ในเงาฝันปลายตะวัน
พรนับพัน ชีวิตของเธอจะมีตาอยู่ในทุกๆ ที่ แม้กระทั่งวันที่ตาจากไป หลายๆ สิ่งที่เธอทำก็ยังอยู่ในเงาของ 'ตะวัน' ผู้เป็นตาไม่เคยเปลี่ยน

และเพราะนิสัยที่เอาแต่ใจ โมโหร้าย ไม่สนใครหน้าไหนของพรนับพัน ชีวิตวันๆ หนึ่งเดินออกไปไหนไม่ได้ไกล หากมีเรื่องเข้ามาหาเจ้าหล่อนพร้อมพุ่งชน และนั่นเองทำให้รอบข้างกังวลและอยากจับเธอเปลี่ยนแปลง

ทิวากร ไม่รู้ว่าเขาโชคดี หรือโชคร้ายที่ได้รับหน้าที่จัดการเปลี่ยนมนุษย์ถ้ำ ให้ออกสู่สังคมได้อย่างปกติ แต่ดูเหมือนว่าคนที่ใครมองว่าโชคร้าย กลับเต็มใจรับสภาพ อ้าแขนรับมนุษย์ถ้ำคนนี้ซะด้วย
Tags: มนุษย์ถ้ำ โรแมนติก อมยิ้ม

ตอน: บทที่ 6 : ก่อกวน

บทที่ 6

นับพันพรกลับบ้านไปตั้งแต่เย็นหลังทานอาหารกับน้ารุจีและชวินที่เพิ่งกลับมาจากการทำงาน พรนับพันได้รู้ประวัติของขวินเพิ่มขึ้นว่าเขาเป็นนักบัญชี กำลังจะได้เลื่อนขั้นเป็นผู้จัดการแผนกในเวลาอันใกล้นี้ แต่พอถามกลับเธอก็ได้แต่อ้อมแอ้มตอบว่าเขียนหนังสืองานศพ ก่อนจะโบ้ยให้ไปซักฟอกประวัติของคุณหมอคนเก่งแทน ส่วนเธอประวัติจบลงตั้งแต่นับพันพรบอกว่า

‘ไม่ใช่พี่พราวด์ไม่มีความสามารถนะคะ สอบแพทย์ได้ตั้งหลายที่ แต่ไปตกรอบสอบสัมภาษณ์’

เพราะว่ารู้ว่าเธอไม่มีวันกระโดดไปหาเรื่อง นับพันพรจึงโยงเข้าเรื่องตัวเอง จะได้ไม่ระคายการที่เธอเขียนหนังสือหลายเรื่องโดยใช้นามปากกาตา

หญิงสาวส่งเสียงหึขณะเดินเข้ามาในห้องพัก มองเวลาบอกว่าสามทุ่มแล้ว โทรศัพท์ส่วนตัวของพรนับพันก็ร้องขึ้นท่ามกลางความเงียบในห้อง พรนับพันไม่ใช่คนชอบพกเครื่องมือสื่อสาร มีไว้ก็แค่โทรออกมากกว่ารับสาย เดินไปหยิบพบว่าเป็นเบอร์จากต่างประเทศ

“สวัสดียัยหนึ่ง”

“แหม แสนรู้กว่าน้องหมาอีกนะยะ”

พรนับพันบู้ปาก “เทียบซะฉันรู้สึกว่ามีหางกระดิกอยู่ที่ก้นเลย”

“เพิ่งเคลียร์ของ เคลียร์เอกสารเข้าที่เข้าทาง ก็นึกถึงแกเลยเนี่ย”

“ฉันอยากจะบ้าตาย เธอไม่น่านึกยัดเยียดฉันให้มาอยู่กับเขาเลยนะ” พรนับพันเริ่มโวยตัวต้นเหตุ เธอไม่ลืมหรอกว่าเจอทิวากรได้เพราะใคร ถ้าไม่ใช่ด้วยเรื่องล่าลายเซ็นบ้าๆ นั่น

“ทำไมเขาทำอะไรแก หรือว่าเขาปล้ำแก” น้ำเสียงแสร้งตกอกตกใจ

“ถ้าเธออยู่แถวนี้ เธอได้โดนฉันไล่เตะไม่ยั้งแน่” สาวดุขู่ฟ่อ ระบายความอัดอั้นในใจ “รู้ไหมว่านายทิวของเธอบังคับฉันขี่จักรยาน แล้วไง ปล่อยให้ฉันล้มหน้าทิ่มไปในบ่อบัว พอฉันบอกว่าไม่ให้ยุ่งเขาสะบัดตูดหนีกลับห้อง ปล่อยให้ฉันนอนตากแดดจนไข้ขึ้น กลับมาเขาก็ไม่อยู่ห้อง ฉันเป็นลมหน้าห้อง เข้าห้องไม่ได้ ไงล่ะ คุณทิวของเธอยังดีเลิศประเสริฐปานเทพบุตรอยู่อีกไหม”

พรนับพันไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นคนขี้ฟ้อง กับนับพันพรเธอไม่อยากให้น้องมากังวลเรื่องเธอเพิ่ม วันหยุดวันว่างทั้งทีก็ควรมาพักผ่อน แต่กับหนึ่งดาราอย่าหวังว่าเธอจะให้สบายเด็ดขาด ลากทิวากรเข้ามาในชีวิตเธอเอง

“แกโกรธที่เขาไม่ใส่ใจ ลืมแกใช่ไหม”

คำวิเคราะห์ของหนึ่งดารายิ่งทำให้คนฟังโวยวายหนักกว่าเดิม จนต้องเดินเป็นหนูติดจั่น มองภาพถ่ายตามกำแพง สายตาฟาดฟันไม่มีอารมณ์สุนทรี

“ฉันโกรธทุกอย่างที่เขาทำนั่นแหละ”

“ไอ้พราวด์ ฉันอยู่ไม่กี่วันแกดูมีบางอย่างแปลกไปรู้ตัวไหม” หนึ่งดาราทำเสียงตื่นเต้น “แกไม่เคยใส่อารมณ์กับคนอื่นได้นาน อาละวาดไปสักยกก็ถือว่าจบ แต่นี่โกรธเรื้อรัง ไม่พอใจที่เขาลืมแก อย่างนี้แกว่าไม่แปลกเหรอ ไหนเคยบอกว่าจะไม่สนใจ ไม่ใส่ใจไง”

“ก็ฉันต้องเจอเขาทุกวัน เดี๋ยวก็มีเรื่องมาให้ไม่พอใจอยู่เรื่อยๆ เขายังมีหน้ามาบอกว่าจะไม่มีวันยอมแพ้ฉันอีก ได้ยินแล้วของมันขึ้น” พรนับพันกรีดร้องใส่โทรศัพท์ยาวๆ อีกครั้ง

“ทำไมแกเห็นเขาสวีทกับสาวอื่นหรือไง เขาเป็นดารา ทำอะไรระวังตัวแหละ”

“ดารา เขาน่ะนะดารา หน้าอย่างกับกิมจิอบแห้ง”

“คงเป็นกิมจิที่ไร้กลิ่น มีสารอาหารครบถ้วน น่าเจี๊ยะที่สุดในโลกล่ะ” ลูกสาวนายพลกลั้วหัวเราะ

“นั่นแหละ ดาราพาสาวเขาห้อง ตายล่ะน่าเอาข่าวไปขาย”

“จะเอาข่าวไปขาย ระวังเข้าตัวนะจ๊ะ ได้ข่าวล่ามาไกลว่าแกเองไม่ใช่เหรอที่อยู่ที่ห้องคุณทิว” น้ำเสียงรู้ทันทำให้คนฟังหน้าง้ำ “เอาอย่างนี้ถ้าแกอยากทำอะไรลองฟังคลื่นวิทยุคลื่นนึงสิ ระบายอะไรไปก็ได้ ยิ่งกว่าส้วมซึมที่โรงเรียนเก่าเราอีก”

คำเปรียบเปรยอันน่าฟังทำให้พรนับพันนึกอยากอาเจียน “ฉันไม่ชอบฟังวิทยุ”

“คุณทิวจัดนะแก ไม่ไประบาย แก้แค้นคืนล่ะ”

“เอาเบอร์มา” งานนี้เธอต้องเอาคืน
“จะรอฟังออนไลน์นะ ขอให้โทรติด ช่วงคุณทิวเขาฮอต”

“แปลกนะที่เธออยู่ข้างฉันแทนที่จะอยู่ข้างคุณทิว”

“ก็โทษฐานลืมเพื่อนรักของฉัน ต้องมีเอาคืนบ้าง”

พรนับพันยิ้มพอใจ โดยไม่รู้เลยว่าหลังจากวางสาย เพื่อนรักที่บอกว่าอยู่ข้างเดียวกันจะจัดการโทรหาทิวากรในช่วงที่รายการพักเบรกด้วยข่าว ส่งข่าวว่าถ้ามีสายแปลกๆ มา ให้สันนิษฐานว่าเป็นพรนับพัน และบอกกฎสำคัญที่ว่า

‘เรื่องสำคัญที่คุณทิวห้ามลืมก็คือ จงมองยัยพราวด์เป็นพระอาทิตย์ ในสายตาคุณห้ามเคลื่อนย้าย วอกแวกไปที่ไหนเด็ดขาด คุณจะเป็นดาวเคราะห์ประเภทไหนก็ได้ทั้งนั้น แต่ห้ามลืมหมุนรอบดวงอาทิตย์ จะหมุนเร็วหมุนช้า หรือหยุดหมุน สุดท้ายต้องมองที่พระอาทิตย์ ไม่อย่างนั้นเวลาพระอาทิตย์ระเบิดจะรบกวนพลูโตผู้ห่างไกลถูกนาซ่าตัดออกจากสาระบบแบบหนึ่งนะคะ’


พรนับพันได้เบอร์มา เธอตัดสินใจว่าจะโทรเข้าไปทันทีโดยไม่เปิดวิทยุฟัง ในใจนึกเพียงอย่างเดียว

‘หากเธอมีโอกาสได้ก่อกวนเขาคืนบ้าง ขอให้ติดตั้งแต่ครั้งแรกที่โทรเข้าไป’

“สวัสดีครับ คุณอะไรครับ”

เธอยังอวยพรไม่ทันจบ เสียงอันคุ้นเคยก็ดังมาตามสาย พรนับพันกระแอมเสียง ทำเสียงตัวเองให้เล็กลง “ตะวันค่ะ”

“คุณตะวันมีอะไรอยากปรึกษาผมครับ ช่วงคุณทุกข์เราระบายให้ยินดีรับฟังทุกเรื่องครับ”

เป็นส้วมสาธารณะหรือไง พรนับพันกลั้นขำ กระแอมอีกครั้งก่อนจะกรอกเสียงดัดแหลมลงไป “ฉันมีปัญหากับคนๆ หนึ่ง เขา เขามันไม่รับผิดชอบ ทิ้งๆ ขว้างๆ พาสาวมาเยาะเย้ย ฉันเกลียดเขา เกลียดจริงๆ”

“ลองเล่าตั้งแต่เริ่มเรื่องได้ไหมครับ”

พรนับพันยิ้มกริ่ม นั่งไขว่ห้างสบายบนโซฟา เรื่องเล่าโศกยังต้องดำเนินต่อไป และเธอนี่แหละจะหักมุมมัน “ฉันเป็นผู้หญิงนิสัยแย่ เห็นแก่ตัว เจ้าอารมณ์ จอมก่อเรื่อง คนรอบข้างไม่มีใครทนได้สักคน”

“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ คนเราให้มีจุดแย่เยอะแค่ไหน ก็ต้องมีจุดดีบ้าง ดีในแบบของคุณ”

ฟังแล้วสบายใจตายล่ะ พรนับพันเบะปาก “เขารับปากว่าจะเปลี่ยนแปลงฉัน แต่เขามันแย่ เขาไม่เคยทำให้ฉันรู้สึกพอใจ ทำไมฉันต้องเปลี่ยนเพื่อเขา ฉันไม่ชอบเขาสักนิด”

“ผมว่าบางทีคุณเองก็ดื้อนะครับ หัวชนฝา ยึดความคิดตัวเองเป็นหลัก คุณไม่ฟังใคร ผมรู้ว่าคุณกำลังโกรธ และผมดีใจมากที่คุณพูดมันออกมา”

“คุยกันแปบๆ รู้จักฉันขนาดนั้นเลยเหรอคะ” พรนับพันแสร้งถามเสียงสูง

“คุณตะวันเหมือนคนๆ หนึ่งที่ผมรู้จักครับ เขาเองก็เจ้าอารมณ์ ขี้โมโห เอาแต่ใจ ผมเกือบจะเปิดใจเขาได้อยู่แล้ว ถ้าผมไม่ทำพลาดไปก่อน”

“คุณทำอะไรพลาดล่ะคะ คงไม่รุนแรงขนาดปล่อยให้ผู้หญิงคนหนึ่งที่เพิ่งตกน้ำตัวเปียกนอนตากแดด กลับมาถึงห้องเข้าไม่ได้ วันรุ่งขึ้นก็ยังต่อว่าต่อขานเขาด้วยเรื่องเสียมารยาทกับแขกสาวสวยของเขา คุณรู้ไหมว่าฉันสุดจะทน ฉันไม่สนิทใจกับเขา”

“คนๆ นั้นคงอยากขอโทษคุณสำหรับความผิดทั้งหมด” น้ำเสียงของทิวากรเศร้า “คุณจะให้อภัยเขาไม่ได้เหรอครับ ถ้าเกิดว่าแขกสาวสวยคนนั้นไม่ได้สำคัญกับเขาเท่าคุณ ผู้หญิงคนนั้นอาจเป็นแค่แฟนเก่า ส่วนในปัจจุบัน เขาสองคนอาจเป็นแค่เพื่อนกัน แค่นั้น”

คำสารภาพเชิงบอกความจริงของทิวากรยิ่งกว่าสายลมยามค่ำ ความขุ่นข้องหมองใจ หรือไม่พอใจ ได้รับการอธิบาย และชี้แจงจนพรนับพัน...ยิ้ม

“คุณอาจจะแก้ตัวในฐานะผู้ชายด้วยกัน” พรนับพันมองรูปข้างฝาแก้อาการแปลกของตัวเองที่หุบยิ้มไม่ได้ “คุณเองก็รู้ใช่ไหมว่าคนที่ฉันพูดถึงคือใคร” พรนับพันเลิกดัดเสียงอีกต่อไป

“ผมรู้”

พรนับพันหลับตา เธอไม่รู้หรอกว่าเขาดังขนาดไหน และหากพ้นคำพูดนี้ออกไปชีวิตของทิวากรจะเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง แต่เธอจะพูด ตามสิ่งที่ใจอยากจะรู้

“คุณจะขอโทษฉันได้ไหม”

เกิดความเงียบขึ้น พรนับพันเกือบจะหลุดหัวเราะหยันให้กับความสำเร็จที่ทำให้ผู้ชายคนหนึ่งกลัวได้ เธอไม่คิดว่าเขาจะพูดขอโทษออกมาอยู่แล้ว

“ผมขอโทษ และคุณเองก็ไม่ควรดื้อกับผมอีกนะครับ...คุณตะวัน”

อีกครั้งที่เธอเดาใจทิวากรผิด... พรนับพันตัดสายโทรศัพท์ หัวใจเต้นรัวแรงอย่างตระหนก เธอไม่ได้โง่ว่านี่คือรายการวิทยุที่จัดสด การสนทนาทั้งหมดไม่ได้มีแค่เธอกับเขา แต่เป็นคนทั้งประเทศ คนอย่างพรนับพันไม่เคยแคร์สายตาชาวบ้านชาวช่อง แต่กับทิวากร เธอสมควรทำร้ายชีวิตเขามากขนาดนี้เลยเหรอ ทำไมทิวากรต้องเล่นตามเกมเธอ

มีแต่เรื่องที่เธอไม่เข้าใจ

หญิงสาวถอนหายใจ ก่อนจะตั้งหน้าทำในสิ่งที่เธอคิดจะทำแต่แรก ค้นหาสมุดของตา หาให้เจอก่อนที่ทิวากรกลับมา ถ้าเธอรู้ว่าในนั้นมีอะไร ต่อให้เขาท่ามากก็คงไร้ผลกับเธอ


ทิวากรจัดรายการวิทยุต่อไปด้วยท่าทีสงบอย่างน่าเหลือเชื่อ เขาตัดช่วงโทรศัพท์ และจัดการคุยคนเดียวแทน เพราะเพียงแค่พูดประโยคนั้นออกไป แฟนคลับของเขาก็กระหน่ำโทรเข้ามาจนสายแทบไหม้

ในช่วงเวลาที่จัดรายการ ละครของเขาก็กำลังฉายผ่านทางหน้าจอทีวี ทิวากรปิดโทรศัพท์มือถือป้องกันการโทรมาของพวกผู้ใหญ่ ถึงเสียมารยาทอยู่มาก แต่เขาเลือกทำไปแล้ว

เสร็จจากการจัดวิทยุ เขาไม่สนทนากับใคร ข้อความที่ส่งเข้ามาในรายการปกติเป็นการขอเพลง มีแต่สงสัยถึงสิ่งที่เขาพูดกับสาวปริศนาคนนั้น

ชายหนุ่มยิ้มจาง เสียบการ์ด ไขกุญแจเข้าห้อง ไฟในห้องมืดสนิท ทิวากรชูถุงโจ๊กที่ซื้อมาให้พรนับพันตั้งแต่หัวค่ำอย่างเสียดาย เขาแอบคิดว่าเจ้าหล่อนจะรอ
สวิตซ์ไฟเปิดสว่างไสว ส่องให้เห็นร่างสมส่วนนอนเหยียดยาวบนโซฟาตัวเก่ง ผมยาวสยายเต็มหมอนใบโต ทิวากรนั่งพักบนโซฟาเดี่ยวขนาดคนเดียวนั่ง เอียงคอมองเสี้ยวหน้าขาวหลับพริ้มหันหน้าออกมาด้านเขา หัวคิ้วขมวดมุ่น

“มีเรื่องอะไรให้คิดมากมายนะครับ ขนาดหลับยังทำหน้ายุ่งเลย”

คิ้วที่ขมวดเป็นโบคลายออก ดวงตากลมโตลืมขึ้นมอง ไม่มีแววของคนง่วงตาปรือ พรนับพันยังไม่ยอมลุก แต่นอนมองเจ้าของห้องดวงตาครุ่นคิด

“ผมทำให้คุณตื่นหรือเปล่า”

“ฉันยังไม่ได้นอน แค่หลับตาเฉยๆ”

ทิวากรชูถุงโจ๊กขึ้นอวด “ให้ผมอุ่นให้ไหม เจ้าโปรดที่คุณว่าเลยนะ อย่างที่คุณสั่ง”

พรนับพันลุกขึ้นนั่ง เข่าที่ยังเจ็บอยู่วางลงบนพื้น หน้าตาเอาแต่ใจ “ทำแผลให้ฉันก่อนสิ เรื่องโจ๊กไม่ต้องอุ่นให้ยุ่งยากหรอก เดี๋ยวพอคุณทำแผลให้ฉันเสร็จ ฉันไปหยิบชามมาเทกินได้เลย” พรนับพันก้มหน้าก้มตาพิจารณาบาดแผลบริเวณหัวเข่า ในใจมีคำถามลอยวนเต็มไปหมด แต่เริ่มเรื่องไม่ถูก

“รอผมก่อนนะ”

น้ำเสียงอ่อนโยน และไม่เถียง หรือคัดค้านยิ่งทำให้เธอได้ใจ พรนับพันเม้มปาก เบือนหน้าหนีความเอาใจใส่ของอีกฝ่าย

หัวใจของเธอได้แต่ถาม ว่าที่เขาทำไปทั้งหมดนั้นเพื่ออะไร... แล้วเขาจะได้ประโยชน์อะไร

พรนับพันก็ยังเฝ้าถามตัวเองซ้ำๆ เมื่อทิวากรกลับมาพร้อมกล่องพยาบาล เขานั่งขัดสมาธิลงบนพื้นพรม จัดการกับแผลที่เข่าของเธอทั้งสองข้าง น้ำหนักมือเบาจนเธอไม่รู้สึกเจ็บ

“ฉันกับคุณเคยรู้จักกันมาก่อนไหม”

“แล้วคุณคิดว่าไงล่ะครับ” ทิวากรเงยหน้าขึ้นมาถามยิ้มๆ ดวงตาเป็นประกายดีใจ

“ฉันไม่คิดว่าเคยเจอคุณมาก่อน” พรนับพันกัดริมฝีปากจนเจ็บ ประกายสดใสของทิวากรหายวับไป และจดจ่อกับการทายาที่แผลของเธอ “คุณรู้จักฉันมาก่อนหรือเปล่า ทำไมถึงต้องช่วยเหลือฉันขนาดนี้”

“ผมลืมคุณ จนคุณป่วยเป็นไข้ ไล่คุณกลับตั้งแต่วันแรกที่คุณมาขอพักที่นี่ ผมว่าผมไม่ได้ดูแลคุณดีเท่าไหร่นักหรอก” ทิวากรตอบเสียงเรียบ

“คุณได้อะไรจากการช่วยเหลือฉันครั้งนี้ ยัยหนึ่งกับแฟร์ต่อรองอะไรกับคุณหรือเปล่า”

ทิวากรถอนหายใจกับอาการคาดคั้นของอีกฝ่าย “ถ้าผมบอกว่าผมแค่อยากช่วย ไม่หวังผลอะไร คุณจะมองผมด้วยสายตาประหลาดแบบนี้อยู่หรือเปล่า ยังไงคุณก็คงไม่เชื่อ” น้ำเสียงเย็นชาหมางเมิน

พรนับพันนิ่งเงียบ เธอมีเรื่องให้คิด และต้องคิดอย่างมากเชียว เขาเองก็ไม่ได้เก็บสมุดของตาไว้ไหนไกล ลิ้นชักบนโต๊ะหัวเตียง เธอเปิดก็พบ อย่างที่น้องแอบอ้างว่ามันเป็นความฝันร้อยอย่างของตา ถูกเขียนไว้บนกระดาษแผ่นเล็กแนบไว้ในสมุดวาดเขียน ซึ่งมีอยู่แผ่นเดียว ท้ายกระดาษลงลายเซ็นของตาไว้

‘ถึง พราวด์
ตารู้ว่าตาจะอยู่ได้อีกไม่นาน แต่หลานของตาคงจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรให้ตาเห็น ความฝันของตา มีเพียงอย่างเดียวที่ตาอยากเห็นก่อนตาย ตาอยากเห็นหลานของตามีความสุข มีคนที่รักหลานของตา และหลานของตาก็รักเขา ตาไม่กังวลกับแฟร์ แต่กับพราวด์ หลานน่ะหัวดื้อ ใจแข็ง ปากร้าย จะมีผู้ชายสักกี่คนทนหลานได้กัน ตาเคยฝันอยากปั่นจักรยานกับหลาน ไปเดินเล่นสวนสาธารณะด้วยกัน อยากเห็นหลานทำในสิ่งที่รัก แต่ตาคงไม่มีโอกาส พราวด์ มีความสุขในทุกวัน ยิ้มให้มากขึ้น จงอย่าหนีความรัก หลานทำให้ตาได้ไหม...รัก จากตา (ตะวัน)’

“คุณหวังดีกับฉันจริงๆ ใช่ไหม”

ทิวากรหัวเราะเย้ยหยัน จัดการกับแผล และเก็บอุปกรณ์เรียบร้อยจึงเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาเฉยเมย “ผมเหนื่อย คุณอย่าเพิ่งถามอะไรเลยนะครับ”

พรนับพันรู้สึกว่าน้ำเสียงอ่อนระโหยของเขาดูเหนื่อยล้าเต็มที หญิงสาวกระเถิบตัวลงไปนั่งกับพื้น ขาต้องวางเหยียดยาวไปบนพื้น พับงอไม่ถนัด มือจับมือสากของหนุ่มผิวขาวไว้แน่น สีหน้าแปลกใจของทิวากรทำให้เธอรู้สึกว่าเขาเหมือนเด็ก

“ทำเหมือนไม่เคยมีสาวมาจับมือเลยนะคุณน่ะ” ประโยคล้อเลียนเรียกสีชมพูขึ้นมาบนแก้ม พรนับพันเลื่อนมือทั้งสองข้างมาจับประกบบนหน้าของทิวากร “ห้ามดิ้น ห้ามหันหน้าหนีฉัน” กำชับเสียงดุ

“คุณจะทำอะไรผม”

ท่าทีตาเหลือกของทิวากรทำพรนับพันหลุดขำ “ฉันว่าคุณก็ไม่เลวเลยนะ แต่ฉันไม่รู้ว่าคุณได้อะไรจากการช่วยเหลือฉัน ถ้าคุณไม่ได้อะไรเลย คุณทำไปทำไม บอกฉันทีสิ” วางประกบแก้มที่อุ่นขึ้น หน้าเก้อกระดากของทิวากรทำให้เธอนึกสนุก “คุณเหมือนเด็กน้อยเลย”

หน้าเขินตีขรึม มือสากยกมากำรอบมือนุ่มออก และจับไว้แทน “ผมไม่จำเป็นต้องได้อะไร ผมบอกแล้วว่าชอบช่วยเหลือคน”

“เป็นคนดีขนาดนั้น ช่วยฉันอีกสักเรื่องได้ไหมล่ะ” พรนับพันเยี่ยมหน้ามา เอียงศีรษะ มุมปากยกยิ้มกวน

“อะไรล่ะครับ”

ทิวากรตั้งใจฟัง ความอบอุ่นจากการกุมมือของพรนับพันไว้ทำให้เขารู้สึกดี ยิ่งอีกฝ่ายเยี่ยมหน้ามาใกล้ ทำหน้าตาตื่นเต้น ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ

“แต่งงานกับฉัน...ได้ไหม”

“ผมวางโจ๊กไว้บนโต๊ะนี่นะครับ อย่าลืมเทกิน” พรนับพันถูกปลดมือออกอย่างสุภาพ ทิวากรเงยหน้าขึ้นพูด และสีหน้าของเขาทำให้พรนับพันมีความหวังอีกครั้ง “วันนี้คุณจะนอนที่ไหนครับ ผมเองจะนอนแล้ว”

“ฉันไปนอนระเบียงก็ได้นะ รังเกียจกันนักนี่” หญิงสาวหน้าง้ำลง รู้สึกเสียหน้า

“ให้คุณดื้อ เรียกร้องความสนใจ เป็นเด็กห้าขวบผมก็ไม่สนใจ อยากทำอะไรตามสบายครับ ยกเว้นเรื่องที่คุณขอกับผม ผมให้ไม่ได้จริงๆ”

พรนับพันหน้ากระตุก กัดฟันส่งเสียงร้องขัดใจ โกยผ้าห่ม กับหมอมมากอดไว้แนบอก เมินหน้าเจ้าของห้อง เดินไปอย่างเชิด มั่น ไม่ง้อ ทั้งที่เข่าสองข้างตึงเปรี๊ยะ มุ่งหน้าไปยังระเบียงที่มีผ้าตากอยู่ ในความมืด และวิวที่มองเห็นมีแต่ตึกสูง และแสงไฟสว่างของถนนที่ไม่มีวันหลับใหล พื้นที่ขนาดแคบเพียงแค่หนึ่งคูณสองเมตร สอดขาลอดใต้ราวผ้า หลังแนบกับผนัง หมอนพิงศีรษะ ท่าหลับอันทุลักทุเล อากาศเย็น ยุงชุมแบบนี้ ผู้ชายคนนั้นยังไม่สนใจเธอเลย

ไหนเขาบอกว่าจะช่วยเธอไง การจะช่วยให้บรรลุเป้าหมาย เขาก็ควรทำให้เธอรักสิ ตาของเธออยากให้หลานมีคนรัก มีความรัก ทิวากรมัวทำอะไรอยู่ก็ไม่รู้ พรนับพันกระชับผ้าห่ม ส่งสายตามองค้อนความมืดในห้อง แต่ในเมื่อเธอจะดื้อ ก็จะดื้อให้สุด ใครจะทำไม


ค่อนคืน ประตูระเบียงก็ถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา เจ้าของห้องต้องสะกดกลั้นไม่ให้ถอนใจหนักอกกับมนุษย์ดื้ออย่างร้ายกาจ เขาจะหลับลงไปได้ยังไง รอให้สาวขี้ประชดหลับไปก่อนถึงจะออกมาจัดการพาตัวปัญหาเข้าห้อง

ทิวากรไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมความคิดแต่งงานจึงไปโผล่ในสมองของพรนับพันได้ แต่ใช่เขาไม่พอใจ ผู้หญิงขอแต่งงาน ไม่น่าเจ็บปวดเท่าการแต่งงานนั้นเกิดขึ้นด้วยเหตุผลอะไรสักอย่างที่เจ้าตัวเขียนขึ้นมาในใจเอง

ร่างสูงย่อตัวลงเพื่อช้อนร่างในผ้าห่ม จงใจยกทั้งที่พันในผ้าห่มเป็นก้อนกลมขึ้นมา ไม่อยากแตะต้องผิวกายให้คนหลับรู้ตัว อาการหลับคอพับ เอนซบกับแผ่นอก หน้าตาไร้พิษสง ซ้ำยังมีรอยยิ้มอ่อนแต้มมุมปาก

“ไม่หนักใช่ไหม” พรนับพันปรือตามองข้างหนึ่ง ถามกวน

“คุณอยากเดินเองไหม”

พรนับพันส่ายหน้าดิก พิงอกของทิวากร งึมงำ และหลับตาต่อ “คุณทำไปเพื่ออะไร ชอบฉันเหรอ” หูเงี่ยฟังจังหวะหัวใจอันมั่นคง ไม่มีเร็ว ตื่นเต้น หรือเสียจังหวะสักนิด ไม่มีพิรุธใดๆ ให้เธอจับได้

ทิวากรอุ้มร่างที่ผล็อยหลับไปอีกครั้งขึ้นมาส่งยังเตียงนอนบนชั้นสอง วางลงเบามือกลัวว่าจอมประชดจะลุกมาขว้างค้อนใส่ มือหนาปัดลูกผมออกให้เบามือ ถอนหายใจให้กับสิ่งที่พรนับพันสงสัย สายตาเหลือมองไปยังลิ้นชักหัวเตียงที่ปิดไม่สนิท ก่อนจะวกกลับมาพิจารณาใบหน้าเนียน พอรับรู้อะไรได้ลางๆ

ครั้งแรกที่เขาตกลงรับปากหนึ่งดาราเพื่อช่วยเหลือนั้นเพียงเริ่มมาจากเขารู้สึกอยากแค่ช่วยเหลือผู้หญิงบนภูกระดึงที่เขาตามเก็บมาจากข้างทาง ก่อนจะกลายเป็นที่ซับน้ำตาในวันที่เจ้าหล่อนสูญเสีย ทิวากรนึกอยากช่วยเหลือเมื่อพบกันอีกครั้ง แต่ไม่รู้ทำไม ระยะเวลาไม่นานที่ได้อยู่ด้วยกัน ความดื้อรั้น พยศร้ายของพรนับพันก็ออกมาชัดเจนขึ้น เขาควรจะปล่อยเธอไป ยอมแพ้ซะ

วันนี้เขาเองก็เพิ่งรู้ว่าเขาต่อต้านความต้องการบางอย่างที่เริ่มเด่นชัดขึ้นมาในใจไม่ได้ หลายครั้งที่อยากจะหันหลังใส่ความดื้อไม่ดูกาลเทศะของพรนับพัน แต่ยิ่งไม่สนใจเขาก็ยิ่งเจ็บปวด

จากที่อยู่ตัวคนเดียวมาตลอด บัดนี้ เขายอมรับเต็มหัวใจ ว่าเริ่มมีเงาของพรนับพันมาฉายชัดมากขึ้น และถ้าหากเขายอมตามเกมล่าสุดกับเหตุผลแต่งงานที่ไม่มีเลย เขาจะทำใจทนไปได้อย่างไร ถ้าสุดท้ายทุกอย่างมันเป็นเพียงความสนุกของพรนับพัน

ดีเจหนุ่มถอนหายใจอย่างคิดไม่ตก ผละจากที่นอนเพื่อที่จะนอนบนโซฟาของพรนับพัน กลิ่นหอมของแชมพูยังมีกลิ่นติด จากที่คิดว่านอนไม่หลับ แต่ไออุ่นที่ยังเหลืออยู่จางๆ บนโซฟาก็ทำให้ความง่วงเริ่มเข้ามาคืบคลาน

พรุ่งนี้ยังมีปัญหาที่เขาต้องตามแก้ไข ไม่มีทางที่เขาจะหนีมันไปได้ตลอด


......................................
คุณ yimyum เจอบทนี้เข้าไปเตรียมปวดหัวต่อค่ะ หวานก็หวานไม่เต็มร้อย แต่ปัญหามาเต็ม

คุณ Sukhumvit66 ทิวต้องทนค่ะ เจอคนร้อนๆ ถ้าร้อนใส่บ้านไฟไหม้แน่นอน

คุณ OhLaLa ให้พี่ทิวกลับมาแก้ตัวเนอะ ปัญหาเริ่มมาแล้ว

เดี๋ยวเรื่องจะหวานขึ้น (เหรอ) แต่ปัญหาเยอะขึ้นค่ะ มาใบ้แล้วจากไป ขอบคุณทุกคอมเมนท์ ทุกไลค์ และนักอ่านเงาทุกท่านค่ะ 



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 มี.ค. 2557, 00:22:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 มี.ค. 2557, 00:22:52 น.

จำนวนการเข้าชม : 1711





<< บทที่ 5 : จอมเหวี่ยง   บทที่ 7 : สร้างเรื่อง(อีก) >>
นักอ่านเหนียวหนึบ 9 มี.ค. 2557, 01:44:47 น.
อืมมม นั่นสิ อะไรดลใจนายอะ หรือเพราะอาถรรพ์ภูกระดึง 555


Sukhumvit66 9 มี.ค. 2557, 04:18:46 น.
ยิ่งอ่านยิ่งสนุกง่ะ..


OhLaLa 9 มี.ค. 2557, 14:37:19 น.
อารมณ์ทิวคงแบบว่า "กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง" สมองอยากจะเลิกช่วยพราวน์ แต่ใจก็ยังอยากไปต่อ


yimyum 10 มี.ค. 2557, 23:21:33 น.
สรุปคือเจอสมุดแล้ว แล้วได้อ่านหน้าสุดท้ายไหมอ่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account