กลรักนฤมิต (ชุดหน่วยซีล)
มือสไนเปอร์หนุ่มพูดน้อย แห่งหน่วยเรดทีมจู่โจม SEAL team six
ด้วยอาชีพการทำงานทำให้เขาไม่ได้เอาใจใส่พี่สาว ซึ่งเป็นคนในครอบครัวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของเขา
หลังจากได้รับอุบัติเหตุแขนหักจนต้องพักงานยาว เขาจึงเดินทางกลับมาที่บ้านอีกครั้ง
ณ ที่แห่งนี้เองที่ทำให้ชีวิตของเขาต้องเปลี่ยนไป
พี่สาวคนเดียวเสียชีวิตไปอย่างปริศนา
โค้ดลับแปลกๆ เกี่ยวกับชื่อของเทพเจ้ากรีก

คนเดียวที่จะช่วยไขปริศนานี้ได้คือหญิงสาวคนหนึ่งที่ก้าวเข้ามาในชีวิตของเขา
ยายสาวแว่นตัวเล็กแต่งตัวเรียบร้อยประหนึ่งแม่ชีในโบสถ์ แต่กลับมาเขย่าหัวใจของเขาได้เพียงแค่สบตากัน
'ไอ้โจรข่มขืน' กับ 'ยายแว่นจอมเฉิ่ม'
จากคู่กัดกลายเป็นคู่รักที่ไม่น่าเป็นไปได้
เธอเข้ามาเพียงเพราะสมุดจดบันทึกแล็บของพ่อเธอ และสมุดแล็บของพี่สาวเขา จะนำไปสู่การไขปริศนาลับอันตราย

การทดลองทางพฤษศาสตร์ที่ใช้ชื่อว่า Pearly คือทางเดียวที่จะบอกได้ว่าคนพวกนี้ต้องการอะไร

ณ ห้องแล็บเล็กๆ กลางป่าแห่งนี้เปลี่ยนหัวใจที่เคยด้านชาให้มีชีวิตชีวา รู้จักคำว่ารักที่แท้จริง
เช่นเดียวกับอันตรายต่างๆ นานาและความเจ็บปวดมหาศาลที่จะตามเข้ามา
โดยที่เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลยแม้แต่นิดเดียว
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 6 เป้าหมายมีไว้พุ่งชน 2



มาแว้วค่าาาาาาาาาาาาาา

อ่านต่อเลยนะคะ ^^

.....................................................


ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ หญิงสาวร่างเล็กจึงเลือกที่จะนั่งเงียบๆ ไปตลอดทาง เขาขับรถอีกราวสิบห้านาทีก็มาถึง เธอจำได้เพราะเห็นร่างสูงผอมของเด็กหนุ่มปากเสียวิ่งออกมารับน้าชายที่หน้าบ้าน


“หายไปนานเลยนะฮะ”


“หลานผมชื่อลินคอน” เจ้าของน้ำเสียงเข้มกระซิบเบาๆ ที่ข้างหู ก่อนหันไปหาหลานชายของตนเอง “มีเรื่องคุยกันนิดหน่อย”


“สรุปว่าพี่ชื่ออะไรล่ะฮะ”


“แมร์”

“ว้าว!” ลินคอนเลิกคิ้วล้อเลียนน้าชายของตนเอง ท่ามกลางเสียงจึ๊กจั๊กในลำคอแข็งแกร่งที่บ่งบอกเริ่มรำคาญหลานชายตัวดีเต็มแก่


“ทำอะไรกินไว้บ้างล่ะ”


“เยอะเลยฮะน้าเจย์...พี่แมร์ไปกินด้วยกันไหมฮะ” เด็กหนุ่มมองข้ามหลังน้าชายมาเอ่ยชวนหญิงสาว ท่ามกลางความสนใจของเจ้าหล่อน แต่...


“เค้ารีบกลับบ้าน”


“เอ๊ะ!” สาวแว่นนิ่วหน้า รีบขยับกรอบแว่นของตนเองแล้วมองผู้ชายตรงหน้าอย่างขวางๆ เธอหิวไส้จะขาดอยู่แล้ว แต่ผู้ชายคนนี้ก็ช่างไม่มีน้ำใจเอาเสียเลย


“พี่แมร์ยังไม่ได้พูดเลยนะน้า”


“มันดึกแล้ว”


“พี่แมร์พักที่ไหนฮะ” เด็กหนุ่มไม่สนน้าชายหน้าดุเลยแม้แต่น้อย แต่กลับหันไปหาหญิงสาวตัวเล็กที่ยืนหันรีหันขวางอยู่ที่หน้ารถของตนเอง


“อ้อ...คือว่าพี่ไปพักในเมืองน่ะจ้ะ”


“ไปพักในเมืองทำไมฮะ ไกลจะตาย ทางก็เปลี่ยว นอนที่นี่ก็ได้ฮะพี่แมร์”


“แต่ว่า...” เจ้าของใบหน้ากลมป่องหันกลับไปมองชายหน้าดุ แล้วก็พบสีหน้าไม่ยินดียินร้ายของเขา ชายหนุ่มเดินเข้าไปในบ้านและออกมาอย่างรวดเร็ว พร้อมด้วยกระเป๋าสะพายของเธอ นี่คือการไล่อย่างอ้อมๆ ใช่ไหม


“ไม่เอาดีกว่า พี่ขับรถกลับได้”


“มันไกลนะฮะ”

“แต่...”

“โธ่พี่ ไม่ต้องกลัวหรอก ผมไม่ทำอะไรพี่แน่ ส่วนน้าผมเขาเป็นทหาร เขาไม่ทำร้ายผู้หญิงหรอกฮะ”

คนฟังมองเด็กหนุ่มตรงหน้าที สลับกับชายหนุ่มร่างใหญ่ท่าทางน่ากลัวที แล้วก็ได้แต่ขนลุกอย่างนึกขยาด จะให้ค้างกับชายฉกรรจ์หน้าเหี้ยม กับไอ้หนุ่มรุ่นกระทงปากเสียน่ะหรือ ไม่มีทาง!


“พี่ว่าพี่กลับดีกว่าค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ขับรถดีๆ นะฮะ” เด็กหนุ่มโบกมือลาสาวแว่นหน้ากลมที่รีบรุดขึ้นรถไปทันทีโดยไม่หันกลับมามองสองน้าหลานอีกเลย จนกระทั่งเธอออกรถไปแล้ว จึงได้หัวเราะออกมาเสียงดังลั่น


“เขากลัวอะไรของเขาน่ะน้าเจย์”

“ช่างเถอะ” นายทหารเรือหนุ่มถอนหายใจอย่างปลงๆ จำท่าทีตื่นกลัวทุกอย่างรอบตัวของหญิงสาวคนนั้นได้ แต่ในความตื่นกลัวนั้น เธอกลับมีบางอย่างที่น่าค้นหาเหลือเกิน


เจ.ที.นึกไปถึงตอนที่เจอกับเธอครั้งแรก การพบกันที่ไม่น่าประทับใจเท่าไหร่ เพราะเธอมาขัดจังหวะเวลาที่กำลังอาบน้ำสบายตัว เขาเลยทั้งตะคอกทั้งตะโกนใส่หน้า นึกรำคาญยายแม่ชีแว่นหนาที่ตามตื๊ออะไรได้นักหนา รำคาญมากๆ ก็เลยปิดประตูใส่หน้าเสียเลย แต่แล้วแม่เจ้าประคุณก็ยังจะตามเคาะตามเรียกจนเขาต้องเปิดประตูให้อีกครั้ง คราวนี้สิเด็ดกว่า เพราะผ้าขนหนูเจ้ากรรมที่พันกายไว้หลวมๆ หลุดลงมากองอยู่หน้าเธอพอดิบพอดี ไหนจะการที่เจ้าหล่อนไปแอบดูบทเลิฟซีนดุเดือดระหว่างเขาและคู่ขาชั่วคราวนั่นก็อีก


ชายหนุ่มจำได้ว่าแวบแรกสาวน้อยแว่นหนามีท่าทางตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด เมื่อหล่อนได้เห็น ‘อะไรบางอย่าง’ ของเขาเต็มตา แต่แล้วก็กลับค่อยๆ เมียงมองลอดนิ้วมืออย่างใจกล้า ทำให้ เจ.ที.ค้นพบได้ทันทีว่าภายใต้ความใสซื่อขี้กลัวเหมือนลูกแมว สาวคนนั้นยังซ่อนความอยากรู้อยากเห็นไว้เต็มเปี่ยม ความคิดนี้ทำให้จุดรอยยิ้มค่อยๆ กระจายบนใบหน้าคร้ามเข้ม ที่นานๆ ทีจะเกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้นสักครั้ง จนหลานชายที่ยืนมองอยู่ถึงกับร้องแซวเสียงดัง


“น้าเจย์ยิ้ม!” เด็กหนุ่มอุทานแล้วชักสีหน้าเจ้าเล่ห์เข้าใส่ “ตายล่ะ ฟ้าฝนตกห่าใหญ่แน่เลย น้าเจย์ชอบพี่แมร์ใช่ไหมล่ะ”


“ไอ้...”


“ชอบก็จีบสิน้า พี่แมร์ก็น่ารักดีนะ”


“ฉันไม่ได้ชอบ”

“แน่เรอะ งั้นผมจีบนะ”

“จะบ้าเหรอ” นายทหารเรือหนุ่มเสียงดัง “แก่กว่านายตั้งเยอะ”


“นิดเดียวเองน้า สบายๆ นะ ผมชอบคนแก่กว่าน้าไม่รู้เรอะ”

“ไอ้เด็กบ้า”


“น้าเจย์ก็ผู้ใหญ่ปากแข็งละว้า” แล้วนั่นก็คือประโยคสุดท้ายที่เด็กหนุ่มมาดกวนได้พูดออกมา เพราะต้องรีบวิ่งหนีหน้าแข้งของน้าชายไปตลอดทางจนเข้าบ้าน นี่เป็นครั้งแรกที่สองน้าหลานได้หัวเราะอย่างจริงจังและผูกพันกันอย่างที่ควรจะเป็น







รุ่งเช้าของอีกวัน สองน้าหลานก็ตื่นมาตั้งแต่ตะวันยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้าดี พากันออกกำลังกายอย่างหนักเพราะเจ.ที. เองก็ถอดเฝือกออกแล้ว จึงต้องกายภาพตนเองเช่นกัน ซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไรมาก เขาพยักหน้าให้หลานชายว่ายังไหว เพราะว่าหนักกว่านี้ก็เคยเจอมาแล้วเช่นกัน


“น้าเจย์ วันนี้ผมขับรถไปเองนะฮะ” เด็กหนุ่มวิ่งตึงตังลงมาจากชั้นบนของบ้าน พร้อมด้วยกระเป๋าเป้ใบโตของตัวเอง


“ขับไปเองได้ใช่ไหม”

“ได้ฮะ ส่วนน้าใช้มอเตอร์ไซด์ในโรงนาก็ได้นะฮะ”

“มันยังใช้ได้อยู่เหรอ”

“ก็ซ่อมสิฮะ ทีเมื่อวานยังซ่อมรถโชว์สาวได้อยู่เลย” ลินคอนยักคิ้วกวนๆ จนชายหนุ่มต้องส่งสายตาดุๆ กำราบ


“เออ ไปไหนก็ไป แล้วอย่ากลับเย็น ฉันมีของเล่นให้นายดู”

“ครับผม!” หลังจากตะเบ๊ะน้าชายแล้ว ร่างสูงผอมของลินคอนก็เผ่นแผล็วออกไปจากบ้านอย่างรวดเร็ว

มือสไนเปอร์หนุ่มหัวเราะลงคอ เขาเดินเข้าไปในโรงรถแล้วจัดการเปิดหน้าต่าง มองไปยังมอเตอร์ไซด์บิ๊กไบต์คันเก่าแล้วถอนหายใจอย่างปลงๆ มันเคยเป็นคันโปรดของเขาแต่ทิ้งไปนาน คงจะถึงเวลาต้องซ่อมจริงๆ แล้วกระมัง

เจ.ที.เดินไปหยิบอุปกรณ์ออกมา แล้วเริ่มต้นตรวจรักษา ‘แม่หนูกวินเน็ธ’ แสนรักทันที





แม้ว่าแสงตะวันแรกโผล่พ้นขอบฟ้านานแล้ว แต่กว่าที่มธุรดาจะตื่น ก็ปาเข้าไปเป็นครึ่งค่อนวัน เหตุเพราะเมื่อคืนเธอใช้เวลาขับรถออกมาจากวินด์ฟิลด์ไปมากทีเดียว แล้วไหนจะเดินทางมาบ้านพักของพ่อชานเมืองแคนซัสซิตีอีกล่ะ ชีวิตเธอเคยต้องไปไหนมาไหนคนเดียวกี่ครั้งกันเชียว เพราะตั้งแต่จำความได้ นี่คงจะเป็นครั้งที่สองกระมังที่เธอ ‘แหกกฎ’ การใช้ชีวิตที่ผู้เป็นพ่อวางไว้ให้


มธุรดาเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของนายแพทย์คาร์ลอส สมิธ ศัลยแพทย์ฝีมือดีที่หันไปเอาดีทางด้านชีวเคมีแทน ส่วนแม่ก็เป็นดีไซน์เนอร์แบรนด์ดัง พ่อของเธอมักจะสอนให้สนใจเรื่องเรียนมากกว่าเรืองอื่นๆ ดูแลเธออย่างดีจนมธุรดาไม่ต่างจากไข่ในหินทีเดียว เธอสนิทกับพ่อ ตามพ่อไปโรงพยาบาลมาตั้งแต่เด็กๆ ส่วนกับแม่ก็ไปด้วยบ้างแต่นานๆ ครั้ง เพราะที่ทำงานของแม่คนเยอะกว่าและมีแต่พวกแต่งตัววับๆ แวมๆ เดินบนเวที พ่อเลยไม่อยากให้ลูกสาวเข้าไปคลุกคลี


พ่อของเธอสอนไม่ให้ทำอะไรที่เสี่ยงอันตราย ทุกอย่างต้องอยู่ในความปลอดภัย อาหารการกินต้องครบห้าหมู่ อะไรที่เสี่ยงต่อสุขภาพและความปลอดภัยต้องยกเว้น และมธุรดาก็ทำตามที่พ่อสอนทุกอย่างจนเหมือนพวกระแวงชีวิตไปแล้ว จะทานอาหารต้องคำนวณแคลอรี หลีกเลี่ยงอาหารก่อมะเร็งทุกอย่าง ข้าวของเครื่องใช้ต้องสังเกตฉลากโภชนาการเพื่อความปลอดภัย


เธอใช้ชีวิตอย่างนี้มาเรื่อยๆ จนคุ้นเคยกับมัน เวลาผ่านไปกระทั่งโตเป็นสาว มธุรดาไม่เคยต้องเสี่ยงอันตรายอะไรเลย เธอมักจะกลัวทุกครั้งที่ลองทำอะไรใหม่ๆ คราวนี้ก็เช่นกัน หลังจากที่ไปเจอกับน้องชายของเจสสิก้ามาแล้ว เธอก็รู้ตัวทันทีว่าผู้ชายคนนั้นไม่ธรรมดา แม้ว่าท่าทางเขาจะไม่ใช่คนร้าย แต่ก็ดูอันตรายไม่น้อยทีเดียว และนั่นก็ทำให้ความกล้าอันน้อยนิดที่สะสมมาทั้งชีวิตเริ่มหายไป เพราะความกลัวเข้ามาแทนที่เสียแล้ว


เอายังไงดี เธอควรจะถอนตัวตอนนี้ดีไหม ใจหนึ่งก็เห็นด้วย ออกห่างจากเขานั่นแหละดีที่สุดแล้ว ขืนเข้าไปใกล้แล้วเขาทำอย่างเมื่อคืน...แค่คิด คนตัวเล็กก็หน้าตาแดงก่ำไปหมด เธอพยายามไล่ความทรงจำนั้นออกจากหัวแล้วก็พบว่ามันไม่ง่ายอย่างที่ตั้งใจเลย แค่เจอกันไม่กี่ครั้งเธอยังเอาแต่คิดถึงเขาได้ขนาดนี้ หรือว่าเธอควรจะไปให้ไกลๆ เขาดีนะ


ในขณะที่ใจหนึ่งคล้อยตามว่าให้กลับมหาวิทยาลัยไปเสีย แต่อีกใจก็กลับค้าน เธอกลัวว่าถ้ากลับหอพักแล้วจะเจอพวกคนที่บุกรุกห้องเธอ หรือว่าจะถูกตามอีก มธุรดายังอยากรู้ว่าเพราะทำอะไรให้คนพวกนั้นไม่พอใจหรือไรถึงได้ตามขุดคุ้ยไม่เลิก และยิ่งเวลามาเปิดสมุดบันทึกสีแดงของพ่อคราวใด เธอก็พบพิรุธเต็มไปหมด และเธอไม่จะอาจรู้ได้เลยว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะอะไร ถ้าหากไม่ได้สมุดอีกเล่มของเจสสิก้า อี. สไวเกอร์ ซึ่งเธอเชื่อว่าจะต้องมีแน่ๆ นักวิทยาศาสตร์จะต้องจดบันทึกการทำปฏิบัติการทุกครั้งเสมอ และมันจะต้องอยู่ในบ้านหลังนั้นด้วย


แต่เธอไม่อยากไปเผชิญหน้ากับน้องชายของเจสสิก้านี่น่ะสิปัญหาใหญ่!


คนตัวเล็กจำต้องบิดกายไปมาอย่างเกียจคร้าน พยายามสูดลมหายใจเข้าปอด ทำใจให้กล้าๆ เข้าไว้ แล้วลุกขึ้นจากที่นอนอย่างช้าๆ เดินชนโน่นชนนี่ไปตลอดทางจนกระทั่งถึงห้องน้ำ รีบทำธุระส่วนตัวจนเรียบร้อยพร้อมออกเดินทาง วันนี้เธออยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวเนื้อบาง และกางเกงขายาวรัดรูปสีเหลืองสด แว่นสายตากรอบหนาอันเดิมประดับอยู่บนดั้งจมูก ผมยาวถูกมัดแล้วขมวดเป็นมวยที่กลางศีรษะ แล้วรีบวิ่งลงไปขึ้นรถคันโปรดของตัวเองไปทันที



พอร์ชสีเหลืองแล่นไปตามเส้นทางหลวงไปยังเมืองวินด์ฟิลด์ เธอเข้ามาถึงเขตตัวเมืองแล้ว แต่ก็ต้องไปต่อเพราะบ้านของพวกสไวเกอร์นั้นอยู่รอบนอกเข้าไปอีก เรียกว่าเป็นชนบทขนานแท้เลยก็ได้ สองข้างทางมีแต่ไร่ข้าวโพด ทุ่งหญ้า และ...


เอ...เมื่อคืนมีมีทุ่งข้าวสาลีถัดจากตรงนี้นี่นา

สาวแว่นพยายามเค้นความทรงจำของตนเอง เธอจอดรถลงที่ข้างทางแล้วเอื้อมมือไปหยิบแผนที่ที่เก็บไว้บนช่องเก็บของ แต่มันหายไปแล้ว!


“ซวยแล้วแมร์!” แผนที่หายไป สมุดโน้ตที่เธอใช้จดเลขพิกัดตำแหน่งของบ้านก็หายไป แล้วบ้านสไวเกอร์มันอยู่ส่วนไหนของโลกนี้กันล่ะเนี่ย...


มธุรดาถอนหายใจแล้วซบหน้าลงกับพวงมาลัยอย่างทดท้อ ถ่อมาถึงที่นี่แต่กับสะเพร่าขี้ลืมบ้าง ทำของสำคัญหายไปบ้าง คิดแล้วก็ได้แต่กลุ้มใจ มนุษย์โลกคนไหนจะเป็นแบบเธอบ้างนะ


คนตัวเล็กติดสินใจลงจากรถแล้วมองซ้ายทีขวาที ยังไม่มีรถราผ่านมาเลยแม้แต่คันเดียว นานเกือบชั่วโมงจนหญิงสาวถอดใจ ไม่แน่ใจว่าควรจะกลับไปเอาแผนที่ที่บ้านดีหรือไม่ แต่เธอก็ไม่อยากเสียเวลาเลยแม้แต่นิดเดียว อย่างไรเธอก็ยังอยากไปหาบันทึกการแล็บของนางพยาบาลเจสสิก้าให้ได้


ร่างแบบบางเดินวนไปวนมาต่ออีกสักพัก ในที่สุดพระเจ้าก็ทรงเมตตาเธอแล้ว หญิงสาวมองเห็นรถแทรกเตอร์คันหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาตรงตำแหน่งที่เธอยืนอยู่ ทีแรกก็กลัวว่าจะไว้ใจได้หรือเปล่า แต่แล้วหญิงสาวก็ยิ้มออกมาอย่างยินดี เพราะคนที่ขับแทรกเตอร์คันนั้นก็รุ่นคุณปู่แล้ว ไม่มีแรงทำมิดีมิร้ายเธอแน่นอน


“ช่วงด้วยค่ะช่วยด้วย!” เจ้าของน้ำเสียงใสร้องลั่น จนคุณปู่หยุดรถในที่สุด


“รถเสียเหรอหนู”

“ไม่ใช่ค่ะ ฉันมาหาเพื่อนแต่ว่าทำแผนที่หาย บ้านเขาอยู่แถวนี้แหละค่ะ”


“เพื่อนชื่ออะไรล่ะ”

“เจ.ที.ค่ะ เขาชื่อเจ.ที สไวเกอร์”

“อ๋อ” คุณปู่บนรถแทรกเตอร์ลากน้ำเสียงดูถูก “ไอ้เด็กเวรนั่นน่ะหรือ”


“คะ” มธุรดาผงะทันทีที่ได้ยินสรรพนามที่คุณปู่แทรกเตอร์เรียกชายหนุ่มคนนั้น


“ขับไปอีกไมล์ก็ถึงแล้วหนู ก่อนถึงไร่ข้าวโพดของมันน่ะจะเป็นทุ่งหญ้าว่างๆ สังเกตแค่นั้นแหละ”


“ขอบคุณค่ะ” คนตัวเล็กผละไปขึ้นรถยนต์สีเหลืองสดของตนเองทันที แต่กลับโดนผู้สูงวัยกว่ารั้งไว้


“ระวังหน่อยก็ดีนะหนู”

“ทำไมเหรอคะ”

“ไอ้เด็กเปรตสไวเกอร์ นั่นแหละฉายามัน”


“เขาร้ายขนาดนั้นเลยหรือคะ”


“มีเรื่องข่มขืนตอนอายุ 14 เสพยาตอนอายุ 15 แค่นี้พอไหมล่ะสำหรับคนแบบนั้น” แล้วคุณปู่ก็ขับรถแทรกเตอร์กลับไปทันที ไม่สนใจท่าทีเหมือนคนโดนตีแสกหน้าของมธุรดาเลย


คนตัวเล็กกลืนน้ำลายอย่างหวาดๆ ข่มขืน...ติดยา แม้จะเมื่อวานจะมีเสียงของเด็กหนุ่มที่ชื่อเลินคอนช่วยยืนยันแล้วว่าเขาเป็นทหาร เป็นคนดีแน่นอน แต่ก็ยังอดคิดมากไม่ได้ คนี่ยืนยันก็ล้วนแต่เป็นเพื่อนและคนรู้จักของเขาทั้งนั้น ทหารเขาต้องหัวเกรียนไม่ใช่หรือ แต่นี่ไว้ผมเผ้าหนวดเครารุงรัง


หรือว่าความจริงเขาจะเป็นอย่างที่คุณปู่คนนี้ว่า และพวกนั้นคือพวกขบวนการค้ามนุษย์!


มธุรดาจินตนาการอย่างหวาดผวา รีบกลับมาที่รถ ตั้งใจว่าจะกลับมหาวิทยาลัยในทันที หญิงสาวคิดดีแล้วว่าจะไม่ขอเจอหน้าเขาอีกเด็ดขาด หากจะต้องไปพัวพันกับโจรข่มขืนอย่างเขาแล้วล่ะก็...เธอขอลาขาด


แต่...


“นี่มาอีกแล้วเหรอ” เสียงเข้มดุดันที่ดังอยู่ข้างกายทำให้ร่างเล็กสะดุ้งทันที นี่มันเสียงของเขานี่!


“คุณ...”

“มาทำอะไรที่นี่อีกล่ะ ผมว่าคุณกลับไปแล้วเสียอีก” ปากพูดออกไป แต่ในใจของ เรือตรี เจ.ที. สไวเกอร์ กลับกำลังลุกโลดด้วยความยินดี ไม่คิดว่าจะเห็นเธอที่นี่อีก เพราะหลังจากเหตุการณ์เมื่อคืน ชายหนุ่มก็คิดตลอดเวลาว่าเธอคงจะกลัวจนไม่กล้ากลับมาแน่ แต่แล้วเธอกลับมาปรากฏตัวอยู่ตรงนี้ นี่หญิงสาวแว่นหนาตรงหน้าจะรู้ตัวหรือเปล่าว่าสร้างความปรารถนาที่เคยหลับใหลอยู่ลึกสุดในใจของเขาให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง


ร่างสูงใหญ่ในชุดแจกเกตหนังสีดำและกางเกงยีนสีซีดลงจากรถมอเตอร์ไซด์บิ๊กไบต์ของตัวเอง แล้วเดินดุ่มเข้ามาหา ท่าทางขึงขังที่พาให้หัวใจของมธุรดาสั่นรัวด้วยความหวาดหวั่น ความกล้าหายไปจนหมดสิ้น


“มะ...มาหาคุณ แต่...แต่ว่า...”

“ขับตามมาสิ”

“ฉันว่าฉันกลับดีกว่าค่ะ” อาการหน้าซีดตัวสั่นของเธอทำให้เจ.ที.หรี่ตามองด้วยความสงสัย


แววตาดุดันของเขาทำให้คนตัวเล็กกว่ายิ่งสั่น หน้าก็นิ่ง อาการหรี่ตามองคนแบบนี้มันยิ่งทำให้เขาดูเจ้าเล่ห์เข้าไปใหญ่ มธุรดาอยากจะร้องไห้โฮออกมาเสียเลย ใจบอกว่าให้กลับแต่ขาเจ้ากรรมก็ไม่ยอมขยับเขยื้อนเลยแม้แต่นิดเดียว นี่เธอกลัวเขาจนจะบ้าตายอยู่แล้ว


“ไปบ้านก่อนเถอะคุณ จะเป็นลมอยู่แล้ว รถจอดไว้นี่แหละ ไปกับผมดีกว่า”


“ไม่ค่ะ ฉันขับไหว”

“งั้นนำหน้าผมไปเลย เดี๋ยวผมขับตามเอง เผื่อเป็นอะไรจะได้ช่วยทัน อีกไม่ถึงค่อนไมล์ก็ถึงบ้านผมแล้ว”

“แต่...”

“เดี๋ยวนี้แมร์!”

เท่านั้นแหละ สาวแว่นก็ลนลานขึ้นแล้วแล้วรีบออกไปทันที โดยไม่คิดจะเหลียวไปมองผู้คุมหน้าโหดบนรถมอเตอร์ไซด์บิ๊กไบต์ที่ตามมาเลยแม้แต่นิดเดียว


.............................................

มาเลี้ยวค่าาาาาาาาาาาาาาา
มาช้ายังดีกว่าไม่มานะคะ

มาตอนสั้นไปไหมอ่ะ ไว้ตอนหน้าจะมาใหม่นะ จะเอาตอนสั้นๆ หรือยาวๆ ดีน้าาาาาาาาา

น้องแมร์เรานี่ขัดแย้งในตัวเองมากถึงมากที่สุด ดูนางไม่ค่อยไหวนะ ตูนก็เพิ่งจะเคยเขียนนางเอกสติแตกได้ขนาดนี้

เดี๋ยวนางเอกพี่เจสันในภารกิจปราบพยศจะฮาบ้าบอกว่านี้อีกค่ะ ฮ่าๆๆ

อ่านแล้วเม้นด้วย ถ้าไม่อยากโดนตูนสาปแช่ง!!!


รักคนอ่านเสมอมานะค้า

กรรัมภา (กนิษวิญา)






กนิษวิญากรรัมภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 ก.พ. 2557, 20:45:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ก.พ. 2557, 20:45:39 น.

จำนวนการเข้าชม : 1398





<< บทที่ 6 เป้าหมายมีไว้พุ่งชน 1   บทที่ 7 คนขี้กลัว 1 >>
แว่นใส 27 ก.พ. 2557, 09:40:16 น.
ก็ถูกไซโคไว้เยอะ ก็ต้องกลัวไว้บ้าง


nasa 27 ก.พ. 2557, 22:44:43 น.
แต่ละคน พูดซะไม่มีดี อุตส่าห์เป็นถึงซีลนะนี่


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account