ราคีกุหลาบ
เรื่องราวความรักของทริปท่องเที่ยวในสเปน
ระหว่างหญิงสาวชาวไทยกับหนุ่มหล่ออเมริกัน ^^

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ผู้ชายน่าโมโห

สวัสดีค่า ไม่ได้พบกับคนอ่านนานมากกกกกกกก
ได้กลับมาเจออีกครั้ง รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง
ขอบคุณทุกท่านที่คลิกเข้ามาเยี่ยมชมนะคะ
แฮ่ ถ้ามีเมนท์ให้ด้วยจะขอบคุณยิ่งๆ ขึ้นค่า


คำเตือน: นิยายเรื่องนี้เบาสมองมาก (อีกแล้วอ่า) และหื่นเล็กน้อยถึงปานกลาง

คำเตือนที่ 2 : เนื่องจากเป็นนิยายทำมือจ้า จึงนำมาลงประมาณ 6-7 บท ไว้เป็นตัวอย่าง

เผื่อมีคนสนใจ ติดต่อมาทางหลังไมค์หรือ อีเมล์นี้ได้เลยจ้า

rinrana_author@outlook.co.th

หรือถ้าสนใจ อี-บุ๊ก มาทางนี้ได้เลยค่ะ

http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=10807

เอาล่ะ เราไปเที่ยวสเปนกันอีกรอบเถอะ!!!

........................................




บทที่ 1 ผู้ชายน่าโมโห

ถนนคนเดิน...ลา รามบลา บาร์เซโลนา ประเทศสเปน

ที่ร้านกาแฟริมถนนใต้ต้นเมเปิ้ลสีเขียวครึ้มที่สยายกิ่งก้านออกแผ่คลุมให้ร่มเงาไปทั่วบริเวณ

หญิงสาวชาวเอเชียนั่งอยู่ที่โต๊ะกลม ข้างหน้าเธอมีกาแฟเย็นหนึ่งแก้ว และสมุดมีเส้นซึ่งจดอะไรเอาไว้ครึ่งหน้า บรรยายถึงสภาพอันครึกครื้นของถนนที่มีชื่อเสียงที่สุดของบาร์เซโลนา มือซ้ายถือโทรศัพท์ไว้อยู่ข้างหู ส่วนมือขวานั้นหมุนปากกาเล่นไปมา ไม่นานเรื่องราวที่วอนขอจากปากของคนปลายสายก็ทำให้เธอหยุดหมุนปากกา หัวคิ้วค่อยขมวดเข้ามาหากันและไม่มีทีท่าว่าจะคลายออกในเวลาอันเร็ว

“อเลนที่รัก ไม่ใช่ฉันไม่อยากจะช่วยแกนะ แต่ฉันจะไปทำอะไรได้...แกคงจะจำได้ใช่ไหมว่า ฉันจบนิเทศศาสตร์ ไม่ได้จบจิตวิทยามา”

“ฉันรู้ มิตาที่รัก แต่ฉันรู้อยู่อย่าง ใครก็ตามที่อยู่กับแก ทุกคนไม่ยิ้มกลับไปก็จะสบายใจขึ้น”

ถึงปลายสายว่ามาแบบนี้ แต่หญิงสาวไม่ได้ปลื้มเลย จริงอยู่ว่าเธอชอบทำให้เพื่อนขำ หายเครียดจากปัญหาอะไรสักอย่างที่รุมเร้าเข้ามา แต่กับ ‘คนนี้’ ไม่ใช่เพื่อนเธอ หนำซ้ำยังไม่เคยรู้จักกันด้วยซ้ำไป

“อย่ามายกยอเลย นี่มันเคสหนักเกินกว่าที่ฉันจะรับไหวนะ”

“ฉันเชื่อ ไม่ว่าใครต่างต้องแพ้ให้กับรอยยิ้มของแก มิตา”

ฟังคำชมของเพื่อนที่รู้ชัดว่ามีเจตนาแอบแฝงอย่างไรแล้ว มิตาหรือรมิตาได้แต่ยิ้มฝืดๆ เถียงอยู่ในใจ

‘ไม่เห็นแกจะแพ้รอยยิ้มฉันเลย’

“เอาละ อเลนที่รัก ข้ามเรื่องนี้ไปก่อนก็ได้ แต่แกคิดว่าบาร์เซโลนาแคบนักหรือไงยะ ฉันจะได้ไปเดินชนกับแฝดผู้พี่ของแกน่ะ” หญิงสาวกลอกตาใส่โทรศัพท์ราวกับจะส่งกิริยานี้ไปให้ปลายสายได้รับรู้ด้วย

“มิตาที่รัก ไม่ต้องเดินชนหรอก เดี๋ยวฉันบอกที่อยู่ของพี่ชายฉันให้ แกต้องได้พบเขาแน่” อเลนเว้นวรรคไปชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อว่า “นี่ฉันกังวลมากจริงๆ นะ ไม่งั้นไม่โทรศัพท์ข้ามประเทศมาขอร้องแกหรอก ฉันไม่เห็นใครที่จะพึ่งได้แล้วนอกจากแก”

หญิงสาวนิ่งไปเล็กน้อย เกลียดตัวเองที่ใครมาขอความช่วยเหลือแล้ว เธอมักปฏิเสธไม่ได้ เพราะเธออยากเป็นที่ต้องการของคนอื่น อย่าว่าแต่คนที่พูดดันเป็น...อเลน ซึ่งนอกจากเขาจะมีบุญคุณกับเธอแล้ว เขายังเป็นคนที่เธอแคร์ความรู้สึกเป็นอย่างมากอีกด้วย

“คือฉันก็เข้าใจอยู่หรอกนะถึงเรื่องที่แกบอก เพียงแต่แกแน่ใจเหรอว่าเขาคิดแบบนั้นจริงๆ ไม่ใช่แกคิดไปเองนะ”

“ฮื่อ แน่ใจ แน่ใจมากด้วย ลางสังหรณ์ของฉันไม่พลาดอยู่แล้ว แกอย่าลืมสิว่าเราเป็นแฝดกัน เพราะแบบนี้ไงฉันเลยต้องบากหน้ามาขอร้องแก ขอร้องละ ช่วยดูๆ เขาให้หน่อยได้ไหม เขาพักอยู่ที่...”

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ! ฉันยังไม่ได้รับปากจะช่วยแกสักคำ อย่ามามัดมือชก”

“นะ มิตา ฉันไม่เห็นใครที่จะพึ่งได้เลยจริงๆ นี่ถ้าพี่ชายฉันพาคนอื่นมาด้วย ฉันจะไม่เครียดเลย แต่นี่เขามาเดี่ยวๆ บวกกับเพิ่งเกิดเรื่องแบบนั้นมา ฉันกลัวจริงๆ”

หญิงสาววางปากกาลง ยกมือนวดขมับแทน พอฟังเสียงอ่อนๆ ของอเลนแล้ว เธอมักจะแพ้ทางเสมอ ไม่เคยปฏิเสธได้เลย...ไม่เคยสักอย่าง
เพียงแต่นี่เป็นเรื่องคอขาดบาดตายเกินไป...ถ้าเธอทำผิดพลาดขึ้นมา เธอรับผิดชอบไม่ไหวแน่ๆ

รมิตาจึงได้เพียรปฏิเสธอีกหน

“อเลน ไม่เอาด้วยหรอกนะ ฉันเป็นใคร เขาเป็นใคร เราไม่รู้จักกันแท้ๆ จะให้ฉันเสนอหน้าไปหาเขาในฐานะอะไร ถึงฉันจะหน้าหนาขนาดพื้นคอนกรีตชิดซ้าย ฉันก็ไม่เอาด้วยหรอก”

ชายหนุ่มที่อยู่ปลายสายหัวเราะเบาๆ ออกมากับมุกของหญิงสาว เขาว่า

“ฉันรู้ว่าแกเนียนได้ ลองอ้างอะไรไปสักอย่างสิ ใช้ฐานะนักเขียนของแกเข้าไปเนียนสัมภาษณ์เขาก็ได้เอ้า” เพื่อนรักช่วยเสนอแนะไอเดียให้

“ขอบใจที่ช่วยคิดนะยะ” หญิงสาวตวัดตาค้อนใส่โทรศัพท์อีกหน

“ยังไงก็ช่วยเข้าไปดูให้หน่อยเถอะ ถ้าลำบากใจนัก เอาแค่ว่าเห็นเขายังมีชีวิตอยู่ก็ได้ ฉันก็ไม่ได้อยากบังคับแกนักหรอก”

“ถ้าแกห่วงนัก ทำไมแกไม่มาดูเองล่ะ”

“ก็...คนที่เขาไม่อยากเห็นหน้ามากที่สุดก็คือฉันน่ะสิ”

น้ำเสียงของคนปลายสายเศร้าสลดในแบบที่รมิตาไม่เคยฟังมาก่อน หัวใจของเธอจึงเหมือนถูกบีบรัด นั่นเพราะเธอไม่อยากให้มีเรื่องอะไรมาทำให้อเลนเศร้านั่นเอง

“เอ่อ...ขอโทษที ฉันไม่ได้ตั้งใจ” รมิตารีบเอ่ยขอโทษขึ้นมา

“ไม่เป็นไร ฉันกลัวน่ะมิตา ว่าถ้าฉันไปหาเขา มันจะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้เขาใช้อารมณ์ชั่ววูบมาตัดสินชีวิตตัวเอง...นะ มิตาที่รัก ช่วยไปดูเขาให้หน่อยได้ไหม?”

ยิ่งอเลนใช้น้ำเสียงเศร้าๆ รมิตาก็ยิ่งเศร้าตามไปด้วย ในใจรู้สึกว่ายอมไม่ได้ที่จะให้เขาเศร้าและกังวล เพื่อเรื่องนี้แล้ว ให้เธอทำอะไรก็ยอม...เพียงแต่หญิงสาวก็อดเอ่ยไปไม่ได้ว่า

“แล้วทำไมฉันต้องทำตามที่แกว่าด้วยหา?” สีหน้าของเธอเหมือนคนถูกบังคับให้กินยาขม

“เพราะแกไม่ยอมมางานแต่งของฉันไงล่ะ”

คำตอบของเพื่อนสนิททำเอารมิตาสะอึก มีอาการเหมือนใครเอาลิ่มมาตอกลงกลางแผลเก่าที่หัวใจ

“ไม่ยอมมาอะไร? ฉันก็บอกแกไปแล้วว่าฉันไม่ว่างพอดี ทำไมแกไม่แต่งตอนที่ฉันว่างล่ะ?” หญิงสาวเอ่ยอย่างพาลนิดๆ โวยวายหน่อยๆ เพื่อกลบเกลื่อนอาการผิดปกติของตัวเอง

“แกก็รู้ ฉันต้องรีบแต่งเพราะกลัวเหมือนไหมท้องนี่นา”

“อือ...ลืมไปว่าแกต้องรีบแต่ง” รมิตาอยากวางสายแล้ว มันเจ็บเกินไปเมื่อมีคนมาย้ำแผลสดของเธอ
“เพราะงั้นแกจะฟังคำขอร้องของฉันหน่อยไม่ได้เหรอ”

“โอเค พอละ ไม่ต้องกล่อมแล้ว เอาเป็นว่าถ้าพี่ชายแกเกิดเดินผ่านหน้าฉันไป ฉันจะยอมทำตามที่แกบอก”
“ขอบใจมาก เพื่อนรัก”

รมิตาจินตนาการรอยยิ้มหวานของเพื่อนสนิทได้เลย ถ้าอยู่ด้วยกันอเลนจะต้องใช้ประโยชน์จากที่ร่างกายสูงกว่า แรงเยอะกว่า ยกสองมือขึ้นแนบแก้มเธอแล้วคลึงเล่น ขณะที่แจกยิ้มของคนที่สมใจให้เธอที่เงยหน้าทำตาขวางใส่เขา

“ไม่ต้องมาขอบใจเลย...แล้วถ้าไม่เจอก็เป็นอีกเรื่องนะ” หญิงสาวย้ำอีกหน

“สัญญา”

“อืม คำไหนคำนั้น”

“น่ารักที่สุดเลย มิตาของฉัน”

“แค่นี้นะ แล้วไม่ต้องโทรกลับมาอีกล่ะ!”

บางทีเธอก็โกรธอเลน นั่นเป็นเพราะว่าเขาไม่รู้เอาเสียเลยว่า การกระทำของเขามีอิทธิพลต่อจิตใจเธอแค่ไหน

รมิตาจ้องโทรศัพท์อย่างโมโห พลางยกมือเสยผมที่ยาวประบ่าทั้งโกรธอเลนและโกรธตัวเองที่...หวั่นไหวไปกับน้ำเสียงของเขา ทั้งที่เธอก็พยายามทำใจและแยกตัวห่างจากเขามานานตั้งแต่ได้ข่าวกะทันหันว่าเขาจะแต่งงาน ดูเหมือนว่าเวลาสั้นๆ แค่นี้จะไม่ได้ช่วยให้เธอดีขึ้นเลย...

หญิงสาวปิดสมุดจดแล้วหลับตาลง รู้สึกได้ว่าตัวเองฟุ้งซ่านเกินไป ไม่มีสมาธิพอจะเขียนบทความอะไรทั้งสิ้น แถมหัวใจที่บอบช้ำอยู่แล้วมีรอยช้ำเพิ่มขึ้นมาอีกรอยจนได้...

‘ไม่ได้การแล้ว’

เพื่อไม่ให้ตัวเองจมปลักกับอาการจิตตก หญิงสาวดื่มกาแฟที่เหลืออยู่จนหมด นำสมุดจดและปากกาใส่กระเป๋า หยิบเอากล้องยี่ห้อแคนนอนแสนรักขึ้นมาถือไว้ เตรียมตะลุยถนนลา รามบลาแทน เธอเชื่อว่าด้วยบรรยากาศของที่นี่ จะทำให้เธอเพลิดเพลินแล้วลืมเรื่องของอเลนไป ส่วนเรื่องที่รับปากอเลนไว้ ขอแค่ได้เจอพี่ชายเขา เธอก็จะทำตามที่อเลนขอไว้


*************************************


รมิตาเดินไปพลางถ่ายรูปไปพลางบนถนนลา รามบลาอย่างอ้อยอิ่ง ซึ่งถ้าเปรียบกับการกิน หญิงสาวก็กำลังละเลียดชิมรสชาติของที่นี่อยู่ ตั้งแต่ตึกเก่าห้าชั้นสองข้างทางขนาบไปกับถนนซึ่งมีรูปลักษณ์แตกต่างกัน เพราะการตกแต่งในแบบต่างๆ ที่ทำให้เธอเก็บรูปภาพมาตลอด หรือจะแผงขายดอกไม้อันมากมายที่ทำให้เธอเผลอใจควักเงินจ่ายไปอย่างไม่รู้ตัว ซื้อดอกกุหลาบแดงดอกใหญ่มาหนึ่งดอกโดยไม่รู้ว่าจะถือยังไงด้วยซ้ำ เพราะสองมือของเธอแทบจะประคองกล้องถ่ายรูปอยู่ทุกนาที

และที่ขาดไม่ได้บนถนนแห่งนี้คือเหล่าศิลปินแขนงต่างๆ ที่มาสร้างสีสันและความสนุกสนานให้กับที่ถนนแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นนักกายกรรม นักมายากล นักดนตรี นักแสดงตลก ที่รมิตาชอบมากก็คือ รูปปั้นมีชีวิต นั่นคือศิลปินที่แต่งตัวคล้ายรูปปั้นสำริดยืนนิ่งอยู่ที่เดิม มีทั้งแนวแต่งตัวเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงของโลกอย่างเช่นกาลิเลโอที่มากับกล้องดูดาว หรือจะมาเป็นแนวแฟนตาซีก็มี อย่างเช่นปีศาจมังกรที่มีปีกกางออกแบบค้างคาว หรือเทพต้นไม้สีเขียวที่มีรากงอก มีบางคนแต่งเป็นนางเงือกน้อย แต่ที่เธอชอบสุดๆ เห็นจะเป็นรูปปั้นพระพิฆเนศทองเหลืองที่ใช้กลภาพลวงตาทำให้เหมือนลอยอยู่กลางอากาศได้ นักท่องเที่ยวมักจะไปยืนคู่กับรูปปั้นเหล่านี้แล้วถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน


เดินมาได้ราวครึ่งทาง รมิตาแวะพักขาที่ร้านอาหารริมทาง ซื้อมันฝรั่งทอดกับหมึกทอดจิ้มซอสเผ็ดมากินรองท้องสักครู่ ก่อนจะเดินไปเก็บภาพภายในตลาดโบเกเรีย ต่อ ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปทางฝั่งขวา ถึงจะอิ่มอยู่แล้ว แต่ของกินที่นี่ถูกจัดวางอย่างสวยงามไม่ว่าจะเป็นขาหมูรมควันที่แขวนกันทั้งขาเรียงกันเป็นตับที่หน้าร้านขายเนื้อสัตว์ หรือจะอาหารทะเล กุ้ง หมึก และปูตัวใหญ่ๆ บนน้ำแข็ง

ผ่านไปร้านขายผลไม้ ก็รู้สึกอยากจะควักเงินจ่ายอยู่ร่ำไป เพราะนอกจากตัวผลไม้จะจัดวางซ้อนกันอย่างสวยงามแล้ว แสงไฟนีออนก็สาดลงมาช่วยส่งเสริมให้สีส้มสีเขียวสีเหลืองโดดเด่นขึ้นมา แต่เพราะว่าไม่สะดวกจะหิ้วอะไรเพิ่ม รมิตาเลยอุดหนุนน้ำผลไม้เย็นเจี๊ยบชื่นใจไปแทน ก่อนจะต้องรีบเดินเร็วๆ ผ่านแผงขายขนมหวานชนิดต่างๆ ที่มีเยอะมากจนตาลายไป ไม่งั้นเธอคงต้องเสียเงินเพิ่ม เพราะอดใจไม่ไหวกับคุกกี้แบบต่างๆ ในถาดไม้ซึ่งเปล่งประกายราวกับรอให้เธอซื้อมันไปกินอยู่

ออกมาจากตลาดโบเกเลียได้ หญิงสาวก็มุ่งหน้าไปที่ปาเลา กูเอล ซึ่งตอนนี้เป็นโรงแรมไปแล้ว ครั้นถ่ายรูปเสร็จก็เดินต่อไป ช่วงท้ายของถนนลา รามบลาเป็นแผงวาดรูปของจิตรกรข้างถนน ที่มานั่งวาดรูปนักท่องเที่ยวกันสดๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปเสมือนจริงหรือรูปล้อเลียน หรือจะเป็นแค่แผงขายรูปวาดหรือรูปถ่ายแนวต่างๆ แต่ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับสเปน ไม่ว่าจะเป็นหญิงสาวที่กำลังเต้นระบำฟลาเมงโก มาทาดอร์กับการสู้วัวกระทิง หรือบ้านเรือนสีสันสดใสสไตล์สเปน ทั้งนี้ก็คงเป็นเพราะคนที่มาซื้อรูปเหล่านี้ไปมักจะเป็นนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลกันมาจากที่ต่างๆ ในโลกนั่นเอง

มัวแต่มองรูปวาดตามแผงต่างๆ พอเงยหน้าไปทางถนนอีกทีก็เห็นอาจารย์พาเด็กนักศึกษาหนุ่มสาวยกคลาสมาวาดรูปอนุสาวรีย์โคลัมบัส กัน ซึ่งจากระยะทางที่จุดนี้ก็เห็นเป็นเสาสูงขึ้นไปและมีรูปปั้นของโคลัมบัสอยู่บนสุดเท่านั้น บ้างก็นั่งบนพื้น บ้างก็นั่งติดกันที่ริมต้นไม้ บ้างก็ยืนวาด โดยมีอาจารย์วัยกลางคนผู้มีศีรษะล้านไปเกินครึ่งนั้นสาละวนเดินดูและให้คำแนะนำกับเหล่าศิษย์ทั้งหลาย

รมิตานั่งพักริมต้นไม้เพื่อจดบันทึกความทรงจำกับสถานที่ต่างๆ ลงไป ขีดๆ เขียนๆ อยู่นานถึงครึ่งชั่วโมงก็นึกอะไรไม่ออกแล้ว หลังจากนี้คงต้องอาศัยรูปภาพในกล้องแทน เธอตรวจเช็กข้าวของที่มีอยู่กับตัวอีกครั้ง กล้องคงไม่ต้องพูดถึงอยู่กับมือแทบจะตลอดเวลา กระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์มือถือ...ยังไม่มีอะไรหายไปแม้กระทั่งดอกกุหลาบที่เธอซื้อติดมาด้วย ที่ลา รามบลาค่อนข้างขึ้นชื่อถึงเรื่องที่นักท่องเที่ยวโดนล้วงกระเป๋าบ้าง ถูกกรีดกระเป๋าบ้าง รมิตาจึงระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ

เมื่อกำลังจะออกจากถนนลา รามบลา หญิงสาวแอบให้รู้สึกอาลัยอาวรณ์อยู่ไม่น้อย และคิดว่าถ้ามีเวลาจะกลับมาเยี่ยมชมที่นี่ในช่วงกลางคืนซึ่งว่ากันว่าเป็นช่วงเวลาที่คึกคักมาก

พอเห็นถนนริมทะเล หญิงสาวก็ยิ่งดี๊ด๊ากับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เธอวิ่งตรงไปถ่ายรูปปั้นสิงโตตัวใหญ่น่าเกรงขามในอิริยาบถต่างๆ กันที่ฐานของอนุสาวรีย์โคลัมบัส

ขณะที่กำลังกดชัตเตอร์อย่างเมามัน มุมปากของเธอก็โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มหวาน เมื่อเห็นชายคนหนึ่งเดินผ่านหน้าไป หัวใจเหมือนจะเต้นแรงขึ้นหนึ่งจังหวะ ดวงหน้าคมสันของชายวัยสามสิบกว่าๆ ผมสั้นสีดำสนิท นัยน์ตาสีฟ้าสวย...ที่เพียงแค่ผ่านหน้าเธอไปชั่วขณะเดียวกลับทำให้เธอหยุดการกระทำทุกอย่างไว้เพียงเพื่อจดจ้องเขา ในใจเผลอร้องเรียกชื่อหนึ่งขึ้นมา

‘อเลน’

ก่อนจะสำนึกได้ว่าอเลนไม่ได้อยู่ที่บาร์เซโลนา...

เขาอยู่กับภรรยาที่เมืองไทย คนที่อยู่ที่สเปนคือพี่ชายของเขาที่ชื่อ ‘อเล็กซ์’ ต่างหาก

ความเจ็บปวดทิ่มแทงเข้ามา...แต่ก็ทำให้สติกระจ่างชัดขึ้น รมิตามองตามแผ่นหลังของอเล็กซ์ที่หยุดยืนมองไปโดยรอบก่อนจะไปต่อแถวรอขึ้นชมวิวบาร์เซโลนาที่ฐานอนุสาวรีย์...อย่างเห็นใจอยู่ไม่น้อย เมื่อคิดถึงเรื่องที่อเลนเล่าให้ฟัง

อเล็กซ์ก็เป็นเหมือนเธอ เป็นคนแพ้ในสนามรัก...ไม่สิ สำหรับตัวเธอแล้วใช้คำว่าแพ้ไม่ได้ เธอขี้ขลาดเกินกว่าจะลงสนามแข่งขันด้วยซ้ำ ไม่กล้าจะต่อสู้เพราะกลัว เป็นแค่คนขี้ขลาดคนหนึ่งเท่านั้น

รมิตาเหยียดยิ้มออกมาหยันตัวเอง ก่อนจะสะบัดหัวแรงราวกับว่าทำแบบนี้แล้วจะสลัดความเศร้าออกไปจากใจได้ ที่ทำแบบนี้เพราะเธอไม่อยากคิดหรือจมอยู่กับความเสียใจนานเกินไป ทิ้งเรื่องเซ็งๆ แล้วหาเรื่องทำให้หัวหมุนดีกว่า

ขาของเธอก็เผลอก้าวตามไปยังจุดที่อเล็กซ์ยืนอยู่โดยไม่รู้ตัว จึงกลายเป็นว่าหญิงสาวก็มาต่อคิวรอขึ้นลิฟต์ไปด้านบนเหมือนกัน รมิตาอดจะคิดไม่ได้ว่า พระเจ้าเล่นตลกกับเธอแล้ว! บาร์เซโลนามีที่เที่ยวตั้งหลายที่ ทำไมถึงได้มาบังเอิญเจอกันได้ด้วย หรือจะโทษว่าเธอสายตาดีเกินไป?

ใช่สิ! ก็ใบหน้าแบบนี้เป็นใบหน้าที่เธอไม่มีทางลืมได้นี่นา...

ในใจตงิดๆ เหมือนถูกอเลนเล่นขี้โกงเข้าให้แล้ว แต่เธอก็รีบปัดความคิดนี้ทิ้งไป ไม่มีทางที่อเลนจะจัดให้เธอได้พบกับอเล็กซ์ได้ ในเมื่อเธอเองก็ไม่ได้บอกว่าจะไปเที่ยวที่ไหนบ้างหรือเวลาใด นี่คงเป็นการจัดสรรของพระเจ้าที่อยากให้เธอช่วยเหลือมนุษย์โลกเพิ่มอีกคนแน่ๆ หญิงสาวพยายามมองโลกในแง่ดีสุดฤทธิ์ เธอไม่ได้อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับแฝดผู้พี่ของเพื่อนรักสักนิด แต่พอนึกหน้าหมองๆ ของอเลนแล้ว รมิตาก็ทำใจไม่ได้อีก

อาจเพราะรู้สึกได้ว่ามีใครสักคนจ้องอยู่ ชายหนุ่มจึงได้หันหลังกลับมามอง ที่ติดกับเขาเป็นสามีภรรยาคู่หนึ่ง และมองเลยไปอีกนิดก็พบผู้หญิงชาวเอเชียมองมาที่เขาเขม็ง

รมิตาตกใจที่ชายผู้เป็นเป้าหมายหันหลังมากะทันหัน เธอรีบส่งยิ้มสยามออกไปรับหน้าอย่างฉุกละหุกเต็มที เพราะไม่ทันได้ตั้งรับหรือจะปั้นหน้าเฉย ก่อนที่รอยยิ้มกว้างของเธอจะแข็งค้างแล้วจืดเจื่อนลงในพริบตา เพราะคนที่เธอส่งยิ้มไปนั้นตอบกลับมาด้วยสายตาเย็นชาที่เหมือนกับว่าสามารถส่งเธอไปอยู่เป็นเพื่อนหมีขาวที่ขั้วโลกเหนือ

หญิงสาวอึ้งไปหลายวินาทีก่อนจะเปลี่ยนเป็นโมโหหน่อยๆ เธอรู้ว่าถ้าเปลี่ยนเป็นอเลน แล้วมีผู้หญิงแปลกหน้ามาส่งยิ้มให้เขา อย่างแย่ที่สุด เขาจะยิ้มให้แล้วเดินหนีไปทำอย่างอื่นต่อ แต่นี่อะไร เสียมารยาทเกินไปแล้ว ไร้อัธยาศัยได้ขนาดนี้เชียวเหรอ ทั้งที่เป็นฝาแฝดกับอเลนซึ่งสมควรได้เกรดเอบวกในวิชามนุษยสัมพันธ์แท้ๆ…ถ้าหากมหาวิทยาลัยมีเปิดสอนวิชานี้

รมิตาร่ำๆ จะเปลี่ยนใจ เธอไม่ชอบผู้ชายแนวนี้ มันยากที่จะมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน แต่พอนึกหน้าอเลนอีกหน หญิงสาวก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอไม่อยากให้อเลนเศร้า...

อันที่จริงมีปัญหาที่ใหญ่กว่าเขาเศร้าเสียใจอีก รมิตาไม่อยากให้เขากระทบกระเทือนใจนัก...

หญิงสาวเหลือบมองแผ่นหลังของผู้ชายเย็นชาแล้วย่นจมูกใส่เขา โดยลืมไปว่าข้างหน้ายังมีสามีภรรยาคู่หนึ่งคั่นกลางอยู่ คนเป็นภรรยาหันมาเห็นเธอทำท่านี้พอดี เจ้าตัวสะกิดสามี รมิตาหน้าเจื่อน เก้อไปครู่หนึ่งที่มีคนเห็นเธอทำอะไรต๊องๆ หญิงสาวฟังไม่ออกว่าพวกเขาพูดภาษาอะไรกัน แต่สุดท้ายแล้วคนเป็นภรรยาก็ชี้ไม้ชี้มือแล้วจับแขนเธอลากให้มาอยู่ข้างหน้าแทน รมิตางงจัด แต่ในเมื่ออีกฝ่ายยอมให้เธออยู่ข้างหน้า เธอก็ไม่ว่าอะไร

เพราะมีเสียงสนทนาดังขึ้น อเล็กซ์เลยหันมามองอีกรอบ พอเห็นมาก็เจอเข้ากับผู้หญิงชาวเอเชียที่ควรอยู่หลังเขา หัวคิ้วเขาก็ขมวดเข้าหากันอัตโนมัติ ก่อนจะหันกลับไปตามเดิมอย่างคนที่ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวอะไรด้วย

ติดลบ! ติดลบ!

รมิตาไม่พอใจอย่างมาก ทำไมเธอต้องได้รับการปฏิบัติจากเขาเหมือนเป็นมนุษย์น่ารังเกียจด้วย

หญิงสาวมีความรู้สึกสองจิตสองใจ อยากจะไปให้ห่างๆ จากอเล็กซ์เหมือนกัน เชื่อว่า หากบอกอเลนว่าเธอไม่พบแฝดผู้พี่เขา เขาย่อมไม่มีทางรู้ว่า เธอได้เจอกับอเล็กซ์หรือไม่

เพียงแต่ว่า...เจ้ามนุษย์เย็นชาเหมือนขุดออกมาจากภูเขาน้ำแข็งนี่จะทำเรื่องนั้นจริงๆ หรือเปล่า?

หญิงสาวร่ำๆ อยากจะก้าวออกจากแถวแล้วหนีไปแท้ๆ แต่สุดท้ายเธอก็ยังอยู่ด้านหลังของอเล็กซ์อยู่ดี รอต่อคิวนานไม่ใช่น้อย เธอเลยเขม่นใส่แผ่นหลังของชายข้างหน้าพร้อมกับตั้งชื่อเล่นให้เขาด้วย

'ไอซ์แมน'

รมิตาพยายามคิดว่า ลองสังเกตอเล็กซ์เพิ่มอีกหน่อย ถ้าเขาไม่ได้มีทีท่าว่าจะทำเรื่องแบบนั้น แต่เป็นอเลนคิดมากไปเอง เธอจะได้ไม่ต้องเอาตัวไปเกี่ยวติดกับคนๆ นี้

พอมองดูแผ่นหลังของอเล็กซ์ดีๆ แล้ว หญิงสาวก็เริ่มค้นพบความแตกต่างขึ้นทีละน้อย อเล็กซ์ดูจะเป็นคนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไหล่หนา มีกล้ามเนื้อ พอมาเทียบกับอเลนจะพบว่าหุ่นของเขาดูโปร่งกว่าพี่ชาย ผิวของอเล็กซ์ก็เข้มกว่าผิวของอเลน ท่ายืนของอเล็กซ์ก็ยืนบ่าตั้งหลังตรง ผึ่งผาย แสดงความมั่นใจในตัวเองและถือดีเต็มเปี่ยม แล้วเขาก็ไม่เหลียวลอกแลกด้วย แสดงว่าน่าจะเป็นคนมีเป้าหมายชัดเจนและมีความอดทนพอ...ผิดกับรมิตาที่เหลียวซ้ายแลขวาอยู่นั่นแหละ ซึ่งสำหรับเธอแล้วการขึ้นชมวิวของบาร์เซโลนาในมุมสูงไม่ได้อยู่ในโปรแกรมเลยสักนิด ดังนั้นการต้องมารอแล้วรอเล่าก็ทำให้เธอรู้สึกเบื่อหน่ายเกินไป ได้แต่ลองมองไปรอบๆ เก็บมุมที่คิดว่าดีว่าสวยไว้ในใจ หลังจากที่ลงมาจากลิฟต์ค่อยมาตามถ่ายรูปเอา

ผ่านไปร่วมยี่สิบนาที และแล้วแถวก็ขยับจนถึงอเล็กซ์ในที่สุด หญิงสาวก้าวเข้ามาเป็นคนถัดไปและตามด้วยคู่สามีภรรยา ปิดท้ายด้วยคุณพนักงานต้อนรับ ซึ่งลิฟต์บรรจุได้ทั้งหมด 5 คนเท่านั้น รมิตาไม่แน่ใจว่าเพราะคู่สามีภรรยาตัวใหญ่หรือเปล่าถึงทำให้เธอถูกเบียดเข้ามาชิดกับอเล็กซ์ ชายหนุ่มเองก็เหมือนจะเขยิบหนี แต่พื้นที่ไม่อำนวยทำให้แขนของเธอแนบชิดกับท่อนแขนของเขาอยู่ดี หญิงสาวจำต้องเงยหน้าส่งยิ้มลุแก่โทษไปให้อีกฝ่าย แต่อเล็กซ์มองแล้วก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่ยกมือขึ้นกอดอกเหมือนไม่ต้องการใกล้ชิดหญิงสาวเกินจำเป็น ยังผลให้รมิตาหมั่นไส้เขาเพิ่ม

เมื่อลิฟต์เคลื่อนตัว รมิตารู้สึกหวิวๆ และไม่ปลอดภัยจึงไขว่คว้าหาอะไรที่พอยึดได้ใกล้ตัวโดยอัตโนมัติ นั่นก็คือท่อนแขนของอเล็กซ์นั่นเอง ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูงอย่างไม่เชื่อสายตาว่าหญิงสาวคนข้างๆ จะกล้ามาถูกเนื้อต้องตัวเขา แต่พอเหลือบดูก็พบว่าตัวเธอมีใบหน้าซีดๆ อเล็กซ์หุบปากที่คิดจะพูดอย่างสุภาพให้เธอเอามือออกไปแล้วยอมอยู่เฉยๆ เป็นเสาให้เธอเกาะต่อไป

“โอ๊ะ! รอบนี้มีแต่คู่รักหรือนี่?” พนักงานให้บริการลิฟต์เอ่ยปากขึ้นด้วยสีหน้าแช่มชื่น

“ไม่ใช่/ไม่ใช่ค่ะ”

อเล็กซ์กับรมิตาเอ่ยปฏิเสธขึ้นมาพร้อมกัน ชายวัยกลางคนมองมือของรมิตาที่จับแขนฝ่ายชายอยู่อย่างงงๆ แต่ก็ขอโทษที่เข้าใจผิดพร้อมกับเริ่มพูดคุยกับแขกที่มาเยือน

“แล้วนี่มาจากที่ไหนกันบ้างล่ะครับเนี่ย”

รมิตาอยากจะเอามือออก แต่ยังรู้สึกไม่ดีอยู่ เลยจำใจอยู่ในท่าเดิมต่อไป

“ไทยแลนด์” อเล็กซ์ตอบ แต่พอรมิตาตอบกลับว่าไทยแลนด์เหมือนกัน ชายหนุ่มก็เบนสายตากลับมามองแวบหนึ่งแล้วเบนกลับไป ไม่พูดไม่จาตามเคย

“อ้อ...ผมก็ได้ต้อนรับคนไทยอยู่บ่อยครั้งครับ แล้วทางนี้ล่ะครับมาจากไหนกันเอ่ย? โอ๊ะๆ ให้ผมเดาดูก่อนไหมครับ น่าจะเป็นประเทศแถบสแกนดิเนเวียใช่ไหมครับเนี่ย...” พนักงานวัยกลางคนหันไปให้ความสนใจกับคู่สามีภรรยาที่มาจากสวีเดนมากกว่า เพราะเขารู้สึกได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ ไม่ค่อยเป็นมิตรจากชายหญิงที่มาจากประเทศไทย

เมื่อลิฟต์ขึ้นมาจนถึงห้องชมวิวบนความสูงหลายสิบเมตร ภาพแรกที่เห็นคือท่าเรือปอร์ต เบย ที่ถูกผืนน้ำสีฟ้าใสกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาโอบล้อมอยู่ เรือยอช์ตสีขาวจอดเรียงรายเป็นทิวแถวอยู่หน้าหมู่อาคารทันสมัยที่ตั้งอยู่ในทะเล ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำและอื่นๆ โดยมีสะพานไม้ที่มีรูปร่างหยักโค้งไปโค้งมาเหมือนคลื่นเป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างอาคารกับชายฝั่ง

ในระหว่างที่ทุกคนร้องว้าวด้วยความประทับใจกับสิ่งที่ได้เห็นอยู่นั้น อเล็กซ์ก็เดินออกจากลิฟต์ไปเป็นคนที่สองต่อจากพนักงาน ทำให้เขาสลัดหลุดจากมือของรมิตาไปแบบไม่น่าเกลียดนัก รมิตาเองก็มีอาการดีขึ้นเมื่อได้ชมทิวทัศน์ตรงหน้า ห้องชมวิวที่นี่เป็นห้องแคบมากขนาดที่ไม่สามารถเดินสวนกันได้ จึงทำให้ทั้งห้าคนต้องเดินวนรอบเข็มนาฬิกาเพื่อชมวิวให้ทั่ว ส่วนพนักงานก็ได้คำอธิบายว่าอาคารที่เห็นมีอะไรบ้าง อีกด้านหนึ่งของชายฝั่งก็คือตัวเมืองบาร์เซโลนา ถนนที่ใกล้สุดย่อมต้องเป็นถนน ลา รามบราในมุมสูงที่จะเห็นต้นเมเปิ้ลใหญ่ซึ่งอยู่สองข้างทางของถนนอย่างชัดเจนเป็นสีเขียวรื่นตาเรียงรายไปจนสุดถนนสมกับเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่กับตัวอาคารเก่าๆ อันสวยงาม ในหมู่อาคารที่โดดเด่นเป็นพิเศษหากไม่ใช่ยอดแหลมของโบสถ์หรือวิหารเก่าแก่ ก็จะเป็นตึกที่สร้างขึ้นใหม่รูปลักษณ์แปลกตาอย่างอาคารตอร์เร อักบาร์ซึ่งมีรูปทรงคล้ายผลแตงกวา ไกลออกไปเป็นขุนเขาสีเขียวขจีที่โอบเมืองบาร์เซโลนาอยู่

“ถ้าตกลงไป...คงจะเละแน่ๆ เลย ว่าไหม?”

ภาษาไทยประโยคแรกที่ออกมาจากปากของอเล็กซ์ทำให้รมิตาหันมองเขาอย่างนึกงงๆ ไม่เข้าใจว่าเขาพูดขึ้นมาทำไม?

“หา?...” ดวงตาเธอเหลือบลงมุมต่ำมองดูถนนและผู้คนที่เดินอยู่แล้วตอบ “อ่าใช่ คงจะเละแน่”

ตอนแรกอาการปั่นป่วนนั้นก็ดีขึ้นแล้ว แต่พอมามองถนนที่อยู่เบื้องล่าง เห็นรถราวิ่งไปมา ผู้คนที่ตัวเล็กๆ ข้างใต้ ก็ทำให้รมิตาเกิดหวิวๆ ขึ้นมาอีก หญิงสาวรู้ว่า เธอมีอาการกลัวที่สูงอ่อนๆ ถ้าไม่ใช่ลิฟต์แก้ว หรือพื้นใต้เท้าเป็นกระจก เธอก็สามารถขึ้นที่สูงได้ ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด อันที่จริงขอแค่มีที่ให้ยึดเกาะ เธอก็จะไม่รู้สึกแย่มากนัก...

พอเงยหน้าที่เริ่มซีดขาวขึ้นมอง ก็เห็นเพียงอเล็กซ์มองทิวทัศน์นอกกระจกด้วยสายตาที่ไม่สื่อความหมายใด ไม่ชื่นชม ไม่ยินดี...ว่างเปล่าแปลกๆ

‘เขาคงไม่ได้มีความคิดอยากกระโดดตึกใช่ไหม?’

รมิตาเบิกตากว้าง คิดอย่างหวั่นๆ แถมยังเผลอคิดล่วงหน้าไปแล้วว่า ถ้าเกิดอเล็กซ์คลั่งขึ้นมา เธอควรจะทำยังไงดี หรือว่าเธอจะได้ลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ที่นี่และที่เมืองไทย หัวข้อข่าวคงจะเป็น...

‘หญิงเคราะห์ร้ายตายอนาถ โดดกอดชายคิดสั้นหวังห้ามปราม แต่กลับกลายเป็นพากันตกลงไปตายทั้งคู่’

ในหัวมีแต่คำว่าทำยังไงดีๆ วิ่งวนให้วุ่น มือปัดไปโดนกุหลาบแดงที่ซื้อมาแล้วเสียบใส่กระเป๋าไว้ หญิงสาวก็ยื่นให้เขาอย่างไม่นึกอะไร แค่อยากหาอะไรมาเบี่ยงเบนความสนใจของเขาจากความคิดชั่ววูบ

“ให้คุณค่ะ”

“หา?” เป็นอเล็กซ์ประหลาดใจกลับบ้างที่จู่ๆ ก็มีดอกกุหลาบแดงดอกโตเข้ามาอยู่ในกรอบสายตา แน่นอนว่ามันเป็นของผู้หญิงข้างตัวเขา แต่ทำไมเอามันมาให้เขานี่สิ

“คุณต้องการอะไร?” เขาเผลอถามออกมา ในขณะที่พนักชายวัยกลางคนกับคู่สามีภรรยาเข้าใจผิดซ้ำสอง

“ฉะ ฉัน...ฉันแค่อยากให้ดอกไม้กับคุณเท่านั้น” เพราะเธอไม่ได้เตรียมเหตุผลมาก่อนก็เลยทำให้เอ่ยตะกุกตะกัก แล้วรมิตาก็ส่งยิ้มให้ เป็นรอยยิ้มที่พยายามจะแสดงความจริงใจที่สุดแล้ว

“เอาน่า ผู้หญิงเขาง้อแล้ว คุณก็อย่าเล่นตัวนักเลยน่า รับดอกไม้มาเถอะ อย่าทำให้เธอเสียใจสิ” คุณผู้หญิงชาวสวีเดนที่อยู่ด้านหลังรมิตาเอ่ยขึ้น เพราะทั้งคู่คุยกันเป็นภาษาไทย เธอจึงเดาเรื่อยเปื่อยไปว่า สองคนนี้น่าจะเป็นคู่หนุ่มสาวที่มีปัญหางอนกัน แล้วฝ่ายหญิงเป็นคนง้อก่อนด้วยการให้ดอกไม้

อเล็กซ์ขมวดคิ้วแน่นกับสถานการณ์พิลึกพิลั่นตรงหน้า

ผู้หญิงประหลาดยังไม่มีทีท่าจะเก็บดอกไม้คืนไป ส่วนอเล็กซ์ก็เผชิญกับสายตาคาดหวังของคนอีกสามคน ชายหนุ่มไม่ถึงกับไม่ดูบรรยากาศเลย แม้จะไม่อยากได้ไอ้กุหลาบบ้าๆ นี่ แต่เขาก็ยื่นมือไปรับมาอย่างเสียไม่ได้พร้อมเอ่ยคำขอบคุณห้วนๆ ด้วยสีหน้าแข็งทื่อ ไม่ได้รู้สึกขอบคุณเลยสักนิด หญิงสาวยิ้มหวานหยดย้อยให้และไม่ได้พูดอะไรตอบ

เสียงปรบมือดังแปะๆ ขึ้นทันทีจากบรรดาผู้ชมสามคนประหนึ่งว่าได้รับชมฉากหญิงสาวขอชายหนุ่มแต่งงานบนความสูงราวห้าสิบกว่าเมตรอยู่ ทั้งหมดมีรอยยิ้มอยู่เกลื่อนหน้า ทำให้บรรยากาศบนนี้ชื่นมื่นขึ้นในพริบตา หญิงชาวสวีเดนเอ่ยแสดงความยินดีกับรมิตาด้วย สาวไทยได้แต่กล่าวขอบคุณไปอย่างขี้เกียจแก้ความเข้าใจผิดที่ว่าเธอเป็นคู่รักกับอเล็กซ์

เมื่อเดินครบรอบห้องก็ได้เวลาจากลาห้องชมวิว ในลิฟต์ขาลงเสียงพูดคุยส่วนใหญ่มีแค่คู่สามีภรรยากับพนักงานที่ดูจะถูกคอกันดี ส่วนอเล็กซ์ยืนนิ่งกอดอกหน้านิ่ว ด้านรมิตาที่ใช้ยางอายบนหน้าตัวเองหมดไปแล้วก็นึกด่าตัวเองในใจว่า ทำบ้าอะไรลงไป...

ตอนที่ลงมายืนบนพื้นเรียบร้อย อเล็กซ์ซึ่งออกมาเป็นคนแรกนั้นหยุดยืนรอรมิตา แต่สาวเจ้าดูจะหมกมุ่นในความคิดของตัวเองมากไป ไม่ได้สนใจชายหนุ่มอีก ออกมาข้างนอกได้ก็ก้มหน้างุดๆ แล้วทำท่าจะเดินข้ามถนนไปยังถนนลา รามบลาที่อยู่ตรงข้าม

“คุณ!” อเล็กซ์เป็นฝ่ายเดินตามมาพร้อมกับรั้งแขนของหญิงสาวไว้ รมิตาหันมาอย่างงงๆ แล้วดอกกุหลาบนั่นก็ถูกยัดใส่มือของเธอ

“เอาดอกไม้ของคุณคืนไป ผมไม่อยากได้ แต่ที่รับไว้เมื่อกี้เพราะว่าผมไม่อยากหักหน้าคุณต่อหน้าคนอื่น เหมือนที่ความรู้สึกของคุณ ผมรับไว้ไม่ได้เช่นกัน”

ว่าแล้วอเล็กซ์ก็ไม่รอพูดคุยกับหญิงสาวที่เขาลงความเห็นว่าประหลาดอีก เขาหันหลังเดินตรงไปอีกทางหนึ่ง

คำพูดของชายหนุ่มนัยน์ตาสีฟ้านั้นทำให้รมิตายืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ราวๆ ห้านาทีก่อนจะเข้าใจว่า อีกฝ่ายคิดว่าเธอชอบเขา และเขาคบด้วยไม่ได้ กว่าจะตระหนักถึงความหมายที่เขาว่า ชายหนุ่มก็หายลับไปแล้ว

‘ถ้ายังมีความคิดหลงตัวเองได้ขนาดนี้ คงไม่มีทางคิดสั้นหรอก’

หญิงสาวนึกพลางรู้สึกชาไปทั้งหน้า...ที่ตนคิดเองเออเองแล้วยังต้องขายหน้าทำอะไรประหลาดๆ เพราะอยากยับยั้งการฆ่าตัวตายของเขา
‘พอที ฉันจะไม่ทำอะไรแบบนี้แล้ว!’

อเล็กซ์และรมิตาแยกทางกันตรงนี้ และเธอแอบหวังในใจว่า

‘อย่าได้พบกันอีกเลยเถอะ ตาคนหลงตัวเองได้โล่!’

*************************************

สาธุ มีคนคิดถึงฟ้าบ้างไหม๊ (อ้อนๆ)



ท้องฟ้า
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ก.พ. 2557, 02:43:17 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ก.พ. 2557, 02:43:17 น.

จำนวนการเข้าชม : 1246





   เดิมพัน >>
phugan 17 ก.พ. 2557, 19:09:26 น.
คิดถึงมากมาย.....ดีใจที่กลับมาค่ะ....^^


Soning 17 ก.พ. 2557, 21:20:53 น.
คิดถึงมากค่ะ เหมือนหายไปนานมาก...


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account