จุดชนวนรัก อุบัติเหตุเลิฟ
บางครั้งเราทุกคนก็ต้องยอมรับความจริงในเรื่องของหัวใจ ว่ามันอาจไม่เป็นอย่างที่เราต้องการเสมอไป ฉันเคยคิดว่ารัก ‘พี่เกล’ แต่ฉันกลับได้รู้จักความรักจริงๆ ในวันที่สายไปกับคนที่ได้ตายจากไปแล้ว ฉันไม่มีโอกาสแม้แต่จะบอกความในใจให้เขารู้ด้วยซ้ำ และวันนี้ฉันมีโอกาสจะไปหาเขาแม้ว่าหัวใจของเขาจะนิ่งสงบไปแล้วก็ตามแต่ฉันก็ร้อนใจเหลือเกินที่จะไป ไม่อยากจะช้าสักวินาทีเดียว
Tags: วัยรุ่น

ตอน: บทที่ 14

บทที่ 14
อากาศในยามเช้าตรู่ของที่นี่ค่อนข้างเย็นเยียบ แม้ว่าแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้ากำลังสาดแสงผ่านมวลหมู่เมฆเข้ามา ต้นไม้ใบหญ้าถูกแต่งแต้มไปด้วยหยาดน้ำค้าง ชั่งเป็นภาพที่งดงามจนต้องหลงไหลในความลงตัวของธรรมชาติที่นี่
แต่เมื่อฉันทอดสายตามองออกไป ฉันกลับพบเซทกำลังยืนกอดอกพิงต้นไม้ใหญ่อยู่ไม่ไกลจากตัวบ้านมากหนัก สายตาเขายังคงจับจ้องอยู่ทิศทางหลุมฝังศพของผู้เป็นแม่ ราวกับว่าหัวใจของเขาบอบช้ำไปด้วยอดีตที่เขานำติดตัวไปทุกทีกลายเป็นตราบาปยากที่ใครจะเข้าใจ จนทำให้ใบหน้าขาวใสที่เคยฉายแสงเป็นคุณชายตัวร้ายหม่นหมองลงนิดๆ
"นายตื่นนานหรือยัง"
เขาขยับตัวเพียงเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงฉันร้องทักขึ้น
"สักพัก"
"นายเป็นผู้ชายที่ตื่นเช้ามากๆ รู้ตัวมั้ย"
"ฉันตื่นเช้าหรือว่าเธอตื่นสายกันแน่"
นัยน์ตาที่ดูเศร้าๆ ตอนนี้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
"ชิ คนอุตส่าห์ชม"
ฉันทำเสียงค่อนขอดอย่างน้อยใจ ฉันน่ะตื่นเวลาปกติแต่นายน่ะผิดปกติต่างหาก (ยังไม่ยอมรับความจริง)
"แล้วนี่นูนากับหลีหลินหายไปไหนเงียบเชียว"
ฉันพูดขึ้นพลางกวาดสายตามองไปรอบๆ เพื่อหาสองคนนั้น แต่ก็ไม่เห็นมีวีแวว
"สองสาวเขารีบไปจ่ายตลาด กะจะทำอาหารเลี้ยงส่งเราสองคน"
"หวังว่าคราวนี้ฉันคงจะได้กินนะ"
ฉันหวังไว้แบบนั้นน่ะนะ แต่จนแล้วจนรอดเช้านี้ก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องฉันเลย สองสาวนั้นยังคงฟาดเรียบเหมือนเดิม ไม่รู้ว่าเลี้ยงส่งแบบไหน ฉันกับเซทก็เลยต้องอาศัยร้านอาหารข้างทางประทังชีวิต หลังจากกินอิ่ม หนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อนทั้งๆ ที่เพิ่งตื่นมาได้แค่ไม่กี่ชั่วโมงเปลือกตาฉันก็เริ่มหนักขึ้นมาเรื่อยๆ จนกระทั้งปิดไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เซทเรียกให้ตื่นเมื่อถึงที่หมาย คราวนี้เซทพากลับมาที่หอพักและฉันก็ดีใจสุดๆ ที่เขาพามาส่งที่นี่ ไม่ไหวช่วงนี้ฉันลืมตาตื่นขึ้นมาในบ้านคนอื่นตลอด แต่รอยยิ้มฉันกลับหดหายลงทันทีเมื่อเห็นสภาพของหอพักที่กำลังถูกรื้อถอน เป็นไปได้ยังไง ใครรื้อ ทำไมฉันไม่รู้เรื่อง แล้วฉันจะไปอยู่ที่ไหน แล้วข้าวของฉันอีกละ อ๊าย T_T แล้วฉันจะทำยังงายยยยย
"ทะ ทำไมถึงเป็นแบบนี้อ่ะ"
ฉันพึมพำกับตัวเองเบาๆ แต่เหมือนว่าก็ยังดังจนคนข้างๆ ที่ยืนเอามือล้วงกระเป๋าทำหน้าภาคภูมิอย่างแปลกๆ อย่าบอกนะว่านายมีส่วนรู้เห็นกับเรื่องนี้ด้วย
"ปิดปรับปรุง"
"นายรู้ได้ยังไง"
"อ่านสิ"
เซทชี้นิ้วไปยังป้ายอิงเจทสีขาวที่มีตัวหนังสือสีแดงเขียนว่าปิดปรับปรุงอย่างเป็นทางการ เป็นไปได้ยังไงหอนี้มีอายุเป็นร้อยๆ ปี เก่าแก่และโบราณที่สุดในย่านนี้ และที่ผ่านมาก็ไม่เห็นมีทีท่าว่าเจ้าของคิดจะซ่อมแซมสักนิด แล้วนี้มันอะไรก๊านนนนนนน ถึงกับปรับโฉมจนฉันคิดไปไกลว่าถึงกับจะรื้อถอนกันเชียวเหรอ แล้วนี่ไม่คิดจะบอกกันสักคำ ว่าแต่จะไปโทษเขาก็ไม่ถูกเท่าไหร่ก็ช่วงนี้ฉันอยู่หอพักตัวเองซะที่ไหน
แต่เดี๋ยวนะ เซทอ่านภาษาไทยไม่ค่อยได้ แล้วทำไมถึงรู้ว่าเขากำลังปิดปรับปรุง?
"ฝีมือนายใช่มั้ย"
"อะไร?" เซทเลิกคิ้วมองฉันก่อนจะทำหน้าเหลอหล่า
"อย่ามาไขสือ"
"ฉันไม่ได้ไขสือแต่เธอนั่นแหละกำลังปรักปรำฉัน"
โห! พูดมาได้ปรักปรำ นายชัวร์ที่เป็นคนอยู่เบื่องหลังเรื่องนี้
"นายอ่านภาษาไทยไม่ค่อยจะออกด้วยซ้ำไป แล้วรู้ได้ยังไงว่าป้ายนั่นมันเขียนว่าอะไร"
ฉันยิ้มอย่างผู้ที่ถือไพ่เหนือกว่า ก่อนจะยักคิ้วข้างเดียวเยาะเย้ยหมอนั่นว่ายังไงคราวนี้นายก็ดิ้นไม่หลุดแน่
"ก็เห็นๆ ว่าช่างเขากำลังทำงานกันอยู่ ไม่เห็นต้องอ่านก็เดาได้ แล้วอีกอย่างฉันก็พออ่านได้บ้างไม่ใช้อ่านไม่ออกเลยสักหน่อย"
จริงด้วยแฮะ แต่ถึงยังไงฉันก็สังหรณ์ใจอยู่ดีว่านายต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
"อย่าให้ฉันจับได้แล้วกัน น่าดู! ว่าแต่แล้วของของฉันล่ะ"
"ฉันสั่งให้คนที่บ้านมาขนเอาไปหมดแล้ว"
"ไปไหน"
"บ้านฉัน"
"ได้ไง! "
ฉันค้อนควับไปที่ชายร่างสูงข้างๆ
"ฉันเช็คดูแล้วเธอไม่มีที่ไป เธออาศัยอยู่บ้านผู้หญิงที่ชื่อกิ่งแก้วแต่บังเอิญว่าลูกชายบ้านนั้นที่เธอแอบปลื้มกลายเป็นคนดังเธอก็เลยต้องเนรเทศตัวเองมาอยู่ที่นี่ และตอนนี้เจ้าของเขากำลังปิดปรับปรุงแน่นอนที่แรกที่เธอจะนึกถึงคือต้องกลับไปบ้านป้าเธอ แต่โชคร้ายหน่อยนะที่เธอตกข่าวเลยไม่รู้ว่าบ้านหลังนั้นถูกยึดไปตั้งนานแล้วเพราะต้องใช้หนี้การพนัน แต่ก็ยังไม่พอก็เลยต้องหิ้วหมู เอ่ย! คนไปขายเพิ่มถึงจะพอใช้หนี้ ส่วนคอนโดไอ้นักร้องนั้นฉันเดาทางได้เลยว่าเธอไม่คิดจะไปอยู่ด้วยแน่นอนเพราะกลัวว่ามันจะเดือดร้อนถ้าเกิดเป็นข่าวขึ้นมา หมดยังเนี่ย…อืม…" เซททำหน้าครุ่นคิดสักพักก่อนจะพูดต่อว่า "ส่วนเพื่อนเธอเลิกคิดได้เลย และฉันขอเตือนด้วยความหวังดีว่าเขาคิดไม่ซื่อกับเธอสักเท่าไหร่ อ๋อ! สุดท้ายขอย้ำอีกนิดเพราะคิดว่าเธอน่าจะลืม ว่าเธออยู่ในความปกครองของฉันแล้ว เพราะฉะนั้นเธอก็ต้องไปอยู่กับฉันถึงจะถูก"
เขาพูดด้วยน้ำเสียงผู้ชนะแถมเจียระไนซะยืดยาว จนคนฟังอย่างฉันถึงกับหน้าเสีย แค่ไร้ที่อยู่อาศัยก็แย่ยังจะหันหน้าไปหาเพื่อนไม่ได้อีกเหรอ ว่าแต่หมอนี่ไปรู้จักมักจี่กับเพื่อนฉันเมื่อไหร่ถึงกล้าใส่ร้ายได้อย่างหน้าตาเฉยเนี่ย แต่ชั่งเรื่องนี้ไว้ก่อนเพราะตอนนี้ก็มีเรื่องให้คิดมากพออยู่แล้ว
"บางทีฉันว่าโชคชะตาก็ยังเข้าข้างเธอนะที่มีโอกาสได้เจอฉันไม่อย่างนั้น ไม่อยากจะคิด"
เซทส่ายศีรษะเบาๆ อย่างระอากับโชคชะตาของคนที่ยืนทำหน้าเจือนๆ ซึ่งก็คือฉันเองก่อนจะเดินขึ้นไปนั่งรอบนรถเพราะรู้คำตอบดีอยู่แล้วว่ายังไงเสียฉันก็ไม่มีทางเลือก ฉันก็เลยต้องเดินก้มหน้าหงุดขึ้นรถไปอย่างเงียบๆ จนถึงบ้านเขา

ฉันเดินเข้าบ้านเซทอย่างหงอยๆ มันบอกไม่ถูกเลยว่าอาการของคนที่ไร้ซึ่งที่อยู่อาศัยที่เป็นของตัวเองตั้งแต่เล็กจนโตมันเป็นยังไง และที่แย่ไปยิ่งกว่านั้นคือชีวิตก็ยังไม่ใช่ของเราเอง มีนิยายเรื่องไหนที่ชีวิตนางเอกรันทดขนาดนี้มั้ยอ่ะ ฮือๆ
แต่เซทคงเห็นฉันเงียบผิดปกติ ก็เลยคว้าแขนฉันไว้ เขาคงกังวลใจหรือไม่ก็แอบสะใจนิดๆ ที่เห็นฉันมีอาการแบบนี้ก็แหงละหมอนี้ชอบแกล้งฉันจะตายไป
"ไม่เห็นต้องทำหน้าเหมือนโลกกำลังจะสลายไปต่อหน้าต่อตาเลย ก็แค่มาอยู่ชั่วคราวจนกว่าหอพักเธอจะซ่อมแซมเสร็จ"
ถึงอย่างนั้นก็เถอะแล้วฉันจะมีหน้าบอกกับพี่เกลว่ายังไงว่าทำไมฉันต้องมาอยู่ที่นี่ ในเมื่อฉันตกที่นั่งลำบากน้ำท่วมปากไม่สามารถอธิบายเรื่องราวอะไรได้เลยสักเรื่อง
"…"
"อย่าคิดมาก ฉันจะเร่งให้คนงานทำให้เสร็จเร็วๆ โอเคมั้ย"
อะไรนะ! เร่งคนงานเหรอ
"ที่แท้ก็เป็นฝีมือนายจริงๆ ด้วย บอกมาซะดีๆ ว่าทำแบบนี้ทำไม"
ฉันหันไปแหวใส่เขาอย่างเอาเรื่อง จนทำให้เจ้าตัวถึงกับขยับตัวนั่งไม่เป็นสุขที่รุดปากคลายความจริงออกมา
"ก็หอนั้นมันเก่าแก่เกินไปหาความปลอดภัยไม่ได้เลย อีกอย่างฉันก็เห็นว่าเธอต้องลำบากเดินขึ้นลงบันไดไม่รู้กี้ชั้น"
"…"
เหตุผลของเขาทำเอาฉันนิ่งไปเลย ถ้าฉันไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไปเขากำลังบอกฉันในๆ ว่าเขาเป็นห่วงฉันใช้มั้ยอ่า
"ทำไมเงียบไปอีกแล้วละ โกรธเหรอ"
เปล่าย่ะ กำลังสำลักในบุญคุณของนายอยู่ต่างหาก
"ไม่ได้โกรธ แค่อยากจะขอบคุณสำหรับทุกเรื่อง สักวันหนึ่งฉันคงมีโอกาสได้ตอบแทนบุญคุณนายบ้าง"
"แต่ฉันไม่เคยหวังอะไรจากเธอเลยนะ"
"…"
ฉันดึงมือออกจากการเกาะกุมของเซทโดยที่ไม่ได้ตอบอะไร ก่อนจะเดินต่อไปโดยมีเซทเดินตามมาติดๆ
"สวัสดีค่ะ คุณเซท สวัสดีค่ะ คุณขมิ้น"
แต่พอมาถึงหญิงสาวในชุดฟอร์มสีเดียวกันยืนเรียงเป็นแถวสองข้างทางเข้าประตูบ้าน พลางทักทายสวัสดีจนฉันอดที่จะก้มหัวให้ไม่ได้ รู้สึกเขินๆ เหมือนกัน
แต่พอฉันก้าวผ่านพ้นหญิงสาวพวกนั้นเข้าสู่ตัวบ้าน เซทก็เข้ามาดักข้างหน้าฉันเสียก่อนทำให้ฉันต้องหยุดเพื่อมองชายร่างสูงตรงหน้าอย่างสงสัย
"สิ่งที่ทำให้เธอฉันไม่เคยหวังผลตอบแทนเลยจริงๆ นะ"
"คนเราถ้าทำดีไม่หวังสิ่งตอบแทนแล้วจะทำเพื่อคนอื่นทำไม"
"ฉันเคยบอกเธอไปแล้วไงว่าเธอทำให้ชีวิตฉันมีคุณค่า จนฉันรู้สึกอยากมีลมหายใจอยู่ต่อบนโลกใบนี้"
"เพื่ออะไร"
"เพื่อเธอ"
"ฉัน!"
"ใช่"
แล้วเซทก็ใช้นิ้วจิ้มที่หน้าผากฉันเบาๆ ก่อนจะเดินไปสั่งโน้นสั่งนี้กับสาวใช้ถึงเรื่องห้องและของที่จำเป็นในระหว่างที่ฉันพักอยู่ที่นี่ ฉันได้แต่มองดูแผ่นหลังนั้นเงียบๆ รู้สึกสับสนกับความรู้สึกตัวเองที่มีต่อเขามากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั้งสาวใช้คนหนึ่งเข้ามาเรียกให้ฉันขึ้นไปดูห้อง
ฉันเลยต้องเดินตามเธอขึ้นไปยังห้องรับแขกที่ถูกจัดอย่างเป็นระเบียบสวยงามในสไตล์วินเทจ ข้าวของเครื่องใช้ของฉันรวมถึงอุปกรณ์วาดรูปทุกอย่างถูกจัดเข้าที่อย่างเป็นระเบียบ ฉันยิ้มให้เธอเป็นการขอบคุณพอหมดหน้าที่แล้วเธอก็ขอตัวเดินออกจากห้องไป
พอได้อยู่ตามลำพังสิ่งแรกที่ฉันต้องการก็คือหาที่ชาร์จแบตเตอรี่แล้วมันก็มีจริงๆ ด้วย ที่ชาร์จยี่ห้อโนกิ๊กถูกวางอยู่บนลิ้นชักข้างๆ เตียง และไม่นานเกินรอมือถือของฉันก็กลับมามีชีวิตอีกครั้งหลังจากที่หลับไปหลายตื่น ฉันรีบดูข้อความพี่เกลโทรเข้ามาหรือเปล่าแต่ก็ไม่เลย มันเลยทำให้ฉันน้อยใจขึ้นมานิดๆ แต่สุดท้ายก็ปลอบใจตัวเองเหมือนยังเช่นทุกทีว่าเขาคงยุ่งก็วันนี้แล้วนี่ ที่เขาต้องขึ้นแสดงแถมเป็นงานใหญ่ที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งวง Monster King เลยก็ว่าได้
ฉันล้มตัวลงนอนบนเตียงที่แสนนุ่มๆ ก่อนจะกดเบอร์โทรหาหญิง สักพักปลายทางก็รับสาย
(ไงมีความสุขจนลืมเพื่อนเลยนะยะ)
เสียงประชดประชันจากปลายทาง ทำฉันชะงักไปชั่วขณะนึกถึงคำที่เซทเตือน
"ความสุขอะไรของเธอยะยัยหญิง"
(อ้าว! ก็วันนี้เป็นวันที่แกรอคอยไม่ใช่เหรอจ๊ะ)
แต่แล้วก็ถึงกับหายใจทั่วท้อง เมื่อรู้ว่าเธอหมายถึงอะไร ชิ หมอนั่นต้องหาทางใส่ร้ายเพื่อนฉันแหงๆ เพราะจะได้ให้ฉันหมดทางไปไงล่ะ สุดท้ายตัวเองจะได้ยิ้มเยาะได้ว่าเป็นผู้ชนะ แต่ถึงยังไงฉันก็ไม่กล้าไปอาศัยอยู่กับยัยนั้นอยู่ดี ทำไมน่ะเหรอก็พี่ชายยัยหญิงขี้หลีสุดๆ เห็นฉันไม่ได้คอยจ้องจะรุ่มร่ามทุกที ส่วนตาลรายนั้นไม่ต้องพูดถึงแค่ลำพังพี่น้องเป็นโขยงที่ต้องเบียดเสียดอยู่ในแมนชั่นเล็กๆ ฉันก็ไม่กล้าเผยอหน้าไปอัดเป็นปลากระป๋องให้เจ้าของบ้านเขาหายใจไม่สะดวกหรอก พูดแล้วก็ไม่มีที่ไปจริงๆ นะเนี่ยนอกจากที่นี่
แต่ตนแลต้องเป็นที่พึ่งแห่งตนสิ สมองซีกขวาทำงาน
แล้วแกมีเงินมากพอจะหาที่ซุกหัวใหม่หรือยะ สมองซีกซ้ายทำงาน
แล้วไหนจะ… ‘พอๆ เลิกตีกันสักทีฉันกำลังคุยโทรศัพท์อยู่นะ’
"แล้วแกจะไปมั้ย"
(ไปสิยะถามได้ เย็นนี้ห้าโมงเจอกันที่หน้างาน อย่าสายขี้เกียจยืนเบียดกับพวกเด็กวัยทีนนานๆ เพราะมันรู้สึกว่าตัวเองแก่ขึ้นยังไงไม่รู้ ถึงแม้ว่าฉันจะสวยกว่าก็เถอะ)
"จร้าแล้วเจอกัน แค่นี้นะ บาย"
สายถูกตัดไปแล้ว ฉันวางมือถือลงข้างๆ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ ใช่อย่างน้อยก็ยังมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นในชีวิตฉันบ้างอย่างวันนี้วันที่รอคอย

เซทให้คนขับรถมาส่งฉันถึงที่ แม้ว่าฉันจะบอกถึงเหตุผลการขอนั่งรถเมล์ไปเองว่า ถ้าเป็นรถส่วนตัวมันจะติดสุดๆ แต่เขาก็ยังไม่ยอมอยู่ดีกลับเอาเรื่องความปลอดภัยจากเจทมาอ้าง แล้วฉันก็กลัวจริงๆ เพราะไม่รู้ว่าตอนนี้ไปนอนคิดแผนการร้ายๆ อยู่ที่โรงพยาบาลไหน
ฉันพยายามเดินเบียดผู้คน ไม่มีกลุ่มไหนเลยที่ฉันเดินผ่านแล้วจะไม่หันมายิ้มเยาะเย้ยเรื่องขาฉัน โธ่! อีกไม่กี่วันฉันก็จะไปเอาออกแล้วย่ะหัวเราะกันเข้าไปเถิด
ไม่นานก็มาถึงหน้างานตามที่นัดกับหญิงไว้ ตื่นเต้นฟุดๆ นี่ขนาดมาดูทุกครั้งนะแต่ทำไมครั้งนี้มันตื่นเต้นนักก็ไม่รู้ อาจเป็นเพราะมีอุปสรรคเยอะมั้ง
"ยัยขมิ้นทางนี้"
ฉันส่งยิ้มแหยๆ ให้หญิงพลางส่งสายตาประมาณว่าแกนั้นแหละช่วยส่ายก้นสวยๆ ของแกมาหาฉันได้ไหม แต่ดูเหมือนยัยนั่นคงไม่เข้าใจในกระแสจิตที่ฉันพยายามส่งไป ฉันก็เลยต้องเดินไปหาเธอแทน
และในที่สุดก็ถึงเวลาที่สาวกชาว Monster จะได้สัมผัสกับความมันครั้งใหญ่แบบสดๆ ของวง Monster King กันแล้ว เย้~ ทันทีที่ไฟในฮอลล์ดับลง เสียงกรี๊ดก็ดังระเบิดระเบ้อ ใจฉันก็เริ่มเต้นตึกตักๆ เมื่อความมันระดับเวิลด์คลาสพร้อมเสิร์ฟกำลังจะเริ่มขึ้น
ฉากสีดำที่คลุมเวทีด้านหน้าไว้ถูกเปิดออกให้เห็นจอ LED ขนาดใหญ่เต็มพื้นหลังของเวทีซึ่งเป็นรูปของสมาชิกแต่ละคนปรากฏขึ้นพร้อมกับปีกขนาดใหญ่สีดำที่เป็นสัญลักษณ์ของ Monster King กางออกอย่างสง่างาม แล้วชื่อของแต่ละคนก็ค่อยๆ ปรากฎขึ้น เคไนท์ คิงดอม คอบเปอร์ และ เคนโซ หลังจากนั้นภาพก็โคลสไปที่พี่เกลหรือว่าคอบเปอร์ซึ่งในมือถือลูกไฟขนาดใหญ่ อ๊ายยยยยยยยยย พี่เกลเท่มากกกก ♥__ ♥ ก่อนที่จะปล่อยลูกไฟออก พร้อมๆ กับไฟในฮอลล์ก็สว่างขึ้นมา และความมันก็เริ่มต้นระเบิดขึ้น ตามด้วยเสียงกรี๊ดดังสนั่นลั่นฮอลล์อีกครั้ง เหล่าสาวกพากันกระโดดไปตามจังหวะเสียงเพลงที่บรรเลงรวดติดกันถึงสามเพลง มีแต่ฉันคนเดียวที่ได้แต่ยืนมองน้ำตาคลอเพราะกระโดดกับเขาไม่ได้ แง แง ติดไอ้เฝือกบ้านี่แหละ คิดแล้วก็พานเจ็บใจนึกไปถึงคนชน
ฟึ่บ~
แต่แล้วจู่ๆ คนข้างๆ ก็สะบัดแข่งขาอย่างเมามันจนเซมาโดนไม้ค้ำยันของฉัน ทำให้ฉันเสียหลักล้มตามไม้ ค้ำยันไปด้วยท่าที่น่าอนาถใจยิ่งนัก ทันทีที่ฉันล้มลงไปทุกคนก็พากันแตกฮือ ฉันพยายามกวาดสายตามองหาหญิงแต่ก็ไม่รู้ว่ายัยนั้นโดนฝูงชนเบียดกระเด็นไปอยู่มุมไหนของโลกใบนี้ ฉันก็เลยกลายเป็นคนไร้ญาติขาดมิตรไปโดยปริยาย แง ไม่มีใครคิดจะมาช่วยฉันสักคนเลยรึไง ใจร้ายอ่ะ
แต่ในขณะที่ฉันพยายามลุกขึ้นด้วยตัวเองอย่างทุลักทุเล ฉันก็ได้ยินเสียงนักร้องขาดหายไปเหลือแต่ดนตรี ฉันเลยหันขึ้นไปมองบนเวทีว่ามันเกิดอะไรขึ้นทำไมจู่ๆ พี่เกลถึงหยุดร้องเพลง แต่เมื่อมองไปฉันก็ถึงกับอึ้งเมื่อพี่เกลกำลังกระโดดลงจากเวที
แล้วจะโดดลงมาทำม่ายยยยยยยยย โดยมีสตาฟท์คอยแหวกทางให้ เสียงกรี๊ดดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วฮอลล์ยิ่งกว่าตอนเปิดการแสดงเสียอีก สงสัยนี่คงเป็นการแสดงเซอร์ไพรส์เอาใจแฟนคลับแบบใกล้ชิดละมั้ง ทุกคนก็เลยหันไปให้ความสนใจกับพี่เกลกันหมด ไม่มีใครสนใจฉันยิ่งกว่าเก่า แง แง
ดูเหมือนว่าตอนนี้ฉันจะไม่มีทางเลือกเลยต้องช่วยเหลือตัวเอง ฉันหยิบไม้ค้ำยันขึ้นมาแล้วค่อยๆ ดันตัวเองลุกขึ้น แต่แล้วจูๆ ก็มีคนเข้ามาอุ้มฉันไว้ รึว่าจะมีพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยฉันแล้ว ช่างมีเมตตาจริงๆ *_* อย่างน้อยฉันก็รู้สึกว่าคนดีๆ ยังมีอยู่ ณ ที่แห่งนี้ แต่น้ำหอมกลิ่นมันคุ้นๆ นะ เหมือนน้ำหอมของ…พี่เกล O0O !!!
"หาเรื่องจนได้นะ" ในขณะที่ฉันได้แต่เบิกตากว้าง พี่เกลก็อุ้มฉันฝ่าดงแฟนคลับจำนวนมากที่กำลังส่งเสียงกรี๊ดกราดดังปะปนกับสายตาแห่งความอิจฉาริษยาอย่างรุนแรง ประหนึ่งว่าอย่าให้ฉันเจอหล่อนข้างนอกนะยะ หลอนจะได้ขาหักไปเลยสองข้าง แต่พอหันไปสบกับสายตาของคนที่กำลังอุ้มฉันอยู่มันก็ทำให้ฉันรู้สึกว่าโลกนี้มีเพียงฉันกับเขาแค่สองคนเท่านั้น (คนอื่นไม่เกี่ยว) อ๊ายยยยยยยย ^_^ ตั้งแต่รู้จักกันมาวันนี้พี่เกลเท่ห์มาก หน้าใส ปากสวย คิ้วเข้ม หล่อจนโลกถล่มทลายเลยอ่ะ
"พี่เกลรู้ได้ไงว่าเป็นขมิ้น"
"แล้วคนแบบไหนจะมาดูคอนเสิร์ตทั้งๆ ที่ขายังใส่เฝือก"
"โธ่!..."
ระหว่างทางฉันเอาแต่มองหน้าเขาแล้วอมยิ้มหน้าแดงอยู่คนเดียว จนกระทั้งมาถึงห้องแต่งตัวด้านหลังเวที เขาวางฉันลงที่เก้าอี้สีขาวเย็นตา พร้อมๆ กับเจ๊เข็มที่เดินไล่หลังตามมาติดๆ ทำให้ฉันรู้สึกว่าเก้าอี้ตัวนี้ร้อนขึ้นมาทันควัน
"กลับไปทำหน้าที่เธอเดี๋ยวนี้เกล"
เจ๊เข็มเท้าสะเอวอย่างเอาเรื่อง ปกติก็หน้ากลัวอยู่แล้ว แต่เวลานี้น่ากลัวสุดๆ
"แต่ขมิ้น…"
"ทุกอย่างที่เราเหนื่อยกันมา เธอจะให้มันพังวันนี้ใช่มั้ย กลับไปทำหน้าที่เธอซะ "
พี่เกลลังเลอยู่สักพักแต่แล้วก็สบดคำอย่างหัวเสียก่อนจะหันมามองฉัน แต่ฉันกลับไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับเขา จู่ๆ ฉันก็รู้สึกผิดขึ้นมาเฉยๆ ถ้าวันนี้ทุกคนจับได้ พี่เกลจะเป็นยังไง แง แง ฉันไม่น่ามาอย่างที่เจ๊เข็มบอกไว้จริงๆ
"ไปซะ ทางนี้พี่จัดการเอง"
ในที่สุดพี่เกลก็ไม่มีทางเลือก จำใจต้องเดินออกจากห้องนี้ไปทำหน้าที่ต่อ เขาหายไปสักพักเสียงกรี๊ดก็ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเสียงดนตรีที่บรรเลงอย่างเมามันจนทุกคนคงลืมไปเลยว่าเมื่อกี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง
"ฉันประเมินค่าเธอต่ำไปจริงๆ"
"มันไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ…"
"เงียบเถอะ! "
แง ไม่ฟังกันเลยยยยยยย
"ถ้าวันนี้พวกนักข่าวสงสัยขึ้นมา เธอจะรับผิดชอบยังไง อนาคตของเขา แฟนเพลงของเขา จะให้เขาทิ้งทุกอย่างเพื่อเธอคนเดียว อย่างนี้เขาไม่เรียกว่าความรักหรอก ถ้าเธอรักเขาจริงเธอก็ต้องสนับสนุนให้เขาประสบความสำเร็จไม่ใช่คอยแต่รั้งจะสร้างปัญหาอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ "
"…"
ฉันได้แต่ก้มหน้างุดฟังเงียบๆ พูดอะไรไม่ออก แม้แต่น้ำลายก็ยังกลืนลำบากผิดปกติเหลือเกินในเวลาแบบนี้
"ไงถึงกับพูดไม่ออกเลยเหรอ เงยหน้าขึ้นมาตอบฉันสิ"
"…"
เจ๊เข็มพยายามคาดคั้นเอาคำตอบ แต่ฉันก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาเงียบเหมือนเดิม มันก็จริงทุกคำที่เธอพูดที่ผ่านมาฉันคอยแต่จะสร้างปัญหาถ่วงความเจริญของเขาตลอด นี่คงถึงเวลาแล้วสินะที่ฉันควรจะทำอะไรเพื่อเขาบ้างไม่ใช่นึกถึงแต่ความรู้สึกของตัวเองโดยที่ไม่ได้ใส่ใจเลยว่าพี่เกลจะเดือดร้อนเพราะฉันขนาดไหน ฉันควรก้มมองดูตัวเองได้แล้วว่าไม่คู่ควรกับเขาสักนิด และไม่มีวันด้วยพอคิดแบบนั้นฉันก็รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาที่ขอบตา คล้ายๆ กับว่าน้ำตามันกำลังจะไหลริน
"ถ้าเธอรักเขาจริงถึงเวลาที่เธอต้องปล่อยให้เขาไปจรัสแสงอยู่บนฟ้าโดยที่ไม่มีเขม่าควันอย่างเธอมาบดบังสักที"
ก้อนเมฆก็ยังดีนะเจ๊ นี่เล่นเปรียบเป็นของเสียไร้ค่าที่มีแต่อันตรายอย่างควันพิษเชียวเหรอ ไร้ค่าสุดๆ เลยอ่ะ
"คิดดูให้ดีๆ นะ แต่ถ้าเธอยังดันทุรังก็เตรียมตัวรอดูวันที่เขากลายเป็นดาวดับได้เลย"
พูดจบเธอก็เดินส่ายสะโพกโยกย้ายไปอย่างหัวเสีย ทิ้งให้ฉันนั่งน้ำตาซึมอยู่คนเดียว
‘ที่ผ่านมาเธอคอยแต่จะสร้างปัญหาถ่วงความเจริญของเขาตลอด’
เสียงเจ๊เข็มดังก้องอยู่ในหัวฉันอีกครั้ง
‘ถ้าเธอรักเขาจริงถึงเวลาที่เธอต้องปล่อยให้เขาไปจรัสแสงอยู่บนฟ้า’
‘แต่ถ้าเธอยังดันทุรังก็เตรียมตัวรอดูวันที่เขากลายเป็นดาวดับได้เลย’
"ไม่มีทางฉันจะเป็นคนทำลายความฝันของเขา"
ฉันพูดกับตัวเอง ราวกับจะย้ำประโยคนั้นให้ฝังใจ
‘พี่รักขมิ้น’ แต่จู่ๆ คำหวานๆ กับริมฝีปากอ่อนนุ่มดังกลีบกุหลาบของเขาที่ประทับลงมาบนริมฝีปากของฉันอย่างแผ่วเบา ภาพและเสียงนั้นมันสะท้อนขึ้นมาในความคิดเหมือนกับว่ามันกำลังจะโต้แย้งกับสิ่งที่ฉันกำลังจะย้ำให้ฝังใจ
‘ถ้าดันทุรังก็รอดูวันที่เขากลายเป็นดาวดับ…’
"ไม่ๆ ฉันไม่ทำแบบนั้นเด็ดขาด"
‘พี่รักขมิ้น’ เสียงนั้นยังก้องมาอีกครั้ง
"แต่…" ฉันชะงักไปก่อนจะถอนหายใจยาวๆ เหมือนกับว่าจะปลดเปลื้องความทุกข์ทั้งมวลให้มันคลายออกมากับลมหายใจ"…ความรักของพี่มันทำให้ขมิ้นรู้สึกทรมานใจเหลือเกิน"

ทางเดินริมฟุตบาทนั้นเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังยืนรอรถ และฉันก็เป็นอีกคนหนึ่งที่กำลังยืนรอรถอยู่ตรงนี้ ด้วยร่างกายที่ไร้จิตวิญญาณ และเมื่อรถแท็กซี่ผ่านมามือฉันก็ยกขึ้นโบกโดยที่หัวสมองยังไม่ได้สั่งการด้วยซ้ำ
ฉันนั่งรถอยู่เกือบชั่วโมงรถแท็กซี่ก็มาจอดถึงที่หมาย ฉันจ่ายเงินให้ลุงแท็กซี่แล้วเดินไปยังหอศิลปะ ที่นี่มีผลงานของคนดังระดับห้าหกดาวมากมาย ที่มาพร้อมกับฝีไม้ลายมือที่สร้างชื่อเสียงให้ตัวเองยิ่งกว่าดาราฮอลลิวูด ส่วนเรื่องราคาโอ๊ยอย่าให้ต้องเล่าเพราะเดี๋ยวจะเมาแบบไม่รู้ตัว ว่าทำไม๊ทำไมมันถึงได้แพงยิ่งกว่าหูฉลามต้มยำสามร้อยหมอ และทุกครั้งที่ฉันรู้สึกผิดหวังหรือหมดกำลังใจไร้ที่พึ่งขาดที่พาไม่มีที่พัก ก็จะมาพำนักอยู่ที่นี่และเวลามาดูภาพพวกนี้ทีไรฉันก็รู้สึกเย็นตาเย็นใจยิ่งกว่านอนอาบความเย็นที่ขั้วโลกเหนือซะอีก
ฉันเดินชมภาพไปเรื่อยๆ แต่แล้วก็ต้องมาสะดุดตาเข้ากับภาพภาพหนึ่งที่ผู้วาดไม่ใช่ศิลปินคนดังที่ฉันรู้จัก หากแต่เป็นใครก็ไม่รู้ที่ใช้เพียงนามปากกาสั้นๆ ว่า ‘แสงแห่งชีวิต’ มันเป็นภาพของท้องฟ้ายามค้ำคืนที่มืดมิดดำสนิทยิ่งกว่าอีกาหลายร้อยตัวรวมกัน แต่ดาวดวงน้อยนั้นกับส่งแสงระยิบระยับเหมือนเพชรสิบกะรัตที่ผ่านการเจียระไนอย่างล้ำค่า จนความมืดนั้นไม่สามารถบดบังรัศมีความงามให้หดหายไปแม้แต่น้อยเลย ช่างเป็นภาพที่งดงามและมีนัยยะสำคัญซ่อนเร้นยิ่งนัก และด้วยความสวยของมันฉันก็ขอสัมผัสให้เป็นบุญสักครั้งเถอะ ‘สิบปากว่ายังไม่เท่าตาเห็นสิบตาเห็นยังไม่เท่ามือคลำ’
แต่ทว่ายังไม่ทันที่ฝามืออันนุ่มนิ่มของฉันจะได้แตะกับภาพนั้น แม้จะใกล้กันเพียงเศษขี้ฟันที่ติดอยู่ตามซอกก็ตาม เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
"อ่านหนังสือไม่ออกเหรอว่าเขาห้ามจับ" อ่านออกแต่ไม่สนโว๊ยยยยยยยยยย เสียงกวนประสาทดังขึ้นจากข้างหลังซึ่งมันขัดจังหวะกับอารมณ์ศิลปินของฉันอย่างแรง ฉันจึงเลิกสนใจภาพแล้วหันไปมองยังเสียงนั้นแทน
"เซท O0O" ไม่จริงน่า…ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอเขาในที่แบบนี้นี่น่า เขามาทำอะไรที่นี่นะ
"ทำหน้าเหมือนเห็นผีไปได้"
"ก็นายมาโผล่ที่นี่ได้ไงอ่ะ"
"ฉันต่างหากที่ต้องถามเธอว่ามาเดินเป๋ไปเป๋มาแถวนี้ได้ไง ตอนนี้เธอต้องดูคอนเสิร์ตอยู่ไม่ใช่เหรอ"
"มันก็ใช่แต่…"
ความเจ็บปวดทุกข์ใจวิ่งปราดเข้ามาที่หัวใจฉันอีกครั้ง บวกกับความลังเลที่จะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นดีมั้ยมันก็เลยทำให้ฉันชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะนึกประโยคง่ายๆ ขึ้นได้
"ฉันเบื่อน่ะก็เลยแวะมาแถวนี้ ว่าแต่นายเถอะมาทำอะไรที่นี้ ไม่เห็นเข้ากับบุคลิกอย่างนายเลยสักนิด"
"ทำไมอารมณ์ศิลเนี่ยต้องเกิดขึ้นกับเธอคนเดียวงั้นสิ"
"ก็ไม่ขนาดนั้นแค่สงสัยว่ามันบังเอิญจังที่เจอนาย ในเวลาที่ฉัน…" ต้องการใครสักคนตลอด "…ไม่คิดว่าจะเจอนาย"
"ก็ฉันเป็นประธานผู้จัดการของที่นี่ ถ้าเธอจะเจอท่านประธานก็ไม่เห็นจะแปลก"
เซทยืดตัวตรง ตอบด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ หรือแปลเป็นภาษาวัยรุ่นก็แอ็กอ่ะ
"นายมีอะไรให้ฉันทึ่งได้ตลอด"
เซทยักคิ้วข้างเดียวแบบกวนๆ ก่อนจะพูดขึ้น
"ชอบภาพนี้เหรอ"
เซทจ้องไปที่ภาพนั้น ทำให้ฉันอดที่จะมองตามเขาไม่ได้ มันก็ไม่ใช่ภาพที่วิเศษเลิศเลออะไรการใช้สีก็ง่ายๆ ไม่สับซ้อนหากแต่ความหมายในภาพนั้นต่างหากที่ฉันรู้สึกประทับใจ
"อืม"
ฉันตอบออกไปเพียงสั้นๆ แล้วเซทก็ไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรต่อภาพนี้ แต่เขากลับหันไปเรียกพนักงานสาวคนหนึ่งที่กำลังเดินผ่านมาพอดี
"เอาภาพนี้ออกแล้วเอาไปทิ้ง"
"เฮ้ย! ทำไมอ่ะ"
ฉันโพลงถามขึ้นอย่างข้องใจ แต่เซทตอบด้วยน้ำเสียงกวนๆ กลับว่า…
"ก็เธอชอบ แสดงว่าภาพนี้มันไม่มีระดับ…เอาออกไปซะ"
"ค่ะ"
พนักงานสาวตอบอย่างง่ายๆ โดยที่ไม่มีคำถามใดๆ เลย เธอปลดภาพนั้นจากฝาผนังทันที
อะไรกันถ้าฉันบอกชอบทุกภาพมีหวังเขาไม่ต้องเอาออกทุกภาพเลยเหรอ เจ๊งแน่แบบนี้ไม่เกินสามเดือน ถ้าขืนปล่อยให้เขาบริหารงานแบบนี้ คนอะไรเอาแต่ใจชะมัดไปเป็นมาเฟียนั่นแหละเหมาะสมที่สุด
"ทำหน้าแบบนั้นด่าฉันอยู่ในใจล่ะสิ"
"น่าด่าไม่ล่ะ"
"ก็คนมันรวยทำอะไรก็ไม่ผิดอยู่แล้ว"
"จร้า! นายมันรวยจนหน้าตกใจ"
ฉันรู้สึกว่าคงทนเห็นหน้าเขาไม่ไหวกวนโมโหสุดๆ จนฉันเกือบลืมไปเลยว่ากำลังเศร้าอยู่เจอเขากวนประสาทเข้าไปหงายเงิบไปเลย แต่ในขณะที่ฉันจะเดินหนี ฝ่ามือหนานุ่มนั้นก็คว้าข้อมือฉันไว้ได้เสียก่อน ทำให้ฉันรู้สึกร้อนวูบขึ้นมาทั้งตัว จนฉันต้องสะบัดมือเขาออก ทำให้สีหน้าของเซทมีริ้วรอยตกใจนิดๆ แต่ก็ปรับมาเป็นสีหน้าปกติได้ในเวลาอันรวดเร็ว
"จะไปไหน"
"กลับบ้าน"
"ถ้าอย่างนั้นก็กลับด้วยกัน"
"มาคนละทางก็กลับคนละทีสิ"
"กลับ!"
"ไม่!"
"แน่?" เขาย้อนถามด้วยน้ำเสียงกวนๆ เหมือนเช่นเคย
"อือ"
"ก็ดี พูดกันง่ายๆ ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ถ้างั้นก็อุ้มกันไปเลยแล้วกันจะได้ไม่ต้องพูดมาก"
"อย่านะ! >///<"
ฉันร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ เพราะเซททำท่าจะทำจริงๆ อย่างที่พูด
"ก็ไม่ยอมกลับด้วยกันดีๆ ไม่ใช่เหรอ มันก็ต้องใช้วิธีนี้แหละ"
พูดจบก็ก้าวเข้ามาใกล้ฉันขึ้น พลางทำท่าจะอุ้มฉันอีกครั้ง จนฉันต้องเขยิบถอยหนี้
"ก็ได้ๆ"
น้ำเสียงที่อ่อนลงทันทีของฉัน ทำให้อีกฝ่ายเผยยิ้มออกมาอย่างเยาะเย้ย
"นึกว่าจะแน่ ^^ "



lovezombie
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ก.พ. 2557, 13:57:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ก.พ. 2557, 13:57:05 น.

จำนวนการเข้าชม : 1013





<< บทที่ 13   บทที่ 15 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account