ไฟรักทรายเสน่หา
'ทะเลทรายมักแอบซ่อนความรักและมนตร์ขลังเอาไว้เสมอ' ‘เจน’ สาวน้อยลูกครึ่งไทย-อาหรับ รับรู้มาตลอดว่าตนเองเป็นชาวทะเลทราย ทว่าวันหนึ่ง ‘ไฟซารห์’ เจ้าชายหนุ่มรูปงามกลับเข้ามาทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง...หญิงสาวจะทำเช่นไรเมื่ออดีตถูกเปิดเผยและความรักก็เร่งเร้ารุนแรงจนเธอไม่อาจสั่งการหัวใจตนเองได้
Tags: ทะเลทราย ความรักหวานซึ้ง เข้มข้น

ตอน: 4

สวัสดีเช้าวันจันทร์ค่ะ
ขอบคุณที่เข้ามาคุยและตามให้กำลังใจกันนะคะ

น้อง siang ขรา ขอบคุณที่ยังไม่ลืมกันนะคะ

น้องแว่นใสด้วยค่า จำได้เสมอน๊า

คนนี้สำคัญไม่ยิ่งหย่อนเลย คุณ Zephyr คะ ขอบคุณที่ตามให้กำลังใจทุกครั้ง แม้ว่าคนเขียนจะลมเพลมพัดไปสักหน่อย ^^

ตอนที่ 4

ที่โอเอซิสใหญ่

รีฮานยังยืนอยู่ในกระโจมรักษาคนป่วยของบีดัน และชีคก้านาบีร่าก็ยังเฝ้าอาการสามีอย่างเป็นห่วง เธอรู้สึกว่าเขาเหมือนคนที่ถูกบังคับให้หลับเพราะอาการไอยังมีให้เห็นจึงคล้ายคนที่หลับตาแต่ร่างกายกระสับกระส่าย

“แม่คะ”

เสียงเรียกจากลูกสาวทำให้เธอหันไปมองด้วยสายตาอิดโรย นีสรีนเดินเข้ามาเกาะแขนมารดาก่อนบอกอย่างเป็นห่วง

“เที่ยงแล้ว แม่ไปพักผ่อนบ้างเถอะค่ะ เดี๋ยวทางนี้หนูกับบีดันจะช่วยกันดูแลเอง แล้วแม่ค่อยกลับเข้ามาอีกตอนเย็นก็ได้...เดี๋ยวถ้าล้มป่วยไปอีกคนจะแย่นะคะ”

“แม่นอนไม่หลับเลยนีสรีนถึงบีดันจะบอกว่าไม่เป็นอะไรมากก็เถอะ ถ้าท่านชีคหลับแบบนี้แม่อยากให้พ่อของลูกตื่นขึ้นมาเสียดีกว่า”

“แม่...” นีสรีนเรียกเบาๆ มองไปรอบเพราะกลัวบีดันได้ยินแต่ก็เห็นเพียงรีฮานที่ยังยืนอยู่ที่มุมห้องด้วยใบหน้าเรียบเฉย

“แม่ก็แค่คิดตามความรู้สึก” ชีคก้าถอนหายใจ ลูกสาวจึงบอกอีกครั้ง

“หนูว่าแม่ต้องการพักผ่อนนะคะ ขอร้องเถอะค่ะ”

“เฮ้อ...ก็ได้...ก็ได้แม่จะไปพักผ่อน” นาบีร่าพูดเรื่อยๆ อย่าเลื่อนลอย แต่พอเธอจะลุกขึ้นจริงๆ นีสรีนกลับแตะมือของมารดาไว้พูดขึ้นเร็วๆ อย่างตัดสินใจ

“เดี๋ยวค่ะ...แม่คะ หนูถามอะไรสักอย่างได้ไหมคะ”

“มีอะไรเหรอลูก”

นีสรีนมองไปทางรีฮานและหันมามองบิดาซึ่งยังหลับอยู่ก่อนแล้วถามขึ้น “พ่อตัดสินใจแน่นอนหรือยังคะเรื่องจะส่งให้ใครไปอภิเษกกับองค์รัชทายาท”

“ทำไมล่ะจ๊ะ ลูกเปลี่ยนใจแล้วงั้นเหรอ” ดวงตาของชีคก้านาบีร่าเป็นประกายขึ้นวูบหนึ่ง เมื่อสองสามวันก่อนที่จะเดินทางมายังโอเอซิสใหญ่ ท่านซารานได้เรียกพวกผู้อาวุโสในเผ่ามาประชุมกันถึงความแห้งแล้งที่ดูจะมากขึ้นในทะเลทรายคานัค พวกเขาตกลงกันว่าจะต้องหาที่ทำกินที่เป็นหลักแหล่งสำหรับชาวอัลคาซาน ทว่าพื้นดินเดียวที่จะสามารถอยู่ได้อย่างยั่งยืนก็คือซาราเวีย เพื่อความอยู่รอดของชาวบ้านท่านชีคซารานจึงต้องยอมลดทิฐิขอเจรจากับสุลต่านอัสตาฟา ซึ่งฝ่ายนั้นก็ตอบกลับมาด้วยคำขอซึ่งทุกคนคาดไม่ถึง นั่นก็คือขอให้มีพิธีอภิเษกระหว่างเจ้าคาซาลกับลูกสาวของท่านซาราน

จดหมายฉบับนั้นถูกเก็บไว้ที่ท่านซารานแต่คำขอนั้นถูกนำเข้ามาคุยระหว่างผู้อาวุโสของเผ่า มีการถกเถียงกันระหว่างฝ่ายที่คิดเคืองสุลต่านอัสตาฟาว่านี่ก็เหมือนการแต่งงานเพื่อเข้าไปเป็นตัวประกันทางการเมือง แต่อีกฝ่ายก็เห็นข้อดีอีกอย่างว่าเจ้าชายคาซาลยังไม่เคยอภิเษกและถ้าชายาจากอัลคาซานได้เป็นรานี อำนาจต่อรองก็จะตกมาเป็นของอัลคาซานในที่สุด ทุกคนก็ลงมติเป็นเอกฉันท์ว่าจะส่งนีสรีนไปเป็นเจ้าสาว แต่เจ้าตัวกลับปฏิเสธ

“หนูขอยืนยันอย่างเดิมว่าไม่ค่ะ หนูจะไม่ยอมถูกคลุมถุงชนหรอกค่ะ”

นีสรีนเชิดหน้าขึ้นอย่างทะนงตัวเพราะคิดว่าพวกมัสตาฟาคงเห็นตนเองเป็นของเซ่นไหว้ที่ถูกส่งไปเป็นตัวประกันทางการเมือง เช่นนั้นหญิงสาวจึงรู้สึกยอมไม่ได้ที่ตนเองจะต้องกลายเป็นของที่ถูกส่งไปสังเวยว่าที่กษัตริย์แทนที่จะเขาจะตกหลุมและขอให้เธอไปอยู่ด้วย

“ทั้งๆ ที่มันเป็นเรื่องความอยู่รอดของเผ่าเราอย่างนั้นน่ะเหรอ” บีดันเดินเข้ามาทำให้นีสรีนหน้าเสียเล็กน้อย อีกฝ่ายจึงพูดต่ออย่างโน้มน้าว “หลานก็รู้ว่าแหล่งน้ำเหลือน้อยลงทุกทีเราใช้ชีวิตแบบเดิมอีกไม่ได้แล้ว ถึงจะแข็งแกร่งแค่ไหนถ้าไม่น้ำมันก็จบ การยอมเป็นชายาขององค์รัชทายาทก็เหมือนเป็นการต่อลมหายใจให้ชนเผ่าเรา เจ้าเห็นชาวทะเลทรายเผ่าอื่นๆ ไหมต้องเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินใหญ่แล้วก็ถูกกลืนชื่อหายไปในที่สุด เจ้าจะยอมอย่างนั้นเหรอ เจ้าจะยอมให้ชาวอัลคาซานเข้าไปอดๆ อยากๆ ไม่มีที่ทำกิน หรือกลายเป็นพวกเร่ร่อนอยู่ในซาราเวียหรือไง”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...หนูก็ยังคิดว่า หนูควรจะมีสิทธิเลือกเจ้าบ่าวของตัวเอง...ไม่ใช่ถูกจับใส่กระสอบแล้วส่งไปให้เขาแบบนี้” นีสรีนต่อว่า บีดันจึงทำเสียงขึ้นจมูกประชด

“เจ้าบ่าวที่ไม่ได้เป็นสุลต่านจะมีควาหมายอะไร แต่ถ้าเจ้ายังคิดโง่ๆ อยู่ล่ะก็คงต้องดีใจตามประสาเด็กไม่รู้จักคิดได้แล้วล่ะ เพราะพ่อของเจ้าบอกกับพวกเราว่าจะให้เจนนาห์อภิเษกสมรสกับองค์รัชทายาท”

“งั้นเหรอคะ” นีสรีนมีสีหน้าโล่งอก บีดันจึงกระแทกเสียงอย่างโกรธๆ

“เด็กโง่ รู้ไหมว่าคนที่ได้เป็นชายาของรัชทายาท จะมีสิทธิ์ในตำแหน่งรานีองค์ต่อไปของซาราเวีย เจ้าควรจะรีบรับและดีใจกับมันถึงจะถูก”

“ถ้าหนูจะเป็นรานีแต่หนูก็อยากเป็นรานีที่ถูกเลือกไม่ใช่ถูกส่งไปให้เหมือนของบรรณาการแบบนี้” นีสรีนเถียง “แล้วทุกอย่างก็ลงตัวแล้ว พ่อตัดสินใจไปแล้ว เจนนาห์ก็เหมาะดีนี่ เธอคงยอมทำเพื่อชาวอัลคาซานหร๊อก”

“ถึงพ่อของหลานจะตัดสินใจไปแล้ว แต่อายังไม่ได้รับรองอีกเสียงหนึ่งแล้วตอนนี้พ่อของเจ้าก็ป่วย ถ้าพรุ่งนี้ไม่ดีขึ้นป้าจะให้รีฮานเรียกพวกเรามาคุยกันใหม่ คราวนี้เจ้าก็เตรียมตัวเป็นเจ้าสาวได้เลย” บีดันจ้องหน้าหลานสาวคนโปรด เธอต้องการให้นีสรีนเป็นรานีแห่งซาราเวียและมั่นใจว่าการได้เป็นชายาขององค์รัชทายาทจะทำให้หลานของตนยิ่งใหญ่ในอนาคต ซึ่งนั่นต้องไม่ใช่อนาคตของเจนนาห์

“ทำไมอาต้องบังคับหนูด้วยนะคะ” นีสรีนฮึดฮัด บีดันจึงไล่ตัดความรำคาญ

“ฉันทำเพราะหวังดีต่างหาก ไม่ต้องพูดมาก พาแม่ของเจ้าออกไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวฉันจะดูแลท่านชีคซารานเอง”

รีฮานยืนอยู่ที่มุมหนึ่ง เกือบทุกถ้อยคำนั้นเขาล้วนเคยทราบมาก่อนแต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าการเปลี่ยนตัวเจ้าสาวครั้งนี้ท่านซารานจะคิดอย่างไร

กลางทะเลทราย

แสงแดดยามเที่ยงนั้นร้อนจัดเสียจนเจนนาห์รู้สึกว่าตาพร่ามัวเป็นบางครั้ง เธอตบหน้าตัวเองหลายทีเป็นการเรียกสติและคิดว่าคงเป็นเพราะการนอนน้อยจึงทำให้ตนเองเป็นเช่นนี้

“แต่หยุดไม่ได้...”

หญิงสาวบอกตนเองก่อนกระตุกบังเหียนบังคับให้ม้าสีดำตรงไปเบื้องหน้า ขึ้นลงเนินทรายลูกแล้วลูกเล่าจนกระทั่งแลเห็นสิ่งที่คล้ายเมืองตั้งอยู่ลิบๆ ขาเรียวจึงกระแทกข้างลำตัวเจ้าสัตว์พาหนะเพื่อให้มันวิ่งเร็วขึ้น ทว่าพอโผล่พ้นเนินทรายลูกหนึ่งสิ่งที่เธอไม่ได้สังเกตก็คือ รถขับเคลื่อน 4 ล้อในรูปแบบหรูสีบอร์นเงินกำลังพุ่งตรงมา เจ้าพาหนะสี่ขาจึงชูเท้าขึ้นสู่อากาศพร้อมแผดเสียงร้องลั่นอีกทั้งกระแทกขาหน้าทั้งสองลงบนกระโปรงรถหรู ดีว่าเจนนาห์ปล่อยมือและลื่นตัวลงมาจากมันก่อนทว่าเสื้อคลุมของหญิงสาวก็ดันติดอยู่กับโกลนของม้า มันจึงถูกดึงและกระชากจนขาดออก ร่างงามจึงเหลือเพียงชุดด้านในซึ่งเป็นสีฟ้าตัดเย็บในแบบเข้ารูป

ด้านอีกฝ่ายนั้นเจ้าชายไฟซารห์เหยียบเบรคกะทันหันเมื่อมีม้าตัวหนึ่งโผล่พรวดออกมาจากหลังเนินและเพราะไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยตัวของพระองค์จึงกระแทกพวงมาลัยเล็กน้อย

“โดนกระแทกอีกแล้ว”

ทรงร้องขึ้นก่อนจับช่วงอกซึ่งเกิดอาการจุกพร้อมมองม้าสีนิลที่วิ่งเตลิดไปทำให้เห็นร่างของใครคนหนึ่งนอนอยู่ท่ามกลางทรายสีทอง ทรงเปิดประตูรถด้านคนขับออก วิ่งตรงมายังร่างนั้น มือแกร่งจับไหล่ของเธอด้วยยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายบาดเจ็บตรงไหนมากหรือไม่

“เป็นไงบ้าง”

“โอย...” เจนนาห์ร้องเบาๆ ทำให้บุรุษหนุ่มผ่อนลมหายใจที่อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้หมดสติ

“เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” เขาถามก่อนก้มตัวพยุงอีกฝ่าย

เจนนาห์ส่ายศีรษะแม้จะรู้สึกเจ็บที่ตามตัว แขนและข้อมือซีกหนึ่งที่ถูกน้ำหนักของตนเองทับตอนร่วงลงมา มือเรียวอีกข้างยกขึ้นปัดผมซึ่งยุ่งเหยิงปิดหน้าปิดตาและเงยมองผู้ชายที่ช่วยเป็นหลักให้ตนเองลุกขึ้นก่อนดวงตาสีน้ำตาลจะเบิกโต ขาเรียวถอยหลังพร้อมเซเล็กน้อย

“คุณ!”

“นี่...เธอน่ะเอง” เจ้าชายไฟซารห์ก็จำอีกฝ่ายได้เช่นกัน ที่แท้เธอก็คือผู้หญิงซึ่งเอาข้อศอกกระทุ้งจนพระองค์ต้องจุกเมื่อวาน แต่ตอนนี้ท่าทางซวนเซทำให้พระองค์ต้องตามเข้าไปประคองอีกครั้ง

“ตกลงว่าฉันจะต้องเจ็บตัวทุกครั้งที่เจอเธอหรือไง”

“...คุณพูดอะไร ไม่ต้องจับแล้ว ฉันไม่เป็นไร ฉันกำลังรีบ ไม่ต้องมายุ่งกันฉัน” เจนนาห์พูดพลางปัดมือของเขาออก เมืองซาราเวียอยู่ข้างหน้านี้แล้วเธอไม่จำเป็นต้องพึ่งเขา พร้อมกันนั้นร่างเพรียวก็เหลียวหาม้าของตน

“กิซาห์ล่ะ...ม้าของฉัน...มันหายไปไหน”

“นั่นสิ มันหายไปไหน” เจ้าชายหนุ่มยอมละมือออกจากร่างเพรียว ทรงยกแขนประสานกันที่หน้าอกตนเองก่อนมองหน้าอีกฝ่ายและทวนคำถาม เจนนาห์จึงขมวดคิ้วหันมาโทษเขาแทน

“เป็นเพราะคุณนั่นแหละ”

“เพราะผม?”

“ใช่ คุณขับรถพรวดพราดออกมาเร็วขนาดนั้น คุณทำให้มันตกใจแล้วก็หนีไป” หญิงสาวต่อว่า อีกฝ่ายจึงส่งเสียงในลำคอก่อนถามบ้าง

“ทำไมเธอไม่พูดว่าเธอต่างหากที่ขี่ม้าพรวดพราดออกมาและไม่ยอมหยุดทั้งๆ ที่เห็นรถฉันล่ะ”

“ฉันไม่เห็นรถคุณ แล้วฉันก็ไม่ผิดเพราะที่นี่คือทะเลทราย ไม่ใช่ถนนสำหรับรถหรูๆ แบบนี้” เจนนาห์ไม่ยอมแพ้ เธอกำลังรีบจึงเหลียวหาหนทางว่าจะไปซาราเวียได้อย่างไรและแล้วก็มาจบลงที่อีกฝ่าย “ฉัน...ฉันต้องรีบไป คุณต้องรับผิดชอบ”

“รับผิดชอบงั้นเหรอ งั้นบอกหน่อยว่าใครจะรับผิดชอบรอยเท้าใหญ่ๆ บนกระโปรงหน้ารถของผม”

เจนนาห์มองตามสายตาของเขาและเห็นว่ากระโปรงหน้ารถขับเคลื่อนสี่จังหวะสีบอร์นเงินหรูคันนั้นถูกจารึกด้วยรอยเท้าม้าของตนจนบุบ ซึ่งเธอก็ไม่ใช่คนไร้ความรับผิดชอบจนเกินไป

“ก็ได้ รอยนั่นฉันจะรับผิดชอบเอง แต่ตอนนี้คุณต้องรับผิดชอบส่วนของคุณก่อน ฉันจะต้องรีบไปซาราเวีย ได้โปรดพาฉันไปซาราเวีย”

คำหลังคนพูดมีน้ำเสียงอ่อนลง ดวงตาสีน้ำตาลมีแววเว้าวอน เจ้าชายไฟซารห์จึงมองหน้าหญิงสาวนิ่งอยู่ครุ่หนึ่งก่อนถอนหายใจ

“ถ้าหม้อน้ำไม่เป็นอะไรก็คงไม่มีปัญหาหรอก” ทรงเดินไปเปิดกระโปรงหน้ารถก่อนสำรวจดูความเสียหายและพบว่ามันเป็นรอยแต่เพียงด้านนอกด้านในยังปกติอยู่

“มาสิ” พระองค์เรียกหญิงสาวที่อยู่ในชุดสีฟ้าคอวีกระโปรงเข้ารูปยาวคลุมข้อเท้าทว่าแขนเสื้อยาวจรดข้อมือนั้นข้างขวาฉีกขาดตั้งแต่ต้นแขนลงมาจนสุด เธอค่อยๆ เดินกระโผลกกระเผลกไปที่รถและไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากอีกฝ่าย

“เธอจะไปที่ไหนในซาราเวีย”

เจ้าชายไฟซารห์ถามขึ้นเมื่อออกรถไปสักครู่ เจนนาห์คลำข้อมือข้างที่เจ็บของตนเองและตอบเขาตามที่ตั้งใจไว้แต่แรก

“ไปหาหมอ”

“เธอเจ็บ?” คนขับปรายพระเนตรมองแขนช้ำๆ ของอีกฝ่ายเล็กน้อยแต่หญิงสาวก็ส่ายหน้าโดยไม่สนใจอาการของตนเอง

“พ่อของฉันไม่สบาย”

“พ่อของเธอ...งั้นเธออยู่ที่ไหน”

“พวกเราพักอยู่ที่โอเอซิสใหญ่ไกลออกไปจากชายแดนซาราเวีย พ่อของฉันไม่สบาย ฉันมาตามหมอไปรักษาท่าน” หญิงสาวตอบและมองออกไปนอกหน้าต่าง ถึงเธอจะใช้ชีวิตอยู่ในทะเลทรายมาตลอดแต่ก็รู้ดีว่าเจ้าพาหนะนี้จะพาตนเองไปถึงซาราเวียได้อย่างรวดเร็วและสะดวกสบายทุ่นเวลาไปได้มากจึงอดเบาใจขึ้นไม่ได้

“เธอชื่ออะไร”

“เจนนาห์” คนตอบมองออกไปยังนอกรถและเป็นเวลาครู่ใหญ่ที่ไม่มีใครพูดอะไรกัน ความเงียบเข้าปกคลุมในรถคันหรู ระบบขับเคลื่อนนุ่มนวลดีเยี่ยมและแอร์เย็นฉ่ำทำให้ดวงตาสีน้ำตาลปรือลงอย่างไม่ตั้งใจ จนผ่านมาเกือบชั่วโมง

“บอกมาสิว่าหมอที่เธอจะไปหาอยู่ตรงไหนของซาราเวีย”

บุรุษหนุ่มถามขึ้นเมื่อรถแล่นเข้าสู่พื้นดินของซาราเวียแล้ว แต่กลับไร้เสียงตอบรับทำให้พระพักตร์คมหันมามองและพบว่าหญิงสาวหลับลงเสียแล้ว

“เจนนาห์...”

แม้จะจอดรถและเรียกอีกครั้งแต่อีกฝ่ายก็ยังไม่รู้สึกตัว ทว่าในเวลาเช่นนี้ ดวงเนตรสีไพลินจึงมีโอกาสสังเกตคนที่ซุกตัวอยู่ทางซอกประตูรถอย่างชัดเจนขึ้น ผมหยักสลวยของเธอเป็นสีน้ำตาลที่ไม่เข้มจัดหรือถ้าเปรียบก็คงคล้ายสีของน้ำผึ้งหวานๆ ดวงตาโตนั้นมีขนตางามยาวดังแพรไหม จมูกโด่งเรียวได้รูป ริมฝีปากไม่เล็กหรือใหญ่จนเกินไปทว่าแลดูอิ่มเอิบและเป็นสีชมพูจัดแม้ว่าจะไม่ได้ใช้เครื่องสำอางค์

“มีผู้หญิงแบบนี้ในทะเลทรายด้วยหรือไง”

เจ้าชายไฟซารห์พึมพำ ตอนนี้รถคันนั้นจอดสนิทและวรองค์สูงก็เอี้ยวมามองคนที่นอนอยู่อย่างเต็มที่ พระหัตถ์ละจากพวงมาลัยรถและกำลังจะยกมือปัดฝุ่นทรายที่เปรอะบนแขนเสื้อสีฟ้า ทว่าไม่ทันทำเช่นนั้นร่างงามก็ขยับพลิกกายมาทางคนขับเผยให้เห็นลำคอขาวเนียน ช่วงอกอิ่มๆ ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในเสื้อคอวีแหลมลึกและลำแขนเรียวภายใต้ผ้าบางๆ สีฟ้า และไม่น่าเชื่อว่าสิ่งนั้นจะทำให้เจ้าชายหนุ่มซึ่งใช้ชีวิตส่วนมากอยู่ในยุโรปรู้สึกร้อนวูบหายใจติดขัดไปได้

“อืม...”

เจนนาห์ขยับตัวอีกครั้งและลืมตา ทว่าแทบผงะเมื่อพบว่าใบหน้าคมของบุรุษที่ตนเจอนั้นอยู่ใกล้ตนเองมากกว่าที่ควรจะเป็น ใบหน้านวลจึงร้อนวาบและขยับนั่งให้เข้าที่

“คุณ”

“ฉัน...” เจ้าชายไฟซารห์ยังนั่งอยู่ในท่าเดิม ทรงหายใจเข้าลึกๆ ดวงเนตรสีไพลินหลับลงชั่ววินาทีก่อนลืมตาขึ้นและถามอีกครั้ง “ฉันจะถามเธอว่าจะให้ไปส่งที่โรงพยาบาลไหน...หรือว่าจะไปตามหมอที่ไหนกันแน่”

“ไม่...ไม่รู้...” เจนนาห์นั่งนิ่งตัวแข็งทื่อเพราะอีกฝ่ายยังอยู่ใกล้ตนเองอย่างไม่คิดจะขยับ ราชนิกุลหนุ่มเห็นท่าทางแบบนั้นจึงหยักมุมโอษฐ์น้อยๆ

“ไม่รู้งั้นเหรอ งั้นฉันควรพาเธอไปที่ไหนดี หรือว่าแล้วแต่ฉัน...”

“ไม่ใช่” เจนนาห์ตอบก่อนมองออกไปนอกหน้าต่าง “กี่โมงแล้ว”

“ใกล้จะเย็นแล้ว”

“งั้นก็...ไปหาหมอ...” หญิงสาวหันกลับมาตอบเขาแต่เพราะเธอไม่เคยมาซาราเวียและไม่รู้เหมือนกันว่าควรไปหาหมอตรงไหน ริมฝีปากสีชมพูจึงบอกไล่อีกฝ่ายกลับประจำตำแหน่งและโบ้ยให้เป็นหน้าที่เขาแทน

“คุณกลับไปขับรถเถอะ...แล้วช่วยพาฉันไปหาหมอ...หมอที่คุณรู้จักและก็เก่งที่สุดในความรู้สึกของคุณ”

เจ้าชายหนุ่มจึงละสายตาจากอีกฝ่ายและกลับมายังที่ของตน หัวสมองกำลังนึกถึงสิ่งทีหญิงสาวบอก ‘หมอที่คุณรู้จักและเก่งที่สุดในความรู้สึกของคุณ’ ถ้อยคำของหญิงสาวจากทะเลทรายนั้นช่างฉลาดนัก นี่ถ้าเขาพาไปหาหมอดาษดื่นที่ไม่ได้เรื่องเธอก็คงโทษว่าเป็นความผิดของเขาอีกใช่ใหม่ พักตร์คมทำเสียง ‘หึ’ ในลำคอก่อนขับรถตรงไปยังโรงพยาบาลซึ่งเขตเมืองซาบัค

ทว่าการขับรถจากนอกเมืองเข้าไปในเมืองก็ใช่ว่า 10 นาทีจะถึงเพราะฉะนั้นรวมเวลาเป็นชั่วโมงเขาก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะจอดรถ

“อีกไกลไหม” หญิงสาวถามคนขับ อีกฝ่ายจึงตอบโดยไม่หันกลับมามอง

“ใกล้จะถึงแล้ว แต่ยังไงวันนี้เธอก็กลับออกไปนอกทะเลทรายไม่ทันแล้วล่ะ พ่อของเธออาการหนักมากหรือเปล่า ที่นั่น...หมายถึงที่ๆ เธออยู่ไม่มีหมอเลยหรือไง”

“ก็มีแต่ว่า...” เจนนาห์มองบรรยากาศนอกรถที่แดดเริ่มอ่อนแสงลงเพราะใกล้เย็นแล้ว เธอคิดตามที่เขาพูดแล้วก็เห็นจริงว่าคงไม่สามารถขับรถออกไปในทะเลทรายคานัคในเวลากลางคืนได้ และคืนนี้บีดันก็คงพอจะดูแลอาการของพ่อได้หรอก แต่พรุ่งนี้สิ...การจะพาหมอไปให้ถึงโอเอซิสใหญ่ เธอไม่ได้นึกถึงมาก่อนเลย

“ก็ได้ค่ะ...แต่พรุ่งนี้...คุณจะไปส่งฉันกับหมอแต่เช้าเลยใช่ไหม”

“ฉันน่ะเหรอ” เจ้าชายไฟซารห์หันมามองอีกฝ่าย ก่อนจะเห็นสายตาเกมขอร้องขอความเห็นใจนั่น ทรงหยักมุมโอษฐ์เล็กน้อยก่อนพูดเหมือนไม่เต็มใจ

“ใช่สินะ ฉันต้องรับผิดชอบเธอนี่...อย่าให้ถึงตอนที่เธอต้องรับผิดชอบฉันบ้างก็แล้วกัน”

พูดจบมือแกร่งก็เลี้ยวรถเข้าไปเส้นทางซึ่งสามารถตรงไปยังโรงพยาบาลของเมืองซาบัค เพราะที่นี่มีหมอสมัยใหม่ทั้งชาวซาราเวียและชาวตะวันตกที่เก่งอยู่หลายคน ทรงถามอาการของบิดาหญิงสาวซึ่งเป็นขั้นแรกของการจะหาแพทย์ตรงกับโรคที่เกิดขึ้นพอทราบว่าอีกฝ่ายไอหนักและเป็นไข้พระองค์ก็พึมพำตามความรู้สึก

“น่าจะเป็นเรื่องระบบทางเดินหายใจ”

“คุณเป็นหมอเหรอ” เจนนาห์ปรายตามองเขา อีกฝ่ายจึงไหวไหล่ก่อนจะเหยียบเบรคจอดรถที่หน้าโรงพยาบาล

“แค่เดา...เธอรออยู่ที่นี่ก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันจะเข้าไปคุยกับหมอให้”

“ไม่ ฉันจะไปด้วย” เจนนาห์มองอีกฝ่าย ถึงอย่างไรก็ยังไม่ไว้ใจเขานัก เจ้าชายไฟซารห์จึงเตือนเพราะเห็นอยู่ว่าเธอขาเจ็บ

“เดินไหวหรือไง”

เจนนาห์จึงก้มลงมองขาตัวเองก่อนบอกเขาว่าอย่ามาสนใจเธอ “คุณเดินไปจัดการเรื่องหมอเถอะ ฉันก็จะหาทางเดินตามไปเอง ไม่ต้องสนใจฉันหรอก”

คนฟังจึงได้แต่ถอนหายใจและก้าวลงจากรถโดยไม่ห้ามปรามอีก ชายหนุ่มได้รับการทำความเคารพอย่างนอบน้อมจากทุกคนที่เขาเดินผ่าน แต่หญิงสาวซึ่งกำลังก้าวตามเขาไปไม่ได้สังเกต ดวงตาสีน้ำตาลของเจนนาห์มองภาพโรงพยาบาลขนาดใหญ่ทาสีขาวทั้งภายในภายนอก แสงไฟสีเดียวถูกเปิดสว่างจนแทบจะมองไม่ออกว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืน เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ล้วนทันสมัยรวมถึงเครื่องมือแพทย์มากมาย ทุกอย่างเทียบไม่ได้เลยกับตอนที่เธอกับรีฮานอุ้มเด็กคนนั้นไปยังโรงพยาบาลแคบๆ เขตชานเมืองอียิปต์ วูบหนึ่งจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอุ่นใจว่าพ่อของตนเองต้องหายแน่ๆ

“ไปกันเถอะ พรุ่งนี้หมอจะไปกับเราตั้งแต่เช้า”

ไม่นานราชนิกุลหนุ่มก็เดินกลับมาและบอกหญิงสาว ทว่าอีกฝ่ายกลับส่ายศีรษะ คนชวนจึงทำหน้างง

“หมายความว่าไง”

“ฉันจะรอหมออยู่ที่นี่” เจนนาห์มองโซฟาสีขาวสะอาดสะอ้านพลางเดินกระโผลกกระเผลกไปจนถึงและนั่งลงทันที

“ตลกน่า” เจ้าชายไฟซารห์เดินตามหญิงสาวไป “ที่นี่ไม่ใช่โรงแรมนะ เธอจะมานั่งอยู่ที่นี่ทั้งคืนได้ยังไง”

“แต่โรงพยาบาลก็มีไว้สำหรับคนป่วย ฉันก็ป่วยเหมือนกัน” เจนนาห์เถียง บุรุษหนุ่มจึงนึกได้เขายกมือเรียกพยาบาลซึ่งกำลังมองอยู่พอดี อีกฝ่ายจึงรีบวิ่งมา

“มีอะไรหรือเพคะ...เอ่อ...มีอะไรคะคุณ”

“เพื่อนผมหกล้ม” เจ้าชายหนุ่มมองคนที่ค้อนเขาควับยิ้มๆ “ช่วยปฐมพยาบาลเธอด้วย”

แค่สิ้นคำนั้นเจนนาห์ก็รู้สึกว่าคนแทบทั้งโรงพยาบาลหันมาสนใจเธอแค่คนเดียว หญิงสาวถูกผู้ช่วยพยาบาลช่วยกันประคองพานั่งรถเข็นมาที่ห้องปฐมพยาบาลก่อนที่ม่านสีขาวจะถูกรูดปิดบริเวณเตียงนั้น

ไม่นานก็มีหมอผู้หญิงเดินเข้ามาตรวจและยืนยันว่าอาการของเจนนาห์เป็นแค่อักเสบภายนอก ทายาและพักผ่อนก็จะค่อยๆ ดีขึ้น แขนเสื้อขาดวิ่นและสกปรกนั้นก็ถูกพยาบาลตัดออกและทายาก่อนพันด้วยผ้ายืดสำหรับพยุงกล้ามเนื้อซึ่งรวมถึงบริเวณข้อมือด้วย ร่างเพรียวนั่งอยู่บนเตียงสูง กระโปรงสีฟ้าด้านขาที่เจ็บถูกเลิกขึ้นจนถึงโคนขาก่อนที่พยาบาลสาวจะหาเก้าอี้มารองให้และลงมือนวดครีมสีขาวเบาๆ

“ฉันรู้สึกเหมือนกำลังจะกลายเป็นมัมมี่” เจนนาห์เปรยกับคนที่กำลังทายาอีกฝ่ายจึงหัวเราะคิกคัก

“เจ็บอย่างนี้ยังมีอารมณ์ขันอีกเหรอคะ”

“ไม่เท่าไร่หรอก...แค่นี้เอง” เพราะเป็นผู้หญิงด้วยกันเจนนาห์จึงหยักมุมปากน้อยๆ ดวงตาสีน้ำตาลยังเต็มไปด้วยความคิดหลากหลายก่อนจะก้มหน้ามองขาที่ถูกพันจนเสร็จและห้อยขาทั้งสองข้างลงพยายามลุกขึ้น

“จะไปไหนคะ ใช้รถพยาบาลเถอะค่ะ รอเดี๋ยวนะคะ”

พยาบาลรีบบอกก่อนเปิดม่านออกไปและสวนกับวรองค์สูงที่เดินมาถึงพอดี มือแกร่งยกขึ้นรับม่านที่กำลังจะปิดลง ดวงเนตรสีไพลินมองเข้าไปด้านใน

เจนนาห์นั่งอยู่บนเตียงสูงสีขาว ศีรษะทุยก้มลงจนผมสีน้ำตาลยาวระตามช่วงบ่า ท่อนแขนนวลผ่องกลมกลึงเอื้อมลงก่อนแตะมือที่ผ้าซึ่งถูกพันไว้ตรงต้นขา และใช้นิ้วเรียวระไล่ตามขอบรอยพันของผ้ายืดไปเรื่อยจนเกือบถึงช่วงเข่า

“มาทางนี้เลยจ๊ะ”

เสียงพยาบาลคนเดิมบอกพนักงานเข็นเก้าอี้ผู้ป่วย ทำให้คนที่ยืนอยู่ตรงประตูรู้สึกตัว และคนที่ก้มลงมองขาตนเองสะดุ้งเล็กน้อย เธอดึงกระโปรงลงปิดขาเรียวก่อนเงยหน้าขึ้น และเห็นพยาบาลผู้นั้นรูดผ้าม่านให้กว้างออกจนเก้าอี้คนป่วยถูกเข็นเข้ามา

“จะให้ไปส่งที่ไหนดีคะ” พยาบาลคนนั้นถามขึ้น เจนนาห์อ้าปากจะตอบแต่ก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าเธอควรไปไหน จนกระทั่งเสียงทุ้มดังขึ้นจากด้านนอก

“พาเธอไปที่รถ” เจ้าชายไฟซารห์ยืนอยู่ด้านหลังบุรุษพยาบาล ทรงมองหญิงสาวที่นั่งอยู่บนเตียงก่อนตรัส “ทำตามที่บอกเจนนาห์ ไม่งั้นฉันคงต้องเหนื่อยอุ้มเธอไปแน่ๆ”

เอ่ยจบก็เดินนำไปรออยู่ที่รถสีบอร์นเงินทันที และเมื่อหญิงสาวขึ้นไปนั่งประจำที่แล้วเสียงทุ้มจึงบอกโดยไม่ต้องให้ถาม

“คืนนี้เธอไปนอนที่...ที่บ้านแม่ของฉัน พรุ่งนี้เราจะไปโอเอซิสใหญ่กันแต่เช้า”

ถ้อยคำบอกกล่าวเรียบๆ แต่ได้ใจความนั้นทำให้เจนนาห์ไม่พูดอะไรกับเขาอีกตลอดทางและพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่หลับทั้งๆ ที่อดนอนและเหนื่อยมาทั้ง ดวงตาสีน้ำตาลนั้นจึงทั้งอิดโรยทั้งช้ำ จนรถจอดลงที่หน้าบ้านที่ควรจะเรียกว่าคฤหาสน์มากกว่า

“ถึงแล้ว”

เจ้าชายหนุ่มบอกพร้อมเอื้อมหยิบเสื้อเชิ้ตสีดำของตนที่แขวนอยู่ด้านหลังวางลงบนแขนข้างที่เปลือยอยู่ของหญิงสาวก่อนจะเปิดประตูรถเดินลงไปและไม่นานก็มีคนดึงประตูด้านของเธอออกเหมือนกัน

ภาพที่เห็นเบื้องหน้าก็คือ สิ่งปลูกสร้างหลังใหญ่ในสไตล์ผสมผสานระหว่างอารยธรรมตะวันออกกลางและตะวันตกซึ่งดูลงตัวมาก ด้านในบ้านนั้นเต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย บางสิ่งเธอแทบไม่รู้จักมันเลยด้วยซ้ำ ซึ่งนั่นทำให้เจนนาห์รู้สึกเหมือนเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ขึ้นมาไม่มากก็น้อย ที่จริงความรู้สึกนี้ก็เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่เหยียบโรงพยาบาลแห่งนั้นแล้ว มันเป็นความรู้สึกไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจในตนเอง ทั้งๆ ที่เธอเคยเชิดหน้าอย่างสง่าผ่าเผยอยู่ในผืนทรายกว้างใหญ่ แต่เมื่อมาถึงซาราเวียเธอกลับกลายเป็นมดตัวเล็กกระจ้อยร่อย ถ้าจะให้เปรียบจริงๆ ก็คงเหมือนบ้านนอกเข้าเมืองละมัง

“เข้าไปสิ”

เจ้าชายไฟซารห์บอกคนที่ยืนขวางหน้าอยู่ เจนนาห์จึงขมวดคิ้วใส่เขาก่อนก้าวเดินเข้าในข้างในช้าๆ และไม่นานก็มีเสียงกุกกักดังมาจากด้านใน

“ไฟซารห์ น้าเพิ่งจะกลับมาจากวังซาบัค วันนี้มีเรื่องใหญ่เชียวล่ะ หลานต้องอยากฟังแน่ๆ”

“น้านาร่าห์ครับ” บุรุษหนุ่มเรียกหญิงชาวซาราเวียวัย 45 ซึ่งเดินออกมาพร้อมพูดอย่างตื่นเต้น ทำให้อีกฝ่ายมองเจนนาห์และเสื้อเชิ้ตที่เธอใช้คลุมไหล่อยู่เล็กน้อย คนเรียกเห็นแบบนั้นจึงแนะนำ

“นี่เจนนาห์ครับ เธอ...”

“ฉันมาจากทะเลทรายค่ะ” เจนนาห์เห็นอีกฝ่ายหยุดคิดจึงตอบเสียเอง แต่หญิงคนฟังกลับตาโตลืมเรื่องที่จะเล่าตอนแรกเสียสนิท

“นี่หลานเข้าไปในทะเลทรายอีกแล้วเหรอไฟซารห์ ไปวิหารซอฟัรมาใช่ไหม เมื่อวานก็ทีหนึ่งแล้ว หลานไม่ควรไปที่วิหารนั่นเลย ถ้ามีแม่ของเธอรู้ก็จะหาว่าอาดูแลหลานไม่ดีเดี๋ยวก็กลายเป็นขึ้นมาอีก จำไม่ได้หรือไงว่าทะเลทรายมีแต่เรื่องอันตราย...”

“น้าครับ...”

“ที่นั่นไม่อันตรายหรอกค่ะ”

เจนนาห์ขัดขึ้นตามความรู้สึกของตนเอง ‘ที่นี่ต่างหากที่น่ากลัว’ หญิงสาวบอกตนเอง เมืองใหญ่และทันสมัยอย่างซาราเวียทำให้เธอไม่มั่นใจในตัวเองขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่เมื่อพูดออกไปแล้วเจนนาห์ก็นึกเสียใจไม่น้อยที่เธอผ่ากลางปล้องไปอย่างนั้น ถ้าเป็นที่อัลคาซานเธอคงโดนนีสรีนดุว่าไม่มีสัมมาคารวะหรือไม่ก็โดนบีดันค่อนแคะว่าไร้มารยาท...แต่ที่นี่กลับไม่ใช่...

“โอ้ ขอโทษนะจ๊ะ ฉันลืมไปว่าเธอมาจากทะเลทราย ฉันไม่น่าพูดแบบนั้นเลย แต่ก็จริงจ้ะที่นั่นไม่ได้น่ากลัวสำหรับเธอเลย แต่มันเป็น...คือมันเป็นกฏของครอบครัวน่ะจ้ะ ข้อตกลงว่าเราจะไม่เข้าไปที่นั่น” นางคลาร่ามองหลานอย่างคาดโทษแต่อีกฝ่ายพูดยิ้มๆ เหมือนไม่ใส่ใจ

“ข้อตกลงเมื่อนานแสนนานมาแล้ว”

“แต่มันก็ยังใช้อยู่นะ” หญิงวัย 45 บอกเชิงดุ แต่สำหรับเจนนาห์แล้วเธอคิดว่านั่นไม่ใช่สายตาที่ดุแบบจริงจัง มันมีความห่วงใยและความรักระหว่างสายเลือดผสมผสานอยู่ เหมือนสายตาสักดวงที่เธอมองเห็นเมื่อตอนเด็กๆ

“แล้วนี่มันยังไงกัน ทำไมท่าทางเจนนาห์ถึงเหมือนคนไม่สบายอย่างนั้นล่ะ”

“เธอบาดเจ็บ...น้าช่วยหาที่พักให้หน่อยนะครับ พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางกันแต่เช้า” เจ้าชายไฟซารห์บอกนางนาร่าห์ ที่บ้านหรือวังสำหรับเจ้าชายไฟซารห์นั้นจะไม่มีการใช้ราชาศัพท์ ทรงถูกเลี้ยงดูโดยน้าซึ่งเป็นพี่สาวของมารดาและถูกญาติทางฝ่ายพระอัยยิกาพาไปศึกษาต่อที่สวีเดนตั้งแต่อายุ 15 ปี

‘ถ้าจะให้กลับซาราเวีย หม่อมฉันก็ขอมีที่สักที่ซึ่งเป็นส่วนตัวแบบสามัญชนที่ไม่ต้องระวังองค์เหมือนยามอยู่ในวัง’

ทรงบอกพระบิดากับพระมารดาแบบนั้น ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงเลือกที่จะสร้างบ้านเล็กๆ ซึ่งเงียบสงบในเขตชานเมืองเพื่อพักสำหรับการเดินทางมาซาราเวียในแต่ละครั้งและไม่ได้ใหญ่โตหรูหราขนาดตำหนักในวังซาบัค

เมื่อรู้เรื่องจากหลานชายแล้ว นาร่าห์จึงกุลีกุจอเรียกคนรับใช้ในบ้านสั่งให้เตรียมห้องและพาเจนนาห์ไปพักผ่อน ส่วนตนเองก็แตะแขนบุรุษหนุ่มดันให้เขาไปนั่งพักบ้าง

หญิงสาวจากทะเลทรายอดไม่ได้ที่จะมองร่างสูงซึ่งเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้โซฟา มือแกร่งนั้นกดรีโมทก่อนพิงหลังลงที่พนักอย่างสบายๆ วูบหนึ่งที่เธอนึกอิจฉาเพราะท่าทางของเขาดูผ่อนคลายเหมือนนกที่เดินทางมาไกลและได้กลับสู่รังอันอบอุ่น ความสนิทสนมระหว่างเขากับน้าสาวนั้นทำให้เธอหันกลับมามองตนเองยามอยู่ในอัลคาซาน...พ่อซารานดีกับเธอมาก ท่านเป็นคนเดียวที่มักจะออกรับแทนตนเอง สายตาของท่านมีทั้งความรักและความสงสารปนมาด้วยเสมอ ส่วนแม่ชีคก้านั้นแม้จะคอยดูแลตนเองมาตลอดแต่ส่วนมากก็มักจะสาละวนอยู่กับการเอาใจพี่นีสรีน และบางครั้งก็ส่งสายตาเหนื่อยๆ มาให้เมื่อตนทำอะไรผิด แต่ไม่เคยมีใครที่มองเธอด้วยสายตาแบบนั้นเลย

*************************************************************



แพรพริมา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 มี.ค. 2557, 10:51:51 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 มี.ค. 2557, 10:51:51 น.

จำนวนการเข้าชม : 1563





<< 3   5 >>
Siang 10 มี.ค. 2557, 11:18:12 น.
คุณพี่ เรื่องนี้ออกทันงานหนังสือรึเปล่าคะ


แพรพริมา 10 มี.ค. 2557, 11:36:45 น.
ไม่แน่ใจเลยค่ะ เพราะช่วงงานหนังสือคิวพิมพ์เยอะ แต่จองกับ สนพ.ก่อนก็ได้นะคะ ^^ ตามลิงค์นี้เลยจ้ะ https://www.facebook.com/photo.php?fbid=635098843205360&set=a.106053352776581.3512.100001157496841&type=1&theater


แว่นใส 10 มี.ค. 2557, 14:32:57 น.
ต้องได้คู่กันใช่ไหม จะรักษาพ่อทันไหมนะ


Zephyr 11 มี.ค. 2557, 21:08:45 น.
ชักจะวุ่นวายแล้ว
คงไม่สลับคู่กัน แต่จะคู่กันยังไงนี่สิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account