^การเดินทางของความฝัน^
เรื่องราวบนเส้นทางแห่งความฝันของบรรดานักศึกษาแพทย์ บนทางเดินที่ไม่ได้โรยด้วยตำราหรือกลีบกุหลาบ แต่มีพร้อมทั้งอารมณ์ ความสับสน และอ่อนไหว

...เพราะชีวิต ไม่ใช่เรื่องง่าย...

ญาตาวี...เด็กสาวผู้มีญาณพิเศษในการมองเห็นดวงวิญญาณ กับชีวิตวุ่น ๆ ในรั้วโรงเรียนแพทย์ที่มีวิญญาณหลงทางอยู่เคียงข้าง

ชลกานต์...เด็กสาวผู้ร่าเริงกับชีวิตเสียจนน่าอิจฉา กับเรื่องราวบางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายใต้รอยยิ้มและหัวใจที่มั่นคงราวจะไม่ไหวคลอน

ชนิสรา...เด็กสาวเจ้าของดวงตาคมวาวแห่งความมั่นคงและทระนง กับหัวใจอันอ่อนไหวที่ถูกสั่นคลอนไปพร้อมกับความเชื่อมั่น

เรื่องราวของพวกเธอทั้งสาม และเพื่อน ๆ บนถนนสายความฝัน

เมื่อชีวิตไม่เป็นอย่างที่คิด

เมื่อความฝันไม่ใช่เรื่องง่ายดาย

เมื่อการเดินทางครั้งนี้...ไม่มีเส้นทางลัด

มีแค่เพียงสองขา สองมือ และหนึ่งหัวใจเท่านั้นที่จะพาพวกเธอผ่านไป

Tags: นักศึกษาแพทย์ ความฝัน ญาตาวี ชลกานต์ ชนิสรา

ตอน: Season II Chapter 2.2


หลังมื้อกลางวัน สี่สาวฟังสี่หนุ่มโอดครวญเรื่องหนีไปกินข้าวข้างนอกโดยไม่ชวนอยู่สองสามคำ รถตู้ของโรงพยาบาลก็มาจอดอยู่หน้าบ้านพัก

พี่หัวหน้าพยาบาลซึ่งช่วยดูแลนักศึกษาแพทย์ก้าวลงมา ส่งยิ้มให้ ชลกานต์เดินออกไปยกมือไหว้ด้วยความคุ้นเคย “พี่แมวพาไปเหรอคะ”

“ใช่…พร้อมหรือยัง สาว ๆ อย่าลืมทาครีมกันแดดกันนะ เดี๋ยวผิวเสีย”

“สาว ๆ ไม่ทา แต่หนุ่ม ๆ ทาเรียบร้อยแล้วครับ” เฟรม ภัธเวศเอ่ยกลั้วหัวเราะ เพราะบรรดาสี่สาวที่อยู่ในกลุ่มขึ้นชื่อว่าไม่เคยห่วงสวย

“เดี๋ยวนี้โลกมันเปลี่ยนไปแล้วฮะพี่” กาย ภาวิศยิ้มแล้วยักคิ้วให้พี่หัวหน้าพยาบาล

เมื่อบรรดานักศึกษาทั้งแปดขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว เพียงไม่นาน รถตู้ก็พาพวกเขาและเธอไปถึงพิพิธภัณฑ์บ้านควายซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลนัก พี่หัวหน้าพยาบาลแจกบัตรเข้าชมและถ่ายรูปรวมให้บรรดานักศึกษาแพทย์ที่ป้ายหน้าทางเข้าพิพิธภัณฑ์ ก่อนบอก “พอดีพี่มีประชุมต่อ เดี๋ยวสักสามโมงครึ่งพี่ให้รถมารับนะ แต่ถ้าหมอจะกลับก่อนก็โทร.บอกพี่ เดี๋ยวพี่ให้รถมา”

“ได้ค่ะ...เดี๋ยวชลขอเบอร์พี่แมวไว้หน่อยนะคะ”

แลกเบอร์โทรศัพท์กันเรียบร้อย รถตู้ของโรงพยาบาลก็วนออกไป บรรดานักศึกษาแพทย์มองหน้ากันไปมา ก่อนที่ภาวิศจะบอก “แยกกันไปดูไหม ใครอยากดูอะไรก็ไป”

“เอาอย่างนั้นก็ได้ กายจะไปหาที่นั่งเย็น ๆ ล่ะสิ”

“อือ…ร้อน” พูดแล้วชายหนุ่มก็เดินตรงไปที่ร้านค้าด้านหน้า ซื้อชาเขียวเย็นกับไอศครีมชอกโกแลตยี่ห้อดังมาแท่งหนึ่ง

ญาตาวีเดินตามภาวิศไป แต่กลับต้องชะงักฝีเท้าเมื่อผ่านต้นไทรใหญ่ซึ่งผูกผ้าพันไว้ด้านหน้า เธอยกมือไหว้แล้วยิ้มให้บาง ๆ ชลกานต์ที่เดินอยู่ใกล้ ๆ ยังได้ยินเสียงกระซิบเบา ๆ

“...วีจะฟ้องลุงยม”

“มีอะไรหรือเปล่าวี” เพื่อนสาวกระซิบถาม เพราะเป็นเพื่อนกันมานาน ชลกานต์เริ่มคุ้นเคยกับความสามารถพิเศษที่น่าหวาดผวาของเพื่อนสาว

“อ๋อ…พี่พี่ยมฑูตแวะมาทักทายน่ะ” เธอเอ่ยกลั้วหัวเราะ ก่อนจะปรายตามองต้นโพธิ์ใหญ่ คลี่ยิ้มกึ่งขัน “ไม่สิ ไม่ได้มาทักทายวีหรอก ต้องบอกว่าหนีมาจิบน้ำชากับพี่นางไม้ที่นี่แล้วบังเอิญเจอวีมากกว่า เดี๋ยววีจะฟ้องลุงยม...ว่าพี่หนีมา...แอ่วสาว”

“ไปแกล้งพี่เขานะวี...” ชลกานต์อดจะดุไม่ได้

“นิดเดียวน่า...” ญาตาวีบอกก่อนจะส่งยิ้มให้ต้นโพธิ์ต้นเดิม แล้วโคลงศีรษะเบา ๆ “ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”

“สวัสดีนะคะพี่ยมฑูต พี่นางไม้” ชลกานต์บอกเบา ๆ แล้วโคลงศีรษะให้ ก่อนจะเดินจูงมือกับญาตาวีตรงไปยังท่าน้ำที่ทำเป็นศาลาเหล็กยื่นลงไปในบ่อขุดกว้าง ในบ่อน้ำมีหงส์ดำชูคอเรียกความสนใจจากเพื่อน ๆ เธอที่เดินมาก่อนหน้า

ปานตะวันแกะถุงขนมปังโยนให้ปลา ภาวิศเห็นจึงเข้าไปแบ่งเอาขนมปังส่วนหนึ่งมาจ่อที่ปากหงส์ ล่อให้เจ้านกน้ำหันมามองตามอย่างสนอกสนใจ ชนิสรามองแล้วหัวเราะคิก ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเก็บภาพนั้นไว้อย่างรวดเร็ว เสียงชัตเตอร์ลั่นเบา ๆ แต่ดังพอจะเรียกความสนใจจาชายหนุ่มที่กำลังเล่นกับหงส์ให้หันมามอง ชนิสราจึงหันจอโทรศัพท์ให้ภาวิศดู ยักคิ้วให้กึ่งล้อเลียน

“หงส์ดำ...เหมาะกับกายดีนะ”

“เหมาะยังไง”

“ก็กายชอบเป็นแกะดำไม่ใช่เหรอ” เธอหัวเราะ “เดี๋ยวเราโพสลงเฟซแล้วแท็กให้นะ”

“เดี๋ยวก็เป็นข่าวกับเราหรอก”

ชนิสราแค่นหัวเราะ “สนอะไร ก็รู้ว่ามันไม่จริง”

บริเวณพิพิธภัณฑ์บ้านควาย จ.สุพรรณบุรีประกอบไปด้วยบ้านเรือนไทยแบ่งตามภาคต่าง ๆ จัดวางอยู่รอบสระน้ำขุด บ้างเรือนบางหลังมีเกวียนวางฟางข้าวไว้ข้างเจ้าสัตว์สี่ขามีเขายาวโง้งที่ยืนเล็มหญ้าโดยไม่สนใจใยดีต่อเสียงชัตเตอร์หรือแสงแฟลตของคนที่เพียรเข้ามารบกวน

ญาตาวีกับชนิสราคอยกดชัตเตอร์ให้ชลกานต์และปานตะวันเสียเพลิน ภัธเวศเดินไปใกล้น้องควาย แกล้งย่อตัวลงเล็กน้อย ยื่นหน้าไปทำปากจู๋ใกล้ ๆ ราวจะจูบแก้มสัตว์โลกน่ารัก พิเชษฐ์ส่ายหน้าอย่างระอาแล้วกดถ่ายรูปให้ก่อนส่งให้ภัธเวศดูผลงาน

“พัฒน์ ๆ มาไหว้บรรพบุรุษแกดิ” พิเชษฐ์ตะโกนบอกกิตติพัฒน์ที่เพิ่งเดินลงมาจากเรือนไม้ภาคกลาง

กิตติพัฒน์มองตาม แล้ววิ่งมาหน้าน้องควาย “จัดให้ไวนะเว่ย อายคนเขา” แล้วชายหนุ่มก็ย่อตัวลงนั่งยอง ๆ ยกมือไหว้น้องควาย ภัธเวศรีบยกกล้องขึ้นเก็บภาพอย่างรวดเร็ว

“จัดไป...อย่าให้เสีย”

“เฮ้ย เจ๋งว่ะ เดี๋ยวเอาไปทำรูปโปรไฟล์” กิตติพัฒน์เดินมาดูผลงานอย่างชอบใจ แล้วบรรดาหนุ่ม ๆ ก็พากันเต๊ะท่าประหลาดถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน บางภาพก็สนุกสนานเสียจนคนเห็นคงไม่อยากเชื่อว่าคนทำท่าประหลาด ๆ นั้นเป็นนักศึกษาแพทย์ หนึ่งในคณะที่ได้ชื่อว่ารวมเอาหัวกะทิของประเทศมีมาอยู่ด้วยกัน

ญาตาวีเดินเล่นออกมาห่างจากเพื่อน ๆ เพราะมัวทักทายบรรดาพี่ๆผีบ้านผีเรือน พี่นางไม้ต้นโพธิ์ใช้เวลาไม่นานก็สามารถประกาศข่าวไป่วพิพิธภัณฑ์ว่ามีมนุษย์พันธุ์พิเศษอย่างเธอมาเที่ยว พี่ๆจึงแวะเวียนมาทักทายและเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ในยุคสมัยของตนให้เธอฟังเป็นเกร็ดความรู้อย่างไม่รู้เบื่อ

หญิงสาวนั่งเล่นอยู่บนเรือนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไอร้อนจัดของยามบ่ายภาคกลางทำให้เธอต้องโบกมือไปมาให้ลมพัดสัมผัสแก้มที่ขึ้นสีเรื่อจาง

ร่างสูงของใครบางคนก้าวขึ้นมาบนเรือน ฝีเท้าที่เหยียบไม้กระดานเบาจนแทบไม่ได้ยินเสียงเวลาเดินทำให้ญาตาวีไม่ทันได้ใส่ใจ รู้ตัวอีกทีก็เมื่อร่างสูงนั้นมานั่งลงข้างตัว พร้อมส่งเครื่องดื่มกระป๋องเย็นเฉียบมาให้ตรงหน้า เรียกความสนใจจากหญิงสาวให้หันมามอง

ญาตาวีมองหน้าชายหนุ่มนิ่งแทบลืมหายใจ เขาส่งยิ้มให้เธอก่อนบอก “คุณนางไม้ข้างหน้าบอกว่า มีคนแบบผมอยู่ที่นี่...รอบตัวมีแต่วิญญาณแบบนี้ คุณเห็นพวกเขาใช่ไหม”

ดวงวิญญาณรอบตัวญาตาวีต่างพากันหายไปในทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้น จะเหลือก็เพียงร่างสูงของผู้ชายในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นแบบลำลองที่แม้จะมีแว่นกันแดดสีดำจัดปิดบังไว้เกือบครึ่งหน้า แต่ด้วยน้ำเสียง โครงหน้า หรืออาจเป็นความคุ้นเคยบางอย่าง ที่ทำให้ญาตาวีมั่นใจว่าเธอไม่มีวัน...จำไม่ได้

“คุณ…”

“ปีก่อนผมประสบอุบัติเหตุ หลับไปตั้งนาน พอตื่นมาก็เห็นพวกเขา” เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะ “คุณล่ะ...”

เธอไม่ได้ตอบ ดวงตาที่มองหน้าเขาเต็มไปด้วยร่องรอยของความสับสน ชายหนุ่มตัดสินใจเปิดกระป๋องเครื่องดื่มในมือที่เธอยังไม่ยอมรับ แล้วส่งคืนให้เธออีกครั้ง

“ผมชื่อโฬม...ยินดีที่ได้รู้จักฮะ”

ญาตาวีไม่ได้เอ่ยตอบ เธอลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว บอกเสียงเบา “เรามีธุระ...ขอตัวก่อน” แล้วร่างบางก็รีบก้าวไปที่บันได สาวเท้าเร็ว ๆ ลงไปจนแทบตกบันได ปล่อยให้ชายหนุ่มนั่งนิ่งมองเครื่องดื่มกระป๋องในมือด้วยความงุนงง



ญาตาวีรีบก้าวเร็ว ๆ ไม่ทันได้มองทาง จนเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากชลกานต์เธอจึงได้สติรีบหันไปหา

“วี…ไปลานแสดงกัน เดี๋ยวเขามีแสดงควายเผือกด้วย”

“กี่โมงแล้วชล” ญาตาวีถามทันทีที่เจอเพื่อน

“สองครึ่ง ทำไมเหรอ”

“เปล่า…ไปเถอะ” ญาตาวีเดินเกาะกลุ่มเพื่อนไปยังลานแสดงซึ่งทำเป็นอัฒจรรย์รูปครึ่งวงกลม ด้านหน้าเป็นลานทรายซึ่งกำลังมีการแสดงของบรรดาเด็กนักเรียนในชุดไทยประยุกต์

ชลกานต์และญาตาวีเดินไปนั่งรวมกับเพื่อน ๆ ที่จองที่รวมกันไว้ก่อนแล้ว เพียงทรุดตัวลง่ง ญาตาวีก็ต้องนิ่งงัน ไม่ใช่เพราะการแสดง แต่เพราะร่างเงาที่คุ้นตาของใครบางคนซึ่งอยู่ไม่ไกล ภายใต้แว่นกันแดดสีเข้ม หญิงสาวยังจดจำเขาได้แม่นยำ

“ทำไม…เรามาเจอกันอีกเพื่ออะไร...”



หญิงสาวร่างผอมบางในชุดกางเกงขาสั้นแค่คืบกับเสื้อรัดรูปตัวเล็ก เผยรูปร่างอวบอัดได้ส่วนนอนอยู่บนเปลที่ถูกเข็นเข้ามาในห้องฉุกเฉน ทางทางหอบหายใจเร็วกระหายอากาศนั้นทำให้ญาตาวีและชลกานต์หันมองหน้ากัน ก่อนจะถอยฉากไปหาคุณยายอีกคนที่ยังนอนอยู่บนเตียงพยาบาลใกล้ ๆ

“ยายเป็นอะไรจ๊ะ” ชลกานต์เอ่ยทัก

“มันเหนื่อย”

“เหนื่อยมากี่วันแล้ว”

“หลายวันแล้ว มันเป็น ๆ หาย ๆ ”

“เหนื่อยหอบเลย หรือเหนื่อยเพลีย ๆ จ๊ะยาย” เพราะท่าทางยายไม่ได้ดูหายใจเร็วนัก หญิงสาวจึงต้องถามย้ำความเข้าใจให้ตรงกัน

“มันก็เหนื่อย ๆ เมื่อย ๆ น่ะหมอ ยายไปทำไร่แห้ว พอทำเสร็จมันก็เหนื่อยไปทั้งตัว”

สองสาวนักศึกษาแพทย์มองหน้ากันพลางถอนใจเบา ๆ บางครั้งความหมายของคำที่ผู้ป่วยใช้ กับแพทย์เข้าใจก็แตกต่างกัน การยืนยันและถามทวนความเข้าใจเสมอ

พวกเธอช่วยกันซักประวัติ ตรวจร่างกายจนแน่ใจแล้วว่าคุณยายไม่น่าจะเป็นโรคอะไรมากไปกว่าอาการปวดเมื่อกล้ามเนื้อจากการทำงาน สองสาวก้าวไปที่เคาท์เตอร์พยาบาล ช่วยกันเขียนใบสั่งยาตามความรู้ที่เคยเรียนมา ก่อนหันไปถามพี่แพทย์ที่นั่งเซ็นเอกสารอยู่ เมื่อตรวจดูเรียบร้อยจึงนำใบสั่งยาไปส่งให้คุณยาย

“กล้ามเนื้ออักเสบนะคะคุณยาย กินยาย นอนพัก ออกกำลังกายแล้วก็พักผ่อนคลายกล้ามเนื้อบ้างนะคะจะได้ไม่ปวดมาก” ชลกานต์บอกเสียงใส

ยายยิ้มกว้าง “เล่นไท้เก๊กได้ไหมหมอ แถวหมู่บ้านกำลังชอบกันเลย ยายว่าจะไปลองเล่นกับเขาสักหน่อย”

“โห…ยายอยู่แถวไหน ไว้หมอไปเล่นบ้าง”

ยายบอกชื่อหมูบ้านแห่งหนึ่งซึ่งชลกานต์และญาตาวีได้แต่หัวเราะคิก มองหน้ากันเพราะไม่รู้ทางไป ก่อนยกมือไหว้ลายายที่เดินออกไปจากห้องฉุกเฉิน แล้วหันไปมองหญิงสาวบนเปลพยาบาลที่นอนตาแดงอยู่ อาการหอบหายใจเริ่มสงบลงมากแล้ว

พี่แพทย์หนุ่มที่อยู่หลังเคาท์เตอร์ชะโงกหน้ามามองแล้วพยักหน้าให้ชลกานต์กึ่งบอกให้เข้าไปตรวจได้ หญิงสาวเดินเข้าไปใกล้ เอ่ยถามเบา ๆ

“ดีขึ้นหรือยังคะ”

“ดีขึ้นค่ะ”

ชลกานต์วางสเตตโตสโคป หรือที่คนทั่วไปเรียกว่าหูฟังลงบนอกผู้ป่วย ตรวจดูก่อนบอก “เสียงปอดดีนะ คุณมีโรคหอบอยู่เดิมไหม”

“ไม่ค่ะ ไม่เคยเป็นมาก่อน”

“ตอนเริ่มเป็นทำอะไรอยู่คะ”

“ไม่ได้ทำอะไร ก็ยืนคุยกับแฟน”

“ร้องไห้หรือเปล่าคะ ตาคุณแดง ๆ” ญาตาวีคลี่ยิ้มถาม

อีกฝ่ายนิ่งไปครู่ ก่อนตอบเสียงเบา ๆ “เราทะเลาะกัน”

“แล้วคุณก็เริ่มหอบ หายใจไม่ทัน มือเท้าชา...”

“ใช่่”

“เกิดขึ้นได้นะคะ มีหลายคนที่ระบบประสาทอัตโนมัติทำงานผิดปกติ คุณไม่ได้ตั้งใจหรอก แต่เมื่อคุณเริ่มสะอื้น หายใจเร็ว คุณจะรู้สึกเหมือนหอบ และพยายามหายใจให้เร็วขึ้น” ญาตาวีเอ่ย “สิ่งสำคัญคือคุณต้องตั้งสติให้ดีและรู้ว่าคุณควบคุมมันได้ ค่อย ๆ สูดหายใจลึก ๆ ช้า ๆ ลองทำดูนะคะ”

หญิงสาวทำตามที่ญาตาวีบอก ก่อนจะพยักหน้ารับ ญาตาวีกับชลกานต์ดูจนแน่ใจว่าเธอทำได้ดีแล้วจึงเดินจากมาแล้วบันทึกลงประวัติการรักษา

รุ่นพี่แพทย์เงยหน้ามองนาฬิกา “จะสี่ทุ่มแล้ว น้อง ๆ ลงเวรไปพักผ่อนเถอะ”

“ขอบคุณค่ะ” สองสาวบอกด้วยรอยยิ้มกว้าง ก่อนจะจูงมือกันเดินออกจากห้องฉุกเฉิน


แสงจันทร์กระจ่างบนฟ้ารายล้อมด้วยดวงดาวนับร้อยพันที่เกลื่อนกระจายอยู่เต็มผืนกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้ม ชลกานต์จับมือญาตาวีแกว่งไปมาขณะเดินไปด้วยกัน แล้วเสียงเล็ก ๆ ก็เอ่ยถาม

“วี…วันนี้...ใช่เขาหรือเปล่า”

ญาตาวีนิ่งไปครู่ “ชลเห็นเหรอ”

“อืม…คนอย่างเขาน่ะ ให้พยายามกลมกลืนกับฝูงชนแค่ไหนก็ยังสะดุดตาอยู่ดีล่ะ” ชลกานต์เอ่ยกลั้วหัวเราะ ทำให้ญาตาวีอดจะนึกถึงผู้ชายที่สะดุดสายตาคนนั้นไม่ได้

ด้วยรูปร่างสูง ได้ส่วนราวนายแบบ กับโครงหน้าที่ได้รูป แม้ซ่อนครึ่งหนึ่งไว้ใต้แว่นกันแดดก็ยังพอเห็นเสี้ยวของความคมคาย กับสันจมูกโด่ง ริมฝีปากหยักนั้นบางเป็นรูปกระจับสวยชนิดผู้หญิงยังต้องอาย เขาเป็นผู้ชายที่เหมาะจะยืนอยู่กลางแสงไฟ

“ใช่เขา...ใช่ไหม”

“อืม…”

“เขาจำวีได้ไหม” เพื่อนสาวอดถามไม่ได้

ญาตาวีแค่นหัวเราะกึ่งหยันเบา ๆ “คงไม่หรอก...เขาได้ชีวิตใหม่แล้ว จะจดจำเรื่องไร้สาระไปทำไม”

“บางครั้งชลก็ไม่เข้าใจ ถ้าเรื่องราวเกิดตอนเขาเป็นวิญญาณ ความทรงจำที่ถูกบันทึกในวิญญาณทำไมถึงลืมได้ง่ายนัก”

“ไม่ได้ลืมหรอกชล” ญาตาวีคลี่ยิ้มบาง “ลุงยมเคยบอกว่า...มนุษย์มักใช้สมองมากกว่าหัวใจ ความทรงจำที่ติดในจิตวิญญาณจึงต้องถูกกลบฝัง เมื่อซีกของตรรกะจากสมองย้อนคืนมาพร้อมอัตตาและความเป็นมนุษย์”

“แล้วถ้าเขาจำได้...”

“ไม่หรอก...” หญิงสาวกล้ายืนยัน “ที่แปลกคงเป็น...ลุงยมไม่ได้บอกว่าเขาจะตื่นมาเป็นเหมือนเรา”

คราวนี้ชลกานต์เลิกคิ้วสูง เบิกตากว้างมองเพื่อนสาว ก่อนจะได้คำตอบ “อืม…เขาเห็นวิญญาณ”

“ว้าว...นี่คนที่เคยตายแล้วฟื้นเป็นแบบนี้ทุกคนไหมนะ”

“ไม่หรอก เราว่าเขาคงต้องปรับตัวนานเลย”

“จะสงสารดีหรือดีใจดี...อาจมีวิญญาณสักดวงบอกเรื่องวีกับเขาให้เขาฟัง” ชลกานต์มองฟ้าอย่างเคลิบเคลิ้ม “มันคงเป็นนิยายโรแมนติกเรื่องยาว”

ญาตาวีหัวเราะกับความช่างฝันของเพื่อน “ไม่โรแมนติกหรอก...เราก็แค่คนเคยรู้จักในโลกของวิญญาณก็เท่านั้น”

“วี…” ชลกานต์หันมามองลึกเข้าไปในตาของเพื่อน ญาตาวีเหยียดริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนหันหน้าหนี ซ่อนดวงตาที่หม่นแววเศร้า

“เข้าบ้านเถอะ เราง่วงแล้ว”

-----
คุณ mhengjhy : เอามาส่งให้ตามต่อค่ะ

คุณใบบัวน่ารัก : หนุ่ม ๆ มาแล้วค่ะ

คุณ คิมหันตุ์ : แหม...เหมือนหนุ่ม ๆ จะรู้ เลยโผล่กันมาเต็มเลยค่ะ

คุณ Setia : จริงค่ะ ญาตาวีนี่ดวงแรงสุด ๆ แต่เธอก็เป็นโรคเดียวกับคุณSetia เลยค่ะ สงสัยโณคนี้จะรักษาลำบาก

----
และเช่นเคย
ปล.1 เรื่องนี้อาจมีศัพท์แสงประหลาด เฉพาะทางเป็นปริมาณมาก ทั้งนี้เพื่อความสมจริงในการพูดคุยของตัวละคร แต่จะพยายามาอธิบายไว้ในเนื้อเรื่อง หากมีส่วนไหนขัดข้อง หรือทำให้เสียอรรถรสไป รบกวนติชมจะขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

ปล.2 เรื่องนี้เป็น season II ฉบับต่อจาก season I(ภาคพรีคลินิค) บรรดานศพ.กลายเป็นนักศึกษาแพทย์ตัวน้อย ๆ ที่ได้สัมผัสผู้ป่วยจริง เนื้อหาจะสปอยเรื่องราวในภาคแรกที่เด็ก ๆ ยังเรียนภาคทฤษฎีกันอยู่(ซึ่งไอซ์ยังเขียนไม่จบ เพราะติดเรื่องแรงบันดาลใจในชีวิตนักศึกษา เลยขอมาจับชีวิตในชั้นคลินิคที่ใกล้ตัวกว่าก่อน) มีปมบางส่วนที่เกี่ยวเนื่องกันมา แต่สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านภาคแรก ไอซ์พยายามเขียนโดยค่อย ๆ เผยปมและเนื้อเรื่องเดิมให้พอเข้าใจได้ หากติดขัดประการใดแจ้งได้นะคะ

คิดถึงทุกท่านค่ะ



ลิขิตรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 ม.ค. 2557, 19:01:24 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 ม.ค. 2557, 19:01:24 น.

จำนวนการเข้าชม : 1213





<< Season II Chapter 2.1   Season II Chapter 3.1 >>
ใบบัวน่ารัก 15 ม.ค. 2557, 06:58:32 น.
แหมหนุ่มๆๆรักสวยงามจังแบ่งๆให้สาวๆเค้าบ้าง
มีหนุ่มตามมาแล้ว จัดไปเต็มที่


mhengjhy 15 ม.ค. 2557, 08:20:58 น.
แหม่ มันต้องจำได้บ้างสิน่า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account