ไฟรักทรายเสน่หา
'ทะเลทรายมักแอบซ่อนความรักและมนตร์ขลังเอาไว้เสมอ' ‘เจน’ สาวน้อยลูกครึ่งไทย-อาหรับ รับรู้มาตลอดว่าตนเองเป็นชาวทะเลทราย ทว่าวันหนึ่ง ‘ไฟซารห์’ เจ้าชายหนุ่มรูปงามกลับเข้ามาทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง...หญิงสาวจะทำเช่นไรเมื่ออดีตถูกเปิดเผยและความรักก็เร่งเร้ารุนแรงจนเธอไม่อาจสั่งการหัวใจตนเองได้
Tags: ทะเลทราย ความรักหวานซึ้ง เข้มข้น

ตอน: 3

ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะคะ ^^

ในอดีต...ประเทศซาราเวียเกิดขึ้นโดยการรวมตัวของชนเผ่าทะเลทรายหลายๆ เผ่า และตกลงกันว่าจะแต่งตั้งสุลต่านขึ้นดูแล

ตอนนั้นเผ่าอัลคาซานมีความแข็งแกร่งที่สุด ทว่าชาวมัสตาฟากลับหาฐานเสียงจากเผ่าต่างๆ จนได้รับเสียงข้างมากให้มีสิทธิ์แต่งตั้งสุลต่านคนแรกขึ้น สร้างความไม่พอใจให้แก่ชาวอัลคาซานเป็นอย่างมาก พวกเขาหันหลังให้ซาราเวียและแผ่อิทธิพลในทะเลทรายคาร์นัค จึงเป็นที่รู้กันว่าแม้ทะเลทรายคาร์นัคจะรวมอยู่ในแผนที่ประเทศซาราเวียแต่ถ้าเข้าเขตทะเลทรายอำนาจของสุลต่านแห่งซาราเวียก็ไม่มีความหมายแต่อย่างใด

ด้วยเหตุนี้เมื่อ 19 ปีที่แล้วสุลต่านอัสตาฟาจึงเชื้อเชิญท่านซารานแห่งอัลคาซานมาที่ซาราเวียเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีและหวังรวมดินแดนแผ่นดินกับทะเลทรายไว้ด้วยกัน แต่ผลลัพธ์กลับเป็นว่าทั้งสองเผ่ายังบาดหมางกันและสุลต่านอัสตาฟาก็หันหลังให้อัลคาซานทำให้ฝ่ายนั้นยังมีอิทธิพลเหนือทะเลทรายคานัคต่อไปสร้างความไม่เข้าใจและไม่พอใจให้กับหลายๆ คน

ในเบื้องหน้านั้นการมาซาราเวียคราวนี้จึงหมายถึงการเจรจาอีกครั้งของทั้งสองเผ่า ทว่าในเบื้องหลังกลับยังมีบางอย่างซับซ้อน แต่ทุกอย่างก็ต้องมาหยุดชะงักเพราะท่านซารานล้มป่วย

“ท่านพ่อคะ”

เจนนาห์พรวดพราดเข้ามาในกระโจมมือข้างหนึ่งปลดเสื้อคลุมของตนออกส่งให้รีฮานและก้าวเข้าไปใกล้บิดาที่นอนอยู่บนเตียงโดยไม่สนใจคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่

“ไปไหนมาเจนนาห์”

เสียงของนีสรีนดังขึ้นทำให้คนถูกเรียกเงยมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเจื่อนๆ ญาติสาวอีกคนหนึ่งจึงส่ายศีรษะ

“โธ่ช่างเถอะนีสรีน เจนนาห์ก็หายออกไปแบบนี้อยู่บ่อยๆ ถ้าต้องดุกันทุกวันเธอกับชีคก้าก็คงจะเหนื่อยแย่”

“ก็เพราะอย่างนั้นแหละฉันถึงต้องถาม” นีสรีนยังเสียงเข้ม ในฐานะลูกสาวคนเดียวของชีคก้านาบีร่าภรรยาคนแรกของท่านซาราน ทำให้เธอมีอำนาจควบคุมและดูแลน้องๆ แทนบิดา

“เอาเถอะๆ มาก็ดีแล้วล่ะ ท่านชีคถามหาหนูหลายครั้งแล้วนะเจนนาห์” ชีคก้านาบีร่าขัดขึ้น

“หนูก็อยู่แถวๆ นี้แหละค่ะแม่ชีคก้า” เจนนาห์ขยับไปใกล้ๆ เตียงย่อตัวลงก่อนจับมือบิดาไว้ “พ่อคะ เป็นยังไงบ้างคะ มือของพ่อร้อนจังเลย ทานยาแล้วไม่ดีขึ้นเลยเหรอคะ”

“เจนนาห์ พ่อมีเรื่องจะพูดกับลูก” ท่านซารานครางในลำคอ “มีบางอย่าง...ที่เราจะต้องคุย...แค่กๆๆๆ”

สิ้นเสียงนั้นท่านซารานก็ไอออกมาติดๆ กันและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เจนนาห์ไม่ได้คิดเรื่องที่บิดาพูดเมื่อครู่เพราะความเป็นห่วงซึ่งมีมากกว่า เธอกลัวว่าพ่อจะหายใจไม่ทันจึงรีบพยุงลุกขึ้นนั่งก่อนลูบหลังหวังจะบรรเทาอาการ ทว่าอีกฝ่ายก็ยังไอหนักจนกระทั่งชีคก้านาบีร่าสั่งให้รีฮานออกไปพาผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามา

“บีดัน มาแล้วครับ”

หญิงผู้นั้นมีวัยพอๆ กับภรรยาของท่านชีคแต่รูปร่างผอมกว่า เธอท่องมนตร์บางอย่างและให้ท่านซารานดื่มยาที่เตรียมไว้ทำให้ชายมีอายุค่อยๆ ผลอยหลับลง

“พ่อเป็นอะไรเหรอคะแม่ชีคก้า” เจนนาห์ถอยออกมายืนข้างๆ ชีคก้าและนีสรีน

“บีดันบอกว่าแค่อ่อนเพลียจากการเดินทาง” ชีคก้าตอบพร้อมถอนหายใจ “แต่ฉันสงสัยว่าเขาคงเป็นมานานแล้วแต่อดทนมาตลอดทางมากกว่าเพราะไม่อยากให้ใครเป็นห่วง จนกระทั่งเมื่อเช้าฉันได้ยินเสียงไอเลยเข้าไปดูก็เห็นท่านชีคอยู่ที่เตียงมีไข้แล้วก็ไออย่างหนัก”

“ตั้งแต่เช้าเลยเหรอคะ บีดันจัดยาให้หรือยังคะทำไมตัวของพ่อยังร้อนอยู่เลย” เจนนาห์ถามขึ้นอย่างสงสัย

“ท่านพ่อกินยาของบีดันมาตั้งแต่เช้าแล้วล่ะเจนนาห์ พวกเราดูแลพ่อมาตั้งแต่เช้าแล้ว ใครจะปล่อยให้พ่อนอนอยู่เฉยๆ โดยไม่ได้รับการรักษาล่ะจ๊ะ” นีสรีนเป็นผู้ตอบ บีดันเป็นชื่อเรียกหมอยาประจำเผ่าอัลคาซาน เธอเป็นหญิงพรหมจรรย์และเป็นน้องสาวของท่านซารานจึงเป็นที่เคารพยำเกรงของทุกคน

“แล้วทำไมยังไอน่ากลัวแบบนั้นอยู่อีกล่ะ ตกลงพ่อแค่อ่อนเพลียจริงๆ เหรอ ถ้าแค่อ่อนเพลียกินยาครึ่งค่อนวันก็น่าจะดีขึ้นบ้าง” เจนนาห์หันไปถามอาการของบิดาจากบีดันอย่างเป็นห่วง แต่คนอื่นทำท่าตกใจที่หญิงสาวกล้าถามเชิงซักไซ้ขนาดนั้น

“เจนนาห์”

ชีคก้านาบีร่ารีบเรียกผู้ที่ตนเองดูแลตั้งแต่เด็กอย่างปรามๆ ตามปกติแล้วทุกคนต่างเกรงใจบีดันเพราะหล่อนเป็นน้องสาวของชีคซารานและเป็นที่เคารพของคนในเผ่า ไม่มีใครกล้าค้านหรือสงสัยในสิ่งที่บีดันพูดเลยสักครั้ง...แต่เรื่องนั้นยกเว้นเจนนาห์ หญิงสาวมักมีความเห็นไม่ลงรอยกับบีดันเสมอ ครั้งหนึ่งที่รุนแรงก็ตอนเธอแอบพาเด็กหญิงคนหนึ่งไปจากกระโจมรักษาคนป่วยของบีดันเพื่อให้หมอในตัวเมืองอียิปต์รักษาเพราะไม่เชื่อที่บีดันบอกว่าเด็กคนนี้โดน ‘วิญญาณร้ายเข้าสิง’

“เมื่อเช้าเธออยู่ที่นี่หรือไง! ถ้าไม่ได้อยู่และไม่รู้ว่าอาการเขาดีขึ้นหรือแย่ลงก็อย่าพูดดีกว่า” บีดันพูดออกมาเป็นครั้งแรก เสียงของเธอดังและดุดัน

“ฉันก็แค่เห็นว่าพ่อไอมาก”

เจนนาห์อธิบาย เธอไม่ได้คิดอะไรนอกจากพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง สภาพของบิดา เมื่อนอนอยู่บนเตียงเช่นนี้น่าใจหาย ท่านผอมลงมาก ใบหน้าซีดเซียว หายใจเสียงดังแถมไอจนตัวสั่นสะท้าน แต่บีดันก็ไม่สนใจนอกจากพูดขึ้นดังๆ ให้ทุกคนได้ยิน

“แล้วเรื่องที่นัดคุยกับสุลต่านอัสตาฟาล่ะจะทำยังไง ช้าไม่ได้นะ เอาเป็นว่าเรามาตกลงกันใหม่ดีไหม ให้รีฮานไปเรียกประชุมพวกผู้ชายด้วย...ตอนนี้เลย”

“แต่ฉันว่า...เราน่าจะรอก่อน...” ชีคก้ามีอาการลังเลผสมเกรงใจ บีดันจึงดุทันที

“มัวแต่รอ รออะไรอีก”

“แล้วทำไมต้องรีบด้วยล่ะคะ ถ้าบีดันบอกว่าพ่อไม่เป็นอะไรมาก เราก็รอให้พ่อดีขึ้นก่อนก็ได้นี่” เจนนาห์เห็นท่าทางของชีคก้าแล้วจึงพูดขึ้น “หรือถ้าอยากให้พ่อหายเร็วๆ พรุ่งนี้เจนจะเข้าไปตามหมอในเมืองมาช่วยดูให้อีกแรงหนึ่ง”

“เจนนาห์” นีสรีนดุขึ้น เธอมีความสนิทสนมกับน้องสาวของบิดาคนนี้มาก “เราเป็นเด็ก ไม่ต้องออกความเห็นหรอก แล้วเรื่องหมอน่ะพูดจาอะไรก็ต้องให้เกียรติผู้ใหญ่บ้าง พี่คิดว่าเราควรจะตามหมอมาเมื่อบีดันบอกว่าเธอไม่สามารถรักษาได้แล้ว เราอยู่กันมาทุกวันนี้ก็มีแต่บีดันช่วยรักษานะจ๊ะ เราต้องให้ความเชื่อถือและให้เกียรตินางด้วยถึงจะถูก”

“เจนก็ไม่ได้ว่าอย่างนั้นนี่คะ ฉันแค่คิดว่า...เราน่าจะห่วงอาการของพ่อมากกว่าอะไรทั้งนั้น แล้วก็เราจะรออยู่อย่างนี้เหรอคะ...” เจนนาห์ไม่คิดว่าตนเองไม่ให้เกียรติบีดัน เธอรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นรักษาทุกคนด้วยยาสมุนไพรซึ่งก็มีประโยชน์ไม่น้อยทว่าบางครั้งบีดันก็ถือตัวเองเป็นใหญ่เกินไปและไม่ค่อยฟังคนอื่น ซึ่งข้อนี้แหละที่ทำให้นางผิดพลาด

เท่าที่หญิงสาวรู้คือโอเอซิสใหญ่ยังอยู่ห่างซาราเวียพอสมควรระยะทางการเดินทางโดยม้าก็ใช้เวลาประมาณ 1 วัน ไปกลับก็ 2 วันเข้าไปแล้ว ยิ่งปล่อยไว้บิดาอาจจะอาการหนักขึ้นกว่านี้ก็ได้ แล้วคราวนี้ถึงหมอจะมาอะไรมันจะทันการณ์ล่ะ เท่าทันความคิดริมฝีปากสีชมพูก็พูดออกมาทันที

“แล้วถ้าเผื่อบีดันบอกตอนนาทีสุดท้ายแล้วไม่ทัน เกิดพ่อเป็นอะไรขึ้นมาล่ะคะ”

“เจนนาห์!” หลายเสียงดังขึ้นพร้อมกัน บีดันหน้าตาเครียดขึง นีสรีนต้องจับแขนนางไว้เชิงขอโทษและต่อว่าน้องสาว “ทำไมพูดแบบนี้ พูดจาไม่ให้เกียรติบีดันเลย แถมยังพูดเป็นลางไม่ดีอีก!”

“ไม่ใช่นะ เจนไม่ได้คิดอย่างนั้นนะคะ” เจนนาห์ร้องเมื่อโดนกล่าวหา

“ไม่เป็นไร” บีดันพูดขึ้นด้วยเสียงเย็นๆ เธอตบหลังมือหลานสาวคนโปรดเบาๆ “ฉันไม่ถือสาหรอกเพราะเข้าใจดีว่าเจนนาห์น่ะไม่มีความเป็นอัลคาซานมาตั้งแต่เกิด เธอแตกต่างจากพวกเราทุกคน...ตั้งแต่หัวจรดเท้า”

“หมายความว่ายังไงคะ” เจนนาห์ตัวร้อนวาบ แปร่งๆ กับคำประชดนั้นเหลือเกิน แต่ชีคก้านาบีร่าก็มองบีดันด้วยสายตาขอร้อง

“พอเถอะค่ะ ถ้าท่านซารานรู้คงไม่พอใจ เจนนาห์ เธอออกไปก่อน” หญิงวัย 45 ส่งเสียงไล่ แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่ขยับจึงสั่งให้รีฮานช่วย “เจนนาห์ได้ยินที่ฉันบอกไหม รีฮานพาเจนนาห์ออกไปทีเถอะ”

รีฮานก้มศีรษะรับคำสั่ง เจนนาห์จึงมองทุกๆ คนในห้องนั้นแล้วเม้มปากลงก่อนจะวิ่งออกจากกระโจม ในใจเกิดคำถามขึ้นมากมาย และเมื่อมาถึงขอบเขตโอเอซิสเสียงเล็กๆ ก็โพล่งขึ้น

“ฉันก็แค่เป็นห่วงพ่อ ถ้าบีดันเป็นห่วงพ่อก็น่าจะยอมให้ไปตามหมอมาสิ อะไรๆ มันก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นเราจะแน่ใจได้ยังไง ฉันอยากให้หมอมารออยู่ก่อนให้อุ่นใจเท่านั้นเอง จะรักษาหรือเปล่าก็ไม่เห็นเป็นปัญหานี่นา ทำไมทุกคนเอาแต่ดุไม่ถามเหตุผลเลยสักนิด เข้าใจฉันไหมรีฮาน เข้าใจไหม!”

“ครับ” ชายผิวคล้ำยืนอยู่เบื้องหลังหญิงสาวและรับคำเบาๆ แม้ภายนอกเจนนาห์จะดูเป็นผู้ใหญ่และเข้มแข็งแต่ข้างในเธอก็แค่ผู้หญิงอายุ 23 ที่ขาดมารดามาตั้งแต่เด็กเท่านั้น บางครั้งเธอจึงเปราะบางกับความรู้สึกบางอย่าง

“ฉันหวังดีนะ...แค่นี้เองทำไมต้องบอกว่าแตกต่างจากคนอื่นๆ ด้วย ทำไมบีดันต้องทำท่าเหมือนเกลียดขี้หน้าคอยค่อนแคะเจนอยู่เรื่อย แล้วหมายความว่ายังไง ทำไมฉันถึงไม่มีความเป็นอัลคาซานมาตั้งแต่เกิด...พูดแบบนี้ได้ยังไง” ประโยคสุดท้ายเจนนาห์แทบจะกัดริมฝีปาก หญิงสาวทรุดตัวลงที่ก้อนหินใหญ่ริมโอเอซิส รีฮานรู้ดีว่าคุณหนูของเขาไม่ได้ต้องการคำตอบ บ่อยครั้งที่บีดันมักพูดทำนองว่าเธอต่างจากคาซาลและนีสรีน แต่คราวนี้ดูจะตรงและรุนแรงกว่าทุกครั้ง

“เพราะว่าเจนมีเชื้อสายคนไทยครึ่งหนึ่งใช่ไหม”

คราวนี้เจนนาห์หันมาหาเขา ดวงตาสีน้ำตาลวาววับจนคนมองใจหาย ชายหนุ่มผิวคล้ำเม้มปากลงอยากจะปลอบโยนเธอแต่ก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร

“เจนโง่จริงๆ ที่คิดว่าการมีแม่เป็นคนไทยไม่ได้ทำให้เจนแตกต่างจากอัลคาซานคนอื่นๆ คนที่นี่ไม่เคยพูดถึงแม่ของเจนเลยด้วยซ้ำ ความจริงแล้วคือไม่มีใครอยากพูดถึงใช่ไหม” เจนนาห์มองกลับไปยังทะเลทราย พ่อเคยบอกว่าแม่ของเธอชื่อจันทราแต่ไม่เคยมีใครในอัลคาซานพูดถึงแม่ของเธอเลย “คิดดูแล้วตั้งแต่จำความได้ คนที่ดีกับเจนก็มีท่านพ่อซาราน แม่ชีคก้า แล้วก็...พี่นีสรีน...ถึงเธอจะเจ้าระเบียบไปสักหน่อยแต่ก็คงไม่เกลียดฉันหรอก ตอนเด็กๆ พี่สาวชอบปลอบเวลาฉันฝันร้าย...รวมทั้งนายด้วย”

“คุณหนูเป็นคนดี...”

อีกฝ่ายตอบอย่างจริงใจ เขาจำวันที่เห็นเจนนาห์เป็นครั้งแรกได้ดี ตอนนั้นเธออายุประมาณ 4 ขวบ ตัวเล็กบอบบางราวกลับจะปลิวไปตามลมแรงๆ ได้ แต่ดวงหน้าของเธอก็สดใส รอยยิ้มหวานๆ พาให้นัยน์ตาสีน้ำตาลคมน่ามองยิ่งนัก อีกทั้งเธอไม่เคยดูถูกว่าเขาเป็นแค่ทาสที่ถูกช่วยเหลือมา เจนนาห์ดีต่อเขาเสมอ เธอมักจะโมโหแทนเมื่อมีใครพูดจาดูถูกหรือรังเกียจเรื่องรอยแผลเป็นบนหน้าของเขา

“คุณหนูมีเมตตาแล้วก็กล้าหาญมาก จำวันที่คุณหนูบอกให้ผมช่วยอุ้มเด็กคนนั้นและไปหาหมอที่อียิปต์ทั้งๆ ที่ใกล้ค่ำแล้วได้ไหมครับ ตอนนั้นคุณหนูเพิ่งอายุ 18 คุณหนูไม่กลัวที่จะถูกบีดันลงโทษเพราะคิดอย่างเดียวว่าต้องช่วยชีวิตคน...คุณหนูเข้มแข็งไม่ต่างไปจากท่านซารานหรอก”

“นายคิดว่าอย่างนั้นเหรอ”

“ครับ ผมแน่ใจที่สุด”

รีฮานยืนยันก่อนก้มหน้าลง ตลอดชีวิตตั้งแต่เด็ก เขามักโดนล้อเลียนเพราะมีปมด้อยคือแผลอัปลักษณ์นั่น ทุกครั้งที่มีใครเรียกหรือสนทนาด้วย อีกฝ่ายก็มักจะเหลือบมองมันด้วยความรังเกียจหรือหวาดกลัว เขาจึงจำวันที่เด็กหญิงวัย 4 ขวบยื่นมือมาแตะมันได้ดี ‘เจ็บไหม’ คำถามจากดวงตาสีน้ำตาลที่แสนบริสุทธิ์นั้นทำให้เขารู้จักคำว่า ‘มิตรภาพ’ เป็นครั้งแรก



คืนนั้นแม้จะกลับไปนอนแล้วแต่เจนนาห์ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก เธอกระสับกระส่ายและเพิ่งจะหลับได้ไม่กี่ชั่วโมงในตอนเช้า ซึ่งพอสะดุ้งตื่นหญิงสาวก็ไม่สามารถข่มตนหลับได้อีก เธอรีบเดินไปที่ห้องของบิดาทันที ทว่าที่นั่นกลับมีแต่ความเงียบงันไม่มีใครอยู่เลย และเมื่อถามจนได้ความว่าบีดันสั่งให้พาท่านซารานไปรักษาที่กระโจมของนาง ร่างเพรียวระหงจึงรีบตามไปแต่เมื่อหญิงสาวไปถึงที่นั่นอีกฝ่ายก็ขวางห้ามไม่ให้เข้าไปอีก

“ท่านชีคซารานต้องการพักผ่อน”

“พักผ่อน...แต่พ่อยังไม่หลับสักหน่อย ฉันยังได้ยินพ่อไออยู่เลย” เจนนาห์เถียงน้องสาวของบิดา อีกฝ่ายจึงถลึงตาใส่

“ก็เพราะเขาไอนั่นแหละถึงต้องการพักผ่อน เธอยังจะดื้อรั้นรบกวนอีกไหม ชีคก้ากับรีฮานก็อยู่ข้างในนั่น เขาจะดูแลท่านชีคเองนั่นแหละ ทางที่ดีกลับไปอยู่ในที่ของตนเองดีกว่า อ้อ! แล้วถ้าไม่อยากเดินออกไปหลงทางตายในทะเลทราย ก็ไม่ต้องคิดเจ้ากี้เจ้าการไปพาใครมานะ ที่นี่ยังห่างจากซาราเวียมากและรับรองว่าเธอหาทางจากใครไม่ได้แน่ๆ”

“คุณหนูเจนนาห์...” รีฮานได้ยินเสียงของเจนนาห์จึงเดินออกมาดู เขาก้มมองหน้าบีดันเล็กน้อยก่อนเดินมาหาเจนนาห์ ทำให้อีกฝ่ายรีบดึงคนตัวโตเลี่ยงมาอีกทาง

“พ่อเป็นไงบ้าง”

“ท่านชีคยังมีอาการเหมือนเดิมและดูเหมือนบีดันจะหาทานยาสมุนไพรอะไรบางอย่างที่ดื่มแล้วคงทำให้หลับ แต่ถึงอย่างนั้นท่านชีคก็ยังดูกระสับกระส่าย”

“หลับงั้นเหรอ ทำให้หลับถึงมันจะเป็นการพักผ่อนแต่มันก็ไม่ใช่การรักษาที่ถูกเสมอไปนะ” เจนนาห์มองไปทางกระโจมของบีดัน เธอเห็นอีกฝ่ายหันหลังเข้ากระโจมไปแล้ว

“งั้นนายลองบอกได้ไหมว่าตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ พ่อดูดีขึ้นบ้างไหม”

“ถึงจะไม่ทรุดลงแต่ก็ไม่ดีขึ้นครับ” รีฮานถอนหายใจก่อนส่ายศีรษะ ทำให้เจนนาห์เม้มปากลงและเดินเร็วๆ ไปทางคอกม้า ชายหนุ่มผิวคล้ำจึงรีบตามไปทันที

“คุณหนูจะไปไหน”

“ไปตามหมอ”

“ที่ไหนครับ คุณหนูไม่เคยไปซาราเวียเลยด้วยซ้ำ คุณหนูจะไปถูกได้ยังไง รอบๆ นี่มีแต่ทะเลทราย”

“ฉันเป็นอัลคาซานนะรีฮาน นายเป็นคนบอกเองว่าฉันไม่ต่างจากพ่อซารานเพราะฉะนั้นฉันจะไม่ตายในทะเลทรายหรอก” หญิงสาวตอบและขึ้นบนหลังม้าโดยความช่วยเหลือของรีฮาน ที่จริงเธอก็กังวลเรื่องนี้อยู่เหมือนกันแต่ตอนนี้พอจะนึกออกแล้ว “เมื่อวานฉันไปที่วิหารแห่งหนึ่งมา เท่าที่รู้ที่นั่นอยู่ไม่ไกลซาราเวียเท่าไหร่”

“วิหารใกล้กับซาราเวียงั้นเหรอ...ผมจะไปด้วย” ชายผิวคล้ำขมวดคิ้วมุ่น เจนนาห์จึงรีบห้าม

“ไม่ได้นะรีฮาน นายต้องอยู่กับพ่อ อย่างน้อยบีดันก็ยอมให้นายเข้าไป แล้วฉันจะรีบกลับมา”

เอ่ยจบก็ไม่รอให้อีกฝ่ายห้าม เจนนาห์รีบกระตุกบังเหียนบังคับม้าออกไปจากโอเอซิสทางด้านหลังเพื่อจะไปวิหารร้าง หญิงสาวไม่หวังถามใครทั้งนั้นเพราะคำพูดของบีดันก็บอกอยู่แล้วว่าคงไม่มีใครยอมบอกทางแน่ๆ



เจนาห์ไปถึงวิหารร้างตอนใกล้เที่ยง แดดจ้าเริ่มทอแสงร้อนแรงแล้ว ร่างเพรียวระหงรีบลงจากม้าของตนเองและก้าวเร็วๆ ไปรอบวิหาร ด้วยหวังจะเห็นใครหรือะไรที่สามารถชี้ทางตนเองไปยังซาราเวีย เธอลัดเลาะผ่านกำแพงของวิหารเพื่อเดินไปยังด้านหลังแต่หาอย่างไรที่นี่ก็ไร้วี่แววสิ่งมีชีวิต

“งั้นฉันก็ต้องหาทางไปเอง ว่าแต่จะทิศไหนดี จะซ้ายจะขวาก็มีแต่ทะเลทรายทั้งนั้น”

หญิงสาวรำพึงพร้อมเดินกลับไปที่ม้าของตน ที่จริงตอนนั้นใกล้เที่ยงแล้ว เป็นเวลาที่ไม่เหมาะสำหรับการเดินทางในทะเลทรายเลยแต่เธอรีบจนไม่สามารถรอได้

“จริงสิ ลม เราดูจากทิศทางของลมได้”

ร่างเพรียวปีนขึ้นไปบนสันทรายรูปดาวที่อยู่ไม่ไกล สันทรายรูปดาวนั้นเกิดจากการพัดพาของลมหลายๆ ทิศทางและจะเปลี่ยนแปลรูปร่างได้ช้ามาก นิ้วเรียวยื่นออกไปและสังเกตจากลมที่สัมผัส

“ทางนั้น”

หญิงสาวมองไปทางตะวันออกและจากลมเย็นๆ ที่สัมผัสมือตนเอง หญิงสาวก็คว้าบังเหียนม้าก้าวออกไปเบื้องหน้าทันที



******************************************************************



แพรพริมา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 มี.ค. 2557, 09:12:31 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 มี.ค. 2557, 09:13:13 น.

จำนวนการเข้าชม : 1241





<< 2   4 >>
Siang 7 มี.ค. 2557, 09:44:56 น.
เจิมก่อน


แพรพริมา 7 มี.ค. 2557, 09:52:20 น.
เม้นท์แรก ไลค์ๆๆๆๆ


แว่นใส 7 มี.ค. 2557, 13:04:49 น.
จะหลงไหมเนี่ย


Zephyr 8 มี.ค. 2557, 21:48:42 น.
บีดันนี่แปลกๆนะคะ
เหมือนจะหวังดีประสงค์ร้าย หุหุ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account