วิมานแสงจันทร์ (ชื่อเดิม ดวงใจศิลารัศมิ์) สนพ.คำต่อคำ
ความสุขความรื่นรมย์ในวังศิลารัศมิ์จบสิ้นลงแล้วจริงหรือ
อะไรคือสาเหตุของเรื่องร้ายๆทั้งหมด

เงื่อนงำ และเงามืดดำ ที่แอบแฝงอยู่ในวัง ยังรอทายาทที่แท้จริงกลับมาสะสาง!
Tags: กานต์ญา วิมานใจใต้ม่านดาว ลับลมคมรัก วิมานแสงจันทร์ พีเรียด โรแมนติก ซ่อนเงื่อนด้วยนะ พี่ดิน น้องศศิ

ตอน: บทที่ 5 : ทางช้างเผือก (รีไรท์)


อ้อมกอดของครอบครัวคือสิ่งที่นิชดาไม่เคยขาด และไม่เคยเรียกร้องโหยหามาตั้งแต่จำความได้ เพราะมีพ่อจักร แม่บังอร และพี่หนูนุช คอยอยู่เคียงข้างในทุกช่วงเวลาของชีวิต ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ จนแทบจะหล่อหลอมกลายเป็นหนึ่งในสายใยเดียวกัน แต่สำหรับหม่อมหลวงวรศศิ ศิลารัศมิ์ เธอไม่เคยได้รู้จักใบหน้าและเรื่องราวของบิดามารดาเลยตั้งแต่จำความได้

ค่ำคืนนี้ก็เช่นกัน หลังจากแขกผู้ไม่ได้รับเชิญทั้งหลายกลับออกไปหมดแล้ว นิชดาก็นั่งซุกหน้ากับอกของแม่บังอร เหมือนทุกครั้งยามมีเรื่องทุกข์ใจ ส่วนพ่อจักรโอบกอดด้านหลังของแม่เอาไว้ โดยมีนงนุชสวมกอดด้านหลังของน้องสาวแน่นกว่าที่เคย ท่ามกลางความเงียบ น้ำเสียงเมตตาของจักรก็เอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ

“ตั้งแต่ที่พ่อกับแม่รับตัวหนูไว้ ตั้งชื่อและแจ้งเกิดให้ใหม่ เราสองคนก็ปักใจมั่นว่าหนูคือลูกแท้ๆของเรา และไม่ว่าวันนี้ หรือวันไหน ความเป็นจริงจะเป็นเช่นไร จะไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงความรู้สึกที่พ่อกับแม่เคยมีต่อหนูได้”

“ใช่แล้วจ้ะ คนดีของแม่” บังอรเอ่ยเสียงเครือ “ขอให้หนูรู้เอาไว้นะลูก ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร หนูจะยังมีพ่อกับแม่อยู่ตรงนี้เสมอ”

“พี่ก็เหมือนกัน” นงนุชเสียงอ่อย “พอเริ่มจำความได้ ก็รู้ว่าพ่อกับแม่ที่อยู่อีกบ้านมีน้องให้พี่แล้ว พี่เชื่อมั่นมาตลอดว่าหนูนิดคือน้องของพี่ เราสองคนร่วมกิน เที่ยว เล่น ผ่านอะไรมาด้วยกันมากมาย จะให้พี่เปลี่ยนความรู้สึกตอนนี้คงไม่ทันแล้วละ ยังไงหนูนิดก็จะเป็นน้องแท้ๆของพี่ตลอดไป”

“หนูนิดขอโทษนะคะ ที่ตัดสินใจโดยพลการว่าจะกลับไปช่วยคุณย่า ไม่ใช่เป็นเพราะว่าหนูนิดอยากเป็นหม่อมหลวงวรศศิ ศิลารัศมิ์ อะไรนั่น แต่หนูนิดอยากทำอะไรเพื่อคุณย่าบ้างสักครั้ง ก่อนที่โอกาสนั้นจะหมดไป”

“ไม่เป็นไรลูก พ่อกับแม่เข้าใจ” จักรลูบมือลงบนกลุ่มผมนุ่มของลูกสาวอย่างถนอม “หนูตัดสินใจทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว และมีอีกสิ่งหนึ่งที่พ่ออยากจะบอกหนู”


หญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตาบิดาซึ่งทอดมองมาอย่างอ่อนโยน

“ขอให้หนูจงภูมิใจในความเป็นหม่อมหลวงวรศศิ ศิลารัศมิ์ ลูกสาวเพียงคนเดียวของหม่อมราชวงศ์วรโชติ ศิลารัศมิ์ เพราะนอกจากคุณชายใหญ่จะมีชาติกำเนิดและเกียรติยศอันสูงส่งแล้ว ท่านยังมีคุณธรรมที่ทำให้ทุกคนยอมรับและเคารพนับถือได้อย่างหมดหัวใจ พ่อกล้ายืนยันในเรื่องนี้ เพราะพ่อเติบโตมากับท่าน ส่วนแม่ของหนู เธอเป็นผู้หญิงที่อ่อนหวาน น่ารัก มีเมตตา แต่ก็กล้าหาญเด็ดเดี่ยวอย่างน่านับถือ”

“คุณพ่อวรโชติกับคุณแม่เอื้องคำ ท่านเป็นอย่างนั้นเหรอคะ” ดวงตาคู่สวยพราวระยับ นึกจินตนาการถึงภาพของบิดามารดาผู้แสนใจดีมีคุณธรรมด้วยความภาคภูมิใจ

“ใช่จ้ะ” บังอรจูบลงบนกระหม่อมลูกสาวคนเล็ก “และที่สำคัญ ท่านทั้งสองรักหนูมาก ตอนที่พ่อกับแม่ไปเชียงใหม่ครั้งสุดท้าย หนูกำลังไม่สบาย งอแงร้องไห้ไม่ยอมนอน คุณพ่อวรโชติอุ้มหนูไว้บนบ่าเกือบทั้งคืน เพื่อให้ลูกรักหยุดร้องไห้ จะได้นอนหลับสบาย”

“ส่วนคุณแม่ของหนู...” จักรบีบมือลูกสาวแน่น “ท่านใช้ร่างกายปกป้องลูกน้อยเอาไว้ไม่ให้ได้รับอันตรายจากอุบัติเหตุคราวนั้น แม้ตัวท่านเองจะต้อง...ตาย”

หญิงสาวซบหน้าลงกับอกของแม่บังอร ร่างบอบบางสั่นเทาด้วยแรงสะอื้น เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า บุพการีผู้ให้กำเนิดทั้งสองต้องเสียสละสิ่งใดบ้าง เพื่อให้เธอได้มีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายเช่นทุกวันนี้

“พ่อกับแม่ช่วยเล่าเรื่องของคุณพ่อวรโชติกับคุณแม่เอื้องคำให้หนูนิดฟังอีกได้มั้ยคะ หนูนิด...อยากรู้จักท่านให้มากที่สุด เก็บเอาไว้เป็นความทรงจำให้ระลึกถึงท่านทั้งสองตลอดไปค่ะ”

“ได้สิลูก พ่อจะเล่าเรื่องคุณพ่อวรโชติตั้งแต่ตอนเด็กๆให้ฟังเลยนะ” จักรส่งยิ้มอ่อนโยน มองเหม่อไปยังดินแดนแสนไกล แล้วเริ่มต้นเล่าเรื่องราวในอดีตให้ลูกสาวฟังด้วยความคิดถึง

จวบจนเวลาล่วงเข้าสู่วันใหม่ พ่อ แม่ ลูกทั้งสี่คนจึงหลับตาลงในห้องนอนใหญ่ของบ้าน กอดกัน ใช้เวลาอยู่ด้วยกันทั้งคืน เหมือนเมื่อครั้งลูกสาวทั้งสองยังเยาว์วัย




ตกเย็นวันต่อมา เป็นวันออกเดินทางกลับเข้าสู่พระนคร ปถวีมาสมทบกับครอบครัวของจักรที่บ้านก่อน จึงค่อยขึ้นรถไปสถานีรถไฟพร้อมกัน ชายหนุ่มแลเห็นกระเป๋าเสื้อผ้าขนาดย่อมสามใบตั้งเอาไว้ตรงประตูทางเข้าบ้าน วรศศิในชุดกางเกงเข้ารูปสีน้ำเงินที่ตัดเย็บอย่างพิถีพิถัน สวมเสื้อแขนสั้นสีชมพูลายดอกไม้กระจุ๋มกระจิ๋ม และสวมรองเท้ารัดส้นเรียบร้อย ยืนทอดอาลัยอยู่หน้าบ้านเพียงลำพัง

ชายหนุ่มก้าวเข้าไปหาอย่างเงียบเชียบ หญิงสาวซึ่งยืนหันหลังอยู่ถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้ง ก่อนหันหน้ามาพบกับผู้มาเยือนโดยบังเอิญ ทำเอาเธอสะดุ้ง

“คุณดิน!”

“ขอโทษครับ พี่ทำให้น้องศศิตกใจมากมั้ย”

“เกือบหัวใจวายแล้วค่ะ” หญิงสาวส่งยิ้มอ่อนหวาน “คุณดินมาถึงนานแล้วหรือยังคะ”

“เพิ่งมาถึงครับ” ชายหนุ่มส่งรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม “เรียกพี่ว่า...พี่ดิน เหมือนเดิมดีกว่านะครับ เอ่อ...ไม่ใช่สิ เหมือนเดิมไม่ดี เพราะตอนนั้นน้องศศิเรียกพี่ว่า...พี่งิน”

หญิงสาวหัวเราะเบาๆ ลืมความหมองเศร้าเมื่อครู่ไปเสียสนิท ชายหนุ่มส่งสายตาวิบวับ ยิ้มอย่างได้ใจ

“คราวนี้ เรียกว่าพี่ดินนะครับ”

“ค่ะ พี่...ดิน”

“น่ารักจังเลย...” ปถวีทอดสายตามองอดีตน้องข้างบ้านนิ่งราวกับต้องมนตร์สะกด จนหญิงสาวต้องหลุบตาลงต่ำด้วยความเอียงอาย ก่อนช้อนสายตาขึ้นตัดพ้อ “พี่ขอโทษครับ พี่แค่ชินกับคำพูดสมัยก่อน ตอนน้องศศิทำอะไรๆได้เอง พี่กับหม่อมย่าก็จะปรบมือแล้วชมว่าเก่งมาก...น่ารักจังเลย”

“หม่อมย่าใจดีมากมั้ยคะพี่ดิน”

“ใจดีมากที่สุดในโลกเลยครับ ท่านจะจัดขนมหวานไว้รอพี่กลับจากโรงเรียนทุกวัน ท่านชายและหม่อมย่าชอบอ่านหนังสือมาก ที่วังของท่านมีหนังสือเยอะแยะเต็มไปหมด และท่านชายก็ทรงชอบประทานหนังสือวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กในต่างประเทศให้พี่อยู่บ่อยๆ จนทำให้พี่มีแรงบันดาลใจ อยากจะเป็นนักวิจัยเหมือนฝรั่งเขาบ้าง”

“พี่ดินเป็นนักวิจัยเหรอคะ”

“ใช่ครับ ตอนนี้พี่กำลังทำโครงการตั้งกองทุนส่งนักเรียนไทยไปศึกษาที่ต่างประเทศด้วยทุนของบริษัทปิยะไลติง เพื่อกลับมาพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ของบริษัทเรา ในด้านการออกแบบแสง และผลิตอุปกรณ์ส่องสว่างแบบครบวงจร”

“เป็นวิทยาการใหม่ๆ ที่น่าสนใจมากเลยค่ะ พี่ดินเก่งจัง”

“คุณจักรบอกว่า น้องศศิก็เรียนเก่งเหมือนกันใช่มั้ยครับ”

“ศศิอยากเป็นครูค่ะ” หญิงสาวยิ้มระรื่น แต่แล้วพลันใบหน้างดงามกลับสลดลง “กำลังจะจบ ป.กศ.สูง เทอมนี้แล้ว แต่ตอนนี้...คงต้องพักเรื่องเรียนเอาไว้ก่อน จนกว่าหม่อมย่าจะปลอดภัยค่ะ”

“โอนไปเรียนต่อที่พระนครมั้ยครับ เดี๋ยวพี่จัดการให้ จบแล้วจะได้เรียนปริญญาต่อเลย”

“ขอบคุณมากค่ะพี่ดิน เทอมนี้ยังไงก็คงไม่ทันแล้ว ศศิขอดูสถานการณ์ในวังอีกทีก่อนนะคะ”

“หนูนิด!” เสียงร้องเรียกของชายหนุ่มผู้หนึ่งดึงความสนใจของคนทั้งสองให้หันไปหา ปถวีแลเห็นหนุ่มน้อยรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าขาวใส ดวงตากลมโต วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามายังตำแหน่งที่ตนยืนอยู่

“นภ...” หญิงสาวขานชื่อด้วยรอยยิ้มยินดี

“นภเพิ่งเจอพี่หนูนุชบนบ้านเมื่อครู่ ถึงรู้ว่าทำไมวันนี้หนูนิดไม่ไปเรียน หนูนิดจะต้องไปดูแลคุณย่าอีกคนที่ไม่สบายมากที่พระนครใช่มั้ย มีอะไรให้นภช่วยหรือเปล่า นภอยากทำอะไรเพื่อหนูนิดบ้าง ไม่อยากอยู่เฉยๆอย่างนี้เลย” ชายหนุ่มยกสองมือของหญิงสาวขึ้นเกาะกุมแน่น
ปถวีส่งเสียงกระแอมขัดจังหวะ วรศศิจึงปลดมือของตนเองออกจากการเกาะกุมนั้น แล้วเอ่ยแนะนำ

“พี่ดินคะ นี่นภสินธุ์ ลูกชายท่านผู้ว่าฯ เพื่อน...ของศศิเองค่ะ”

“สวัสดีครับ” หนุ่มน้อยยกมือขึ้นทำความเคารพอย่างนอบน้อม

“นี่พี่ดินจ้ะ เป็น...พี่ชายที่อยู่บ้านข้างๆกับคุณย่าของหนูนิดเอง”

“อืม...ถ้าอย่างนั้น” ปถวีตีหน้าขรึมมองหญิงสาวทีเพื่อนชายของเธอทีแบบไม่สบอารมณ์นัก ก่อนเอ่ยสั่งความห้วนๆ “พี่ขอตัวก่อนแล้วกัน เชิญคุยกันตามสบาย แต่อย่าลืมรักษาเวลาด้วย” สองหนุ่มสาวตอบรับด้วยรอยยิ้ม ชายหนุ่มจึงเดินหันหลังออกมาอย่างช้าๆ แว่วได้ยินเสียงหนุ่มน้อยพูดว่า

“น่าเสียดายที่หนูนิดต้องพักการเรียน ใกล้จะจบอยู่แล้ว นภอยากรับประกาศนียบัตรพร้อมหนูนิดนะ”

“หนูนิดก็เหมือนกัน แต่จะทำยังไงได้ ฝากความคิดถึงถึงเพื่อนๆด้วยนะ อุ๊ย!” หญิงสาวอุทาน พลางยกมือขึ้นปกปิดดวงตาข้างซ้าย

“หนูนิดเป็นอะไร”

“ไม่รู้อะไรเข้าตา”

ปถวีที่เพิ่งเดินพ้นเงาต้นไม้ใหญ่หยุดชะงักทันควัน ทำท่าจะหวนคืนกลับไปดูอาการของหญิงสาวด้วยความเป็นกังวล ทว่านภสินธุ์เชยคางมนขึ้นมาซะก่อน

“ไหนนภดูให้” ชายหนุ่มใช้ผ้าเช็ดหน้าเขี่ยเศษฝุ่นออกจากดวงตาให้อย่างเบามือ พลางกวาดสายตาสำรวจดวงหน้าอ่อนหวานด้วยความหลงใหล “เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นหรือยัง”

“อืม ค่อยยังชั่วแล้ว มันคืออะไรน่ะ”

“นี่ไง” ชายหนุ่มยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นโชว์ “แมงง้องแง้ง ”

“น่าเกลียด นภบ้า” หญิงสาวตีลงบนต้นแขนชายหนุ่มเบาๆ “ฝุ่นชัดๆ แมงง้องแง้งที่ไหนจะมาเข้าตาคนได้”

“นั่นสิ แมงง้องแง้งที่ไหนจะเข้าตาคนสวยๆได้”

ปถวีถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนเดินก้มหน้าออกจากสวนหน้าบ้านไปด้วยความรู้สึกหงุดหงิดอย่างไรชอบกล

“หนูนิด ให้สัญญากับนภได้มั้ย”

“นภจะให้หนูนิดสัญญาอะไร”

“สัญญา...ว่าจะรีบไปรีบกลับ นภจะคอย ยังไงก็จะคอย”

“นภ...” หญิงสาวยกสองมือของชายหนุ่มขึ้นกระชับ ส่งยิ้มปลอบใจ “ไปคราวนี้ หนูนิดยังไม่รู้เลยว่าจะกลับมาได้เมื่อไหร่ หรือจะได้กลับมาอีกมั้ย แต่ไม่ว่าเราจะอยู่ห่างไกลแค่ไหน ยังไง...เราก็ยังเป็นเพื่อนกันเสมอนะ”

“แต่นภอยากมีหนูนิดอยู่ใกล้ๆนี่นา” ชายหนุ่มส่งสายตาเว้าวอน “หนูนิดไม่รู้เลยเหรอ ว่านภรู้สึกยังไงกับหนูนิด”

“นภ หนูนิดขอบคุณมากสำหรับความรู้สึกดีๆที่มีให้ แต่เราสองคนยังเด็กเกินไป ยังมีอะไรที่ต้องเรียนรู้อีกมาก นภเองก็ยังมีอนาคตอีกไกล เราเป็นเพื่อนกันแบบนี้ก่อนดีกว่านะ เพราะเพื่อนจะไม่มีวันเลิกรากัน”

ชายหนุ่มกระชับมือหญิงสาวแน่น “ก็ได้ นภจะเป็นเพื่อนที่รักและซื่อสัตย์กับหนูนิดตลอดไป มีอะไรก็ขอให้นึกถึงเพื่อนคนนี้ไว้นะ นภจะไปหาทันทีที่หนูนิดต้องการ”




ขบวนรถไฟแล่นออกจากชานชาลาอุดรธานีอย่างช้าๆ นภสินธุ์ยืนโบกมืออำลาจนกระทั่งวรศศิแลเห็นเขาเป็นเพียงคนตัวเล็กๆ ก่อนที่ขบวนรถจะเคลื่อนเข้าสู่ทางโค้ง แมกไม้ริมทางค่อยๆบดบังร่างสูงโปร่งจนเลือนหายไป

“นภสินธุ์ พ่อทางช้างเผือก...” เสียงของนงนุชเปรยขึ้น

“ทำไมถึงพูดอย่างนั้นล่ะลูก” จักรถามด้วยความสงสัย

“ก็นภสินธุ์แปลว่า...ทางช้างเผือกนี่คะ”

จักรพยักหน้ารับรู้ ในขณะวรศศิหันหน้ากลับมาจากหน้าต่าง ค่อยๆเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ไม้ ครั้นเห็นปถวีนั่งหน้าตึงอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม หญิงสาวจึงเอ่ยถาม

“พี่ดินยังเจ็บแผลอยู่เหรอคะ ดูสีหน้าไม่ค่อยดีเลย”

“อ๋อ” ชายหนุ่มที่เพิ่งรู้สึกตัวแสร้งทำหน้าเบี้ยว “ยังเจ็บอยู่ เจ็บอยู่นิดๆครับ อูย แผลเริ่มตึง”

“ทานยาของเย็นนี้หรือยังคะ จะได้นอนหลับพักผ่อน เดี๋ยวศศิไปหาน้ำมาให้นะคะ”

“ไม่เป็นไรครับ พี่ทานหลังอาหารเรียบร้อยแล้ว”

จักรเป็นฝ่ายส่งเสียงกระแอมขึ้นบ้าง ก่อนทำทีเอ่ยเสียงเข้ม “ทีเมื่อวานที่พาตำรวจมาบ้านผม ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนะครับ”

“เป็นครับเป็น แต่วันนั้นมันจำเป็นครับ” ชายหนุ่มรีบออกตัวทันควัน

“ผมเย้าเล่นหรอกน่า” หนุ่มใหญ่หัวเราะร่วน อันที่จริงจักรและบังอรค่อนข้างเปิดกว้างให้ลูกสาวทั้งสองคนสามารถเลือกคบเพื่อนผู้ชายได้อย่างอิสระ ขอเพียงแค่ให้อยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ เหมือนดังที่นภสินธุ์ปฏิบัติมาด้วยดีโดยตลอด เพราะทั้งคู่เชื่อว่า เรื่องของความรักต้องเกิดมาจากคนสองคนเท่านั้น

“อย่ามัวแต่พูดเล่นกันเลยค่ะ” บังอรแทรกขึ้น “มาปรึกษากันก่อน ว่าพรุ่งนี้เราจะทำยังไงกันต่อคะ”

“คุณอาไม่ต้องห่วงนะครับ” ปถวีเอ่ยเสียงนุ่ม “พรุ่งนี้ทุกคนไปพักที่บ้านของผมก่อน รอจนถึงช่วงบ่าย หม่อมย่าจะออกมานั่งที่สวนหลังบ้านเพียงลำพัง ถึงเวลานั้น ผมกับอาจักรจะมุดรั้วเข้าไปหาท่าน”

“หนูนิด เอ่อ ศศิไปด้วยได้มั้ยคะ” สายตาหญิงสาววิงวอน

“อย่าเพิ่งดีกว่านะครับ” ปถวีทอดสายตามองอย่างอ่อนโยน “เข้าไปกันหลายคนจะผิดสังเกตเอาได้ พี่ว่าให้พวกผู้ชายเข้าไปนัดแนะกับหม่อมย่าเรื่องที่จะพบกับน้องศศิอย่างไรก่อนดีกว่า หากหม่อมย่ารู้ว่าน้องศศิยังมีชีวิตอยู่ ยังไงท่านจะต้องหาทางพบกับน้องศศิให้ได้ พี่รับรองครับ”

“ก็ถ้าท่านยอมไปโรงพยาบาล เราก็พาหนูนิดไปเจอท่านที่นั่นก็ได้นี่คะ” บังอรให้ความเห็น

“เออ ใช่” จักรยิ้มหน้าแป้น “เมียพี่ฉล้าดฉลาด”

“ถ้าหม่อมย่ายอมรับในตัวหนูนิดแล้ว” หญิงสาวเอ่ยอย่างแน่วแน่กับบิดามารดา “หนูนิดขออนุญาตเข้าไปดูแลหม่อมย่าในวังศิลารัศมิ์นะคะ”

“แต่หนูนิด” จักรเสียงเข้ม “ที่นั่นอันตรายมากเลยนะลูก การที่ลูกกลับไป เท่ากับทำลายความฝันเรื่องผู้สืบทอดมรดกของใครในนั้นหลายคนเลยเชียว พ่อเชื่อว่าฆาตกรคงจะไม่อยู่เฉยแน่”

“นี่ละค่ะคือสิ่งที่หนูนิดต้องการ” ดวงตาคู่สวยฉายแววมุ่งมั่น “หนูนิดต้องการทวงความเป็นธรรมให้กับคุณพ่อวรโชติและคุณแม่เอื้องคำ ด้วยการเอาคนผิดไปลงโทษให้ได้ เราตั้งรับมานานแล้วนะคะ ต่อไปเราจะเป็นฝ่ายรุกบ้าง คุณย่าจะได้อยู่ในวังได้อย่างสมเกียรติเหมือนเดิม ไม่ต้องเกรงกลัวใครหรืออะไรอีกต่อไปค่ะ”

“หนูนิดคิดจะทำอะไรน่ะลูก” บังอรถามขึ้นด้วยความเป็นกังวล

“หนูนิดจะเข้าไปสังเกตพฤติกรรมและความเคลื่อนไหวของแต่ละคนภายในวัง ถ้าฆาตกรยังอยู่ในนั้นจริง พวกมันจะต้องลงมือทำอะไรสักอย่างแน่นอนค่ะ”

“เท่ากับว่าหนูจะเอาตัวเองเป็นเหยื่อล่ออย่างนั้นเหรอ” จักรอ้าปากค้างเมื่อได้เห็นสาวน้อยผู้อ่อนหวานอ่อนโยนของเขามีใจกล้าหาญและเสียสละถึงเพียงนี้

“ขอโทษนะครับ ผมขอออกความเห็นเล็กน้อย ในฐานะที่เป็นคนเริ่มต้นรื้อฟื้นเรื่องราวทั้งหมดในครั้งนี้ขึ้นมา” ปถวีจับจ้องยังดวงหน้าอ่อนหวานเบื้องหน้าราวกับว่าเขาสามารถอ่านหัวใจของเธอในยามนี้ได้อย่างถ่องแท้ ก่อนหันไปหาจักรและบังอร “ผมเห็นด้วยกับน้องศศินะครับ ฆาตกรควรจะถูกกวาดล้างออกไปจากวังเสียที เพื่อที่หม่อมย่าจะได้ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุข ไม่ต้องคอยอยู่อย่างหวาดระแวงแบบนี้”

“แต่ผมว่ามันเสี่ยงเกินไปนะคุณดิน”

“ผมและผู้กองวฤทธิ์จะคอยดูแลน้องศศิเองครับ”

“พี่ด้วย” นงนุชโอบมือกระชับไหล่น้องสาวเอาไว้ “ไหนๆพี่ก็เรียนจบ ป.กศ.สูง มาสักพักแล้ว จะได้หาโอกาสเรียนต่อหรือหางานทำที่พระนครไปเลยก็ดีเหมือนกัน ดีกว่าปีนต้นมะม่วงเล่นไปวันๆ ดังนั้น พี่...ในฐานะคุณหนูวรนุช จะเข้าไปอยู่ที่วังศิลารัศมิ์เป็นเพื่อนคุณหนูวรศศิเอง จนกว่าพวกเราจะจับตัวฆาตกรได้”

“กรรมเวรแท้...แม่เจ้าประคุณ” บังอรส่ายหน้า “จู่ๆไปเป็นคุณหนูวรนุชกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ เดี๋ยวเหาก็ขึ้นหัวกันพอดีลูกเอ๊ย”

“แม่ก็...หนูนุชอยากเป็นคุณหนูบ้างนี่คะ”

เสียงหัวเราะดังครืนขึ้นทันที โชคดีที่วันนี้ไม่ใช่ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ผู้โดยสารในโบกี้จึงมีเพียงประปราย ซึ่งต่างก็นั่งกระจัดกระจายห่างกันหลายช่วงเก้าอี้

“นะคะ” วรศศิออดอ้อน “มีพี่ดินและพี่หนูนุชคอยช่วยแบบนี้แล้ว พ่อกับแม่อนุญาตให้หนูนิดทำตามแผนนะคะ”
สองสามีภรรยาหันไปสบตากันเป็นเชิงปรึกษา แล้วบังอรก็พยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ เพราะความเป็นจริงหม่อมหลวงวรศศิก็เป็นคนของวังศิลารัศมิ์อยู่แล้ว พวกเขาต่างหากที่ไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวเธอ จักรจึงเอ่ยขึ้น

“ก็ได้ แต่ถ้าเกิดอันตรายขึ้นกับลูกสองคนเมื่อไหร่ พ่อกับแม่จะมารับกลับอุดรฯทันที เข้าใจมั้ย”

“เข้าใจค่ะ” สองสาวรับคำมั่น

วรศศิมองเหม่อออกไปนอกตู้รถโดยสาร สายตามุ่งมั่นมากกว่าที่เคย ภารกิจครั้งนี้ยิ่งใหญ่เหลือเกิน ความปลอดภัยของหม่อมย่าและการเรียกร้องทวงความยุติธรรมให้บิดามารดาบังเกิดเกล้า เป็นหน้าที่ซึ่งเธอจะต้องสะสางด้วยตัวเอง

ปถวีเฝ้ามองดวงหน้าหวานด้วยความชื่นชมกับความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของหญิงสาว พลอยทำให้อารมณ์ขุ่นเคืองใจเรื่องพ่อทางช้างเผือกเมื่อครู่มลายหายไปสิ้น เมื่อนึกถึงภารกิจและอันตรายมากมายที่วรศศิจะต้องเผชิญ

เขาจะคอยอยู่เคียงข้าง พาเธอข้ามผ่านอุปสรรคเหล่านั้นด้วยตนเอง



****************************************
[1] ประกาศนียบัตรวิชาการศึกษาชั้นสูง



อย่าลืมจิ้มชอบให้กันบ้างน้า สองตอนที่แล้วยอดไลค์ตกฮวบฮาบ ประหนึ่งประกาศพรก.ฉุกเฉิน คิดแล้วให้หวั่นใจนัก ถ้าจากน้อยไปหามากมันยังพอโอเคนะ แต่ถ้าจากมากไปหาน้อย แบบนี้ควรจะอำลากลับไปตกปลาเลี้ยงครอบครัวแทนดีกว่ามั้ย (เดี๋ยวมีคนตอบว่าดีขึ้นมา) เอานะชีวิตมันมีขึ้นมีลง

พบกันอีกครั้งวันอังคารนะค้า



พันธุ์แตงกวา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 ม.ค. 2557, 07:58:14 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ก.พ. 2558, 04:37:38 น.

จำนวนการเข้าชม : 2166





<< บทที่ 4 : จุดใต้ตำตอ (รีไรท์)   
พันธุ์แตงกวา 23 ม.ค. 2557, 08:03:58 น.
ตอบคอมเม้นท์จ้า

คุณแว่นใส : เป็นไปตามแผนจ้า ไปบ้านคุณดินก่อน

คุณ Tik : ต้องขออภัยค่ะที่ทำให้ขาดตอน น้ำตาไม่ทันจะไหล แบบนี้ต้องไปหั่นหัวหอมใหญ่แก้ค้าง ^^

คุณดวงมาลย์ : ผู้หญิงคนนี้จะน่ารักไปไหน

คุณ Sukhumvit66 : มาแร้ววววคร้า

คุณดังปัณณ์ : ก๊ากๆๆ ฮากระจาย กะอีมุกตบลงเส้นนี่ โอ๊ย สะจาย เอาเป็นปิงปองแล้วกันนะ ลงเส้นแบบเห็นไม่ทัน

คุณเบญจามินทร์ : จะเริ่มลุยแล้วค่ะพี่เดลลลลล


แว่นใส 23 ม.ค. 2557, 09:40:56 น.
วางแผนไงต่อดีนะ


เบญจามินทร์ 23 ม.ค. 2557, 13:21:56 น.
แหมพี่ดิน ถ้าฟังเค้าคุยกันให้จบก็ไม่ต้องมานั่งหงุดหงิดหรอก แต่ก็ยังดีนะที่นึกถึงเรื่องสำคัญกว่า ^^ สู้ๆ


tik 23 ม.ค. 2557, 14:49:40 น.
ท่าทางจะสนุก อยากรู้จังว่า ตอนต่อไปจะเป็นไง ทำไงจะได้พบคุณย่า แล้วคุณย่าจะไปหาหมอไม๊ ฆาตรกรคือใครกันน่ะ แผนคราวนี้จะแยบยลเพียงใด โอ้ว มีแต่คำถาม.......


goldensun 23 ม.ค. 2557, 18:31:04 น.
ตามทันแล้ว อ่านรวดเดียวเลยค่ะ ฮาๆ ดีเหมือนกัน ครอบครัวจักร
หนูนิดเหมือนจะเรียบร้อย อ่อนหวาน แต่กล้าและเข้มแข็งใช่ย่อย แต่แผนจะเป็นยังไงกัน พี่ดินหนุนหน่อยเร็ว
ว่าแต่ พี่ดินขี้หึงนะเนี่ย สวยๆ อย่างวรศศิ จะไม่มีหนุ่มมาจองได้ไง
น่าเกลียด ไม่ใช่ หน้าเกลียด ค่ะ


ดังปัณณ์ 23 ม.ค. 2557, 19:35:14 น.
โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยย ดี่นี่ ฮ่าๆๆๆ หยอดแล้วหยอดเล่า เฝ้าแต่หยอด แหมๆๆๆเจ่เจ้ขา พ่อทางช้างเผือก อร๊ายยยยยยยยยยย มันอาร้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยย หุยๆๆๆๆๆๆ (ดีนี่มีอาการหึงขึ้นหน้า แถมด้วย ฉะอ้อนแล้วนะค้านั่นน่ะ)

สงสารดีนี่เหมือนกันนะนี่ พ่อทางช้างเผือกเอ๊าะกว่าซะด้วย ดีนะที่หนูศศิ ยังไม่ให้รักใคร อิๆ ไงๆก็พยายามหน่อยนะพ่อนะ หุๆ


Sukhumvit66 23 ม.ค. 2557, 20:37:11 น.
ไรเตอร์ สู้ สู้


นักอ่านเหนียวหนึบ 24 ม.ค. 2557, 00:56:02 น.
คุณหนูวรนุชชชชช 555


ดวงมาลย์ 24 ม.ค. 2557, 09:36:04 น.
มาช้าไปนิดส์ แต่ก็ไม่ลืมนะจ๊ะ คริคริ


wane 24 ม.ค. 2557, 11:02:12 น.
พ่อกับแม่รู้ว่า พี่ดินมาแอบเหล่ลูกสาวตัวเอง ทำไมไม่มีอาการหวงเลยคะ ตอนฉากบนรถไฟหน่ะ


ปลายสี 25 ม.ค. 2557, 21:48:24 น.
พ่อทางช้างเผือกกกกกก กลับไปหาโกโบริเลย อย่ามายุ่งกะหนูศศิ เค้ามีเจ้าของแล้ว


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account