จุดชนวนรัก อุบัติเหตุเลิฟ
บางครั้งเราทุกคนก็ต้องยอมรับความจริงในเรื่องของหัวใจ ว่ามันอาจไม่เป็นอย่างที่เราต้องการเสมอไป ฉันเคยคิดว่ารัก ‘พี่เกล’ แต่ฉันกลับได้รู้จักความรักจริงๆ ในวันที่สายไปกับคนที่ได้ตายจากไปแล้ว ฉันไม่มีโอกาสแม้แต่จะบอกความในใจให้เขารู้ด้วยซ้ำ และวันนี้ฉันมีโอกาสจะไปหาเขาแม้ว่าหัวใจของเขาจะนิ่งสงบไปแล้วก็ตามแต่ฉันก็ร้อนใจเหลือเกินที่จะไป ไม่อยากจะช้าสักวินาทีเดียว
Tags: วัยรุ่น

ตอน: บทที่ 12

บทที่ 12
อาหารมือเย็นจบไปด้วยการที่สองสาวนอนตีพุงดูละครหลังข่าวจนหลับคาหน้าจอทีวี เซทก็เลยต้องทำหน้าที่หามเอ่ย! อุ้มทั้งสองคนนั่นเข้าไปนอนประจำที่ของตนเอง ส่วนฉันก็ต้องหิ้วท้องที่ร้องจอกๆ ขึ้นห้องไป แง ถ้าขืนยังตื่นอยู่แบบนี้ฉันคงต้องตายเพราะความหิวแน่ๆ หน้าต้มโค้งมันลอยวนเวียนอยู่ในหัวฉันเต็มไปหมด
แจบ!!
น้ำลายยืด อยู่ไม่ได้แล้วขืนเป็นแบบนี้สำลักน้ำลายตายแน่ ไปนอนดีกว่า
พอไปถึงฉันก็ล้มตัวนอนลงอย่างแรงบนฟูกที่สุดแสนจะนิ่มสบายพลางข่มตาให้หลับ แต่มันก็ลำบากเหลือเกินกระสับกระส่ายคล้ายๆ จะคันหู เฮ้ย! หิว
ก็อก!!
เอร๊ย! เสียงเคาะประตูนี่
"ใครคะ"
ฉันตะโกนถามออกไปแต่ก็รู้อยู่แล้วละว่าน่าจะเป็นเซท เพราะสองคนนั้นหลับไปหมดแล้ว แต่เรื่องอะไรฉันจะเปิดประตูให้หมอนั่นกลางดึกเล้า ฉันเป็นผู้หญิงยิงเรือนะ
"ฉันต้มมาม่ามาให้เธอน่ะ"
มาม่า! ชิ นายคิดว่าเอาของกินมาล่อแล้วฉันจะยอมให้นายเข้าห้องฉันยามวิกาลเหรอยะ ฝันไปเถอะ แต่พอมารู้ตัวอีกทีไอ้มือเจ้ากรรมก็ดันเปิดประตูให้เขาเข้ามาซะงั้น
"ออกมากินข้างนอกสิ"
เซทพูดเพียงสั้นๆ แล้วเดินถือชามมาม่าผ่านหน้าฉันไป โห! กลิ่นหอม พอได้กลิ่นท้องฉันก็ร้องโครกขึ้นมาเฉยเลย จนเขาถึงกับขำออกมาทันทีที่ได้ยิน กึ๋ย! อายอะ >///< ทำไมต้องร้องต่อหน้าคนอื่นด้วยอ่ะ
"หัวเราะอะไรไม่เคยได้ยินคนท้องร้องรึไง" ฉันแกล้งทำเป็นเสียงดังกลบเกลื่อนความอาย
"เคย! แต่ไม่เคยได้ยินดังขนาดนี้"
เออ! เยาะเย้ยเข้าไปทีใครทีมันแล้วกัน
เซทเดินนำฉันไปนั่งที่โต๊ะเล็กที่ตั้งอยู่ริมระเบียงบ้าน ว่าว! ดูท้องฟ้าที่นี่สิดาวเต็มไปหมดเลยฉันมัวแต่หิวเลยไม่ได้ออกมาชมดาว มันสวยมากอากาศก็เย็นกำลังสบาย ฉันชอบอะไรแบบนี้ที่สุด ธรรมชาติ ท้องฟ้า ดวงดาว นี้คือความฝันฉันเลยละ
"กินสิเดี๋ยวมาม่าก็อืดหมดหรอก"
เสียงเซทเรียกสติฉันคืนมา นี่เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่ฉันให้ความสนใจกับอย่างอื่นมากกว่าการกิน แต่พอฉันหันมาเห็นถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ฉันเพิ่งรู้สึกว่ามันน่ากินโคตรๆ ก็วันนี้แหละฉันลงมือกินๆ แล้วก็กิน จนลืมไปเลยว่ามีใครอีกคนนั่งอยู่ตรงหน้า ถ้าไม่ติดว่าได้ยินเสียงท้องร้องดังขึ้นซะก่อน และแน่นอนมันไม่ใช่ของฉัน
ฉันชะงักกึกทันทีเงยหน้าขึ้นจากชามมาม่าที่ตอนนี้เหลือเพียงน้ำคลุกคลิกเท่านั้น แล้วก็พบว่าเซทกำลังถือตะเกียบค้างกลางอากาศ
"มันเหลืออยู่แค่ซองเดียว เธอเล่นกินคนเดียวหมด ฉันจะเธอฆ่าเธอยัยชูชก คายออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ"
แล้วเรื่องราวทั้งหมดก็จบตรงที่หมอนั้นร้องงอแง ให้ฉันรู้สึกผิดที่กินคนเดียว ก็ไม่บอกเร็วๆ เล่าว่าตัวเองยังไม่ได้กินแถมมีแค่ซองเดียวอีกต่างหากใครจะไปรู้ล่ะ แต่หลังจากที่เขางอแงจนหมดแรงก็สลบเมือดล้มตัวลงนอนแล้วหลับตาพริ้มก่อนจะพูดว่า…"ทำไมเธอถึงชอบไอ้นักร้องนั่นล่ะ"
เซทสีหน้าเปลี่ยนไปในทันทีที่พูดถึงเรื่องนี้ ฉันอึ้งไปนิดๆ ที่จู่ๆ เขาเกิดถามเรื่องแบบนี้ขึ้นมา
ฉันเลยขยับมานั่งลงข้างๆ เขาพลางแหงนหน้าดูดาวนับล้านที่กำลังส่องแสงประกายระยิบระยับลอยอยู่บนท้องฟ้าแล้วนึกถึงสิ่งที่เขาถาม ไม่ใช่ว่าตอบไม่ได้ว่าทำไมถึงชอบ แต่มันเกิดอะไรขึ้นภายในใจฉันลึกๆ ก็ไม่รู้ว่าคำตอบของฉันมันอาจจะทำร้ายใจของคนที่ยังคงนอนหลับตาอยู่ข้างๆ มันเลยทำให้ฉันเริ่มลังเลที่จะตอบออกไปตรงๆ
"บางทีฉันว่าความรักก็ไม่ค่อยมีเหตุผลสักเท่าไหร่"
"งั้นเหรอ…"
เซทพูดทั้งๆ ที่ยังหลับตา ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกันบางทีเขาอาจจะไม่อยากให้ฉันเห็นขี้ตาเขาก็ได้มั้ง
หลังจากนั้นเราก็ต่างคนต่างเงียบกันไป เซทยังคงนอนหลับตาอยู่ท่าเดิม ฉันก็เลยเดาไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ฉันเนี่ยสิเริ่มเมื่อยก็เลยล้มตัวลงนอนบ้างบางทีการนอนดูดาวมันก็เป็นอะไรที่วิเศษเหมือนกันนะ
"นายเป็นลูกครึ่งเกาหลีเหรอ"
มันเงียบเกินไปรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่อึมครึม ฉันก็เลยเปลี่ยนเรื่องเพื่อมันจะทำให้บรรยากาศดีขึ้น
"หน้าฉันเหมือนหรือไง?"
แล้วก็ได้ผลเซทยอมพูดแต่ก็ติดจะกวนๆ อยู่ดี
"จะตอบอะไรง่ายๆ บ้างไม่ได้เหรอไง"
"แม่ฉันเป็นลูกครึ่งไทยเกาหลี ส่วนป๊าเป็นลูกครึ่งไทยจีน"
โห! ทำไมมีแต่ครึ่งๆ อะ แล้วนี่จะแบ่งกันยังไง อ๋อ! สงสัยครึ่งบนเป็นเกาหลี ตรงกลางเป็นพี่ไทย ส่วนครึ่งล่างเป็นน้องจีนละมั้ง
"นูนาเป็นคนไทยส่วนคุณตานายเป็นคนเกาหลีใช่มั้ย"
คราวนี้เขาลืมตาขึ้นก่อนจะเปลี่ยนอิริยาบถเป็นนอนตะแคง แล้วหันมามองหน้าฉันอย่างแปลกใจ
"ทำไมเธอไม่คิดว่าคุณยายเป็นคนเกาหลีล่ะ ทั้งๆ ที่เธอใส่แต่ชุดฮันบกตลอด"
นั่นสินะ แต่ฉันกลับคิดอีกแบบ ฉันคิดว่าคุณยายน่าจะยังคิดถึงคุณตาก็เลยชอบใส่ชุดฮันบกเพื่อจะได้กลิ่นอายของความเป็นเกาหลีจะได้รู้สึกว่าคุณตายังอยู่ใกล้ๆ ไม่ได้จากเธอไปไหน
"แล้วถูกไม่ล่ะ"
ฉันตอบเขาด้วยคำถาม ทำให้เขากระตุกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย แต่ฉันก็รู้สึกดีนะที่เขายิ้ม
"ความจริงเธอก็ไม่ได้โง่ทุกเรื่อง"
">*< นายชอบด่าว่าโง่เรื่อยเลย ฉันไม่พูดกับนายแล้วกลับห้องดีกว่า"
ฉันตั้งท่าจะลุกขึ้นแต่เขากลับคว้าข้อมือฉันไว้เสียก่อน
"จะไปไหน อยู่ดูดาวเป็นเพื่อนกันก่อนสิ อย่าลืมนะว่าเธอเป็นต้นเหตุที่ทำให้ฉันนอนไม่หลับเพราะความหิว"
คร้าสำนึกผิดอยู่ทุกอณูขุมขนตั้งแต่จุดที่รกชันไปถึงจุดที่เป็นหย่อมๆ (ผู้ที่มีอายุต่ำกว่าสิบสามปีควรใช้วิจารณญาณในการแปลความหมาย) จัดเลต 13+++
ฉันทำหน้าประชดก่อนจะนั่งลงตามเดิม แต่บังเอิญตาฉันก็ดันเหลือบไปเห็นแผลที่คิ้วของเขาเสียก่อน ฉันไม่ได้สังเกตเลยว่ามันถูกปิดพลาสเตอร์อย่างรวกๆ
"ทำแผลเองเหรอ"
"อืม"
"ทำไมไม่บอกฉันล่ะ หรือไม่ก็ให้หลีหลินทำให้ก็ได้ฉันว่าเธอต้องดีใจสุดๆ ที่ได้ใกล้ชิดนายในระยะเผาขน"
"หึงเหรอ!"
เซทฉีกยิ้มกว้าง พลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนฉันใจสั่นแปลกๆ ปกติเขาจะยิ้มแค่มุมปากแบบกวนๆ ไม่เคยเห็นยิ้มกว้างขนาดเห็นฟันหน้าครบทุกซี่ แต่จะว่าไปเวลาเขายิ้มมันทำให้โลกดูสดใสขึ้นเยอะเลย ขนาดท้องฟ้าที่มืดสนิทชนิดที่เห็นดาวชัดแจ๋วยังแถบสว่างวาบขึ้นมาทันที
"ฝันไปเถอะย่ะ!"
"ใจร้าย!"
เซทหุบยิ้มกลางอากาศ ทันทีที่ฉันตอบออกไปความจริงฉันก็ไม่อยากจะพูดจาทำร้ายเขาแบบนี้หรอก แต่ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน หรือบางทีฉันอาจจะกำลังหวั่นไหวโดยไม่รู้ตัว แต่ฉันไม่อยากให้มันเป็นแบบนั่นก็เลยเกิดปฏิกิริยาต่อต้านขึ้นมา แต่ฉันว่ามันคงไม่ใช่อย่างนั้นหรอกเนอะ (เสียงสูงอีกแล้ว)
"…"
"คุณยายอยากมีหลานสาวก็เลยขอหลีหลินมาเลี้ยงตั้งแต่เด็กๆ น่ะ ยัยนั้นก็เลยเหมือนน้องสาวของฉัน"
ที่แท้ยัยเด็กแก่แดดหลีหลินก็ไม่ใช่ญาติของเซท ว่าแล้วเธอถึงมองเขาด้วยสายตาที่ไม่เหมือนน้องมองพี่เลย แต่เอ๊ะ! ฉันชักจะสนใจเรื่องของเขามากไปแล้วนะ เปลี่ยนเรื่องเหอะ
"เป็นอย่างนี้นี่เอง…ว่าแต่นายยังเจ็บแผลอยู่หรือเปล่า"
แล้วเรื่องนี้มันสนใจน้อยกว่าเรื่องเมื่อกี้ตรงไหนกันยะ (ประชด)
"เป็นห่วงฉันด้วยเหรอ…"
เซทหันกลับมายิ้มให้ฉันอีกรอบ แต่คราวนี้เขาแสยะยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนจะยื่นหน้ามากระซิบที่ข้างหูฉันเบาๆ
ให้ตายเถอะ! ฉันไม่ค่อยชอบรอยยิ้มแบบนี้เลย เวลาหมอนี่ยิ้มแบบนี้ทีไรมีเรื่องให้ต้องแกล้งฉันทุกที
"…รู้อะไรมั้ยความสงสารเป็นบ่อเกิดแห่งความรักนะ"
"เพ้อเจ้อ!"
ฉันรีบหันหน้าหนีเขาทันที ไม่รู้ทำไมเหมือนกันรู้แต่ว่าไม่กล้าสู้สายตาคู่นั้นเลย มันชอบทำให้จังหวะการเต้นของหัวใจฉันผิดไปหมด
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไรจู่ๆ เสียงร้องขอความช่วยเหลือก็ดังขึ้น ทั้งฉันและเซทเราถึงกับสะดุ้งด้วยความตกใจที่ได้ยินเสียงร้องและฉันแน่ใจมากว่ามันคือเสียงของหลีหลิน
"หลบอยู่แถวนี้ แล้วห้ามตามฉันมาเด็ดขาด เข้าใจมั้ย!"
ตอนแรกฉันก็แค่รู้สึกหวาดๆ แต่พอเขาพูดความกลัวก็เข้ามาแทรกแทนที่ นี่มันเรื่องอะไรกันทำไมฉันต้องหลบด้วย แถมเขายังวิ่งหน้าตาตื่นไปขนาดนั้น คำถามมากมายมันตีกันยุ่งเหยิงยิ่งกว่าฝอยขัดหม้อขดอยู่ในหัว กลัวก็กลัวหรอกนะแต่ไอ้ความอยากรู้อยากเห็นเนี่ยสิมันร้ายกาจกว่า
ฉันรีบวิ่งตามเขาไปทันทีแต่พอไปถึง หัวใจฉันมันก็หล่นวูบพวกชายฉกรรจ์มากมายยืนรายล้อมกันเต็มไปหมด แถมเซทยังโดนเอาปืนจี้ข้างหลังไปไหนไม่ได้เลย ส่วนนูนาที่แม้แต่ยามนอนเธอก็ยังเกาหลีได้อีก ถูกจับมัดมือปิดปากผูกติดไว้กับหลีหลินซึ่งยังไม่ถูกปิดปาก สันนิษฐานว่าน่าจะเพิ่งถูกรากตัวมา นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!
แต่พอเซทเห็นฉันเขาก็มองมาด้วยสายตาที่ทั้งตำหนิและห่วงใย
"ตามฉันมาทำไม"
"ก็ฉันกลัวนี่นายทิ้งฉันไว้คนเดียวทำไมล่ะ"
"แล้วยืนอยู่ที่นี่มันน่ากลัวน้อยกว่าตรงไหน"
เราสองคนเถียงกันไปเถียงกันมาเหมือนกับคู่รักที่เพิ่งแต่งงานใหม่ จนลืมไปเลยว่าตอนนี้เรากำลังตกที่นั่งลำบากกันอยู่ แต่น่าแปลกใจที่ไม่ยักจะมีใครมาจับตัวฉันไว้นะ เอ๊ะ! หรือความสำคัญฉันไม่ค่อยมี แต่แล้วความสงสัยฉันก็ได้ข้อสรุปเมื่อมีเสียงที่ฉันรู้จักดังขึ้นจากทางด้านหลังของตัวฉันเอง และพอฉันหันไปเผชิญหน้าฉันก็รู้ทันทีว่าทำไมฉันถึงไม่ถูกจับตัวไว้
"เต็ม!"
"ดีใจจังที่เธอยังจำหน้าเพื่อนเก่าอย่างฉันได้"
ก็เกือบจะจำไม่ได้เหมือนกันแหละ เพราะใบหน้าของเต็มมีแต่รอยฟกช้ำเต็มไปหมดสภาพแบบนี้หมออนุญาตให้ออกมาเดินเพ่นพ่านได้ยังไง
เต็มฉีกยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะเดินย่างสามขุมเข้ามาประชิดติดตัวฉัน แล้วรวบเอาแขนทั้งสองข้างของฉันไขว้หลังเอาไว้อย่างง่ายดาย
"นายจะทำอะไรฉัน"
"ฉันก็จะมาสานต่อความสัมพันธ์ของเราให้แนบแน่นชนิดเนื้อกระทบหนังน่ะสิ ว่าแต่เธอใส่ชุดอะไรเนี่ย แต่ไม่เป็นไรยังไงเธอก็สวยในสายตาฉันอยู่ดี ยิ่งนอนแก้ผ้าฉันก็ว่าเธอยิ่งสวย ฮาๆ"
เต็มยิ้มเยาะเย้ยกระซิบอยู่ที่ข้างๆ หูฉัน คงต้องการให้ฉันได้ยินแค่คนเดียวก่อนจะส่งสายตาเหี้ยมเกรียมไปยังเซทที่ยังคงถูกลูกน้องเต็มใช้ปืนจี้ แต่เซทกลับมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีแม้แต่ความกลัวฉายขึ้นบนแววตาของเขาเลยแม้แต่นิด แต่ฉันสิรู้สึกกลัวจนรนรานทันทีที่ได้ยินแผนการชั่วร้ายของเต็ม ถึงแม้เซทจะเก่งขนาดไหนแต่ถ้ามากันเยอะขนาดนี้แถมอาวุธครบมือยังไงเขาคงต้านทานไม่ได้แน่ แล้วในป่าเขาลำเนาไพรต่อให้แหกปากขอความช่วยเหลือให้ตายก็คงไม่มีใครได้ยินหรอก ทางที่ดีช่วยตัวเองก่อนดีกว่า
"ปล่อยฉันนะเต็ม!"-
"รู้อะไรมั้ยว่าฉันตามเธอมาไกลถึงนี่เพื่อที่จะปล่อยเธอไปง่ายๆ โดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยเนี่ยนะ อย่าคิดอะไรโง่ๆ แบบนั้นสิขมิ้น ฮาๆๆๆ"
เสียงหัวเราะของเต็มดังได้กวนบาทา บาดลึกจนทะลุความกลัวเข้าไปถึงก้นบึ่งของต่อมความเกลียดชัง
"แต่ฉันว่าที่เธอพูดมันถูกต้องที่สุดแล้ว ถ้าไม่อยากเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่แกก็ควรจะปล่อยเธอซะ"
เซทพูดแทรกขึ้นด้วยสีหน้าที่ยังนิ่งไม่สะทกสะท้านใดๆ ทั้งสิ้นเหมือนเดิม ทำไมเขาถึงไม่รู้สึกกลัวบ้างนะทั้งๆ ที่ตัวเองก็อยู่ในสถานะจนแต้มเหมือนกัน
"แกว่ายังไงนะ! ให้ปล่อยพวกแกไป ตลกวะ ฉันมาวันนี้ก็เพื่อจะมาคิดบัญชีกับแกไอ้เซท"
"ถ้าแกไม่อยากเข้าไปนอนโรงพยาบาลอีกรอบก็รีบทำตามที่ฉันบอก ฉันไม่ชอบเล่นลิ้นกับเด็กที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างแกนานๆ อย่าคิดนะว่าฉันจะใจดีปล่อยแกกับครอบครัวให้ลอยนวลหากแกแตะต้องคนของฉันทุกคนแม้แต่ปลายเล็บอีก"
ดูเหมือนเต็มจะมีโทสะจากประโยคที่เซทพูดอย่างแรง มันถึงกับผลักฉันจนเซถลาไปชนกับขอบตู้โชว์ จนรู้สึกได้ถึงเสียงกระทบของแข็งอย่างตู้กับหัวฉันดังโป๊ก ก่อนที่มันจะเดินหน้าไปเผชิญกับเซทอย่างห้าวหาญ แต่เซทกลับไม่สนใจคนตรงหน้าเลยสักนิด และเพียงชั่วพริบตาเดียวเซทก็หันหลังกลับไปแย่งปืนจากลูกน้องเต็มมาถือไว้ในมืออย่างง่ายดายก่อนจะจ่อปลายกระบอกมายังเต็ม เขาเร็วมากเร็วจนเต็มยังอ้าปากค้างตลึงด้วยความตกใจ
"อย่าคิดข้ามรุ่นถ้าแกยังไม่เจ๋งพอ บอกลูกน้องแกให้วางปืนซะ"
เต็มถึงกับหน้าซีดลังเลอยู่สักพัก แต่สุดท้ายก็สั่งให้ลูกน้องวางปืนลง
"ไอ้พวกโง่เอ่ย ฉันเสียเงินจ้างพวกแกมาทำไมวะ แล้วนี่จะยืนบื่อกันทำไม ไม่เห็นหรือไงว่าปืนมาเร็งมาที่หัวกบาลฉันแล้ว จะรอให้มันโดนเจาะเป็นรูกันก่อนหรือไง รีบๆ วางปืนลงสิ"
ทันทีที่เต็มสั่งลูกน้องก็วางปืนลงทันทีอย่างไม่ลังเล
"ปล่อยเธอด้วย"
เซทตวัดสายตาอย่างวางอำนาจนลูกน้องเต็มต้องยอมปล่อยให้ฉันเป็นอิสละ ฉันก็รีบไปแก้มัดนูนากับ หลีหลิน แต่ยังไม่ทันที่จะไปถึงตัวนูนาฉันก็โดนล็อคจากทางด้านหลังเสียก่อน
เอ๊ะ! มันยังไงกันนะ ขยันเล่นข้างหลังกันจริงๆ แน่จริงก็มาข้างหน้าสิโว๊ย ผู้ชายสมัยนี้เป็นยังไงกันชอบเข้าข้างหลัง ฉันพยายามสะบัดมือออกจากการเกาะกุม แต่ยิ่งดิ้นก็เหมือนยิ่งแน่นขึ้นจนฉันเริ่มเจ็บไปหมด
"สมกับที่เป็นลูกรักของป๊าจริงๆ"
เสียงนี้มัน…ฉันหันกลับไปมองยังต้นเสียง ชายร่างสูงที่กำลังเดินเข้ามาใหม่ทำเอาฉันช็อกไปชั่วขณะ ทะ ทำไมถึงหน้าเหมือน…
"เซท!" ฉัน
"เจท!" เซท
ฉันร้องอุทานขึ้นด้วยความตกใจ พร้อมกับที่เซทก็เรียกชื่อผู้มาใหม่ว่าเจท เขาสองคนเหมือนกันมากเหมือนจนแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร แล้วภาพวันนั้นที่ร้านอาหารสมายฟูดก็ทับซ้อนขึ้นในความคิดฉัน ที่แท้ผู้ชายที่ฉันเจอที่ร้านอาหารก่อนจะหลับไปเฉยๆ คือคนละคนกับเซทจริงๆ ด้วย
"ฉันควรจะตบมือให้ในความเก่งกาจนี้ด้วยใช่มั้ย"
แปะ แปะ แปะ
เสียงปรบมือดังขึ้นแต่ในน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความเย้ยหยันอย่างเห็นได้ชัดของเจท เขามาพร้อมกับลูกน้องที่มากกว่าเต็มเสียอีก และแน่นอนตอนนี้เต็มและลูกน้องโดนเคลียพื้นที่จากลูกน้องเจทมัดกองรวมกันอยู่ที่พื้นหมดแล้ว ฝีมือลูกน้องเจทแต่ละคนไม่ธรรมดาเลยผิดกับลูกน้องเต็มอย่างลิบลับ พวกมันใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีก็สามารถเก็บกวาดทุกอย่างได้เกลี้ยง
“ทิ้งปืนเถอะเฮียถ้าไม่อยากให้นางนี่ทรมานก่อนตายก็อย่าคิดสู้ให้ฉันต้องโมโห แล้วฉันจะปราณีเด็กเฮียให้ขึ้นสวรรค์แบบทรมานน้อยที่สุด” เจทยิ้มเยาะที่มุมปาก นัยน์ตาแพรวพราวระยับดุจประกายเพชรวิ้งๆ ยามต้องแสงจันทร์ มันบ่งบอกให้รู้ว่านี่ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เขาแตกต่างกัน เพราะเจทดูเหมือนเพลย์บอยเจ้าเสน่ห์ แต่ซ้อนความร้ายไว้ข้างใน ส่วนเซทเหมือนคุณชายตัวร้ายเอาแต่ใจ แต่ลึกๆ แล้วเขากลับอ่อนโยนและเข้มแข็งในเวลาเดียวกัน
"อย่ายุ้งกับเธอเจท!" น้ำเสียงเย็นยะเยือก แต่แฝงไปด้วยความเด็จขาดดังขึ้นจากเซท เขายังคงเล็งปืนไปที่ เจทอย่างไม่ละสายตา และในขณะเดียวกันปลายกระบอกปืนที่ไม่ต่ำกว่ายี่สิบต่างก็เล็งไปที่เซท
"เห็นทีคงจะไม่ได้วะเฮีย เพราะที่ฉันตามมาไกลถึงที่นี่ก็เพื่อการนี้โดยเฉพาะ"
จบประโยคเจทก็หันไปส่งสัญญาณไอ้คนที่ล็อคตัวฉันลากฉันมาใกล้ๆ ก่อนที่เขาจะใช้มือบีบคอฉันต่อหน้าเซท ความกลัวมันพุ่งซ้านเข้ามาในหัวสมองฉันเต็มไปหมดในนาทีที่ฉันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังจะขาดอากาศหายใจ
"ซะ เซท!"
ฉันเรียกชื่อเซทอย่างยากลำบากพลางปลายตามอง เพื่อขอความช่วยเหลือไปยังเขาที่ยังคงยืนทำหน้านิ่งจนไม่อาจคาดเดาความรู้สึกในแววตาคู่สวยได้รูปที่อยู่ภายใต้คิ้วเข้มนั้นได้ว่าเขารู้สึกอย่างไร
"เอาละเฮีย ทุกอย่างมันจะง่ายกว่านี้ถ้าเฮียยอมวางปืนดีๆ ไม่มีตุกติก"
"…"
เซทยืนนิ่งอยู่นานจนฉันเกือบจะไม่ไหวแต่ในที่สุดก็ยอมลดปืนในมือลงที่พื้นช้าๆ ก่อนจะเขี่ยปืนออกไปให้พ้นตัว ทำให้เจทยิ้มอย่างพอใจก่อนจะปล่อยฝามือจากลำคอฉัน ทำให้ฉันกลับมาหายใจสะดวกอีกครั้ง หลังจากนั้นเจทก็หันไปพยักหน้าให้ลูกน้องที่เหลือลดปืนลงเช่นกัน
โฮก เกือบตายก่อนวัยอันควรแล้วมั้ยล่ะฉัน
"ไปจับตัวมันไว้!"
ทันทีที่ได้ยินคำสั่งลูกน้องเจทก็กรูกันเข้าไป แต่ในขณะที่เซทกำลังจะถูกจับตัว เขากลับใช้ช่วงจังหวะนั้นหมุนตัวแล้วบิดแขนพวกนั้นจนเกิดเสียงหักของกระดูกดั่งสนั่น คนอื่นเห็นท่าไม่ดีก็เลยเข้ามาช่วยแต่ก็โดนเซทอัดซะจน ลงไปนอนกองสลบเมือดที่พื้นกันเป็นแทบๆ จนเจทถึงกับโมโหหน้าดำหน้าแดงที่ลูกน้องตัวเองไม่ได้เรื่องกันสักคน จนเขาต้องลงมือมาจัดการเอง
"หมดเวลาสนุกแล้วเฮีย"
เซทหยุดกึกทันที ที่เห็นเจทกำลังเล็งปลายกระบอกปืนมาที่ฉันก่อนจะขึ้นนกเสียงดัง
กริ๊ก
เฮือก!
"หึ! นายตกต่ำขนาดคิดจะฆ่าผู้หญิงเชียวเหรอ"
เซทตวัดปลายเสียงขึ้นอย่างจงใจจะเยาะเย้ยเจทเพื่อเบี่ยงแบนความสนใจ และมันก็เป็นผลเพราะเจทค่อยๆลดปืนลงก่อนจะเดินเข้าไปเผชิญหน้ากับเซทด้วยสายตาที่ยากจะอ่านออก
"ถ้าไม่ฆ่าแล้วจะทำอะไรดีนะ…"
เจทใช้นิ้วชี้แตะที่ริมฝีปากอย่างใช้ความคิดก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างมีเลศนัย และฉันก็มั่นใจว่าเขาต้องไม่คิดอะไรดีๆ แน่นอน และนั่นเองที่ฉันรู้สึกว่าภัยกำลังมาเยือนเมื่อเจทเดินกลับมาหาฉันอย่างตั้งใจก่อนจะช้อนค้างฉันขึ้นเพื่อสบตากับเขา แต่อันที่จริงฉันว่าเขากำลังบีบคางฉันมากกว่า เจ็บอ่ะ
"…ถ้าไม่ฆ่า อืม! อย่างนั้นเรามาหาอะไรสนุกๆ ทำกันดีกว่ามั้ย"
“นะ นายหมายความว่ายังไง”
“จุๆๆๆ ไม่ต้องตกใจไปสาวน้อย ความจริงแล้วเธอก็เป็นคนสวยมากเลยนะหุ่นก็ดีถ้าฆ่าทิ้งคงจะเสียของแย่จริงๆ แล้วยังไงก็ต้องขอบใจในความคิดพี่ชายฝาแฝดที่ฉันเฝ้าเกลียดชังมาตลอดชีวิตนะที่คิดหาอะไรสนุกๆ ให้ฉันทำ”
ไม่พูดเปล่าเจทกระชากคอเสื้อฉันให้เซถลาไปหาเขา แล้วใช้ริบฝีปากร้อนระอุบดขยี้ไปทั่วทั้งใบหน้าฉันอย่างป่าเถื่อน ฉันได้แต่ดิ้นเหมือนปลากำลังจะตายตอนเกยตื้นอย่างทุรนทุลาย แม้ว่าเขาจะเหมือนเซทแทบทุกอย่างแต่ทำฉันกลับรู้สึกรังเกียจและขยะแขยงสัมผัสที่เขายัดเยียดให้
"นายต้องการอะไรพูดมา แต่อย่าแตะต้องเธออีก"
เซทที่ยืนเงียบอยู่นานพูดขึ้น น้ำเสียงนั้นเกือบจะเกี้ยวกราดแต่ก็ถูกสะกดไว้ให้ราบเรียบเหมือนกับสีหน้าของเขา
"เฮียก็รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว คงไม่ต้องให้ฉันเป่าประกาศหรอกมั้ง" เจทผละออกจากฉันก่อนจะหันกลับไปพูดกับเซทด้วยสีหน้ามีชัยอย่างผู้ชนะ
"ถ้าอยากได้ฉันก็จะให้ แต่นายต้องพิสูจน์ว่ามีศักยภาพเพียงพอที่จะปกครองธุรกิจเลือดของป๊าแทนฉันได้"
ธุรกิจเลือดเหรอ! ฉันเฝ้าทวนคำนี้อยู่ในหัวฉันว่ามันต้องเป็นอะไรที่ไม่ค่อยถูกกฎหมายเท่าไหร่ อะไรก็ตามที่ฉาบไปด้วยเลือดย่อมเป็นทางมืดซะส่วนใหญ่
"จะเล่นลิ้นอะไรก็ว่ามา"
"นายมาสู่กับฉันตัวต่อตัว ถ้านายเอาชนะฉันได้ ฉันจะถือว่าคู่ควรที่จะครอบครองทุกอย่าง แต่ถ้าแม้แต่ฉันก็ยังแพ้ก็ยอมรับความจริงข้อที่ว่า ป๊าไม่ไว้ใจให้นายดูแลสิ่งที่เขาสร้างขึ้นมา แล้วก็เลิกทำอะไรบ้าๆ แบบนี้สักทีเพราะต่อไปฉันจะไม่ยอมให้อีกแล้ว"
คำพูดท้าทายทำให้เจททำหน้าครุ่นคิดอยู่หลายวิ แต่แล้วเขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังๆ ก่อนจะพูดว่า…"ฉันรับคำท้า"
หลังจากที่สองพี่น้องสามารถตกลงกันได้ด้วยวิธีใช้กำลังมากกว่าสมอง เจทก็เลยพยักหน้าให้ลูกน้องอีกคนมาจับตัวฉันไว้แทน ก่อนที่เขาจะเดินไปเผชิญหน้ากับเซทตามคำท้าทาย
ทั้งสองสู้กันกินเวลาไปยาวนานมาก แต่ก็ยังไม่มีใครล้มใครได้ กระทั่งเซทเสยเท้าขวาเข้าที่ข้างแก้มของเจท อย่างจังจนเจทเสียหลักล้มลงไปนอนหงายพึ่ง เซทได้ทีจึงตามเข้าไปหวังจะซ้ำเอาให้เจทลุกไม่ขึ้น แต่พอเขาง้างหมัดแววตาปราณีของผู้เป็นพี่ก็ฉายขึ้นในแววตา เขาจึงผละออกจากเจทก่อนจะหันหลังให้ แต่ทว่าเจทกับใช้ช่วงโอกาสนี้ ควักปืนออก แล้วเล็งทิศทางมายังเซทพร้อมกับขึ้นลำกล้องก่อนจะขึ้นนกเสียงดัง
กริ๊ก! และนั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเขาพร้อมที่จะยิงผู้ซึ่งเป็นพี่ชายของตัวเอง
"ป๊าไม่เคยสอนเฮียเหรอว่าอย่าหันหลังให้คู่ต่อสู้"
เจทเอ่ยเสียงลอดไรฟันในขณะที่ยังเล็งปืนจากทางด้านหลังของเซท
แต่เซทกับไม่มีทีท้าตกใจหรือความกลัวเลยแม้แต่น้อย แต่เขากับหัวเราะอยู่ในลำคอจนเจทถึงกับบันดาลโทสะขึ้นกว่าเก่าอย่างเห็นได้ชัด
"เฮียอย่าคิดนะว่าฉันไม่กล้ายิง เพราะถ้าเฮียตายนางนั่นตาย ฉันก็จะกลับไปบอกกับป๊าว่าฉันมาช่วยเฮียจากคู่อริไม่ทันทั้งที่จริงๆ แล้วฉันไม่ได้คิดจะมาช่วยเฮียจากพวกมันเลยสักนิด แต่แค่ต้องการจะซ้อนแผนเท่านั้น เป็นยังไงฟังแบบนี้แล้วยังจะหัวเราะออกอีกมั้ย เฮีย!"
"ฉันไม่เคยคิดว่านายจะไม่กล้ายิงฉัน แต่ที่ฉันหัวเราะก็เพราะ…" เซทยังพูดไม่ทันจบประโยค เพียงชั่วพริบตาเดียวเซทกลับหันไปแย้งปืนจากเจทมาถือไว้ในมืออย่างหน้าตาเฉยแบบเดียวกับที่เขาทำกับลูกน้องไอ้เต็ม จนเจทถึงกับผงะดวงตาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดที่พลาดท่าเสียทีให้กับผู้เป็นพี่ชาย
"…หนึ่ง ฉันไม่เคยคิดว่านายเป็นศัตรูนอกจากน้องฉัน สอง นายควรจะจำไว้ ถ้าคิดจะยิงแล้วต้องเหนี่ยวไก"
ปั่ง!
กรี๊ดดดดดดดด!!
เสียงลั่นไกดังขึ้นจากปลายกระบอกปืนของเซท พร้อมๆ กับเสียงกรีดร้องเพราะความตกใจทั้งฉันและ หลีหลิน ก่อนที่เจทจะทรุดลงฮวบกับพื้นในทันทีที่กระสุนฝังที่ขาของเจทอย่างแม่นยำ
ฉันเบิกตากว้างมองภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยใบหน้าทอดสี เพราะคาดไม่ถึงว่าเซทจะยิงเจทจริงๆ ถึงแม้จะไม่โดนจุดสำคัญก็เถอะ ฉันชักสงสัยแล้วสิว่าจริงๆ แล้วสองคนนี่เป็นใครกันแน่แค่นักธุรกิจที่ร่ำรวยมากๆ แค่นั้นเหรอ ทำไมเขาทั้งสองคนถึงไม่เหมือนคุณชายที่ลอยไปลอยมาเพราะมีพ่อรวยเลยสักนิด ตรงกันข้ามเขากับเก่งการต่อสู้ใช้ปืนผาหน้าไม้ได้อย่างแม่นยำเหมือนกับจับวาง แถมมีลูกน้องเป็นโขยง และที่สำคัญจิตใจของพวกเขาต่างจากคนธรรมดาโดยสิ้นเชิง ขนาดเซทที่ดูโอนโยนใจดี แต่พอในเวลาแบบนี้เขากลับสุขุมนุ่มลึกและเด็จเดี่ยวมั่นคง แบบนี้มันเหมือนกับพวกมีอิทธิพลหรือไม่ก็พวกมาเฟียมากกว่า หรือว่าพวกเขาจะเป็น…มาเฟียเหรอ! ทำไมก่อนหน้านี้ฉันถึงไม่เคยฉงนใจเกี่ยวกับเบื่องหลังครอบครัวนี้เลยสักนิดนะ
"นี่คือบทเรียนของคนที่ไร้สติคิดแม้กระทั้งจะฆ่าพี่น้องร่วมสายเลือดตัวเอง นายจะเป็นใหญ่ได้ยังไงหากไม่รู้จักคำว่าพี่น้อง และที่สำคัญ จะไม่มีใครตายแทนนาย ถ้าไม่รู้จักรักคนอื่นซะบ้าง!"
"ไม่ต้องมาสั่งสอนเพราะฉันเกลียดแก แกพรากแม่ไปจากฉันยังไม่พอ แกยังได้ทุกอย่างไปอีกแล้วฉันละ ฉันได้อะไรบ้างไม่มีเลยแม้แต่ความรักของป๊าก็ยังลำเอียงเทให้แกหมด คอยดูนะฉันไม่มีวันจบเรื่องนี้ง่ายๆ หรอกต่อให้ในอนาคตแกจะกลายเป็นมาเฟียเบอร์หนึ่งอย่างที่ป๊าหวัง ฉันก็จะทำทุกอย่างเพื่อลากแกมาเหยียบให้จมดิน โดยเฉพาะหัวใจแกฉันจะเป็นคนขยี้มันเอง" เจทพูดด้วยน้ำเสียงคาดโทษอย่างมุ่งร้ายเต็มกำลัง แววตาของเขาหนักแน่นมั่นคงจนฉันยังอดรู้สึกเสียวสันหลังไม่ได้
"สักวันนายจะเข้าใจว่าทำไมป๊าถึงไม่ยอมให้นายเป็นมาเฟีย"
"ไม่เข้าใจโว๊ย แล้วก็จะไม่ทำความเข้าใจด้วย"
เจทโวยวายเสียงดังลั่น แต่เซทกลับไม่มีทีท่าใส่ใจในสิ่งที่เจทพูด เขากลับหันไปตวาดใส่ลูกน้องของเจทที่กำลังจับฉันอยู่เพราะหมอนั่นเป็นเพียงคนเดียวที่ยังมีสภาพไม่บาดเจ็บและพอที่จะแบกคนอื่นไหว เพราะคนอื่นๆ มองสภาพแล้วแค่พาตัวเองไปยังยากเลย
"ตกลงว่าน้องชายฉันจ้างแกมายืนโง่อยู่ตรงนี้ใช่มั้ย"
"แต่…"
ลูกน้องเจททำท่าลังเล แต่พอเซทจ้องหน้าพร้อมกับแผ่รังสีอำมหิตหน้ากลัวชวนให้เสียวสันหลังวาบขึ้นมา หมอนั้นจึงรีบปล่อยฉันทันทีก่อนจะวิ่งเข้าไปช่วยพยุงเจทที่ตอนนี้ขาเต็มไปด้วยเลือดจนหน้าซีดเผือด



lovezombie
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ก.พ. 2557, 13:55:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ก.พ. 2557, 13:55:07 น.

จำนวนการเข้าชม : 882





<< บทที่ 11   บทที่ 13 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account