แผนลับ นักสืบ
กอหญ้าเพิ่งมาทำงานเป็นนักข่าวได้แค่ไม่ถึงหกเดือน เธอต้องการทำข่าวนายอิทธิกรติดผู้หญิงกับมั่วยาบ่อย ๆ เธอไม่ยอมแพ้ ไปแอบอยู่ข้างบ้านนายอิทธิกรแล้วปีนต้นไม้บ้านข้าง ๆ แต่หมอหนุ่มเห็นเข้าเขาจะเรียกตำรวจ แต่เธอร้องห้ามไป ๆ มา ๆ เลยขอแอบเข้าไปในบ้านหมอหนุ่มเสียเลย
Tags: ึความรัก,นักข่าว,คุณหมอ,ดารา

ตอน: ตอนที่ ๑๒ ความฝันหรือความจริง

ความฝันหรือความจริง

“เมื่อกี้เหรอ ฉันคงนอนละเมอ จำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ” เธอยิ้มเฝื่อน

“งั้นเหรอ ไอ้ที่ว่าฟอร์มจัดมันหมายถึงผมใช่ไหม”

“ไม่รู้ ก็ฉันบอกว่านอนละเมอไง ปล่อยสิ” เธอขมวดคิ้ว ดีนะที่ไม่ได้ละเมอมากไปกว่านั้น

“ผมฟอร์มจัดตรงไหน บอกมานะ”

“เอ่อ...ก็แบบว่า”

“ตรงที่ผมชอบทำหน้าเข้มใส่คุณ แล้วแกล้งไปเดินเล่นกับพวกสาวๆอย่างนั้นใช่ไหม”

“รู้เหมือนกันเหรอ ฉันยังไม่ได้พูดสักคำ”

“คุณนี่...” เขาเอ่ยเสียงรอดไรฟัน แต่นักข่าวสาวรีบห้ามก่อน

“จะมาโกรธฉันไม่ได้นะคะ เพราะเมื่อกี้มันเป็นการละเมอ ฉันไม่รู้สักตัวสักหน่อย ฉันจะโทษฟ้าโทษฝนยังไงมันก็เรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวกับคุณเสียหน่อย”

คชินทร์หรี่ตามองอีกฝ่าย

“คุณจะบอกว่าจำไม่ได้เลยว่าตัวเองพูดอะไรออกมาใช่ไหม”

“ค่ะ” เธอยิ้ม

“ถ้าอย่างนั้น...ผมจะบอกให้ก็ได้ว่าคุณน่ะละเมอออกมาว่าคุณรักผม แล้วจะไม่มีวันเสียผมให้เพื่อนรักไปเด็ดขาด” คำพูดขวานฝ่าซากแทบทำให้รสกรพลัดตกเตียง เธออ้าปากค้างหน้าแดงจัดไปถึงใบหู มันเป็นไปได้ยังไงกันในเมื่อตอนที่นอนหลับเธอไม่เห็นตัวเองสารภาพรักกับเขาด้วยซ้ำ

“ไม่จริง พูดบ้าๆ ฉันเนี่ยนะจะละเมอแบบนั้น”

“ผมยังคิดอยู่เหมือนกันว่าคุณจะล้อผมเล่นหรือเปล่า” ชายหนุ่มทำหน้าเครียด เขาจับปลายคางแบบใช้ความคิด ผิดกับรสกรที่เวลานี้ร้อนอกร้อนใจจนควันออกหู

“ไม่จริงหรอก ฉันไม่ได้พูดแบบนั้นไม่มีทาง”

“ไหนเมื่อกี้คุณบอกว่าจำไม่ได้ยังไงล่ะว่าละเมอว่าอะไรออกมาบ้าง” ใบหน้าคมคายเหยียดยิ้ม “คุณบอกว่ารักผมมาก มากจนไม่อยากสูญเสียให้ใครด้วยซ้ำไป”

คำพูดของเขาทำให้รสกรถึงกับอึ้งไปหลายวินาที

เธอละเมอว่าหลงรักเขาเนี่ยนะ

“บ้า บ้าที่สุดเลย” เธอทุบไหล่เขาแรงๆ แก้มแดงปลั่ง “อย่ามาพูดบ้าๆนะ”

“ผมพูดจริงต่างหาก”

“ถึงฉันจะจำไม่ได้ก็เถอะ แต่เรื่องความฝัน ฉันจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าสารภาพรักกับคุณ” คำพูดที่หลุดออกจากปาก ทำให้คชินทร์เหยียดยิ้มออกมา เขาจับมือเธอไว้แน่นแล้วดึงเข้าหาตัว

“แล้วทำไมคุณถึงฝันว่าคุณสารภาพรักกับผมล่ะ”

หญิงสาวแก้มแดงปลั่ง ใจเต้นระรัวอย่างไม่รู้จะทำยังไงดี

“ก็...มันเป็นแค่ความฝัน ไม่ใช่เรื่องจริงไง”

“ความฝันมันก็ออกมาจากใจจริงนั่นแหละ”

“บ้า คนผีทะเล” เธอเม้มปากแน่น “ฉันไม่เคยฝันอะไรทำนองนั้นนะ”

“โอเค ไม่ฝันก็ไม่ฝัน ผมโกหกคุณน่ะ คุณแค่ละเมอว่าผมเป็นคนฟอร์มจัดเท่านั้นเอง” ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดัง แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากเธอ รสกรอ้าปากค้าง

“ฉันจะฆ่าคุณ นี่ๆ” เธอกางเล็บเข้าใส่เขาเป็นพัลวัน จนชายหนุ่มต้องจับมือเธอไว้แน่น พร้อมทั้งต้องแหงนหน้าหลบการข่วนนั้นด้วย

“ใจเย็นๆสิ ผมแค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง”

“ล้อเล่นบ้าอะไรล่ะ เรื่องนี้มันซีเรียสนะ” เธอร้องเสียงดัง

“ทำไมถึงซีเรียสล่ะ ผมต่างหากที่ต้องบอกว่าซีเรียสที่คุณนอนละเมอหาว่าผมเป็นคนฟอร์มจัดน่ะ” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว

“ฉันพูดอย่างนั้นจริงๆเหรอคะ”

“ใช่”

“งั้นฉันจะกลับห้องตัวเองละ”

“เดี๋ยวก่อน”

คชินทร์จับมือเธอไว้แน่น รสกรขมวดคิ้วแล้วหันไปมองหน้าคนพูดทันที แต่เมื่อมองเห็นแววตาสีน้ำตาลของเขาก็ทำให้เธอรู้ว่าเขากำลังโกรธเธอจริงๆ

“ทำไมคุณถึงคิดว่าผมฟอร์มจัดล่ะ คุณโกรธเรื่องที่ผมไปเป็นเพื่อนคุณข้าวฟ่างงั้นหรือ”

“เปล่าค่ะ” เธอรีบปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “ทำไมฉันต้องโกรธคุณด้วยล่ะค่ะ”

“ผมก็แค่สงสัยน่ะว่าเราเป็นแค่เพื่อนกัน แต่ทำไมคุณต้องทำหน้าเหมือนไม่พอใจด้วยเวลาผมไปกับข้าวฟ่าง” คำตอบของเขาทำเอาเธอแก้มร้อนไปถึงใบหู

“หน้าฉันเป็นอย่างไรก็เห็นเกี่ยวกับคุณซะหน่อย”

“เกี่ยวสิ เกี่ยวมากด้วย”

ใบหน้าคมคายก้มลงมาหากรสกรช้าๆ เธอถอยห่างโดยไม่รู้ตัว เวลานี้เขามองเข้าไปในดวงตาคู่สวยของเธอ แล้วมันทำให้หัวใจเธอเต้นแรง และสั่นไหวอย่างที่เธอไม่อาจควบคุมได้ ดูราวกับว่ามีแรงดึงดูดระหว่างเขาและเธอให้เข้าไปใกล้กัน...เวลานี้หญิงสาวอยู่บนเตียงของเขาและเธอไม่รู้ตัวมาก่อนเลยว่ามันเป็นการเชิญชวนอย่างหนึ่ง แผ่นอกของเขากับมือหนาอยู่ใกล้เธอแค่เอื้อม รสกรไม่เคยรู้อะไรเลยหากเขาเป็นผู้ชายคนอื่นละก็...

เธอคงกลายเป็นของเล่นไปแล้วสำหรับผู้ชายคนนั้น

“คุณหึงผมอยู่ใช่ไหม” เขายิ้มบางๆออกมา

หญิงสาวลืมตาโต คำคำนี้ไม่เคยอยู่ในสมองของเธอเลยแม้แต่นิดเดียว จนกระทั่งได้ยินมันจากปากเขา

“อะไรนะ”

“คุณกำลังหึงที่ผมไปเป็นเพื่อนคุณข้าวฟ่างอยู่ล่ะสิ”

“ฉัน...ไม่…” เธออึกอักคิดหาคำพูดอะไรไม่ออก

เรียวปากได้รูปโน้มลงมาทาบทับจรดเรียวปากเธอไว้แนบแน่น หญิงสาวตัวแข็งเอามือดันแผ่นอกเขาออก เมื่อถูกชำแรกปลายลิ้นอุ่นจัดเข้ามาพร้อมจุมพิตดูดดื่ม ฝ่ามือใหญ่สอดใต้ศีรษะเบี่ยงดวงหน้างามให้ฝืนรับสัมผัสจากเขา แต่รสกรฝืนต้านทานโดยดันร่างหนาไว้ ร่างกายของทั้งคู่บดเบียดจนแทบละลายกลายเป็นเนื้อเดียวกัน เธอพยายามดันตัวหนีออกห่าง ทว่าคชินทร์กลับชำแรกจุมพิตเร่าร้อน ฝ่ามือลูบไล้ไปตามเนื้อตัว ช่วงเอวบางและแผ่นหลังละมุนของเธอมากขึ้น

หญิงสาวใจเต้นระรัว สัมผัสได้ถึงไอร้อนที่ปกคลุมรอบกาย ฝ่ามือหนาเลื่อนขึ้นมาโอบกระชับรอบเอวและออกแรงกดเข้าหาลำตัวของตนมากยิ่งขึ้น คชินทร์ปิดปากนุ่มด้วยจุมพิตร้อนระอุจากความวาบหวามปั่นป่วนที่กำลังแล่นไปทั่วทั้งร่าง เขาลืมทุกอย่างตั้งแต่วินาทีแรกที่สัมผัสเธอ ทว่าในที่สุดเขาก็ค่อยๆถอนหายใจยาวและลืมตาขึ้นมองเธอ

“คุณหลงรักผม...เหมือนกับที่ผมหลงรักคุณนั่นแหละ”

“คุณชิน”

“น่าแปลกนะ ที่คนอย่างผมกลับมารักนักข่าวจอมจุ้นอย่างคุณเข้าจนได้”

“ปล่อยนะ นี่..ปล่อยสิ” รสกรหน้าแดงจัด

“ผมไม่ปล่อย จนกว่าเราจะพูดกันรู้เรื่อง” เขาเอ่ยเสียงเข้ม

คำพูดของเขาช่วยปลุกสติที่กำลังกระเจิดกระเจิงของกอหญ้าให้กลับคืนมา ทั้งโกรธและอับอายเกินกว่าที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดใดๆได้

“คนบ้า”

“พูดว่ารักผมสิ” ชินเหยียดยิ้ม “เพราะผมต้องการฟังคำพูดนี้เหมือนกัน”

หญิงสาวแก้มร้อนจัด เม้มปากแน่น

“บ้า พูดบ้าๆ ฉันไม่ได้หลงรักคุณซะหน่อย”

“ไม่ได้หลงรักหรือ”

“ใช่น่ะสิ”

“งั้นลองพิสูจน์อีกครั้งดีไหม” เขาทำท่าจะโน้มใบหน้าลงไปหาอีกรอบ ทำเอารสกรรีบก้มหน้าหลบทันทีแก้มเนียนของเธอแดงปลั่งรวมไปถึงต้นคอด้วย เธอดิ้นขลุกขลักภายใต้อ้อมกอดของเขา แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้นหัวใจตัวเองสักที เธอกัดริมฝีปากตัวเองแน่น ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีในเมื่ออีกฝ่ายเป็นคนที่เพื่อนชอบ

“ฉันไม่รู้ว่าตัวเองควรทำยังไงดี สมองมันตื้อไปหมด”

“ผมรู้ เพราะผมก็เป็นเหมือนคุณเหมือนกัน”

“คุณเหรอ”

“ใช่” คชินทร์ยิ้มบางๆ “ทุกครั้งที่ผมออกไปเดินเที่ยวกับข้าวฟ่าง สมองผมมันตื้อและอยู่ไม่สุขเหมือนกัน”

“เพราะอะไรคะ”

“เพราะผมเป็นห่วงคุณ กลัวว่าคุณจะเหงาที่ต้องอยู่ตามลำพังน่ะสิ”

“คุณนี่มันบ้าที่สุดเลย คุณทำแบบนี้แล้วไม่กลัวว่าข้าวฟ่างเขาจะรู้สึกยังไง บ้าที่สุด” รสกรทุบไหล่เขาแรงๆสองสามครั้ง

“คุณกลัวหรือ แต่ผมไม่เห็นกลัวเลย”

คำพูดของเขาทำให้รสกรอึ้งไปพักใหญ่

“ขอโทษค่ะ ฉันขอตัวกลับไปห้องนอนก่อนนะคะ” จู่ๆเธอก็ลุกจากเตียงนอนของเขาแล้วทำท่าจะกลับเข้าในในห้องของตัวเอง

“เดี๋ยวสิ”

รสกรที่กำลังจะเดินออกไป แต่ถูกเขาคว้ามือไว้ก่อนแล้วออกแรงดึงเข้าหาตัวจนเธอหงายหลังลงมานั่งบนตักคชินทร์ เธอดิ้นรนเป็นพัลวัน แต่ถูกเขาใช้มือหนึ่งโอบเอวบางไว้ ส่วนอีกมือหนึ่งก็รวบแขนเรียวบางทั้งสองข้างไว้ ความใกล้ชิดทำให้หญิงสาวแก้มแดงเป็นลูกตำลึงสุก

“จะทำอะไรน่ะ ปล่อยนะ” เธอร้องเสียงดัง หวังจะใช้เสียงเข้าข่ม

“ผมเพียงแต่ผมอยากฟังความรู้สึกจากปากคุณเองว่า ทำไมต้องถึงปล่อยให้ผมไปกับคุณข้าวฟ่างกันตามลำพังอยู่เรื่อยล่ะ” คชินทร์ยิ้มบางๆ ตอนนี้ทั้งคู่อยู่ใกล้กันมาก จนเขาสัมผัสได้ถึงแผ่นหลังนุ่มละมุน

“ไม่รู้สิคะ ใครๆก็อยากเป็นแฟนกับข้าวฟ่างด้วยกันทั้งนั้น”

“อาจจะใช่สำหรับคนอื่น...แต่ไม่ใช่ผม”

คำพูดตรงไปตรงมาของเขาทำให้เธอเหลียวกลับไปมองดวงตาสีน้ำตาลของเขา มันไม่มีริ้วรอยของการโกหกหรือการเสแสร้งแต่อย่างใด

“ปล่อยเถอะค่ะ ฉันอยากจะกลับห้องแล้ว” เธอดึงแขนเขาออก แต่เขากลับออกแรงรัดมากกว่าเดิม

“นอนห้องนี้ก็ได้ ผมไม่ถือ”

“บ้า นี่คุณ...”

“ผมปล่อยก็ได้ แต่คุณต้องรับปากก่อนว่าจะยอมคุยกับผมแบบเปิดอก” น้ำเสียงเข้มดุของเขาทำให้ครุ่นคิดว่าจะพูดหรือไม่พูดดี

“ข้าวฟ่างเป็นผู้หญิงสวย น่ารัก ฉันเกรงว่าคนที่ฉันชอบจะแปรเปลี่ยนไปรักเธอ”

“อะไรนะ”

“ที่ฉันบอกคุณว่าไม่เคยรู้จักกับคำว่ารัก...ฉันโกหกคุณค่ะ” เธอรำพึงแผ่ว “สมัยเรียนฉันชอบรุ่นพี่อยู่คนหนึ่ง เขาอัธยาศัยดีและเรียนเก่งมาก จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้เป็นแฟนกับข้าวฟ่างแล้วพามาแนะนำให้ฉันรู้จัก ฉันอึ้งจนพูดไม่ออกน้ำตามันจะไหลให้ได้...สุดท้ายฉันก็ได้แต่ดีใจกับเขาทั้งสองคนด้วย”

“ความจริงผมว่าคุณน่าจะบอกรุ่นพี่เขานะ ถ้าเขารู้เขาอาจจะหันมาสนใจคุณก็ได้”

“ไม่ค่ะ ฉันไม่คู่ควรหรอก”

“ทำไมล่ะ”

“ก็ข้าวฟ่างเป็นเพื่อนสนิทของฉันน่ะสิคะ ทุกคนที่เข้ามาก็มักจะสนใจเธอคนเดียว”

“คุณก็เลยอกหักเพราะรักเขาข้างเดียว”

รสกรเม้มปากแน่น รู้อยู่หรอกว่าอกหัก แต่ไม่ต้องมาตอกย้ำกันสักทีจะได้ไหม

“คุณก็เลยกลัวว่าผมจะรักคุณข้าวฟ่างอย่างนั้นใช่ไหม กลัวว่าผมจะมองข้ามคุณไป”

“มองข้ามหรือไม่มองข้าม ฉันไม่อยากจะรู้หรอกค่ะ” เธอเชิดหน้า

“ทำไมล่ะ”

“เพราะเรื่องของคุณไม่ได้เกี่ยวกับฉันเลยสักนิด”

“รู้ตัวบ้างไหม...ที่คุณบอกว่ากลัวคนที่ชอบจะแปรเปลี่ยนไปรักเธอ มันหมายถึงคุณกำลังรักผมอยู่น่ะสิ” เขายิ้มบางๆให้รสกรที่กำลังหน้าแดงจัด

“ไม่ใช่สักหน่อย ฉันแค่..”

“ถ้าไม่ใช่...ก็ปฏิเสธสิ”

นักข่าวสาวทำท่าจะอ้าปากค้าง แต่ถูกเรียวปากร้อนระอุแนบลงมาเสียก่อน ร่างบางตัวสั่น สองมือดันเขาไว้โดยอัตโนมัติ แต่สัมผัสนุ่มละมุนและอ่อนหวานทำให้สติของเธอกระเจิดกระเจิง มือบางแตะแผ่นอกเขาเบาๆ รอยจูบอบอุ่นและสัมผัสเรียกร้องทำให้เธอเหมือนจะเป็นลมไปเสียให้ได้ คชินทร์แทรกปลายลิ้นเข้าไปชิมรสชาติความหวานภายในริมฝีปาก มือหนาเลื่อนขึ้นไปโอบศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยเส้นผมนุ่มสลวยของเธอ...

“ว่ายังไงล่ะ ยอมรับได้หรือยังว่าคุณเองก็รักผม” ชายหนุ่มกระซิบเสียงแผ่ว

หญิงสาวหน้าแดงจัดเม้มเรียวปากแน่น

“รู้แล้วยังจะมาถามทำไมอีกล่ะ”

“ผมอยากรู้จากปากคุณ มันทำให้ผมรู้ว่าไม่ได้คิดหรือเข้าข้างตัวเอง”

“ฉันกลับไปห้องนอนก่อนนะ อ๊ะๆ ไม่ต้องมาดึงแขนฉันอีกแล้ว ไม่อย่างนั้นฉันจะเอากล้องฟาดหัวคุณจนสลบไปเลย คอยดู”

“ใจร้ายจริง”

“ไม่รู้ละ ไปก่อนนะแล้วก็...” รสกรแสร้งมองพื้น “ขอบคุณมากที่รับฟังฉัน”

**********************

“กรี๊ด-ด-ด”

เสียงหวีดร้องของน้ำค้างที่ดังไปทั่วงานถูกนักข่าวถ่ายคลิป และนำรูปโป๊เปลือยของเธอมาออกทีวี ยังดีที่เซนเซอร์ไว้ ไม่อย่างนั้นดาราสาวไฮโซมีหวังเป็นลมไปหลายรอบ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาก็มีข่าวว่า เธอถูกสามีนักธุรกิจฟ้องหย่า ส่วนตัวเธอนั้นก็หมกตัวเองอยู่ในบ้าน ไม่ยอมปริปากหรือออกมาให้สัมภาษณ์อีกเลย

กระแสข่าวออนไลน์พัดกระพือราวกับไฟไหม้บนยอดหญ้า รสกรอ่านข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ดาราแล้วก็ต้องถอนหายใจ รู้ทั้งรู้ว่าคนที่นำคลิปมาเผยแพร่ต้องเป็นฝีมือของอิทธิกรกับวิน...

“เลวจริงๆ” หญิงสาวพึมพำ

“คำว่าเลวมันยังน้อยไป” คชินทร์เสริมขึ้นมา

“รู้ทั้งรู้ว่าคนอย่างนายอิทธิกรจะต้องลอบกัดเข้าสักวัน แต่ทำไมคุณน้ำค้างถึงยอมให้มันถ่ายรูปไว้นะ”

“ผมว่าคุณน้ำค้างคงไม่ยอมหรอก เพราะดูจากมุมกล้องแล้ว หมอนี่น่าจะซ่อนกล้องแอบถ่ายมากกว่า”

“ซ่อนกล้องเหรอ น่าสงสารจัง”

“ก่อนจะสงสารเขาน่ะ คุณน่าจะระวังตัวเองไว้มากกว่า” คชินทร์ถอนหายใจยาว “ตอนนี้พวกมันเริ่มสงสัยคุณแล้ว เกิดวันดีคืนดีมาดักซุ่มตามคุณขึ้นมา แล้วจะทำงานลำบาก”

“ลำบากตรงไหนคะ” เธอถามเสียงซื่อ

“เอาเถอะ ตอนนี้คุณห้ามออกไปไหนนะ ผมจะออกไปข้างนอกสักเดี๋ยว” ชายหนุ่มลุกขึ้นและหยิบเสื้อคลุมมาสวม หญิงสาวเอียงคอถามด้วยความสงสัย

“คุณจะไปไหนคะ”

“ไปเดินเล่นแถวนี้สักหน่อย จำไว้นะ ถ้าคุณอยู่บ้านคนเดียว ไม่ว่าใครมาเรียกที่หน้าบ้านก็ให้เงียบไว้ พอพวกมันไม่เห็นใครอยู่ในบ้าน เดี๋ยวก็กลับไปเอง”

“คุณพูดเหมือนกับว่า จะมีใครมาอย่างนั้นแหละ”

“ผมก็พูดเผื่อไว้”

รู้อยู่หรอกว่าเขาเป็นห่วง กลัวว่าจะมีใครมาซุ่มทำร้านเธอ แต่จะเป็นไปได้อย่างไรล่ะ ในเมื่อคนพวกนั้นยังไม่รู้ว่าเธออยู่ที่นี่เลยด้วยซ้ำ...

ที่ประตูหน้าบ้านของน้ำค้างเต็มไปด้วยกองทัพนักข่าว ขณะที่ในบ้าน น้ำค้างยกหมอนมาปิดหู ร้องไห้จนตาบวมไปหมด คนรับใช้พยายามยกอาหารมาให้นายสาว แต่น้ำค้างกรีดร้องและใช้มือกวาดมันออกไปจนแตกกระจายพื้นเสียงดัง
“ออกไป๊ ออกไปนะ ไปให้พ้น” เธอหวีดร้อง

“ออกไปไหนคะ คุณน้ำค้าง” คนรับใช้เอ่ยถาม

“ออกไปไหนก็ได้ ไปให้พ้นเลย ฮือๆ” น้ำตาของเธอไหลจนบวมแดง

“โถ คุณน้ำค้าง ลองดื่มน้ำผลไม้สักแก้วนะคะ ตั้งแต่เมื่อวานคุณยังไม่ได้ทานอะไรเลย”

“ช่างฉัน ปล่อยฉันให้ตายไปซะเถอะ”

“ไม่ได้นะคะ”

เมื่อถูกเซ้าซี้มากเข้า น้ำค้างก็เหวี่ยงหมอนใส่คนรับใช้ที่อยู่ตรงนั้น จนคนรับใช้ต้องรีบออกไปให้พ้นจากรัศมีอารมณ์ของเจ้านาย ที่กำลังโกรธแค้นและเสียใจเป็นที่สุด

“แก...ไอ้อิทธิกร ฉันจะฆ่าแก” เธอคำรามลั่น เปิดลิ้นชักโต๊ะควานหาปืนสีดำกระบอกใหญ่ “ฉันจะไม่ให้แกตายดีแน่”

หญิงสาวกัดฟันกรอดบอกตัวเอง จากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ เธอก็รีบซ่อนปืนไว้ด้านหลังทันที และหันกลับไปมองยังต้นเสียง

“ใครน่ะ ออกมานะ”

เมื่อเธอมองเห็นเงาคืบคลานเข้ามาใกล้ เธอก็เขม้นมองแล้วก็ต้องเบิกตากว้าง เพราะคนที่เข้ามา เธอจำได้ว่าเป็นวิน ดาราที่สนิทกับอิทธิกร ฉากหน้าเป็นดาราแสนสุภาพ แต่เบื้องหลังเขาก็เป็นผู้ค้ายาดีๆนี่เอง

“จุ๊ๆ แหม คุณน้ำค้าง ผมแทบจำคุณไม่ได้เลยนะครับ”

คำพูดขวานฝ่าซากของวินทำเอาน้ำค้างหน้าแดงจัดไปถึงลำคอ ใช่สิ สองสามวันมานี้เธอเอาแต่นั่งเครียด ไม่ยอมกินข้าวกินปลา หน้าตาผมเผ้าก็ไม่ได้เสริมเติมแต่งแล้วจะหาความงามได้ที่ไหนกันล่ะ

“แก...แกเป็นเพื่อนกับไอ้อิทธิกรใช่ไหม”

“ครับ จะว่าเป็นเพื่อนกันก็ได้”

“มันอยู่ที่ไหน ฉันจะฆ่ามันด้วยมือของฉันเอง” เธอกรีดร้องยกปืนขึ้นแล้วหันกระบอกปืนไปทางเขา

“ไม่รู้สิครับ สงสัยว่าตอนนี้เขาคงจะควงสาวสวยคนใหม่สบายไปแล้ว”

“บ้า แกนี่มันบ้าที่สุด”

“ว่าแต่คุณ...ไม่มีอาการอยากยาเลยหรือ”

น้ำค้างคอแข็งขึ้นมาทันที แต่ก็ค่อยๆลดปืนลง วันสองวันมาแล้วที่เธอไม่มีโอกาสเสพยา เพราะยาไอซ์ที่มีอยู่ทั้งหมด เธอเสพเล่นไปตั้งแต่วันก่อนงานฉลองวันเกิด เพราะคิดว่า เดี๋ยวอิทธิกรก็จะแอบเอามาให้ตรงที่เดิม แต่ตอนนี้มันว่างเปล่า...ยานรกพวกนั้นมันทำให้เธอตาลาย เห็นภาพหลอนไปหมด หงุดหงิดจนต้องไปลงกับคนรับใช้

“แกมีเหรอ” เธอกลืนน้ำลายลงคอ

“เฮ้อ...นี่แหละที่ผมเป็นห่วง กลัวว่าอาการอยากยาของคุณมันจะดังไปถึงหูพวกนักข่าวข้างนอกนั่น”

“มีจริงๆเหรอ ขอฉันมั่งสิ เม็ดสุดท้ายมันหมดไปตั้งนานแล้ว” น้ำค้างเดินตรงรี่เข้าไปหาวิน

“ผมก็อยากจะให้อยู่หรอกนะ แต่เสียดายที่มันมีแค่เม็ดสองเม็ด”

“จริงเหรอ แค่นี้ก็ได้เอามาเถอะ”

วินล้วงกระเป๋าเสื้อเพื่อหยิบยาที่อยู่ในนั้น

น้ำค้างกลืนน้ำลายลงคอรอให้เขาหยิบยาออกมา มือของเธอสั่นขณะรีบรับยาจากเขา แล้วเงยหน้าหยิบยาเข้าปากแล้วดื่มน้ำตามทันที รสชาติของมันทั้งขมทั้งเฝื่อน วินมองกิริยาของอีกฝ่ายด้วยนัยน์ตาหรี่เล็กพร้อมรอยยิ้ม

“มีแค่เม็ดเดียวเหรอ” น้ำค้างถาม

“ใช่ ตอนนี้ผมมีแค่เม็ดเดียว...แต่ว่ามันจะมีมาเพิ่ม ถ้ามีคนนำมาส่งอีก”

“จริงเหรอ เมื่อไหร่ล่ะ”

“วันพฤหัสฯนี้ ถ้าได้มา ผมกะว่าจะแบ่งให้คุณไปเลยฟรีๆสักร้อยเม็ด แต่ว่าคุณจะต้องหาคนขับรถมารับเองนะ เข้าใจหรือเปล่า”

“คนขับรถเหรอ”

“ใช่ ตอนนี้ผมโดนตำรวจเพ่งเล็งมาก เลยทำคนเดียวไม่ได้ คุณล่ะ พอจะคนมาเอาให้ผมได้หรือเปล่า คิดดูสิหนึ่งร้อยเม็ดเชียวนะ ไม่สนใจหรือ”

น้ำค้างกัดริมฝีปากแน่น เรื่องคนน่ะ เธอพอจะหาได้ไม่ยากนักหรอก แต่วินเป็นเพื่อนสนิทกับอิทธิกร แล้วเธอจะไว้ใจเขาได้มากแค่ไหนกัน

“ฉันจะไว้ใจแกได้เหรอ”

“ทำไมล่ะ”

“ก็แกเป็นเพื่อนคนสนิทกับไอ้อิทธิกรคนเลวคนนั้นน่ะสิ คดีที่มันทำกับฉัน อย่าหวังว่าฉันจะยกโทษให้”

วินหัวเราะหึๆในลำคอ “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าเขาทำอะไรกับคุณบ้าง แต่ผมกับเขาน่ะเราเป็นแค่เพื่อนสนิทกัน เรื่องที่เขาทำบางเรื่องผมก็ห้ามไม่ได้”

“พอที ฉันไม่อยากพูดถึงนายอิทธิกรนั่นอีก”

“ครับ คุณผู้หญิง”

“เอาละ บอกสถานที่นัดส่งยามาให้ฉัน แล้วฉันจะหาคนให้นาย...แล้วส่วนแบ่ง” น้ำค้างชำเลืองมองหน้าวิน “เรื่องเงินคงไม่ต้องให้ฉันช่วยสินะ”

“แหม คุณนี่ฉลาดจริงๆ เอาเป็นว่าผมอยากให้คุณออกสักครึ่งหนึ่งก่อน”

“ยาไอซ์แค่ร้อยเม็ดเนี่ยนะ” น้ำค้างเหยียดยิ้ม “ใครมันจะไปเล่นด้วย”

“ผมให้คุณเลยครึ่งหนึ่ง แบบนี้ดีหรือเปล่า”

น้ำค้างชำเลืองมองวิน ครึ่งหนึ่งงั้นเหรอแบบนี้ค่อยน่าลงทุนหน่อย....

“ก็ได้ ครึ่งหนึ่งก็ครึ่งหนึ่ง...ว่าแต่ไม่คิดเลยนะว่าดาราอย่างนาย จะมีเบื้องหลังแบบนี้” เธอเลิกคิ้วสูง

“นั่นน่ะสิครับ ผมมันดาราตกกระป๋อง ส่วนคุณก็เป็นนางเอกคลิปโป๊ แบบนี้ดีจะตาย”

“ไอ้...นาย”

“อย่าเพิ่งโกรธเลยครับ เอาเป็นว่าเราสองคนก็ร่วมหุ้นกันแล้ว อีกสองวันผมจะโทร.มาบอกที่หมายให้ไปรับยา แบบนี้ดีหรือเปล่า”

“ดี อย่าให้ช้านักละ”

ชั่ววินาทีหนึ่งน้ำค้างแลเห็นความเคลื่อนไหวตรงขอบหน้าต่าง เธอขมวดคิ้วเพราะด้านหลังเป็นฝั่งติดกำแพง อาจมีใครปีนเข้ามาดูก็ได้ ร่างบางเดินตรงไปยังหน้าต่างแล้วเปิดม่านจนสุด เธอเพ่งสายตามองหาร่างใครสักคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นแต่ก็ไม่มีใครเลย

“มีอะไรหรือครับ”

“แปลก....เหมือนเมื่อกี้ฉันมองเห็นใครสักคนอยู่ตรงนี้”

วินเดินเข้ามาใกล้แล้วกวาดตามองไปรอบกาย เมื่อวินมองหาจนกระทั่งแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่จึงปิดผ้าม่านให้มิดชิด
เงาร่างของคนที่ยืนชิดกำแพงพยายามยืนนิ่ง นัยน์ตาสีน้ำตาลของเขามองไปตรงหน้าต่าง จากนั้นเมื่อม่านหน้าต่างปิดจนสนิท เงาร่างที่ยืนอยู่จึงคอยค่อยๆเร้นกายไปตรงเงามืดพร้อมหลักฐานบางอย่าง...

ณ ผับบลูเม้าเท่น ชายสองคนกำลังนั่งดื่มเบียร์กันอยู่

“ฮ่าๆ ในที่สุดยายน้ำค้างนั่นก็เสร็จแกอีกจนได้ว่ะ” อิทธิกรกลั้นหัวเราะ เพราะแผนการหลอกเงินที่ได้จากการแบล็คเมล์น้ำค้างเรื่องคลิปโป๊ยังไม่เท่ากับเงินที่ได้จากการการหลอกให้ไฮโซสาวเอาเงินมาให้ค่ายา โดยแผนนี้วินเป็นคนคิด

ผลสุดท้ายน้ำค้างก็ยังหนีเขาไม่พ้นอยู่ดี

ช่างเป็นแผนการที่ฉลาดจริงๆ

“ฉันบอกให้เธอออกครึ่งหนึ่ง แล้วเราค่อยแบ่งยากัน แบบนี้ใช้ได้ไหม”

“ใช้ได้สิ ใครล่ะจะบอกว่าไม่ได้” อิทธิกรเอนหลังพิงกับเก้าอี้ “แผนนายนี่มันร้ายจริงๆ ว่าแต่ให้เธอออกครึ่งหนึ่งแล้วนายจะยอมแบ่งยาให้เธอหรือ”

“ไม่มีทางหรอก”

“ยายน้ำค้างนั่นมันหลอกง่ายจริงๆนะ น่าเสียดายเป็นถึงคุณนายไฮโซ แต่กลับถูกหลอกได้ น่าเสียดายชะมัด"

“ยังมีอะไรน่าเสียดายอีก นายน่ะได้กำไรยิ่งกว่าอะไรซะอีก”

“มันก็จริง คลิปไฮโซสาวที่ประจานในงานวันเกิดคืนนั้น ป่านนี้ยายนั่นคงยังนอนร้องไห้อยู่ล่ะมั้ง”

“นอกจากเงินที่เราจะได้จากยายน้ำค้างตอนไปซื้อยาแล้ว ยังมีเงินที่ได้จากการขายคลิปพวกนั้นอีกด้วย”

“แค่นั้นมันจะไปพออะไร” อิทธิกรจุดบุหรี่ขึ้นสูบนัยน์ตาหรี่เล็ก “ยายนั่นน่ะยังมีเงินให้เราใช้ได้อย่างสบายอีกเยอะ เงินของมันทั้งชาตินี้ก็ใช้ไม่หมดหรอก...”

แสงอาทิตย์ยามเช้าเล็ดลอดเข้ามาทางหน้าต่าง เสียงนกกระพือปีกบินไปมา หญิงสาวเอื้อมมือไปดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมเพื่อกันแสงทะแยงตา เธอหลับตาลงชั่วครู่ก่อนลุกขึ้นมาบิดตัวไปมาด้วยความขี้เกียจ อากาศเช้านี้ค่อนข้างเย็นและสดใส ทำให้เธออยากจะหลับต่อ ไม่อยากจะตื่นเลย

“เช้าแล้วเหรอเนี่ย”

รสกรบิดกายไปมา แล้วสายตาก็มองเห็นเงาตัวเองบนบานหน้าต่างกระจก เรียวปากของเธอเป็นสีแดงระเรื่อ เธอเอื้อมมือขึ้นแตะเบาๆ เมื่อนึกถึงสัมผัสอ่อนหวานที่ยังคงตราตรึงอยู่ในใจ

“ยายกอหญ้า ห้ามคิดบ้าๆนะ” หญิงสาวแก้มแดงระเรื่อ เธอลุกขึ้นมาเปลี่ยนอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดกางเกงขายาวเสื้อแขนสั้น ดวงหน้างามยิ้มน้อยๆ เมื่อลงมาจากชั้นบนแล้วได้กลิ่นเบคอนหอมฉุย กับขนมปังปิ้ง

“กลิ่นหอมจัง”

จากนั้นเธอก็เดินเข้าไปในครัว จึงเห็นภาพคนตัวสูงสวมเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนกำลังทอดเบคอนหอมกรุ่น

“โอ้โห...ไม่ยักรู้นะเนี่ย ว่าคุณจะทำอาหารเป็นด้วย”

“ตื่นแล้วหรือ”

“กลิ่นหอมจัง คุณทำเผื่อฉันด้วยหรือเปล่า”

“ผมทำเสร็จแล้ว เชิญคุณทำต่อเลยก็แล้วกัน”

“อะไร ไม่คิดจะทำเผื่อเลยเหรอ”

“หน้าที่ของผมมีแค่นี้” เขาชี้ไปเบคอนที่ทำเสร็จแล้วในจาน “ส่วนคุณอยู่ตรงโน้น” เขาเหยียดยิ้มพลางชี้นิ้วไปที่จานรองไข่ที่มีอยู่เป็นสิบลูก “เชิญตามสบายนะ”

“ก็ได้ คุณนี่ไม่มีน้ำใจเลยนะ”

“ช่วยไม่ได้ อยากตื่นสายทำไม”

“ฉันว่านะ คุณนี่จริงๆเลยนะ มีอย่างที่ไหนตัวเองทำกินคนเดียว ปล่อยให้ผู้หญิงหิวตามลำพังน่ะ”

“คุณน่ะหรือหิว”

“ใช่น่ะสิ”

“งั้นมาทานกับผมสิ จะได้ไม่หิว” ใบหน้าคมคายเหยียดยิ้มพร้อมยื่นจานให้

“บ้าสิ เรื่องอะไรฉันต้องทานกับคุณ”

“ก็คุณบอกว่าหิว มาทานกับผมเถอะ คุณจะไม่ได้เสียเวลาทำยังไงล่ะ เบคอนผมก็มีตั้งสามแผ่น ขนมปังผมก็ปิ้งไว้ตั้งหกแผ่น ยังมีอะไรอีกน้า...”

“ไข่ดาวไง” เธอร้องอย่างยินดี

“นั่นแหละ ทอดเผื่อผมด้วยก็แล้วกัน”

“อะไรกัน เรื่องอะไรมาใช้ฉัน” เธอร้อง

“คุณเคยได้ยินนิทานเรื่องนางฟ้ากับแม่เลี้ยงใจร้ายหรือเปล่า”

“อะไรนะ”

คชินทร์นั่งลงบนโต๊ะ แล้วค่อยๆเล่าเรื่องให้เธอฟัง

“ผมจะเล่าให้ฟัง กาลครั้งหนึ่งมีหญิงสาวทำงานอยู่ในครัว วันหนึ่งๆต้องทำความสะอาดแล้วก็ต้องออกไปเก็บไข่ไก่มาไว้ในตะกร้าห้องครัว แต่อยู่มาวันหนึ่งไม่มีไก่ตัวไหนออกไข่อีกเลย แม่เลี้ยงของเธอเลยบังคับให้เธอออกไปหาไข่ไก่มาอีก และบอกว่าถ้าหามาได้ก็ไม่ต้องกลับมา”

“แม่เลี้ยงใจยักษ์” รสกรอดไม่ได้ที่จะแทรกขึ้น

“ถูกต้อง ที่นี้หญิงสาวก็นั่งร้องไห้อยู่ใต้ต้นไม้ ทันใดนั้นเธอก็เห็นไก่นั่งฟักไข่อยู่ตัวหนึ่ง และแล้วเธอก็เห็นว่าไข่ไก่เป็นสีทองอร่าม แล้วทีนี้เธอทำอะไรรู้ไหม”

“ก็เก็บไปให้แม่เลี้ยงไงล่ะ” เธอเดาได้ไม่ยาก เพราะนิทานย่อมจบลงแบบนี้กันทั้งนั้น

“ผิด เธอเอาไข่ทองคำไปขายในตลาดทำให้ได้เงินทองมากมาย แล้วเธอก็นำทรัพย์สินนั้นไปให้แม่เลี้ยงพร้อมกับบอกเธอว่า นี่เป็นทรัพย์สินทั้งหมดจากการนำไข่ทองคำไปขาย แล้วทีนี้เราก็จะมีความสุขกันเสียที”

หญิงสาวเข้ามาใกล้ๆ เพราะอยากฟังต่อ

“แม่เลี้ยงว่ายังไงบ้าง”

“แม่เลี้ยงก็ตีเธอน่ะสิ”

“ทำไมล่ะ”

“เธอบอกว่าทำไมเธอถึงโง่นัก ถ้าหากเลี้ยงไก่ตัวนั้นไว้ เราก็จะได้ไข่ทองคำอีกมาก แม่เลี้ยงใจยักษ์จึงนำไก่ตัวนั้นกลับมาที่บ้าน แต่จนแล้วจนรอดมันก็ไม่ออกไข่สักที ทีนี้แม่เลี้ยงก็เลยคิดว่า ถ้าหากเราผ่าท้องมันแล้วก็จะมีทองคำอีกมากมาย...ปรากฏว่าผ่าแล้วพบแต่ความว่างเปล่า”

“ตายจริง” เธอเพิ่งถึงบางอ้อ “แล้วเรื่องนี้สอนว่ายังไงบ้างล่ะ”

“ความงกน่ะสิ ถ้าแม่เลี้ยงใจยักษ์ไม่โลภมากสองคนนั้นก็จะมีกินมีใช้ตลอดไป...คล้ายๆกับใครบางคนในนี้”

“นี่คุณว่าฉันงกงั้นเหรอ” เธอเริ่มโกรธจนแทบเดือดปุดๆ

“ผมแค่อยากจะบอกว่าแค่มีไข่ไก่หนึ่งฟอง ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลยน่ะสิ”

“บ้า” เธอเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “พอเลยพอ ทนฟังอยู่ได้ตั้งนานไม่มีสาระเลย”

“ล้อเล่นน่า ไข่ดาวน่ะผมทำเสร็จตั้งนานแล้ว”

นักข่าวสาวเงยหน้ามองเขาจึงเห็นคชินทร์เปิดตู้อบแล้วหยิบถาดที่ใส่ไข่ดาวออกมาสองใบ

“นี่คุณ ล้อฉันเล่นงั้นเหรอ”

“เปล่านี่” เขายิ้มๆ “กินเถอะ เดี๋ยวจะเย็นหมด”

“คุณซื้อมือถือใหม่เหรอ รุ่นอะไรน่ะ” เธอชำเลืองมองเห็นโทรศัพท์มือถือของเขาที่วางอยู่บนโต๊ะ แต่ยังไม่ทันคว้าไว้ชายหนุ่มก็หยิบมันขึ้นมาเก็บไว้ในกระเป๋า

“ก็รุ่นที่เขาใช้กันทั่วๆไปนั่นแหละ บังเอิญว่าผมเอาไปใช้เมื่อคืนก็เลยยังไม่ได้เก็บ”

“เมื่อคืน...จริงสิ ฉันหลับไปก่อนที่คุณจะกลับมาซะอีก คุณไปไหนมาเหรอ”

“ผมหรือ ก็เดินเล่นแถวๆนี้แหละ”

“หมายความว่ายังไง”

“ก็หมายความตามนั้นแหละ เอาละ กินได้แล้ว”

รสกรมองดูอาหารทุกจานบนโต๊ะ ทุกอย่างตรงหน้าล้วนปรุงแต่งขึ้นอย่างประณีต จนยากที่จะเชื่อว่าเป็นฝีมือของชายหนุ่มโสด มาถึงตอนนี้ เธอชักจะแล้วว่า คชินทร์จะยังโสด ในเมื่อเขาทั้งหล่อและดูดี ทั้งยังเป็นคนเอาใจใส่ผู้หญิง...มากกว่าที่เธอคิด

หญิงสาวแอบชำเลืองมองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าจนคชินทร์ที่กำลังยื่นช้อนและส้อมให้เธอรู้สึกตัว

“มีอะไรหรือ” คชินทร์เลิกคิ้วสูง

“ฉันกำลังคิดถึงเรื่องเมื่อคืน...” เธอพึมพำ

“เรื่องที่ผมบอกรักคุณน่ะหรือ” เขาเหยียดยิ้ม จนเธอแก้มแดงปลั่งจรดใบหู

“บ้า ฉันไม่ได้คิดเรื่องนั้นซะหน่อย ฉันแค่กังวล กลัวว่าคุณน้ำค้างเธอจะคิดสั้นต่างหาก”

“งั้นหรือ” ชายหนุ่มเหยียดยิ้ม “แต่ถ้าให้ผมเดา คนอย่างเธอคงแค้นมากจนอยากจะแก้แค้นต่างหาก ไม่มีเรื่องคิดสั้นให้ระคายหูหรอก”

“คุณรู้ได้ยังไง”

“ผมรู้ก็แล้วกัน”

คำตอบจากคนตัวสูงทำเอาคนที่กำลังอ้าปากเถียงก็เงียบไปทันที จากนั้นเธอก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารเงียบๆ โดยพยายามไม่หันไปมองหน้าหรือสบตากับเขาอีก

เมื่ออิ่มแล้ว เธอก็ลุกขึ้นเก็บถ้วยจานไปในครัว แต่คชินทร์คว้าข้อมือบางไว้แน่น รสกรเงยหน้ามองด้วยความสงสัย

“อะไรคะ”

“เดี๋ยวผมจะออกไปข้างนอกหน่อย คุณล่ะจะออกไปพร้อมผมไหม”

“ออกไปไหนเหรอคะ”

“ไปเลือกซื้อหนังสือแถวๆนี้แหละ”

“จะไปคนเดียวเหรอคะ หรือว่าจะให้ฉันไปเป็นเพื่อน”

จบคำถามของหญิงสาวก็มีเสียงรถยนต์แล่นมาจอดที่หน้าบ้าน เมื่อรสกรชำเลืองมองจากหน้าต่างจึงเห็นว่าผู้มาเยือนที่ยืนอยู่ตรงรั้วหน้าบ้านก็คือข้าวฟ่าง ที่วันนี้สวมชุดกระโปรงสีหวานลายดอกไม้ มัดผมไว้ด้านขวาพร้อมรอยยิ้มที่สดใสเป็นพิเศษ นักข่าวสาวมองคนตัวสูงด้วยสีหน้าตึงขึ้น

“เห็นทีคุณไปเองคนเดียวน่าจะเหมาะกว่า”

“แต่ผมอยากชวนคุณไปด้วย”

“เก็บคำพูดนั้นไว้ใช้กับข้าวฟ่างเถอะค่ะ” หญิงสาวหันหลังกลับ แต่ถูกมือหนาคว้าข้อศอกไว้ก่อนจะรวบเธอเข้าไปหาแล้วใช้มือข้างหนึ่งกอดเอวไว้แน่น เธอร้องอุทานด้วยความตกใจ ขณะนี้ทั้งคู่ใกล้ชิดกันมากจนได้กลิ่นน้ำยาโกนหนวดจากคชินทร์จางๆ แก้มของเธอเข้มจัดพยายามดึงมือออกให้เป็นอิสระ แต่ว่าไม่ได้ผล

“คุณจะทำอะไรน่ะ”

“ผมกับคุณข้าวฟ่างเราไม่ได้มีอะไรกัน”

“ปล่อยนะ” รสกรกระซิบ ถ้าข้าวฟ่างเข้ามาเห็นภาพนี้เธอจะแก้ตัวว่าอย่างไร “ฉันยังไม่ได้ถามคุณนี่”

“ไม่ถาม แต่ดูจากกิริยาหึงหวงก็น่าอยู่หรอก”

“คุณคชินทร์” เธอเรียกชื่อเต็มของเขา หวังว่าเขาจะปล่อยมือออกจากเอวบาง เมื่อเขาคลายวงแขนออก หญิงสาวก็ถอนหายใจยาว รีบเดินออกไปเปิดประตูหน้าบ้านให้เพื่อนสนิทที่เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มหวาน

“สวัสดีจ๊ะ” ข้าวฟ่างทักเพื่อนก่อน

“เธอมาได้ยังไงน่ะ วันนี้ว่างเหรอ”

“อืม จะว่ายังไงดีล่ะ...คือว่าวันนี้ฉันกะจะชวนคุณชินออกไปเดินซื้อหนังสือหน่อยน่ะ เธอเองก็ไปด้วยกันนะ” ข้าวฟ่างเอ่ยยิ้ม “อ๊ะๆ ห้ามบอกว่าไม่ว่างนะ เพราะเราไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกันตั้งนานแล้ว”

“เอ่อ...คือฉัน” รสกรชำเลืองมองไปทางคชินทร์ เดินเลือกหนังสือมิน่าล่ะ “ไม่ดีกว่า ฉันมีงานต้องทำน่ะ ไม่ได้ว่างเหมือนใครบางคน” เธอเหน็บคนตัวสูง

“ทำไมล่ะ พอฉันชวนเข้าหน่อยก็บอกว่าไม่ว่าง น้อยใจแล้วนะ”

“ฉันงานยุ่ง เธอก็รู้นี่”

ชายหนุ่มหนึ่งเดียวในบ้านเดินเข้ามาใกล้พร้อมรอยยิ้ม เขาเดินเข้ามาซ้อนด้านหลังของรสกร แล้วแผ่นอกแกร่งก็แตะแผ่นหลังของหญิงสาวพอดี ทำเอารสกรสะดุ้งหันไปมองคนตัวสูงและขมวดคิ้ว

“มีอะไรกันเหรอครับ”

“ก็กอหญ้าน่ะสิคะ บอกว่างานยุ่งท่าเดียว ชวนออกไปข้างนอกก็ไม่ไป”

“อืม...เขาคงรอใครอยู่มั้งครับ” ชายหนุ่มยิ้ม

“ใครเหรอ”

“ก็ใครบางคนที่อาจขี่ม้าขาวมา แล้วคุกเข้าลงขอแต่งงานไงล่ะครับ”

นักข่าวสาวหันไปมองหน้าเขาพร้อมกับขมวดคิ้ว ที่เขาพูดออกมาหมายความว่าเธอเป็นเจ้าหญิงที่นอนฝันหวานถึงเจ้าชายในฝันสินะ

“ช่วยไม่ได้นี่คะ เจ้าชายในนิทานจริงใจและก็เป็นสุภาพบุรุษมากกว่าคนสมัยนี้ตั้งเยอะ” เธอยอกย้อน

“เหรอครับ ผมไม่ยักรู้”

การปะทะคารมระหว่างคนทั้งสองทำให้ข้าวฟ่างยิ้มเฝื่อน เธอชักไม่แน่ใจเสียแล้วว่าเธอมาผิดเวลาหรือเปล่า

“เอ่อ...กอหญ้า เธอเป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ ดูหน้าตาท่าทางไม่ค่อยดีเลย”

“สบายดีจ้ะ แค่อารมณ์เสียนิดหน่อย”

“แล้ววันนี้เธอจะออกไปข้างนอกเป็นเพื่อนฉันหรือเปล่า”

“เธอก็มีคุณชินไปด้วยอยู่แล้วนี่นา”

“ไปหลายคนดีกว่านะ ไปเถอะ ฉันขอร้อง”

“แต่ว่า...”

“ไปเถอะครับ คุณข้าวฟ่างอุตส่าห์มาชวนทั้งที” คชินทร์ยิ้มบาง แล้วรสกรก็ถอนหายใจยาว

สุดท้ายเธอก็ต้องไปอยู่ดีนั่นแหละ....





เบลินญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ก.พ. 2557, 11:01:38 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ก.พ. 2557, 11:01:38 น.

จำนวนการเข้าชม : 1233





<< ตอนที่ ๑๑ คนทรยศ   ตอนที่ ๑๓ ความบังเอิญ >>
เบลินญา 7 ก.พ. 2557, 11:07:46 น.
Zephyr >>>> หมั่นไส้เลยเหรอคะ ^ ^'' แบบนี้เขาเรียกปากกับใจไม่ตรงกันค่ะ


Zephyr 13 ก.พ. 2557, 22:13:54 น.
หงะ และแล้วนางก็หึง
แต่ว่า ยายฟ่างเริ่มน่ากลัวละ กลัวใจเธอจริงๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account