ หม่อมฉันก็เต็มใจรับเพคะ”

“เจ้านี่นะ...” พระขนงเข้มขมวดมุ่นให้ตายสิ อยากได้อะไรล่ะ”

หญิงสาวยิ้มกว้างทันที ดวงตาพราวระยับ “เป็นพระกรุณาธิคุณเพคะ หม่อมฉันก็แค่อยากจะเห็นการฝึกของกองทหารราชองครักษ์ที่พระองค์ดูแลอยู่เท่านั้นเอง ได้ยินมานานแล้วว่าฝีมือการขว้างมีดของพวกเขาแม่นยำมาก”

คำขอของหญิงสาวทำให้พระองค์และชายหนุ่มอีกสองคนชะงักไปชั่วครู่ ทรงส่ายพระพักตร์แค่นพระสรวลอย่างถอนฉิว “ให้ตายสิ เจ้านี่มันแสบจริง ๆ ปฏิเสธไม่ได้ล่ะสิ”

เนวินกับนาซินถอนหายใจยาว ดูเหมือนว่าการที่พวกเขาไปคว้าตัวหญิงสาวคนนี้มาในตอนแรกกลายเป็นเรื่องที่ผิดพลาดจริง ๆ

“ท่านนาซิน ท่านเนวิน อยากจะลงไปร่วมซ้อมบ้างไหม” เจ้าของเสียงใสถามขึ้น เรียกความสนใจของชายหนุ่มเจ้าของชื่อทั้งสองคนได้เป็นอย่างดี

“ได้หรือ” เนวินถามอย่างต้องการให้แน่ใจ ครั้นเห็นหญิงสาวพยักหน้า ก็หันไปมองผู้ที่ประทับอยู่เป็นการขออนุญาต อาการพยักพระพักตร์ทำให้ทั้งสองคนแล่นลงไปยังสนามทันทีด้วยความกระตือรือล้นตามวิสัยของผู้ชื่นชอบอาวุธและการต่อสู้

เสียงเฮลั่นเมื่อทั้งสองคนแยกย้ายกันจับคู่กับคนของอาควิล ตามมาด้วยเสียงเชียร์และเสียงชื่นชมในฝีมือแห่งผู้เป็นราชองครักษ์ในเจ้าชายแห่งเมลาวี ด้วยฝีมือของคนทั้งสองนั้นถือว่าเยี่ยมในเชิงมีดสั้นอันถือได้ว่าเป็นอาวุธอันตรายชนิดหนึ่งเป็นที่ยิ่ง ไม่ว่าเชิงรุกหรือรับ ว่องไว เฉียบขาด เนวินดูจะเหนือกว่าผู้เป็นเพื่อนอยู่ชั้นหนึ่ง ชายหนุ่มใจเย็นและอ่านทางคู่ต่อสู้ได้ขาด ทั้งยังคล่องแคล่ว แม้ว่าคู่ประลองจะว่องไวไม่แพ้กัน

เจ้าชายรัซเซลทอดพระเนตรภาพในสนามอย่างเพลิดเพลินด้วยพระอาการคันไม้คันมือ หากไม่ติดที่พระอาการบาดเจ็บก็จะทรงลงไปร่วมซ้อมด้วยเสียแล้ว จู่ ๆ ก็ทรงได้กลิ่นของพระโอสถที่คุ้นเคยทำให้ทรงหันพระพักตร์ขวับทันที เห็นเป็นอาควิลนายหนึ่งกำลังก้มศีรษะถวายความเคารพพระองค์อยู่ ทว่าไม่ทรงเห็นหญิงสาว และไม่ทรงทันสังเกตว่าหญิงสาวหายไปตอนไหน พระขนงจึงขมวดเล็กน้อยยามตรัสถาม “อาเรียล่ะ”

“ท่านอาเรียออกไปข้างนอกแล้วพ่ะย่ะค่ะ เธอฝากให้กระหม่อมทูลว่า ไม่ควรประทับอยู่บนนี้นานเกินไป ควรจะทรงกลับลงไปพักผ่อน และยังฝากให้กระหม่อมนำพระโอสถมาถวายพ่ะย่ะค่ะ”

เจ้าชายแห่งเมลาวีทำพระพักตร์ยุ่ง หากก็รับพระโอสถจากทหารมาเสวยแต่โดยดี ทว่ารสชาติที่เลวร้ายยิ่งกว่าเดิมทำให้ทรงแทบสำลัก แต่ต้องฝืนพระองค์เพราะคงไม่งาม ถ้าพระองค์จะเสียกิริยาต่อหน้านายทหารอาควิลผู้นี้

“ท่านอาเรียให้กระหม่อมทูลฝ่าบาทหลังจากเสวยพระโอสถแล้วว่า พระโอสถในวันนี้เพิ่มตัวยาเป็นสองเท่า เพื่อชดเชยกับการที่พระองค์ไม่ได้พักผ่อนเต็มที่พ่ะย่ะค่ะ” เสียงทูลอย่างเกรง ๆ

‘มิน่าเล่า’ ทรงกลืนพระเขฬะอย่างลำบาก ความแค้นเคืองกรุ่นในพระทัย ‘ให้ตายสิ นี่พวกวินเทียร์เลี้ยงนางมายังไงกันนะ ถึงได้แสบเพียงนี้’ ก่อนตวัดพระเนตรขุ่นไปยังทหารผู้รับคำสั่งที่ยืนทำหน้ากระอักกระอ่วน ‘นี่ก็เหมือนกัน ช่างเป็นลูกน้องที่ทำตามคำสั่งได้ดีแท้ ๆ จะบอกก่อนก็ไม่ได้ ฝากไว้ก่อนเถอะ แม่ตัวแสบ’ ทรงคาดโทษไว้ในพระทัยอย่างหมายมาด



ดวงอาทิตย์เคลื่อนคล้อยลงต่ำ เป็นสัญญาณเตือนว่าใกล้เวลาสิ้นสุดแห่งวัน ผู้คนที่เดินกันขวักไขว่เริ่มเบาบาง ร้านริมทางบางแห่งเริ่มเก็บสินค้าเพื่อจะได้กลับไปพักผ่อนกับครอบครัวของตน หากบางร้านยังคงเปิดขายในรอบกลางคืน เช่นเดียวกับร้านอาหารที่องค์ผู้บัญชาการเลือกเป็นที่ประทับรอหญิงสาวแห่งเผ่าเนอร์ราห์

วรองค์สูงสง่าประทับทอดพระเนตรบรรยากาศรอบองค์ด้วยพระอารมณ์ผ่อนคลาย จวบจนหญิงสาวที่ทรงรออยู่ปรากฏร่างให้เห็น พระโอษฐ์จึงคลี่ยิ้มบางรับและรับสั่งให้หญิงสาวนั่งลง สตรีกลางคนปราดเข้ามาที่โต๊ะอย่างรู้หน้าที่ ก่อนจะหายไปชั่วครู่แล้วกลับมาพร้อมเครื่องดื่มตามที่หญิงสาวได้สั่งเอาไว้

ภาพทั้งหมดตกอยู่ภายใต้สายตาที่เฝ้าจับสังเกตของคนสองคนซึ่งอยู่ในร้านฝั่งตรงกันข้าม โดยที่เจ้าชายหนุ่มมิได้รู้สึกพระองค์แม้แต่น้อย

“ท่านครับ นั่น...”

“ใช่ เจ้าชายราเอล...”

“นี่คงเสด็จมาเงียบ ๆ ล่ะสิครับ ถึงได้ไม่มีข่าวออกมาเลย”

“ก็น่าจะเป็นเช่นนั้นละ ในเมื่ออาเรียมาอยู่ที่นี่ ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะพบพระองค์ด้วยเหมือนกัน” มือหนายื่นมาหยิบถ้วยน้ำชาที่ผู้เป็นลูกน้องเพิ่งจะเทให้ขึ้นจิบ

“ผู้หญิงคนนั้น ถ้าจำไม่ผิด ดูเหมือนจะเป็นคนของเผ่าเนอร์ราห์ใช่ไหมครับ”

“หลานผู้เฒ่าเลยละ ทีนี้เจ้าสังเกตอะไรไหม...” ผู้เป็นนายเหยียดริมฝีปากถามลูกน้อง หากอาการขมวดคิ้วดุจตามไม่ทัน ทำให้ถ้อยประโยคบอกเล่าดังขึ้นต่อ “ที่พวกกองพันที่สามมันวิ่งวุ่นกันอยู่น่ะ เพราะอะไรกันล่ะ”

“ก็เรื่องท่านอาเรียถูกทำร้ายไม่ใช่หรือครับ” คำพูดดังขึ้น หากประกายความเข้าใจก็วาบทันที “ดูเหมือนว่าเจ้าชายไม่คล้ายคนที่กำลังกังวลกับการที่ลูกน้องถูกทำร้ายเลยใช่ไหมครับ”

รอยยิ้มปรากฏที่ริมฝีปากใต้เรียวหนวดทันที “นั่นละที่น่าสงสัย อาเรีย รีฟ ไคล์ เป็นคนสนิทของพระองค์ หากเกิดเรื่องกับใครคนใดคนหนึ่ง มีหรือที่จะทรงมานั่งเล่นทอดพระอารมณ์อยู่กับสตรีเช่นนี้”

“ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็หมายความว่าแท้จริงแล้ว อาเรียไม่ได้เป็นอะไร แล้วพวกกองพันที่สามหาใคร...”

“จะหาใครก็ตามแต่ นั่นทำให้อูราลมันต้องหลบขึ้นไปบนวินิเทียร์นั่นละ ไอ้อูราลมันใจร้อน ส่งคนจับตาดูพวกอาควิลเอาไว้ พวกนั้นมีการเคลื่อนไหวอะไรให้รายงานด่วน แล้วเตรียมคนของเราให้พร้อม บางที...เราอาจจะได้ตามเก็บงานของอูราลมัน”

“ท่านหมายความว่า...”

ผู้เป็นเจ้านายเหยียดยิ้มเหี้ยมเกรียม “ใช่ หากคุณหนูนั่นไม่ได้ถูกยิง แล้วมันเรื่องอะไรที่ทำให้ท่านนัซเซอร์ต้องออกคำสั่งหาตัวคนร้ายเสียทั่วเมืองแบบนี้ ถ้าข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ เจ้าชายรัซเซลอาจจะอยู่ในอาควิลก็เป็นได้”

ท้องฟ้าเบื้องนอกเริ่มสลัว แสงไฟทยอยปรากฏขึ้น หากผู้เป็นนายและลูกน้องยังมิขยับลุก สายตาทอดมองวรองค์สง่างามและร่างสูงโปร่งลุกขึ้นเดินเคียงกันออกจากร้าน

“ส่งคนไปเก็บกวาดแล้วใช่ไหม”

“ครับ น่าจะอยู่ในระหว่างลงมือ”

เพียงชั่วครู่หลังจากคำตอบรับนั้น ทางด้านหนึ่งของเมืองก็ปรากฏควันไฟพวยพุ่ง ส่งผลให้ ท้องฟ้าบริเวณนั้นสว่างจ้า เสียงตะโกนโหวกเหวกแว่วมาตามลมที่ช่วยโหมกระหน่ำพระเพลิงให้ลุกโชติช่วง รอยยิ้มปรากฏขึ้นพร้อมการลุกขึ้นยืนของคนทั้งสองที่เดินออกไปจากร้าน แล้วลับหายไปทางอีกด้านของตัวเมือง



เพียงรอยฝัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 เม.ย. 2554, 18:21:58 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 เม.ย. 2554, 18:21:58 น.

จำนวนการเข้าชม : 2049





<< บทที่ 6   บทที่ 43 (ลบแล้วค่ะ) >>
Setia 5 เม.ย. 2554, 22:39:43 น.
โฮะๆๆๆ องค์ชายรัซเซลน่ารักน่ากิน เอ้ย! น่ากอดจริงๆ
ตอนที่อาเรียห้ามตอนสององครักษ์มีเรื่องกันนี่ สุดยอด เราขำตัวงอเลยนะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account