ภิรมย์รัก
กุลสตรี!

รุจิรดาแอบเบ้ปากด้วยความเบื่อหน่ายปนขุ่นเคือง
หากนับว่าการที่เธอยื่นมือออกไปช่วยเหลือน้องสาวของ หม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์ นั้นไม่เป็นกุลสตรี
หญิงสาวก็ยอมรับตามความจริง
แต่เมื่อคนที่ชี้ความจริงข้อนี้ให้เธอรู้เป็นพี่ชายของคนที่เธอช่วยเอาไว้
หญิงสาวจึงรู้สึกเหมือนตนกำลังทำคุณบูชาโทษ
ต่อแต่นี้ไปก็อย่าได้มาเจอะมาเจอกันอีกเลยเป็นดีที่สุด!

หากภาวนาไปไม่พ้นสามวัน
คนที่เธอไม่อยากพบเจออีกในชาตินี้ กลับมาเป็นอาจารย์ของเธอเอง
คราวนี้คงต้องฟังแลกเชอร์ว่าด้วย “ความเป็นกุลสตรี” เสียจนหูชาแน่ๆ
เธอต้องหาทางหนีสถานเดียว!

แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร...
ยิ่งพยายามหนีให้ไกลจากดวงตาสีดำคูคมนั้นเท่าไหร่
กลับยิ่งเหมือนอีกฝ่ายจะไล่ตามมาไม่ปล่อยเสียอย่างนั้น!

Tags: ย้อนยุค,ศิษย์,อาจารย์,ท่านชาย,ท่านหญิง,ความรัก,พีเรียด

ตอน: บทที่ 10 [70%] + บางตอนของนิยายอีกเรื่องค่ะ


“จริงๆ เลย เป็นเรื่องจนได้”

สุรเสียงหวานรับสั่งพึมพำกับองค์เอง หากเป็นเวลาปกติรุจิรดาคงถามหรือเย้าแหย่ให้อีกฝ่ายหายกังวล แต่อะไรบางอย่าง...กำลังเตือนเธอว่าอย่าอยากรู้เรื่องนี้ดีกว่า

โชคดีที่เจ้าของงานกำลังเดินมาพร้อมเครื่องดื่มในมือ และรอยยิ้มสดใสเต็มใบหน้า สีหน้ามนต์ณัฐเจื่อนลงเล็กน้อยเมื่อมองเห็นร่องรอยกังวลบนดวงพักตร์หวาน ก่อนที่จะวางแก้วเครื่องดื่มลงเบาๆ

“หม่อมเอาเครื่องดื่มมาเสิร์ฟแล้ว ขอประทานอภัยที่ทำให้ต้องรอนาน”

ชายหนุ่มกล่าวอย่างร่าเริง ริมโอษฐ์บางจึงแย้มสรวลออกมาบางๆ แต่ดูเหมือนยังไม่เป็นที่พอใจแก่คนมองเพราะมนต์ณัฐทำหน้าม่อยพลางถามเสียงอ่อนอ่อย

“โกรธหม่อมหรือที่ไปนาน หม่อมก็ว่าหม่อมรีบที่สุดแล้วนา แต่มีแขกมาทักเลยต้องแวะคุยหน่อย...นี่โกรธจริงๆ หรือ...”
ท้ายประโยคน้ำเสียงทอดอ่อนอย่างงอนง้อเต็มที่ จนท่านหญิงต้องสรวลออกมาเบาๆ “เปล่า หญิงไม่ได้โกรธณัฐซักหน่อย”

“แต่...”

“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้นล่ะจ้ะ” พักตร์งามแย้มสรวลกว้างขึ้น...เหมือนกำลังพยายามกลบเกลื่อนร่องรอยอะไรบางอย่าง “แล้วนี่ทักทายแขกทั้งงานแล้วหรือถึงมานั่งตรงนี้ได้”

“หม่อมจะไปทักแขกทั้งงานได้อย่างไร” ใบหน้าคมทำทะเล้นด้วยการค้อนเล็กๆ “บางคนก็เป็นแขกของคุณพ่อ ถ้ากลุ่มนั้นหม่อมก็ไปกราบท่านๆ แล้ว บางคนเป็นแขกของพี่ชายหม่อม บางคนเป็นแขกของแขกพี่ชายหม่อม บางคน...”

“พอเลยย่ะ รู้แล้วว่าไม่ได้ไป” รุจิรดาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ มนต์ณัฐมีข้อดีเช่นนี้เอง คือทำให้บรรยากาศและทุกคนที่อยู่ใกล้ผ่อนคลาย สบายใจ คล้ายอยู่กับเขาแล้วทุกสิ่งจะรื่นรมย์ไปทั้งหมด “แต่ณัฐก็มาช้าอยู่ดี เพราะฉะนั้นเราจะปรับโทษเอาล่ะ”

หญิงสาวทำท่าขู่ โดยที่อีกฝ่ายก็แกล้งทำเป็นกลัวหงอ วิ่งไปหลบอยู่ข้างหลังวรองค์บอบบางที่ประทับนั่งมองสหายเย้าเล่นกันอย่างสนุก

“หญิงอรช่วยหม่อมด้วย ยายรดาเขาจะเอาโทษอะไรหม่อมก็ไม่รู้!” ชายหนุ่มแกล้งทำเสียงสั่นคล้ายหวาดกลัวร่างเล็กกว่าตรงหน้าเสียเต็มประดา

ท่านหญิงอรกัญญาสรวลน้อยๆ หากแม้นจะกำลังสำราญอย่างที่สุด ทว่านิลเนตรคู่งามก็มิอาจปกปิดร่องรอยกังวลได้อย่างมิดเม้น “รดาจ๋า อย่าว่าอะไรณัฐเลย วันนี้ณัฐเป็นเจ้าของวันเกิดนะ ต้องดูแลแขกเหรื่อ เขาจะลืมพวกเราบ้างก็ไม่แปลกหรอก”

“อูยยย...หญิงอร นี่กำลังช่วยหม่อมจริงหรือนี่?” ร่างสูงโปรงโอดครวญ ใบหน้าหล่อเหลาดูกระจ่างตายามแย้มยิ้มเต็มที่ดังเช่นในเวลานี้
“หม่อมขอประทานอภัยจริงๆ อย่าได้โกรธเคืองอะไรกันอีกเลยนะ ทั้งคู่เลย”

หญิงสาวทั้งสองหันมาสบตากันเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่จะเอ่ยออกมาพร้อมๆ กัน “ไม่เอา!”

“ร้ายกันจริงๆ” ชายหนุ่มคนเดียวในกลุ่มบ่นอุบ หากเพียงชั่วพริบตาก็กลับมาตีหน้าล้อเลียนใหม่ “แล้วจะลงโทษกันยังไงล่ะ กระผมพร้อมรับโทษทัณฑ์แล้ว”

ใบหน้านวลลออตาผิดกับวันอื่นค่อยหันมาทางตุ๊กตาแก้วเจียระไนประจำกลุ่ม พลางถามอย่างนึกสนุก “หญิงอรว่าอย่างไรเพคะ จะลงโทษณัฐยังไงดี”

คราวนี้ดวงพักตร์หวานละมุนฉายแววเจ้าเล่ห์ขึ้นมาแล้ว ก่อนจะรับสั่งด้วยสุรเสียงเย้าแหย่ “หญิง...แล้วแต่รดาเลยจ้ะ”

“ได้เพคะ จะจัดให้เด็ดเลย” แม่ตัวยุ่งยิ้มหวานแฝงแววสนุกสนาน ทำเอาชายหนุ่มชักหนาวๆ ร้อนๆ ขึ้นมาเสียแล้ว “เพราะณัฐละเลยพวกเรา ดังนั้นตั้งแต่ตอนนี้ไป ณัฐจะต้องอยู่ห่างหญิงอรไม่เกินห้าก้าวจนหญิงอรกับเรากลับ ต้องคอยดูแลเอาใจ ถ้าขัดใจหญิงอรเมื่อไหร่ ก็ต้องถูกทำโทษขั้นรุนแรง”

ปฏิกิริยาของทั้งผู้ที่ถูกมาดหมายให้เอาใจ และถูกเอาใจแสดงออกมาเฉกเดียวกันทันที

“รดา!”

ชายหนุ่มเจ้าของงานนั้นแกล้งส่งเสียงแย้งเล่นๆ ทว่าท่านหญิงอรกัญญากลับตกพระทัยจริงๆ

...ไม่นึกว่ารุจิรดาจะเล่นอะไรแผลงๆ แบบนี้

หรือเป็นเพราะเธอรู้ว่าทรงรู้สึกเช่นไรกับชายหนุ่มข้างๆ จึง ‘เปิดโอกาส’ ให้ได้ใกล้ชิดกัน ทว่าไม่ทรงต้องการแบบนี้จริงๆ กับความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นเพราะเหตุบังคับเช่นนี้

และยิ่งผู้ที่ออกปากบังคับให้มนต์ณัฐต้องอยู่ข้างๆ พระองค์ เป็นหญิงในดวงใจของเขาด้วย

หม่อมเจ้าหญิงอรกัญญาเบือนเนตรงามไปทางอื่นอย่างขมขื่น ยิ่งเมื่อครู่เจ้าตัวเขาเองก็ถึงกับส่งเสียงออกมาด้วยความคาดไม่ถึงอย่างนี้ แสดงว่าเขามิได้เต็มใจสักนิด...

ทว่ามิทันได้รับสั่งแย้งหรือดำเนินการอย่างใดต่อ เพื่อนสาวที่ปราดเปรียวกว่านักก็ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน
“อ้อ ณัฐดูแลท่านหญิงไปนะ ประเดี๋ยวเราขอไปทำธุระส่วนตัวสักหน่อย ครู่เดียวก็จะกลับมาแล้ว อย่าปล่อยให้หญิงอรอยู่ตามลำพังเด็ดขาดเชียว เข้าใจไหม?”

เพื่อนชายเพียงคนเดียวในกลุ่มมิได้ตอบคำ หากอาการค้อมศีรษะล้อเลียนก็เพียงพอแล้ว รุจิรดาจึงโบกมือเล็กน้อย ก่อนจะเดินตรงไปยังตัวคฤหาสน์งดงามเบื้องหน้า

...เหตุการณ์เมื่อครู่ที่พบกับหม่อมเจ้าหญิงปทมาวรรณ อีกทั้งการขัดแย้งกันที่เกิดขึ้นมิได้หลุดรอดออกไปจากการสังเกตของเธอ และที่มากไปกว่านั้นคือ เธอรู้สึกได้ว่าจุดเชื่อมโยงของเหตุขัดแย้งนั้นอยู่ที่สร้อยเพชรเส้นงาม

เส้นที่อยู่บนคอของเธอตอนนี้นั่นเอง!

ดังนั้น...ดวงตากระจ่างใสสีน้ำตาลหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อมองเห็นวรองค์เพรียวระหงในชุดสีน้ำเงินเข้ม...ในเมื่อสร้อยที่อยู่บนคอของเธอตนนี้ถูกอ้างสิทธิ์ความเป็นเจ้าของโดยหญิงคนหนึ่ง ทั้งๆ ที่มันเป็นกรรมสิทธิ์โดยชอบธรรมของบุรุษอีกคนหนึ่ง ก็ไม่ผิดอะไรที่เธอจะอยากรู้และอยากค้นหาคำตอบ

ทว่าก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่า ที่อยากรู้คำตอบ เป็นเพราะอยากรู้เรื่องของสร้อย

...หรืออยากรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างท่านหญิงคนงามกับเจ้าของสร้อยกันแน่




บรรยากาศยามค่ำคืนในช่วงกลางฤดูหนาวค่อนข้างเย็น ลมที่พัดแผ่วเพียงน้อยนิดทำให้ใบไม้ขยับไหว ใต้แสงไฟพราวส่องให้เห็นความงดงามของคฤหาสน์และสวนดอกไม้โดยรอบได้อย่างชัดเจน ทว่าแสงเงายามราตรีนั้นอาจเรียกได้ว่างดงามยิ่งกว่ายามกลางวันนัก

หากบรรยากาศรื่นรมย์เคล้าเสียงดนตรีแผ่วพลิ้ว หรือความงดงามภายใต้แสงไฟนุ่มนวลก็ไม่ได้ทำให้หทัยของตุ๊กตาแก้วเจียระไนรื่นเริงขึ้นได้เลยสักนิด นิลเนตรงามแลเลยไปทางอื่นเสียเมื่อเห็นว่าเพื่อนชายมองตามร่างโปร่งบางของรุจิรดาตาละห้อย ก่อนจะถอนหายใจเฮือกออกมาดังๆ

“ช่วงนี้ไม่รู้เป็นไร รดาเขาไม่ค่อยอยากใกล้หม่อม”

“คงไม่มีอะไรหรอกกระมัง...”

“หม่อมว่ามี” มนต์ณัฐยังยืนยันเสียงหนัก ดวงตาส่อแววจริงจัง “ช่วงนี้ดูเขาปล่อยให้เราอยู่กันเองบ่อยขึ้น เหมือนกำลังวางแผนอะไรอยู่”

ดวงพักตร์งามร้อนผ่าว มิกล้าแม้แต่จะหันไปสบตากับชายหนุ่มแม้สักนิดเพราะเรื่องที่ทรง ‘สารภาพ’ กับรุจิรดาเสียหมดเปลือกนั้นก็นำพาความอุธัจมาสู่วรองค์บอบบาง มากเสียจนมิอาจทำหทัยปกติแล้วรับสั่งเหมือนเดิมได้

ทว่ากิริยาแปลกไปจากเดิมนั้นกลับอยู่ในสายตาของมนต์ณัฐเสียสิ้น “หญิงอร...เป็นอะไรรึเปล่า ดูพักตร์แดงๆ ไม่หันมาสบตาหม่อมด้วย”

“หญิง...หญิง...”

รับสั่งอ้ำอึ้งด้วยความที่ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ทว่าร่างสูงที่วันนี้อยู่ในชุดสูทสีครีมอ่อน เสริมให้ดูสดใสทว่าสง่างามกลับทำสีหน้าคล้ายเข้าใจโดยไม่ต้องให้อีกฝ่ายอธิบาย

“หม่อมรู้แล้ว ทรงเหนื่อย อยาก ‘เหวยสุธารสใช่ไหมกระหม่อม รอที่นี่ประเดี๋ยว หม่อมจะไปเอามาให้แป๊บเดียวจริงๆ”

ท่านหญิงอรกัญญาขยับโอษฐ์จะห้าม ทว่ามนต์ณัฐกลับก้าวยาวๆ ไปทางโต๊ะที่จัดวางเครื่องดื่มต่างๆ ไว้อย่างรวดเร็ว ทิ้งให้วรองค์บอบบางประทับนิ่งอยู่เพียงผู้เดียวอีกครั้ง

...ก็ไม่แปลกหรอก คนที่มนต์ณัฐอยากใช้เวลาอยู่ร่วมด้วยก็ไม่ใช่พระองค์อยู่แล้ว เป็นรุจิรดาต่างหากที่เขาอยากอยู่ใกล้ชิด เห็นแววตาเมื่อครู่ก็น่าจะรู้ ทว่าเพราะความเป็นสุภาพบุรุษของเขาต่างหาก จึงสะกดมิให้เขาแล่นออกไปตามหารุจิรดาไปในทันทีนี้เสียเลย

ไม่อยากอยู่ก็ไม่เห็นต้องฝืนใจเลย ยังไงก็ทรงดูแลองค์เองได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นจะต้องมีใครมาคอยประคบประหงม กะเกณฑ์อะไรต่างๆ ให้มากมายเหมือนที่พี่ชายและรดาทำให้ซักหน่อย!

ด้วยความคิดเช่นนี้ วรองค์บอบบางจึงลุกขึ้นเตรียมเสด็จไปอีกทางหนึ่ง ทว่าเดินไปเพียงแค่สองสามก้าว ชายฉลองพระองค์ก็เกี่ยวเข้ากับกิ่งกุหลาบที่ชูดอกบอบบางงามสล้างอยู่ใกล้ๆ ทางเดิน

“อุ้ย!”

หยาดพระโลหิตเริ่มซึมออกมาจากแผลที่ถูกหนามกุหลาบเกี่ยวตรงพระชงฆ์ เป็นทางยาว ความรู้สึกเจ็บแปลบแล่นปราด ทว่ามิได้มากมายเท่าใดนัก วรองค์แบบบางค่อยๆ ย่อองค์ลงเพื่อที่จะปลดฉลองพระองค์ออกจากต้นไม้ หากมิทันได้แตะโดนชายภูษา ก็มีเสียงทุ้มนุ่มดังอยู่เบื้องพักตร์ ยังมิทันได้ทอดพระเนตรให้ดีว่าเป็นใคร เจ้าของเสียงก็คุกเข่าลงตรงหน้าพระองค์แล้ว

ท่านหญิงอรกัญญาเกือบผงะถอยหลัง หากกิริยาคุกเข่า มือใหญ่ดูแข็งแรงเอื้อมมาปลดให้โดยพลันของชายหนุ่มร่างสูงในชุดทักซิโด้สีเทาเข้มมิได้จาบจ้วงล่วงเกินอันใด อีกทั้งดำริได้อย่างรวดเร็วว่าหากทรงถอยหลังในขณะนี้ กิริยาที่ออกมาคงมิงามเป็นแน่ จึงเลือกที่จะทรงยืนนิ่งๆ ให้เขาปลดชายภูษาให้อย่างเบามือ

“คุณบาดเจ็บ”

ดวงหน้าคมสันสมชายชาตรีแหงนเงยขึ้น นัยน์ตาสีดำสนิทฉายประกายนุ่มนวลสบเข้ากับนิลเนตรคู่งาม ชายหนุ่มมิได้ปล่อยให้ตนเองกลายเป็นเป้าในการถูกพินิจได้นาน มือหนาล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าไหมที่เสียบไว้กับกระเป๋าสูท ก่อนเอ่ยขออภัยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลดุจเดิม แล้วจึงค่อยๆ บรรจงแนบผ้าผืนนุ่มไปกับพระชงฆ์เรียวขาว ซับพระโลหิตออกให้อย่างเบามือ

ตุ๊กตาแก้วเจียระไนประทับยืนนิ่ง ดวงเนตรจับจ้องไปที่แผ่นหลังกว้างอย่างมิรู้จะทำประการใด ทว่าอีกเพียงชั่วอึดใจ ร่างสูงก็ถอยออกมาอย่างรู้มารยาท ก่อนจะค้อมศีรษะให้กับพระองค์เล็กน้อย

“ตอนนี้เลือดหยุดไหลแล้วครับ มันออกซึมๆ เฉยๆ เพราะถูกหนามกุหลาบเกี่ยวเข้าหน่อยเดียว แต่ผมว่าคุณควรจะไปล้างแผลสักหน่อยนะครับ”

“ไม่เป็นไรค่ะ” ถ้าล้างแผลหมายถึงการที่ต้องใช้แอลกอฮอล์เช็ดแผลให้แสบเล่นๆ ล่ะก็ ทรงยอมที่จะไม่ล้างแผลเสียดีกว่า “แผลเล็กนิดเดียวอย่างคุณว่า อีกอย่างเลือดก็หยุดไหลแล้วด้วย ไม่จำเป็นต้องล้างแผลหรอกค่ะ”
ริมโอษฐ์บางแย้มสรวลน้อยๆ เมื่อประกอบกับสุรเสียงอ่อนหวาน ก็ทำให้อีกฝ่ายอดที่จะเบิกตากว้างด้วยความชื่นชมมิได้

“ตามประสงค์ของคุณครับ คุณผู้หญิง” ดวงตาสีดำสนิทมองวรองค์บอบบางตรงหน้าอย่างสุภาพ “คุณคงเป็นเพื่อนของน้องชายผมใช่ไหมครับ ผมมนต์ชัยครับ”

คราวนี้เป็นทีของท่านหญิงอรกัญญาบ้างที่จะเบิกเนตรขึ้นน้อยๆ อย่างคาดไม่ถึง หากก็ก้มลงประนมหัตถ์ทำความเคารพเขาโดยปกติ “คุณเป็นพี่ชายของณัฐนั่นเอง ดิฉันอรกัญญาค่ะ เป็นเพื่อนของณัฐ”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ แล้ว...นี่ณัฐไปไหนครับนี่ ทำไมคุณถึงมาอยู่คนเดียวตรงนี้ครับ”

“เอ่อ...”

“ผมคงถามละลาบละล้วงเกินไป ขออภัย” ชายหนุ่มค้อมศีรษะให้อย่างสุภาพเมื่อเห็นกิริยาอ้ำอึ้งของวรองค์บาง “เพียงแต่แปลกใจเท่านั้นที่เขาเปล่อยให้เพื่อนเขารออยู่คนเดียวแถวนี้”

“ไม่ใช่ความผิดของณัฐหรอกค่ะ ดิฉันกับเพื่อนเลือกที่จะนั่งห่างๆ คนหน่อยเท่านั้นเอง แล้วพอดีเพื่อนดิฉันเขามีธุระบางที่ต้องไปจัดการ ประเดี๋ยวก็คงมากระมังคะ ส่วนณัฐ...”

“ก็อยู่ไหนไม่รู้” มนต์ชัยต่อให้จนจบประโยค รอยยิ้มพรายอยู่บนใบหน้า มิได้ฉายแววรื่นรมย์เท่าผู้เป็นน้อง ทว่าก็สามารถทำให้ผู้อยู่ใกล้สบายใจได้อย่างประหลาด ท่านหญิงอรกัญญาจึงแย้มสรวลเมื่อรับสั่งตอบ

“ไม่ใช่หรอกค่ะ ณัฐเขาไปหาเครื่องดื่มน่ะค่ะ”

ชายหนุ่มในสูทเทาพยักหน้ารับรู้น้อยๆ มิทันที่จะได้ต่อบทสนทนาอะไรกันอีก เสียงเพลงบรรเลงเป็นจังหวะวอล์ซแผ่วหวานก็ดังทั่วบริเวณ ร่างสูงหันหลังกลับไปดูลานกว้างหน้าน้ำพุที่ตอนนี้กลายเป็นฟลอร์เต้นรำในสวนไปเสียแล้ว ก่อนจะหันกลับมาดูร่างบอบบางงดงามราวตุ๊กตาแก้วเจียระไนอีกครั้ง แล้วจึงตัดสินใจเอ่ย

“จะให้เกียรติเต้นรำกับผมซักเพลงได้ไหมครับ คุณอรกัญญา”

ดวงเนตรงดงามเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยด้วยความประหลาดพระทัย ครั้นพอทรงคืนสติได้อีกครั้ง รับสั่งที่ตามมาจึงค่อนข้างอึกอัก

“คือ...พอดี...”

“ณัฐเขาขอเพลงนี้ไว้หรือครับ?” ดวงตาสีดำสนิททรงอำนาจต่างจากน้องชายเพ่งมองวงพักตร์หวาน ค้นหาร่องรอยความลำบากใจของอีกฝ่ายอย่างไม่คลาดสายตา

ได้ยินคำพูดเช่นนั้น รับสั่งปฏิเสธที่เตรียมเอาไว้จึงชะงักงันไปเสีย นิลเนตรงามฉายแววลำบากพระทัยขึ้นทันควัน จึงค่อยๆ ดำริก่อนที่จะให้คำตอบชายหนุ่มไป

จริงอยู่ที่มนต์ณัฐไม่ได้ขอเพลงนี้ไว้กับพระองค์ และจริงอยู่ที่เพลงวอล์ซเพลงนี้ก็ไม่ได้เป็นวอล์ซเปิดตัว สำหรับพระองค์เช่นเดียวกัน ดังนั้นหากจะทรงให้เกียรติเขาก็ไม่เป็นเรื่องน่าเกลียดแต่อย่างใด ทว่า...

แต่มนต์ณัฐก็ไม่ได้สนใจอะไรพระองค์เหมือนกัน...แล้วทำไมจะต้องสนใจด้วยเล่าว่าเขาจะมองพระองค์อย่างไร อีกอย่างนี้ก็พี่ชายของเขาเอง...

“คุณ...” น้ำเสียงนุ่มนวลทอดปลายเสียงอ่อนลง ท่านหญิงอรกัญญาหันไปสบเนตรกับดวงตาคมกริบของชายหนุ่ม แล้วจึงยื่นหัตถ์บางให้พร้อมกับแย้มสุรเสียงน้อยๆ

“ด้วยความยินดีค่ะ”



มนต์ณัฐถือแก้วก้านสูงสองใบเดินกลับมาทางโต๊ะที่ให้ท่านหญิงอรกัญญาประทับนั่งรออยู่

ก่อนที่ดวงตาสีดำจะเบิกกว้างด้วยความตกใจ เมื่อไม่เห็นวรองค์บอบบางของตุ๊กตาแก้วเจียระไนอยู่ที่เดิมแล้ว ชายหนุ่มวางแก้วเครื่องดื่มลงกับโต๊ะ ก่อนจะหันไปมองรอบด้านด้วยความรู้สึกร้อนรนอย่างประหลาด

...รดาอุตส่าห์ฝากท่านหญิงไว้กับเขาด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจอย่างที่สุด แล้วถ้าเกิดเธอเดินกลับมาแล้วไม่เห็นท่านหญิง จะไม่แหวใส่เขาเสียให้ถึงขนาดหรอกหรือ?

ท่านหญิงเองก็เถอะ ทั้งงานรู้จักใครที่ไหนกันนอกจากเขา รดา พี่ชายของท่านหญิงเอง แล้วก็แวววรรณที่เพิ่งเข้ามาในงานกับพ่อของเธอ และตอนนี้ก็ยังคงยืนคุยกับพ่อของเขาอยู่ ก็ในเมื่อไม่รู้จักใครแล้ว คนขี้กลัวอย่างท่านหญิงจะไปไหนได้เล่า...ไหนจะเรื่องที่ทรงมีอาการเจ็บที่พระอุระอีกล่ะ...

ร่างสูงเริ่มกลัดกลุ้มกังวลขึ้นมาทันที โดยที่ลืมไปเสียสนิทว่าให้อย่างไรหม่อมเจ้าหญิงอรกัญญาก็เป็น ‘สุภาพสตรี’ ผู้หนึ่งที่เคยออกงานสมาคมมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ไม่มีความจำเป็นใดที่ต้องห่วงให้มากถึงขนาดนั้น

เมื่อยืนรออีกครู่หนึ่งจนเพลงวอล์ซบรรเลงไปได้ครึ่งเพลงแล้ว ชายหนุ่มจึงเริ่มเดินเข้าไปในกลุ่มผู้คนในฟลอร์เพื่อมองหาวรองค์บอบบาง ทว่าเพียงปราดเดียวเขาก็เห็น...สีชมพูอ่อนสวย...คล้ายชายภูษาของใครบางคนที่คุ้นตาอย่างประหลาด

และเมื่อกระพริบตามองอีกที จึงได้เห็นวรองค์บางของสหาย...ดุจจะกำลังล่องลอยอยู่กลางกระแสลมอ่อน ชายฉลองพระองค์สีชมพูหวานพลิ้วสะบัดตามจังหวะการหมุนองค์ที่แสนจะงดงาม ท่วงท่าที่อ่อนช้อย และสอดคล้องเป็นอันดีกับคู่เต้นที่ดูขึงขังสง่างาม ขับเน้นให้ความอ่อนหวานในทุกจังหวะขยับไหวตามเสียงเพลงนั้นเย้ายวน...

...และตราตรึง

“โอ้ละหนอ...ดวงเดือนเอย
พี่มาเว้ารักเจ้าสาวคำดวง
โอ้ว่าดึกแล้วหนอ พี่ขอลาล่วง
อกพี่...เป็นห่วง รักเจ้าดวงเดือนเอย...”

มนต์ณัฐยืนนิ่ง มองดูวงพักตร์พิลาศแย้มสรวลกว้างยิ่งกว่าที่เขาเคยเห็น ยิ่งกว่าที่จะทรงเคยแย้มสรวลให้เขา...

มีอะไรให้ห่วงตรงไหนกัน...ไม่มีแม้แต่นิดเดียว!

“ขอลาแล้วเจ้าแก้วโกสุม
เออเอิงเอย...เออเอิงเอย”

อยากจะไปไหน ไปทำอะไร ก็ตามแต่ประสงค์เถอะ!

ทว่าต่อให้คิดอย่างนั้น ชายหนุ่มก็ไม่ได้ขยับไปไหน หากยังคงจ้องมองคู่เต้นรำทั้งสอง...ที่อดคิดไม่ได้ว่าช่างงามสมกันอย่างไม่ละสายาตา

แม้จะงามสมกัน...แต่ประหลาดที่เขาไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้นเลยแม้แต่น้อย

“พี่นี้รักเจ้าหนอ...ขวัญตาเรียม
จะหาไหนมาเทียม
โอ้เจ้าดวงเดือนเอ๋ย...”

จังหวะสุดท้ายจบลงพร้อมเสียงไวโอลินแผ่วพลิ้ว กังวานหวานแผ่ซ่านเข้าไปในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความชื่นมื่น พร้อมกับการหมุนตัวครั้งสุดท้ายของคู่เต้นรำ คราวนี้มนต์ณัฐแลเห็นพระพักตร์ที่กลายเป็นสีชมพูอ่อนด้วยโลหิตฝาดย้อมให้ดูอ่อนหวานยิ่งขึ้น ดวงเนตรพราวระยับเหมือนดาราคู่นั้นสบสายตากับพี่ชายของเขา ริมโอษฐ์บางสีกุหลาบแย้มสรวลอ่อนหวาน และถ้าเขามองไม่ผิด...ทรงแย้มสรวลอย่างกว้างขวาง แช่มชื่น และอ่อนหวานกว่าที่เคย


และเขาไม่ชอบใจเลยสักนิด!


.........................................................................................

เอาบางตอนจาก มนตราพิศวาส มาให้ลองอ่านดูว่าดราม่าบ้างรึเปล่าค่ะ

ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกระพริบเปิดขึ้นอีกครั้งก่อนจะรีบหลับลงเมื่อเจอกับแสงไฟสว่างจ้า กลิ่นเฉพาะสถานที่ทำให้หญิงสาวรู้ว่าตนเองอยู่ในโรงพยาบาล เมื่อปรับสภาพสายตาได้ จึงได้มองเห็นว่าท่อนแขนของตนเองมีสายน้ำเกลือ สายให้เลือดเสียบระโยงระยาง พร้อมกับเสียงคนคุ้นเคยที่ดังแว่วๆ หากแต่จับใจความไม่ได้

ก่อนที่มือบางจะรับรู้ได้ถึงสัมผัสอบอุ่น และน้ำเสียงปลอบประโลมของชายหนุ่มรุ่นน้อง

“พี่วีครับ รู้สึกเป็นยังไงบ้าง?” ดนัยบีบมือหญิงสาวด้วยแรงไม่มากนัก “ดีขึ้นรึเปล่า ยังเวียนหัวอยู่มากมั้ยฮะ?”

วีรยากระพริบเปลือกตาบางสองสามครั้ง ก่อนเอ่ยกระท่อนกระแท่น “ไม่...ไม่เป็นไรแล้ว”

ร่างบอบบางพยายามยันตัวขึ้นนั่ง หากอาการวิงเวียนพุ่งเข้ามาจู่โจมทำให้ศีรษะที่ยกขึ้นน้อยๆ ตกลงบนหมอนอย่างอ่อนแรง ดนัยรีบเข้าไปช้อนร่างหญิงสาวให้ลุกขึ้น ก่อนจัดหมอนให้ซ้อนอยู่ด้านหลังให้เรียบร้อย

นิติเวชสาวขมวดคิ้ว มองสายยางที่พาดผ่านร่างกายตนเองไปด้วยสายตาไม่ชอบใจนัก “พี่ไม่สบายขนาดนั้นเลยเหรอ นึกว่าหน้ามืดเพราะนอนน้อยซะอีก”

“ก็นอนน้อยน่ะสิครับ ต่อไปนี้ห้ามทำอย่างนี้อีกเข้าใจไหมพี่วี ห้ามหักโหมงานหนัก เดี๋ยวผมต้องแจ้งทางภาคด้วยว่าช่วงนี้พี่อาจจะต้องงดผ่าศพ ไปสอนเล็กเชอร์ นศพ. ก็พอแล้ว”

“พี่ไม่ได้ป่วยนะ”

“พี่ไม่ได้ป่วย” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงขึงขัง หากใบหน้าหล่อเหลากับสว่างจ้าด้วยรอยยิ้มยินดี “แต่พี่กำลังจะมีข่าวดี รู้รึเปล่า”

“ข่าวดี?”

ดนัยพยักหน้า ยิ้มกว้างขวางก่อนเอ่ย “พี่วีกำลังจะมีน้องแล้วครับ พี่วีท้องได้สองเดือนแล้ว”

ชั่วพริบตานั้นคุณหมอสาวพลันนิ่งงัน

ลูก...ลูกที่เกิดจากเขากับเธอ...กับความรักของ ‘เรา’?

หรือแค่ความรักของเธอเอง?

“ผมดีใจด้วยจริงๆ ฮะ พี่วี” ชายหนุ่มในเสื้อกาวน์ยาวเอ่ยอย่างตื่นเต้น ดวงตาเป็นประกายระยับ “ในที่สุดก็มีน้องซะที พี่มัดต้องดีใจแน่ๆ เลย”

หญิงสาวสบสายตาใสกระจ่างอย่างค้นคว้า ต้องการเพียงเศษเสี้ยวของกำลังใจจากใครซักคน ที่จะทำให้เธอตัดสินใจบอกเรื่อง ‘ลูก’ กับเขาได้

ลูกที่เขาไม่ต้องการตั้งแต่แรก

ลูก...ที่ไม่ใช่โซ่ทองคล้องใจ ทว่าจะเป็นกรรไกรที่ตัดสายสัมพันธ์ของเธอให้เขาให้ขาดออกจากกัน

“นัยว่า...คุณมัดจะดีใจเหรอ?” น้ำเสียงคนพูดแผ่วโหย ดวงตาเกิดผ่าวร้อนขึ้นมาเสียดื้อๆ พร้อมกับมีน้ำใสเอ่อคลอ วีรยาคว้ามือใหญ่ของอีกฝ่ายมาบีบไว้แน่น ดวงหน้าซีดขาวเงยขึ้นมองชายหนุ่มด้วยดวงตาที่คล้ายเด็กน้อยผู้โดดเดี่ยว ว้าเหว่ ไม่มั่นใจและไร้ที่พึ่งพิง “พี่ควรจะบอกเขาเหรอ?”

มือใหญ่อีกข้างกอบกุมมือน้อยที่วางอยู่ในอุ้งมือของตน บีบตอบเบาๆ อย่างให้ความมั่นใจเต็มเปี่ยม “พูดอะไรอย่างนั้นพี่วี พี่มัดต้องดีใจสิฮะ เขาจะได้เป็นพ่อคนแล้วนะ พวกพี่จะได้เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ มีพ่อ แม่ ลูกแล้ว อบอุ่นจะตาย เดี๋ยวนี้พี่มัดก็ดูเป็นห่วงเป็นใยพี่จนออกนอกหน้าแล้ว ยิ่งพี่ท้อง เขายิ่งต้องระวังให้มากๆ จะให้พี่ทำงานบ้านหนักๆ ไม่ได้แล้วด้วย”

“สรุปว่าพี่ควรบอก?”

“ควรฮะ” ชายหนุ่มบอกแข็งขัน “แล้วต้องบอกเรื่องอุบัติเหตุด้วย นี่รถเฉี่ยว ทำเอาพี่หัวปูดเลย ตอนแรกผมบอกหมอให้แอดมิดพี่ไว้ซักคืนนะ แต่หมอบอกว่าไม่น่าจะเป็นอะไร แถมบอกว่าอาจารย์วีรยาคงไม่ยอมนอนโรงพยาบาลแน่ๆ เพราะงั้นพี่ต้องบอกให้พี่มัดรีบกลับบ้านเร็วๆ มาดูแลหน่อยนะฮะ ของอย่างนี้ไม่บอก มารู้ทีหลังเขาจะเสียใจเอานะ”

วีรยานึกถึงท่าทางตอนไปเที่ยวด้วยกัน ชายหนุ่มผู้เป็นสามีคอยเอาใจไม่ห่าง บางที...เขาอาจจะเสียใจก็ได้หากไม่ได้พยาบาลเธอยามที่เธอเจ็บป่วยอย่างนี้

“อย่างงั้นสินะ...” คุณหมอสาวพึมพำเสียงเบา ก่อนเอ่ยต่อ “นัยหยิบโทรศัพท์ให้พี่หน่อย อยู่ในกระเป๋าพี่นั่นแหละ พี่จะ...โทรบอกเขาละกัน”

หนุ่มรุ่นน้องยิ้มกว้าง ดวงตาฉายแสงแห่งความเชื่อมั่น ก่อนจะส่งโทรศัพท์ให้เธอแล้วเดินออกไปเงียบๆ พลางกำชับพยาบาลไม่ให้เข้าไปรบกวนเวลาอันแสนวิเศษระหว่างสามีภรรยาด้วย

เมื่ออยู่ตามลำพังอีกครั้ง มือบางก็เริ่มสั่นระริกด้วยความหวาดหวั่น

ทว่า...ถ้าเธออยากจะลองเดิมพันอีกซักครั้ง

ถ้า...ความอบอุ่น อ่อนโยน อ่อนหวานที่ผ่านมา มันจะแปลได้ว่าเขาจะมีใจให้เธออีกซักหน่อย

ถ้า...เธอจะกอบกุมเอาความสุขในตอนนี้ โอบกอดมันไว้ ให้เวลาระหว่าง ‘เรา’ มันยืดออกไปอีก

เธอ...จะโลภเกินไปอีกรึเปล่านะ?

หญิงสาวในชุดเสื้อผ้าคนไข้สูดลมหายใจลึก เรียกความมั่นใจในแบบของแพทย์หญิงวีรยาขึ้นมา ก่อนปลายนิ้วเรียวจะกดโทรออก

หัวใจเต้นระรัวแข่งกับเสียงสัญญาณโทรศัพท์ กระหน่ำแรงเสียจนวีรยานึกว่ามันจะกระดอนออกจากปากภายในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง การรอคอยช่างให้ความกระวนกระวาย และทำลายความมั่นใจของเธอลงเรื่อยๆ พอๆ กับความโล่งอกที่พลุ่งขึ้นมาอย่างประหลาด คล้ายนักโทษที่ได้ยืดเวลาประหารไปอีกหน่อย

ทว่าก่อนที่เธอจะกดตัดสาย อีกฝ่ายหนึ่งก็รับโทรศัพท์พอดี

“...ครับวี”

น้ำเสียงปลายสายเหนื่อยอ่อนจนสังเกตได้ เสียงที่ลอดผ่านโทรศัพท์มาทำให้เดาได้ว่าบรรยากาศอีกฝั่งคงต้องวุ่นวายพอสมควร

ปากคอแห้งผากขึ้นมาทันควัน คุณหมอสาวกลืนน้ำลายเล็กน้อย ก่อนเอ่ย “คุณมัดยุ่งอยู่เหรอคะ?”

“ก็นิดหน่อย” คนเป็นตำรวจเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนือยๆ ฟังคล้ายเขากำลังหัวเสียอะไรบางอย่างอยู่อย่างนั้น “พอคุยได้ซักห้านาทีหรอก วีมีอะไรเหรอ?”

หญิงสาวนิ่งไปครู่หนึ่ง ดูเหมือนเธอคงโทรผิดเวลา แต่...นี่พักเที่ยง หรือว่าเขาทำงานจนเลยเวลากินข้าวอีกแล้ว แล้วอย่างนี้เธอยังจะเอาเรื่องไปรบกวนเขาอีกทำไมกัน

รอกลับบ้านก่อนก็ได้มั้งวีรยา...

“เอ่อ...” ไม่กี่ครั้งที่เธอจะอ้ำอึ้งอย่างนี้ “มีเรื่องอยากปรึกษานิดหน่อยค่ะ แต่คิดว่าเอาไว้รอคุณมัดกลับมาบ้านก่อนดีกว่า”

“รีบๆ คุยมาเลยดีกว่า เดี๋ยวผมอาจจะต้องกลับดึกหน่อย พอดีมีธุระน่ะ”

“อ้อ...”

คุณหมอสาวไม่ทันได้พูดอะไรต่อ เมื่อได้ยินเสียงแปลกๆ จากปลายสาย เป็นเสียงผู้หญิง

...เหมือน...เสียงผู้หญิงที่เธอคุ้นๆ

...เหมือนกับคนที่มัฆวานเคยแนะนำให้รู้จัก และมาบอกเธอภายหลังด้วยน้ำเสียงเล่นๆ ว่าผู้หญิงคนนั้นเคย...

“มัด ยังเลือกอาหารไม่ได้เหรอคะ ดาหิวแล้วนะคะ คุณกินเสร็จแล้วค่อยโทรคุยไม่ได้เหรอ”

...ได้ยินเสียงสามีของเธอตอบผู้หญิงคนนั้น
“ผมกำลังคุยกับหมอวีอยู่”

“ก็เอาไว้กลับไปคุยกันที่บ้านไม่ได้เหรอคะ ตอนนี้ถ้าคุณไม่รีบกินข้าวซะเดี๋ยวก็หมดเวลาพักอีก ตอนเย็นนี้คุณก็ต้องไปกับดาด้วย แล้วจะเอาแรงที่ไหนไปล่ะคะ หรือจะกินรวบมื้อเย็นเลย ไม่ไหวมั้ง...”

เสียงหัวเราะใสปานระฆังแก้วของอีกฝ่ายแว่วออกมาให้ได้ยิน ริมฝีปากบางของ ‘หมอน้ำแข็ง’ เผยอน้อยๆ อย่างคาดไม่ถึง ก่อนที่เธอจะได้ยินเสียงปลายสายที่คราวนี้เป็นชายหนุ่มพูดชัดเจน

“วี...” น้ำเสียงมัฆวานราบเรียบ “ผมกินข้าวอยู่กับลดาวัลย์น่ะ เอาเป็นว่าธุระของคุณด่วนรึเปล่า ถ้าไม่ด่วนเอาไว้ผมกลับบ้านหรือพรุ่งนี้ค่อยคุยกันได้ไหม วันนี้เดี๋ยวผมต้องไปกับเค้ายาวเลย พอดี...”

“ไม่เป็นไรค่ะ” คุณหมอสาวเอ่ย ราบเรียบดุจ ‘คุณหมอน้ำแข็ง’ คนเดิม “คุณทานข้าวให้อร่อยนะคะ ธุระฉันไม่ด่วนเท่าไหร่ รอให้คุณกลับบ้านหรือหายเหนื่อยก่อนค่อยคุยนะคะ”

“งั้นแค่นี้ก่อนแล้วกันนะ บายครับ”

เสียงสัญญาณตัดสายดังกังวาน ทว่าหญิงสาวกลับยังคงถือโทรศัพท์แนบหูอยู่ นิ่งอยู่อย่างนั้น

กระพริบตาเบาๆ เมื่อรู้สึกตัวว่ายังคงถือมือถือค้างอยู่ท่าเดิม วีรยาค่อยๆ วางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะข้างเตียง เสียงหัวเราะกังวานหวานของหญิงสาวที่อยู่กับสามีตัวเองคล้ายดังก้องอยู่ในสมอง ไม่ยอมเลือนหายไปเสียที

ลดาวัลย์...ผุ้หญิงที่มัฆวานแนะนำเองว่าเป็นคนรักเก่าของเขา!

ผู้หญิงคนที่เคยเข้ามาหาเธอถึงในบ้าน มาแนะนำตัวเองกับเธอ มาทานข้าวกับเธอพร้อมกับผู้ชายคนนั้น มาทำให้รู้ว่าตนเองนั้นรู้ใจมัฆวานแค่ไหน เคยมีความสัมพันธ์กันลึกซึ้งแค่ไหน

ผู้หญิงที่บอกกับเธอว่า รู้ว่าเธอแต่งงานกับชายหนุ่มเพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้น ยังไงก็ต้องหย่ากันในสักวัน

...วันที่เธอมีลูก

ลำคอฝาดขมขึ้นมาทันที อาการปั่นป่วนในช่องท้องพลุ่งพล่าน หญิงสาวพยุงกายลุกขึ้นจากเตียงแต่ก็ซวนเซ มือน้อยกำเสาน้ำเกลือแน่น อีกมือหนึ่งคว้าเก้าอี้ตัวที่ดนัยนั่งเมื่อครู่ ค่อยๆ เดินไปจนถึงห้องน้ำทั้งๆ ที่พะอึดพะอมอย่างหนัก

หลังจากอาเจียนเอาแค่น้ำย่อยขมฝาดเจือเปรี้ยวออกมาจนเกือบหมดกระเพาะ คุณหมอสาวจึงค่อยก้มลงล้างหน้า ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเจอใบหน้าซีดขาวของตนเองที่ดูย่ำแย่เหลือทนจึงอดไม่ได้ที่จะจ้องมอง

...เธอทำหน้าบึ้ง ไม่สวยอีกแล้วนะวีรยา...

‘ยิ้มหน่อยสิคุณ คุณยิ้มแล้วสวยออก’

เสียงอ่อนโยนของสารวัตรหนุ่มคล้ายแว่วมาให้ได้ยิน

‘นี่ ส่องกระจกนี่ เห็นมั้ย คุณยิ้มแล้วสวยจัง หน้าตาสดใสขึ้นตั้งเยอะ ปกติทำหน้าตาบูดบึ้งไม่สวยเลย ทั้งที่จริงๆ คุณก็เป็นคนที่ทั้งสวย ทั้งน่ารักแท้ๆ แต่ดันชอบทำหน้าให้คนกลัวอยู่ได้ รู้มั้ย พอเรายิ้มแล้ว ปัญหาต่างๆ มันจะดูหนักหนาน้อยลงทันทีเลยนะ เราจะสบายใจขึ้นอีกเยอะเลย’

‘ดูในกระจกสิ รู้มั้ยว่าผมกำลังเห็นอะไร...ผมกำลังเห็นผู้หญิงที่สวยที่สุดอยู่นะ’

ริมฝีปากบางสั่นระริก พยายามคลี่ยิ้มให้กับกระจกบานยาวตรงหน้า

ทว่าสิ่งที่กำลังสะท้อนให้เห็น คือใบหน้าบิดเบี้ยว เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาของผู้หญิงคนหนึ่ง ยิ่งพยายามยิ้มมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้ใบหน้าขาวซีดนั้นไม่น่าดูมากยิ่งขึ้น

...ฉันยิ้มแล้ว ไม่เห็นสวยขึ้นเลย

...ฉันยิ้มแล้ว ไม่เห็นสบายใจขึ้นเลย

...ฉันยิ้มแล้ว แต่คุณก็ไม่อยู่ดูมัน

โทสะและความรู้สึกที่กักเก็บไว้พลันทะลักทลาย โหมกระหน่ำดุจพายุหมุน ชั่วขณะนั้นหญิงสาวลืมสิ้นทุกอย่าง เนิ่นนานเหลือเกินที่เธอต้องอดทน ต้องเข็มแข็ง ต้องคอยทนเห็นสามีตนเองไปดูแลคนรักเก่าที่ดูอ่อนแอน่าทะนุถนอม เนิ่นนานแค่ไหนที่เธอได้แต่ทำตามใจเขา ทำเพื่อเขา หวังเพียงแค่เขาจะมีความสุข ทว่าสิ่งที่ได้กลับมาคือความเจ็บช้ำไม่รู้จบรู้สิ้นเสียที

“เธอทนมาได้ยังไงกัน...วีรยา”

น้ำเสียงสั่นระริกถามตนเองซ้ำๆ ภาพในสมอง เสียงในความทรงจำคอยตอกย้ำซ้ำเติม วนเวียนอยู่ไม่รู้จบสิ้น

อดทนไปทำไมกัน...เจ็บปวดจนแทบขาดใจตายซ้ำๆ ซากๆ เพราะอะไรกัน เพียงเพื่อให้สุดท้ายเธอก็กลายเป็นผู้หญิงเข้มแข็ง เป็น ‘คุณหมอน้ำแข็ง’ ผู้ไร้ความรู้สึกอย่างที่เขาพูดอย่างนั้นเหรอ?

ถ้าเธอเป็นน้ำแข็งจริง แล้วความเจ็บ แล้วน้ำตานี่คืออะไร?

ผู้หญิงเข้มแข็งอย่างเธอ ในความคิดของเขา คงไม่มีหัวใจใช่ไหม?

“เธอมันโง่ วีรยา” หญิงสาวพึมพำ ดวงตาฉายแววที่แม้แต่ตนเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร น้ำตายังคงรินไหล พร้อมกับหัวใจที่แหลกสลายลงช้าๆ “ทนไปแล้วได้อะไร ยิ้มมันช่วยอะไรเธอได้! ทำไปทำไม! ทำไม! ทำไม!”

มือข้างหนึ่งกระชากสายน้ำเกลือออกจากแขน ความเจ็บปวดที่ร่างกายไม่เท่ากับความเจ็บลึกล้ำในจิตใจ

“หยุดมองกระจกได้แล้ว! มันไม่ช่วยอะไรเธอ! ยิ้มบ้าๆ นี่ก็ไม่ได้ช่วยอะไร!”

ด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่เหลืออยู่ ร่างบอบบางยกเก้าอี้เหล็กขึ้น กระชับกับมือให้มั่น ก่อนจะเหวี่ยงไปกระทบกับกระจกครั้งแล้วครั้งเล่า!

เสียงเปรี้ยงดังสนั่น เศษกระจกแตกเปรื่อง กระจายกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย ดูไปแล้วก็เหมือนกับหัวใจเธอ

ไร้ค่าสิ้นดี...

“พอกันที!”

เหวี่ยงเก้าอี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า กรีดร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้กับความเจ็บช้ำ น้ำตาหยาดรินไม่รู้เท่าไหร่ให้กับดวงใจที่แหลกสลาย หญิงสาวคล้ายบ้าคลั่ง เท้าเปล่าเดินเหยียบเศษกระจกโดยไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆ เพื่อที่จะได้เหวี่ยงเก้าอี้เข้ากับกระจกที่เหลือ น้ำเสียงกรีดร้องดังก้อง ทว่ายังไม่สามารถกลบเสียงหัวเราะแว่วหวานที่ยังคงตราตรึงอยู่ในสมองได้



ปณัชญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 ก.พ. 2557, 04:10:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 ก.พ. 2557, 04:10:43 น.

จำนวนการเข้าชม : 3197





<< บทที่ 10 [70%]    บทที่ 11 [50%] >>
lovemuay 20 ก.พ. 2557, 06:36:55 น.
ถ้าณัฐไม่รู้สึกตัวเร็วๆหล่ะก็ ถูงพี่ชายงาบไปไม่รู้ด้วยนะ


Sukhumvit66 20 ก.พ. 2557, 11:24:48 น.
โอ๊ย..อีกเรื่องก็น่าติดตามค่ะ..
มาอัพไวไวนะค่ะ


nunoi 20 ก.พ. 2557, 16:25:08 น.
เมื่อไหร่ณัฐจะรู้ตัวสักทีนะ ว่าแอบหึงหญิงอรอยู่
เรื่องของคุณหมอน้ำแข็ง น่าติดตามมากค่ะ แล้วเรื่องปฎิบัติการแอบรัก จะลงต่อหรือเปล่าค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account