คานน้อย คอยรัก (จบแล้วค่ะ)
คานน้อย คอยรัก

ในลักษณ์นั้นว่าประหลาด…………….คนบนคานนั้นว่าน่าประหลาด
เป็นเชื้อชาตินักรบกลั่นกล้า…………...เป็นเชื้อชาตินักรักผู้หาญกล้า
เหตุไฉนย่อท้อรอรา…………………..เหตุไฉนย่อท้อรอเวลา
ฤาจะกล้าแต่เพียงวาที…………………ฤาไม่กล้าบอกรักใครสักที

เห็นแก้วแวววับที่ดับจิต…………………เห็นคานแก้วแวววับสดับจิต
ใยไม่คิดอาจเอื้อมให้ถึงที่……………...ใยไม่คิดปีนไปให้ถึงที่
เมื่อไม่เอื้อมจะได้อย่างไรมี……………อย่ามัวรอจงขึ้นมาเร็วรี่
อันมณีฤาจะโลดไปถึงมือ………………บนคานนี้มีรักให้ฝึกปรือ

อันของสูงแม้ปองต้องจิต………………..คานเราสูงไม่เป็นรองของใครอื่น
ถ้าไม่คิดปีนป่ายจะได้ฤา………………..อย่าได้ขืนลงไปให้เสียชื่อ
มิใช่ของตลาดที่อาจซื้อ………………….มิใช่ทองตามตลาดที่อาจซื้อ
ฤาแย่งยื้อถือได้โดยไม่ยอม……………..เพราะเราถือความพอใจจึงลงไป

ไม่คิดสอยมัวคอยดอกไม้ร่วง……………ไม่คิดสอยมัวคอยให้คานทับ
คงชวดดวงบุปผาชาติสะอาดหอม………..รอให้ดับคาคานหรืออย่างไร
ดูแต่ภุมรินเที่ยวบินตอม…………………..ฤาต้องคอยรักแท้จนแก่ใช่ไหม
จึงได้ออมอบกลิ่นสุมาลี…………………..เกาะคานน้อยคอยรักต่อไป
…………………..........จนกว่าจะเจอคนที่ใช่…ใช่ไหมคาน………………
(อ้างอิงกลอนจากบทละครเรื่องท้าวแสนปม)

มาดูเหตุผลของคนที่ยังไม่ลงจากคานกันค่ะ...
อาจจะมีเหตุผลมากมายที่ไม่อยากลงจากคาน
หรืออาจมีเพียงแค่หนึ่งเหตุผลง่ายๆก็คือ...

...ไม่ใช่คนที่ใช่ก็ไม่ใช่...

หรือว่า

...โดนข้อหาหลายใจ เพราะเคยมีแฟนหลายหน...

หรืออาจเป็นเพรา

...เขาบอกให้รอ เราก็รอ...

หรือจริงๆแล้ว

...ขออยู่รอคนสุดท้ายคนนั้นได้ไหม...

หรือลึกลงไป

...กำลังรอเจ้าชายในฝันอยู่อย่างอดทนได้ทุกอย่าง...

หรือกำลังปลอบใจตัวเองว่า

...ครึ่งหนึ่งของฉันยังมาไม่ถึง...ซึ่งสักวันเขาจะมาอยู่ข้างกัน...

หรือกำลังหลอกตัวเองด้วยการปกปิดว่า

...ไม่หวั่นไหว หัวใจไม่ปรารถนา...

ทั้งๆที่จริงๆแล้ว

...อยากรัก อยากฝัน แต่เพราะกลัว ก็เลยไม่กล้ารักใคร...

หรือว่าอาจจะเป็นเหตผลสุดท้ายที่ไม่ค่อยมีใครกล้ายอมรับดังๆว่า

...ไม่เคยมีใครมาจีบ ไม่มีใครสน เรามันคนธรรมดาๆ...

แต่ไม่ว่าจะเหตุผลใด...

เราก็ยังหวังและยังคงรอคอยปาฏิหาริย์ว่าจะได้เจอคนที่ใช่ในสักวัน...


Tags: ดราม่า หวานซึ้ง อบอุ่น หมอรัง สิ้นรัก วายุ ปองขวัญ

ตอน: ยกที่ 90 เมื่อยามสนธยา



ยกที่ 90 เมื่อยามสนธยา


“พี่รังจะจัดการยังไงกับสิ้นรักตัวปลอมคะ…”

สิ้นรักหันมาถามสามีที่กำลังช่วยเธอแต่งตัวให้ลูกน้อยอยู่

“เมื่อวานพี่ได้ไถ่ถามเขาทุกอย่างแล้ว แต่ยังปิดปากเงียบ พี่ก็เลยจำกัดพื้นที่
ให้อยู่ที่บ้านพักบนหน้าผา ทางเดียวที่เขาจะรอดก็คือ การพูดความจริง
กับการกระโดดลงจากหน้าผาเท่านั้น แต่พี่เชื่อว่า เขาจะไม่ยอมตายง่่ายๆแน่…”

รังสิมันต์ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทำเอาคนฟังถึงกับชาวาบ
ไม่คิดว่าสามีของตัวเองจะไหวตัวทันและได้จัดการอีกคนไปเรียบร้อยแล้ว

“พี่รังอย่าทำอะไรเขาเลยนะคะ…ยังไงเขาก็เป็นผู้หญิง…”

“เธอแน่ใจได้ไงว่าเขาเป็นผู้หญิง…”
รังสิมันต์หันมาสบตาสิ้นรักเป็นการหยั่งเชิง ทำเอาคนถูกถามถึงกับอ้ำอึ้ง
ก่อนจะพูดติดๆขัดๆเหมือนคนที่ไม่แน่ใจนักกับสิ่งที่จะพูดออกไป

“ก็…เอ่อ…ก็รักเห็นแววตาของเขา…เขาดูจะพอใจพี่รังมากๆ…
หากรักไม่เข้าข้างเสน่ห์ของพี่ รักคิดว่า…เขาดูจะรักพี่รังอยู่ไม่น้อย…”

เมื่อพูดไปแล้วก็อยากจะกัดลิ้นตัวเองเสียตรงนั้น เพราะคนฟังหันมายิ้ม
แววตาเป็นประกายให้เธอทันที

“เธอคิดว่ามีแค่ผู้หญิงเท่านั้นเหรอที่รักพี่…”สิ้นรักจ้องคนพูดอย่างเอาเรื่อง

“พี่รังอย่านอกเรื่องสิคะ…”

“พี่ไม่ได้นอกเรื่อง…เพราะที่เธอคิดว่าเขาเป็นผู้หญิงน่ะ
จริงๆแล้วอาจจะไม่ใช่ก็ได้…เดี๋ยวนี้มองกันแค่ภายนอกไม่ได้หรอก…”

สิ้นรักตาโต อ้าปากหวอ

“นี่…พี่รังกำลังจะบอกว่า พี่รังเห็นมากกว่าภายนอกแล้วเหรอคะ…”

รังสิมันต์หัวเราะออกมาทันทีเมื่อคิดว่าอีกคนกำลังคิดไปไกลถึงไหน

“นี่พี่รังมีอะไรกับเขาไปแล้วใช่มั้ย ถึงรู้ว่าเขาไม่ใช่ผู้หญิงแท้ๆ และก็เลยรู้ว่า
เขาไม่ใช่สิ้นรักตัวจริง…บอกมานะคะว่าพี่รังมีอะไรกับเขาไปแล้วจริงๆน่ะ…”

สิ้นรักรู้สึกเหมือนลมจับ อยากจะเป็นลมเสียตรงนั้น…

…ไม่จริง…มันต้องไม่เป็นแบบนี้…

“ถ้าพี่บอกว่าใช่…เธอจะว่าไง…”รังสิมันต์ได้ทีแกล้งอีกคนเล่น

“ไม่จริง…เป็นไปไม่ได้…”สิ้นรักส่ายหน้าด้วยแววตาอ่อนล้า…

“ก็ตอนแรกพี่คิดว่าเขาเป็นเธอนี่…เธอจะให้พี่ทำไง…”
รังสิมันต์แกล้งตีหน้าตายแกล้งอีกคนต่อ

“กว่าจะรู้ว่าไม่ใช่เธอจริงๆ…พี่ก็เสร็จเขาไปแล้ว…”สิ้นรักถึงกับหน้าถอดสี
และอดโทษตัวเองไม่ได้ที่ทำให้สามีของตัวเองต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น
เพราะเธอที่ทำให้พี่รังต้องร่วมหลับนอนกับกระเทย…

“มันต้องไม่เป็นแบบนี้ รักไม่คิดเลยว่าพี่รังจะไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นตัวปลอม
เพราะพี่รังรู้จักรักดี…พี่รังน่าจะรู้ตั้งแต่ได้สัมผัสเขาครั้งแรกแล้วด้วยซ้ำว่าไม่ใช่”

รังสิมันต์ยิ้มและซักไซร้ต่อ

“แล้วไง…ก็ในเมื่อมันมืด…ใครจะไปคิดว่าจะมีคนหน้าเหมือนกันขนาดนั้น…
เธอเองก็ไม่เคยมีประวัติว่ามีพี่น้องฝาแฝดซะด้วย…พี่ก็นึกว่าเธอหายไปตั้งหลายเดือน
ก็น่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างเป็นธรรมดา…”

“แต่พี่ลมเคยบอกว่า พี่รังเป็นคนช่างสังเกต และเป็นคนละเอียด
เรื่องจับผิดพี่รังถนัดที่สุด…เรื่องแค่นี้พี่รังก็ย่อมต้องรู้ เพียงแต่ต้องใช้เวลาเท่านั้น…
แล้วรักก็เห็นมาตลอดว่าพี่รังไม่ได้อยู่ร่วมห้องกับเขา จะมีก็แค่…แค่คืนนั้น
แต่สุดท้ายพ่ีรังก็ไม่ได้นอนห้องเขา…”

สิ้นรักพยายามพูดเพื่อทำให้ตัวเองสบายใจ
เพราะไม่อยากจะเชื่อว่าสามีของตัวเองไปมีอะไรกับตัวปลอม
แต่ใจหนอใจมันอดระแวงไม่ได้…ในเมื่อมันย่อมมีความเป็นไปได้สูง

“บางเรื่องมันก็ไม่สามารถควบคุมได้…”
รังสิมันต์ยังหาเรื่องแกล้งสิ้นรักไม่เลิก ซึ่งดูเหมือนอีกฝ่ายกำลังจะติดกับเขาเข้าให้แล้ว
อยากจะรู้นักว่าภรรยาของเขาจะคายอะไรออกมาอีกบ้าง

“แล้วหน้ากากที่รักทำไว้ คุณอากิก็บอกเองว่า ไม่น่าจะรอดจากสายตาพี่รังไปได้นาน
เพราะพี่รังเป็นคนหูตาไว…เทคนิคแค่นั้นไม่อาจปกปิดพี่รังได้นาน”

“แล้วไง…ก็ในเมื่อพี่พลาดไปแล้ว…ตอนนั้นพี่สับสนนี่ ก็เลยอยากจะทดสอบให้แน่ใจ…
ก็เลย…”

เอาแล้วไง คราวนี้สิ้นรักถึงกับหน้าถอดสีเป็นรอบที่สาม

“รักไม่เชื่อว่าพี่รังจะไม่รู้ว่านีสรีนเป็นสิ้นรักตัวจริง…”

“ก็ตอนแรกๆพี่ไม่รู้จริงๆนี่นา…มาหัดสังเกตนีสรีนแบบจริงๆจังๆ
ก็ตอนที่พลาดท่าเสียทีเขาไปแล้ว จริงๆแล้วพี่ก็ไม่อยากทดสอบหรอก…
แต่เพราะความอยากรู้อยากเห็นแท้ๆ…”

รังสิมันต์ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จต่อไป
แล้วดูเหมือนภรรยาสุดที่รักจะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่ากำลังถูกอำอยู่…

“ไม่จริง…รักไม่เชื่อ…มันต้องไม่เป็นแบบนี้…”

“แล้วเธอจะให้พ่ีทำยังไง…”สิ้นรักมองอีกฝ่ายด้วยสายตาอ่อนแสงก่อนจะก้มหน้า
มองดูลูกน้อยที่กำลังเล่นของเล่นอยู่…

“รักขอโทษนะคะที่เป็นต้นเหตุทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น…”
รังสิมันต์ยกมือลูกหัวทุยนั่นเบาๆแล้วก็โยกไปมาก่อนจะโอบเข้ามาให้ซบตรงอกกว้าง
ลูกน้อยหันมาเห็นภาพบิดากำลังโอบกอดแม่นม ซึ่งสิ้นรักเองไม่อยากให้ลูกน้อยตกใจ
เลยต้องใส่หน้ากากกลับไปเป็นใบหน้าของนีสรีนดังเดิม…

เอาไว้ค่อยๆอธิบายลูกน้อยให้เข้าใจ เพราะลูกน้อยอายุเพียงแค่แปดเดือน
ยังไร้เดียงสาอยู่นัก คงไม่ยากเย็นที่จะให้เขาได้ปรับตัวกับหน้าใหม่ของเธอ
เพราะตอนนี้เธอยังให้นมแก่ลูกน้อยอยู่…ลูกน้อยย่อมรับรู้ได้ด้วยสัมผัสเธอมั่นใจ
และเมื่อเห็นลูกน้อยเข้ามาหา ทั้งสองจึงยื่นแขนรับเข้ามาสู่อ้อมกอด…

“ในที่สุดเธอก็บอกให้พี่รู้จนได้ว่าใครคอยอยู่เบื้องหลังในเรื่องนี้บ้าง…
ไม่ผิดคาดเลยจริงๆ สงสัยคงต้องตบรางวัลให้สองพี่น้องจอมป่วนนั่นบ้างแล้ว…”

สิ้นรักเหลือบตาขึ้นมองคนพูดทันทีก่อนจะขมวดคิ้วใช้ความคิดแล้วก็เหมือนกับ
จะรู้ได้ในทันทีว่าโดนอำเมื่อเห็นแววตาเป็นประกายเจิดจ้าของสามี
ยิ่งปากที่แย้มยิ้มออกมาราวกับเป็นผู้ชนะนั้นอีก…

“นี่พี่รังอำรักหรอกเหรอคะ…”รังสิมันต์หัวเราะในลำคอฮึๆแทนคำตอบ
สิ้นรักเลยทุบไปที่อกกว้างนั้นทันทีด้วยความเจ็บใจที่ถูกเขาหลอกให้เผยไต๋

“นี่แน่ะ…คนอะไร หาเรื่องได้ไม่หยุดไม่หย่อนเลย…ทำเอารักใจเสียหมดเลย…”

“ใจเสียหรือเสียใจ…”รังสิมันต์เลิกคิ้วถามด้วยรอยยิ้มยียวน

“ก็ทั้งสองอย่างน่ันแหล่ะ…”สิ้นรักเชิดใส่

“นี่เธอกลัวว่าพี่จะเสียตัวให้กระเทยจริงๆเหรอ…”รังสิมันต์พูดด้วยน้ำเสียงหยอกเอิน

“ใครจะไม่กลัว…ก็รักมั่นใจว่าสามีของรักไม่เคยเสียตัวให้ใครนอกจากรักนี่
ถ้าพี่รังต้องเสียตัวให้กระเทยเพราะรักเป็นต้นเหตุ รักจะรับได้ยังไง…”

รังสิมันต์ยิ้มกว้างด้วยสีหน้าพอใจก่อนจะแกล้งหยอกอีกนิดว่า

“นี่เธอกล้ามั่นใจในตัวพี่ขนาดนั้นเลยเหรอ…”สิ้นรักจ้องคนพูดสายตาเอาเรื่อง
แต่เธอเชื่อของเธออย่างนั้น เพราะรู้จักคนตรงหน้าดี

แม้ดูเผินๆแล้วเขาจะเป็นคนกล้า แต่สำหรับเรื่องแบบนี้แล้ว
เขาไม่ใช่ผู้ชายที่ฉาบฉวยเลย ยิ่งน้องชายของเขาอย่างนายรัก
ยืนยันถึงความสามารถในการรักษาเนื้อรักษาตัวของเขามาอย่างดี
เธอก็ยิ่งมั่นใจ…ว่าเขาจะไม่ทำลายเกียรติผู้หญิงคนไหนแล้วไม่รับผิดชอบ
ต่อให้ผู้หญิงคนนั้นจะใส่พานถวายและไม่คิดจะให้เขารับผิดชอบก็ตาม…

เพราะรูปร่างหน้าตา ฐานะ การศึกษา และการงานของเขา เธอเชื่อแน่ว่า
ย่อมเป็นต้องตาต้องใจต่อบรรดาหญิงแท้และหญิงเทียมอย่างแน่นอน…
ขึ้นอยู่กับเขาว่าจะเล่นด้วยหรือไม่…

และในกรณีนี้เธอม่ันใจว่าเขาไม่เล่นด้วยกับใคร
หากว่าเขายังไม่ได้แต่งงานกับคนๆนั้นตามหลักศาสนาแล้วเท่านั้น
และเธอคือคนแรกและคนเดียวที่แต่งงานกับเขา…

“นี่คือความภาคภูมิใจของรัก…ขอให้รู้ไว้นะคะว่ารักมั่นใจสุดๆ…
ว่าพี่รังไม่มั่วกับใครมาก่อน และรักคือคนเดียวเท่านั้นที่พี่รังมอบทั้งกายและใจให้…”

สิ้นรักยิ้มโชว์ฟันสวยด้วยใบหน้าภาคภูมิใจ ทำเอาคนมองเป็นปลื้ม
จึงหอมแก้มให้คนพูดเสียฟอดใหญ่

“จะมีผู้หญิงคนไหนเขาภูมิใจในสิ่งนี้เหมือนเธอบ้างนะ…”

“ไม่รู้…รักไม่สนหรอกว่าผู้หญิงคนอื่นเขาจะภูมิใจในสามีแบบไหน
แต่รักภูมิใจที่มีสามีแบบพี่รังสุดๆ…เพราะผู้ชายที่มีโอกาสอย่างพี่รัง
แต่ไม่ยอมฉกฉวยโอกาสเหล่านั้น ย่อมหมายความว่าพี่รังเป็นคนที่มีความยับยั้งชั่งใจสูง
ควบคุมตัวเองและกิเกสตัณหาได้ดีเยี่ยมยอด...
ก็เลยคิดแล้วว่า จะปล่อยให้รอดมือไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด…

รักไม่นิยมชมชอบผู้ชายเจ้าชู้ มั่วผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า
ดีแต่ทำให้ผู้หญิงเจ็บช้ำ พี่รังจึงเป็นคนที่ใช่ที่สุด ตรงที่สุด…
งานนี้ถ้าไม่ได้พี่ลมกับคุณอากิ รักคงแย่…พี่รังต้องตบรางวัลอย่างงาม
ให้สองพี่น้องคู่น้ีนะคะ…ห้ามแก้เผ็ดเขาเด็ดขาด…”รังสิมันต์หัวเราะฮึๆในลำคอ

“ดูจะปกป้องผู้ช่วยเหลือเกินนะเราน่ะ…”

“เฮ้อ…โล่งใจไป…ที่พี่รังไม่ได้เสียตัวให้เขาไปจริงๆ”อยู่ๆสิ้นรักก็ถอนใจออกมา
ทำเอาคนฟังถึงกับยิ้มไปส่ายหน้าไป…ไม่คิดเลยว่าภรรยาของเขาจะเป็นเอามากขนาดนี้…

“ว่าแต่เขาเป็นกระเทยจริงๆเหรอคะ…”สิ้นรักถามออกมาเมื่อนึกขึ้นได้
รังสิมันต์หัวเราะก่อนจะส่ายหน้า

“พี่จะไปรู้ได้ยังไง…ก็แค่แกล้งอำเธอเล่นๆ ไม่คิดว่าเธอจะดันจริงจังจริงๆ…
พี่ก็เลยปล่อยเลยตามเลย แกล้งเธอต่อไป…”สิ้นรักค้อนคนพูดให้หนึ่งวงใหญ่ๆ
แล้วหันไปหอมแก้มลูกน้อย

“ลูกไออย่ามีนิสัยขี้แกล้งเหมือนพ่อรังนะครับ ไม่งั้นแม่รีนไม่รักด้วย…”
เด็กน้อยมีสีหน้างงงวย ไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่ได้ฟังมากนัก
แต่ก็พยักหน้าเมื่ออีกฝ่ายใช้ให้พยักหน้า

“ต้องอย่างนั้นสิ…เป็นลูกแม่ก็ต้องเข้าข้างแม่…”สิ้นรักหอมแก้มลูกรักอีกฟอดใหญ่
เมื่อเห็นลูกพยักหน้า ซ้ำยังส่งยิ้มหวานๆมาให้อีก…
ก่อนจะหันไปยิ้มลอยหน้าลอยตาให้กับรังสิมันต์ราวกับจะเย้ย
รังสิมันต์หมั่นไส้คนตรงหน้าจนต้องแกล้งพูดขู่เป็นการกำราบไปว่า…

“สงสัยคงต้องหาน้องให้น้องไออีกสักคนสองคนแล้วมั้ง…
จะได้เลิกเล่นพรรคเล่นพวกทั้งแม่ทั้งลูก…”

“พี่รังอยากได้แล้วไง…รักไม่ยอมซะอย่าง พี่รังจะทำไงได้…”

“ทำไมจะทำไม่ได้…”ทว่าสิ้นรักหาได้สะทกสะท้านไม่
กลับลอยหน้าลอยตาต่อไป

“ก็ให้มันรู้ไปสิว่า…เธอจะกล้าแจ้งความกับตำรวจว่าโดนสามีปล้ำจนตั้งท้อง
เพียงเพราะสามีอยากช่วยประเทศชาติในการเพิ่มประชากรหน้าตาดีๆให้…
เพราะศาลอาจจะเห็นด้วยกับพี่มากกว่าเธอ เพราะหน้าตาพี่มันฟ้องว่าประชาชาตินี้
จะต้องออกมาดูดีไม่แพ้พ่อ…แค่น้องไอก็การันตีได้แล้วว่าพี่บริสุทธิ์ใจ
ที่จะสร้างประชาชาติหน้าตาดีให้มีเพิ่มขึ้นจริงๆ…และศาลย่อมเข้าใจว่า
เรื่องแบบนี้ พี่ทำเพื่อชาติคนเดียวไม่ได้ มันต้องได้รับการช่วยเหลือ
และแนวร่วมจากภรรยาด้วย เราจึงต้องช่วยชาติด้วยการมีลูกด้วยกันเยอะๆ…รู้มั้ย…”

สิ้นรักถึงกับกะพริบตาปริบๆ อ้าปากหวออย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยินมา…
ส่วนรังสิมันต์ก็ได้แต่หัวเราะชอบใจ…
ทำให้บรรยากาศในห้องนอนอบอวนไปด้วยกลิ่นไอของความอบอุ่นและสีสัน
ส่งผลให้คนอื่นๆภายในบ้านหลังนี้พลอยมีความสุขไปด้วย…








แล้ววันศุกร์ที่เวนไตยรอคอยก็มาถึง…พิธีแต่งงานถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย
มีเพียงสมาชิกในเกาะชิงชังที่มีจำนวนไม่กี่ร้อยคนกับสมาชิกจากเกาะรังรัก
มาร่วมสมทบอีกเกือบร้อยคน ส่วนบุคคลบนแผ่นดินใหญ่ก็จะมีเพียงสามตระกูล
อย่างตระกูลอาทิตยะ ตระกูล ส.พันธกาล และตระกูล ณรันยา
ซึ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือช่างภาพมือทองอย่างเต็มกมลและลูกทึมอย่างช่อลิลลี่
ที่ประคบคู่กันมาร่วมงานราวกับเป็นการประกาศข่าวคราวที่ทั้งสอง
กำลังจะลงเอยกันในเร็ววันนี้ด้วย

“ไม่ยักกะรู้ว่าพี่ปุ๊กับพี่ลี่จะมีข่าวดีเร็วๆนี้…”

เจ้าสาวกล่าวหยอกล้อเต็มกมลทันทีเมื่อมีโอกาส
ทำเอาช่อลิลลี่ถึงกับต้องหันไปอีกทางด้วยความเขินอาย

“พี่โดนยัยลี่เอาปี๊บคลุมหัวก็เลยหาทางไปไหนไม่รอดน่ะซาเนีย…
ก็เลยต้องปล่อยเลยตามเลยให้ยัยนี่คุมชะตาชีวิตต่อจากนี้…เฮอะๆ”

เสียงหัวเราะส่งท้ายนั่นทำให้คนที่เมินหน้าไปทางอื่นด้วยความเขินอาย
ต้องรีบหันขวับมาทางเจ้าของเสียงทันทีที่จบประโยคนั้น

“อย่าไปเชื่อปากพี่ปุ๊นะน้องซาเนีย ปากแบบนี้น่ะได้เวลาต้องซ่อมแล้ว
พี่น่ะเห็นใจหรอกว่าไม่มีใครกล้าซ่อมปากให้ ก็เลยอาสาจะซ่อมเอง…
ถ้าไม่ใช่พี่ น้องซาเนียคิดว่าจะมีใครกล้าง้างปากที่มีแต่…”
ปากของช่อลิลลี่มีอันที่หุบลงเพราะโดนมือของเต็มกมลมาป้องปิดไว้ไม่ให้พูดต่อ

“น้องซาเนียเห็นมั้ยว่ายัยนี่กำลังจะปล่อยอะไรออกมา…”ซาเนียถึงกับยิ้มขัน
กับทั้งสองที่ดูจะเป็นคู่ที่ดูไม่จืดเลย…

“ซาเนียว่าน่ารักดีค่ะ…ถ้าได้แต่งงานกันเมื่อไหร่ ซาเนียคงมีหลานหลายคนแน่ๆเลย”

“อุ้ย…น้องซาเนียก็พูดไป…ใครจะยอมแต่งงานกับพี่ปุ๊เล่า…
พี่ยังไม่อยากมีลูกออกมาหน้าตาเหมือนลิงบาบูนค่ะ…”
ช่อลิลลี่พูดไปก็หน้าแดงไปด้วย

“อะไรๆ…ก็ไหนเธอเป็นคนบอกพี่เองว่ากลัวมีลูกไม่ทันใช้งานไง…
แล้วหน้าตาอย่างพี่เนี่ยมันเหมือนลิงบาบูนตรงไหนฮะยัยปลามารีน…”

ช่อลิลลี่หันมาค้อนใส่คนพูดอีกหนึ่งวง…ที่มาหาว่าเธอเป็นปลามารีน…
ก็รู้ๆกันอยู่ว่าปลามารีนนั้นปากยาวและแหลมแถมคมแค่ไหน…

“ยัยนี่ชักมั่วแล้วน้องซาเนีย เพราะอีกสองเดือนข้างหน้า
เราก็จะจัดงานแต่งตามน้องซาเนียไปติดๆครับผม…”
ว่าที่เจ้าบ่าวรีบชิงตัดหน้าเป็นการรวบหัวรวบหางอีกฝ่ายเสียในคราวเดียว

“จริงเหรอคะ…พี่ลี่…”ซาเนียหันมาขอคำยืนยันกับว่าที่เจ้าสาว
ทำเอาช่อลิลลี่ไปไม่ถูกจนต้องหันมาจ้องตาอีกคนเป็นมันวาว

“จริงที่สุดครับผม…เพราะเมื่อแต่งงานแล้ว พี่ก็จะรีบจัดการกับปากแหลมๆ
ของยัยปลามารีนนี้สักที…เผลอทีไรเป็นแทงเรือพี่ทะลุจนเรือล่มไปไหนไม่รอดทุกที…”
เต็มกมลรีบชิงตัดหน้าตอบไปได้อีกรอบ ทำเอาอีกคนต้องอ้าปากค้าง

“งั้น…ซาเนียขอแสดงความยินดีล่วงหน้านะคะ…”ซาเนียยิ้มให้ทั้งสอง
ก่อนจะหันไปทางเจ้าบ่าวของตัวเองที่กำลังเดินมาทางนี้

“สงสัยเจ้าบ่าวจะมาตามเจ้าสาวกลับไปอยู่ข้างๆแล้วล่ะมั้ง…ไม่รู้จะหวงไปถึงไหน
นี่ขนาดว่าเพิ่งจะเข้าพิธีก็ออกลายหวงขนาดนี้ พี่ว่าต่อไปหนุ่มหน้าไหนก็คง
เข้าใกล้น้องซาเนียไม่ได้แล้วล่ะมั้งเนี่ย…”เต็มกมลแอบกัดเจ้าบ่าวของซาเนีย
ด้วยความรู้สึกหมั่นไส้…ทำเอาซาเนียถึงกับยิ้มขัน

“งั้นซาเนียคงต้องรีบไปหาเจ้าบ่าวของซาเนียแล้วล่ะค่ะ…
อยู่กับว่าที่เจ้าบ่าวของคนอื่นๆนานๆเดี๋ยวเจ้าบ่าวเราจะหึงเอาได้…”
ซาเนียไม่ลืมที่จะหยอกคู่รักตรงหน้าก่อนเดินไปหาเวนไตยไม่ได้

“ว่าไปแล้ว…น้องซาเนียกับเวนไตยก็เหมาะสมกันมากๆเลยนะคะ…
คนนึงดูน่ารัก สดใส บอบบาง น่าทนุถนอม ส่วนอีกคนก็ดูเคร่งขรึม…
แต่แฝงไปด้วยความอบอุ่นและพร้อมจะกางปีกปกป้องอีกฝ่าย…
เหมือนเจ้าหญิงตัวน้อยๆกับองค์รักษ์ผู้กล้าหาญ…น่าอิจฉาจัง”

ช่อลิลลี่มองภาพเวนไตยที่กุมมือซาเนียแล้วจูงเข้าไปหาผู้คนในงาน
ภาพที่ทำให้เธออดจินตนาการไปถึงเรื่องราวในนิทานไม่ได้…
และแววตาเพ้อฝันนั่นเองที่ทำให้คนข้างๆอดหมั่นไส้ไม่ได้…

“ไม่เหมือนเรื่องราวของข้าวนอกนาเนอะ…เรื่องนั้นนางเอกของเราดำไปหน่อย…”

คนผิวเข้มที่ยืนเพ้อฝันอยู่ถึงกับสะดุด ทำภาพฝันหลุดลอยไป
แล้วก็เปลี่ยนเส้นทางหันมาจู่โจมคนที่พูดทันที…

“ดำแล้วไง…ไอ้พี่ปุ๊…”

“ก็สวยไง…”เต็มกมลยิ้มหยอกอีกฝ่ายอย่างนึกสนุก

“ไม่สวยไม่ขอแต่งงานนะเออ…”คนฟังถึงกับไปไม่ถูกทันทีเมื่ออีกคน
หันมาใช้กลยุทธดังกล่าวแทนที่จะปากเสียอย่างเคย…

“ลี่รู้หรอกน่าว่าลี่น่ะไม่ใช่คนสวยอะไร…”หญิงสาวพูดเสร็จก็หันหน้าไปอีกทาง

“พี่ว่าขนาดนี้กำลังดีนะ…ไม่ต้องหวานจนมดตอม ไม่ต้องสวยใสด้วยของปลอม
เธอเป็นเธออย่างนี้ก็ดีอยู่แล้ว…อะไรของใครจะใหญ่แค่ไหนพี่ไม่สนใจจะมองอีกแล้ว
ขอแค่ใจของเธออย่าเล็กลงก็พอ…คนจะสวยสวยจริงที่จิตใจ…”

ช่อลิลลี่เริ่มยิ้มเขินเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่ไม่ทันจะได้ฉีกยิ้มให้เห็นฟัน
ก็เป็นอันต้องหุบยิ้มลงกับประโยคต่อมา

“แม้จมูกจะบานไปนิด ผิวจะดำไปหน่อย พี่ก็รักของพี่นะ…อย่าน้อยใจไปเลย
คนตัวดำมีแค่เธอคนเดียวซะที่ไหน แต่คนที่พี่เลือกน่ะ มีแค่เธอเท่านั้นนะ…

ที่เลือกน่ะไม่ได้เลือกที่ความดำหรือรอบเอว…
เชื่อได้ว่าพี่ไม่เคยหลงเธอแน่…แต่รักล้วนๆ…”

ช่อลิลลี่ที่กำลังอ้าปากจะต่อว่าอีกคนก็ต้องหุบปากลงทันทีกับตอนท้ายของประโยค…
ไม่รู้ว่าควรดีใจกับคำพูดของเขาดีรึเปล่า
ดูเหมือนเขาพยายามจะบอกว่าไม่มีอะไรในตัวเธอให้น่าหลงใหลได้…

“พูดขนาดนี้แล้วยังไม่ยิ้มหวานๆให้เห็นอีก…”เต็มกมลก้มหน้าลงมองอีกคน
ที่เอาแต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด…

“พี่จะไม่พูดบ่อยๆนะ เพราะพี่ไม่ใช่คนโรแมนติกอะไร แต่อยากให้เธอจำไว้ว่า…
พี่รักเธอที่เธอเป็นตัวเธอแบบนี้…ไม่มากและก็ไม่น้อยเกินไป…สำหรับพี่แล้ว
เธออาจจะไม่ใช่คนที่มีใบหน้าที่สวยที่สุดในบรรดาคนที่พี่เคยพบเจอมา…
แต่พี่ไม่เคยเบื่อที่จะมองเธอเลยสักวัน…และสิ่งที่ทำให้เธอ
มันเกิดจากความรักล้วนๆ…ขอให้เธอมั่นใจได้…ว่ารักที่พี่มีให้เธอเหมือนนมสด
ที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการใดๆ…สดจากใจ…”ช่อลิลลี่มองแววตาคนพูด
แล้วก็รีบก้มหน้าทันที ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังหน้าแดงแค่ไหน…

“งานแต่งของเราจะเอาอย่างไร เก็บเอาไปคิดพลางๆนะ…พี่ให้เวลาเธอแค่หนึ่งเดือน
ถ้าเธอคิดไม่ทัน พี่จะช่วยทำให้มันเร็วกว่านั้นด้วยมือพี่เอง…”

เต็มกมลไม่รอให้อีกฝ่ายได้พูดเลย เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายจะพูดอย่างไรต่อ
จึงดักทางเอาไว้…เพราะเมื่อรู้ว่ารักแล้วก็ไม่อยากจะรอให้แก่กันไปมากกว่านี้
อยากมีเวลาได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ทำความรู้จักกันในสถานะใหม่เสียที…
ไม่ขอลองใช้ชีวิตก่อนการแต่งงาน เพราะได้ลองมาแล้ว แต่มันไม่ผ่าน…

เขาขอใช้ใบทะเบียนสมรสและการสละความโสดต่อหน้าผู้คนรอบกาย
เป็นเดิมพันในการลองใช้ชีวิตคู่กับผู้หญิงคนนี้ดูให้รู้กันไป…ไม่อยากใช้ชีวิตแบบ
เร่ร่อนไร้รังอีกต่อไปแล้ว…







“ลุงมีห้องหอที่เตรียมเอาไว้ให้ทั้งสองแล้วนะ…”

บันลือกล่าวขึ้นขณะหันไปทางซาเนียเมื่อได้เวลาส่งคู่บ่าวสาวเข้าห้องหอ
ทำเอาเจ้าบ่าวเจ้าสาวถึงกับหันหน้ามาหากัน
เพราะทั้งสองได้เตรียมห้องหอเอาไว้เรียบร้อยแล้วเช่นกัน…

“ไม่ต้องแปลกใจไปหรอก…ที่ที่ลุงเตรียมไว้ให้นั้นวิเศษที่สุด
เพราะมันคือความต้องการที่กุมพลได้ขอเอาไว้ก่อนตาย…
ว่าหากลูกสาวของเขาได้แต่งงานแล้วก็ขอให้เปิดห้องนั้นให้เป็นห้องหอของลูกสาว…”

บันลือกล่าวพร้อมเดินนำหน้าคู่บ่าวสาวและคนอื่นๆที่มาส่งคู่บ่าวสาว
ไปยังสถานที่ดังกล่าวที่อยู่ไกลออกไป

ร่างหนาของชายสูงอายุเดินลัดเลาะไปตามทางริมน้ำที่มีโคมไฟที่ประดับไปตลอดเส้นทาง
จนไปสิ้นสุดอยู่ตรงหน้าปากทางเข้าถ้ำที่ไม่เคยมีใครได้ล่วงรู้เลย
ว่ามีปากทางเข้าถ้ำอยู่ตรงนี้มาก่อน…ซึ่งตอนนี้ปากทางเข้าถ้ำได้ถูกตกแต่ง
ไว้อย่างสวยงามตระการตาด้วยดอกกุหลาบหลากสี...

ซาเนียกุมมือเวนไตยเอาไว้มั่น
ก่อนจะหันมายิ้มให้เจ้าบ่าวด้วยแววตาตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้พบเจอตรงหน้า

บันลือเดินเข้าไปในถ้ำที่มีแสงไฟประดับจนสว่างตลอดตัวถ้ำ
ภายในตัวถ้ำไม่ได้มีการประดับตกแต่งอะไรเลย แต่ความงามของมันนั้นคือความงาม
สะอาดสะอ้านของพื้นผิวถ้ำ และที่วิเศษยิ่งกว่าการตกแต่งใดๆก็คือ
ความสวยงามตามธรรมชาติของหินงอกหินย้อย
เลยทำให้ไฟที่อยู่ภายในถ้ำเป็นเพียงไฟอ่อนๆ
เพื่อไม่ให้กระทบกับความงามของหินงอหินย้อยที่สวยงามหาใดเปรียบไม่
สวยกว่าอีกถ้ำหนึ่งบนเกาะแห่งนี้ที่เธอเคยได้เห็น


เมื่อเดินมาได้สักระยะแล้ว บันลือจึงหยุดตรงปากทางเลี้ยวเข้าอีกซอกหนึ่งของถ้ำ
ตรงหน้าทางเข้าด้านในนั้น มีผ้าม่านลายนกยูงทองอยู่ตรงประตูทางเข้า

ซาเนียจำได้เป็นอย่างดีเกี่ยวกับฝีมือการวาดลวดลายของนกยูงทองนั่น

“ฝีมือการวาดภาพนกยูงทองของแม่นี่คะ…”ซาเนียเปรยออกมา
ทำเอาเวนไตยถึงกับจ้องมองภาพวาดลายนกยูงทองนั่นนิ่ง เพราะหากมองเผินๆ
ก็จะไม่มีใครรู้ว่านั่นคือลายนกยูงทอง แต่เมื่อมองดีๆก็จะรู้ว่าลายเหล่านั้นสื่อไปถึง
นกยูงทองไม่ว่าจะเส้นหรือสี…

“ใช่แล้วล่ะ…กุมพลเขาเป็นคนตกแต่งสถานที่แห่งนี้เอาไว้ให้ลูกสาวของเขา
ที่เขาตั้งใจจะให้ที่นี่เป็นห้องหอของลูก…เขาหมายมั่นปั้นมือให้ลูกสาวของเขา
ได้แต่งงานกับบุคคลนึงท่ีเขาเชื่อว่าเป็นลูกชายของน้องสาวบุญธรรมของเขา
ที่ได้หายตัวไปตั้งแต่เด็กๆ…เขาเชื่อว่าเวนไตยคือเด็กชายปราณคนนั้น

เขามั่นใจว่าเวนไตยจะกลับมาเพื่อปกป้องลูกสาวของเขา…และเขาก็เข้าใจไม่ผิด
ลุงดีใจที่ทั้งสองลงเอยกันได้ด้วยดี…นับว่านี่คือสิ่งสุดท้ายที่กุมพลเขาทำให้ลูกสาวของเขา
ก่อนตาย…เขาบอกให้ลุงเปิดห้องนี้ให้ซาเนียในวันที่ลูกสาวของเขา
มีคนมาอยู่เป็นคู่ชีวิตแล้ว…เข้าไปสิ…”

บันลือเปิดทางให้ทั้งสองก้าวเข้าไปในห้องลับ
ที่ไม่เคยมีใครเคยได้เห็นมันนอกจากเขากับกุมพลผู้ล่วงลับ…

ซาเนียกับเวนไตยมองไปรอบๆห้องแล้วได้แต่พูดอะไรไม่ออก
เพราะในห้องแห่งนี้มันสวยงามราวกับเป็นวิมานบนดิน
ที่มีประกายวับวาวของหินงอกหินย้อย กับผนังที่มีลวดลายอันแสนวิจิตร
บรรจงด้วยฝีมือของธรรมชาติ งดงามเหลือคำพรรณนา
มีเตียงไม้ที่แกะสลักลายเอาไว้อย่างงดงามวางไว้ มีเบาะและผ้าปูสีทอง
มีมุ้งสีเหลืองอ่อนแลดูอร่ามตายิ่งนัก…

“และนี่คือของขวัญที่พ่อของเธอตั้งใจจะให้เธอในวันที่เธอแต่งงาน…”

บันลือยื่นกล่องไม้ที่วางอยู่ในห้องนั้นให้แก่ซาเนีย…

“พ่อเธอฝากให้ลุงบอกกับเธอว่า…ในนี้มีมงกุฏของราชินีแห่งนกอยู่…ลองเปิดดูสิ…”

ซาเนียรับกล่องไม้มาไว้ในมือแล้วเปิดดู…ในนั้นมีมงกุฏของนกยูงวางอยู่
หญิงสาวหยิบมงกุฏนั้นขึ้นมา แล้วอยู่ๆกลไกบางอย่างในกล่องก็หมุนออก
เผยให้เห็นของชิ้นเล็กๆที่นอนนิ่งอยู่ภายในกล่องไม้อีกชั้นหนึ่ง

ซาเนียมองของสิ่งนั้นก่อนจะหันไปทางเวนไตย
ชายหนุ่มพยักหน้าให้หญิงสาวหยิบมันขึ้นมา

ซาเนียทำตาม แล้วก็พบว่ามันคือไมโครเอสดีการ์ดที่ถูกดูแลเอาไว้อย่างดี…

รังสิมันต์ที่มองดูเหตุการณ์นั้นอยู่จึงนึกบางอย่างขึ้นได้

“ลองเปิดดูกับมือถือสิซาเนีย…”ซาเนียจึงใส่ไมโครเอสดีการ์ดดังกล่าวในโทรศัพท์มือถือ
ของตัวเองเพื่อจะดูให้รู้ว่ามีอะไรอยู่ในนั้น…

แล้วสิ่งที่หญิงสาวคาดไม่ถึงก็วิ่งปรากฏภาพอยู่บนมือถือของเธอ
หญิงสาวจึงส่งคลิปวิดีโอในนั้นให้ทุกคนดู…
ทำให้ทุกสายตาถึงกับหันมามองจ้องกันโดยมิได้นัดหมาย…

“ที่แท้คุณอาก็เก็บความลับเอาไว้ในนี้นี่เอง…คงเป็นห่วงซาเนีย…เลยต้องทำแบบนี้”
รังสิมันต์กล่าวขึ้น บันลือพยักหน้าเห็นด้วย…

“งั้นก็แสดงว่า…ได้เวลาที่เราจะจัดการกับคนโกงแล้วน่ะสิครับ…”

เวนไตยกล่าวขึ้นด้วยแววตาหมายมั่น…เขารอคอยเวลานี้มานาน
พยายามไม่ใช้ความรุนแรง พยายามที่จะหาหลักฐานมาเอาผิดคนโกงด้วยกับกฎหมาย…
เพราะถ้าจะให้ฆ่่ามันก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาเลย แต่ฆ่าตัวบุคคลไปจะได้อะไร
ในเมื่อสิ่งที่เขาต้องการฆ่่าก็คือ การฆ่าชื่อของคนๆนั้นให้ตาย
ให้หมดสิ้นไปจากความเชื่อและความศรัทธาของผู้คน…เป็นการเปิดหูตาผู้คน
ให้ได้เห็นความเลวทรามของคนโกง…ว่าเขาโกงอย่างไร เอาให้เห็นเป็นรูปธรรม
ผู้คนจะได้จดจำไปตลอด…

และคลิปตั้งหมดในไมโครเอสดีการ์ดชิ้นนี้
ก็เพียงพอแล้วที่จะเอาผิดคนโกงให้ไม่มีที่ยืนในสังคมอีกต่อไป…

เพราะมันคือหลักฐานที่ไม่ได้ผ่านการตัดต่อมาเลยแม้แต่น้อย
ไม่ได้ผ่านการก็อปปี้ เป็นภาพถ่ายสด ณ ตอนนั้นอย่างมิต้องสงสัยเลย…




“คุณลุงรู้จักกับคุณลุงกุมพลนานแล้วเหรอครับ…”เวนไตยหันมาถามบันลือ
เมื่อหลายๆคนค่อยๆทะยอยกันกลับสถานที่พักแล้ว เหลือเพียงเขากับซาเนีย
สิ้นรัก รังสิมันต์ แพรวา และบันลือเพียงเท่านั้น…

“ใช่…ฉันเองก็สงสัยอยู่ไม่น้อยว่า เธอกับกุมพลไปรู้จักมักจี่กันตั้งแต่เมื่อไหร่…
และก็ตอนไหน…ทำไมถึงเตรียมการอะไรแบบนี้เอาไว้ล่วงหน้าได้…
แล้วกุมพลเคยเข้ามาที่เกาะนี้ด้วยเหรอ…ทำไมถึงดูเหมืิอนว่ารู้จักเกาะนี้จัง”

แพรวาเอ่ยขึ้นบ้าง ซึ่งนี่คือเหตุผลที่เธอต้องการจะรู้ ก็เลยยังปักหลักอยู่ตรงนี้
ไม่ยอมกลับไปพร้อมๆกับคนอื่นๆ อยากรอดูว่าเขาที่อยู่ตรงหน้าจะให้คำตอบนี้
กับเธออย่างไร…ในเมื่อที่ผ่านมา กุมพลคือเพื่อนของสามีเธอ

เมื่อสามีเธอเสียชีวิตไป กุมพลก็ได้กลายมาเป็นมือขวาของเธอ
ซึ่งไม่ใช่แค่มือขวาธรรมดาทั่วๆไป แต่กุมพลคือผู้ที่คอยดูแลเกาะรัง
ซึ่งได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นเกาะรังรักในปัจจุบันมาตลอดจนกระทั่งเสียชีวิต…

เหตุใดทั้งสองจึงรู้จักกันและไว้ใจกันได้มากขนาดกุมพลเลือกที่จะฝากสิ่งสำคัญ
เอาไว้ให้ดูแลด้วย…ขนาดเธอแล้วกุมพลยังไม่ได้สั่งเสียกันขนาดนั้นเลย…

“เรื่องมันยาว ฉันจะเล่าให้แบบสั้นๆเลยก็แล้วกันนะแพรวา
เราจะได้ไม่ติดค้างอะไรต่อกันอีก…ฉันเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของเธอดี…”
บันลือหันมาทางแพรวา
เพราะเรื่องราวในอดีตนั้นมันสลับซับซ้อนที่หากจะให้เล่ากันอย่างละเอียดแล้ว
คงไม่จบลงง่ายๆนัก…และเขาก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องอธิบายเรื่องราวเหล่านั้น
ให้คนที่ควรจะเล่าให้ฟังเสียที…

“ฉันกับกุมพลรู้จักกันมานานแล้ว…ตั้งแต่นาลันธ์ยังมีชีวิตอยู่…แต่มาสนิทกันจริงๆ
ก็ตอนที่นาลันธ์เสียชีวิตไป แล้วกุมพลเขาเข้าไปดูแลเกาะรังนั่นแหล่ะ…

เกาะรังกับเกาะชิงชังไม่ได้อยู่ไกลกันมากนัก…เรารู้จักกันเพราะต่างฝ่ายต่างก็
พยายามสืบเรื่องราวของกันและกัน…จนกุมพลรู้การเคลื่อนไหวของฉัน
เราเคยปะทะกันหลายต่อหลายครั้ง และฉันเองก็ยืนยันมาตลอดว่าเกาะชิงชังไม่ใช่ของๆฉัน
ฉันเป็นเพียงผู้ดูแลชั่วคราว และอีกไม่่นานเจ้าของเกาะจะต้องกลับมาดูแล”

พูดจบบันลือก็หันไปทางเวนไตย…แล้วหันมาพูดกับแพรวาต่อ

“กุมพลจึงพยายามสืบถามฉันมาตลอดว่าเจ้าของเกาะที่ฉันพูดถึงนั้นอยู่ที่ไหน
แล้วเป็นใคร…ซึ่งฉันก็มารู้ในภายหลังว่าเวนไตยมีส่วนเกี่ยวข้องกับกุมพล
เพราะน้องสาวบุญธรรมของกุมพลคือแม่ของเวนไตย…

กุมพลเขาแน่ใจว่่าเกาะชิงชังเคยเป็นเกาะในกรรมสิทธ์ิของตระกูลปุรารัตน์
แล้วสงสัยว่าฉันได้เก็บเด็กชายซึ่งเป็นลูกชายของน้องสาวบุญธรรมของเขาไปเลี้ยงดู
ก็เลยพยายามสืบเรื่องราวต่างๆจนไปเจอตอเข้าที่พัทลุง…

หากเธอจำได้ กุมพลได้ไปที่พัทลุงอยู่บ่อยครั้งเพื่อต้องการสืบเรื่องหลานชายของตัวเอง
ให้แน่ใจ…และครั้งสุดท้ายที่เขาไปเยือนเขาก็ได้เสียชีวิตลงที่นั่น
ตอนที่ได้เจอกับหลานชายที่เขาตามหามานาน”

พูดมาถึงตรงนี้บันลือก็ได้แต่ถอนใจยาว ก่อนจะหันไปทางซาเนีย

“กุมพลเขาเคยมาเยือนเกาะชิงชังบ่อยครั้ง และเขาก็เป็นคนค้นพบถ้ำแห่งนี้เข้าโดยบังเอิญ
เขาก็เลยชวนลุงมาที่นี่ แล้วก็พูดราวกับขอร้องว่าหากเขาไม่ได้มีชีวิตอยู่
จนถึงวันที่ลูกสาวของเขาแต่งงาน เขาก็อยากให้สถานที่แห่งนี้เป็นห้องหอของลูกสาว

เขาจะเก็บทุกอย่างที่มีค่าสำหรับลูกสาวของเขาเอาไว้ที่นี่ และเขาก็ขอลุงให้เก็บที่นี่
ให้เป็นห้องแห่งความลับ จนกว่าจะถึงวันส่งลูกสาวของเขาเข้าหอเท่านั้น

ลุงไม่เคยรู้ว่ามีอะไรอยู่ในกล่องไม้นั่น จนวันนี้…

และทั้งหมดในห้องนี้ กุมพลเป็นคนออกแบบและตกแต่งเองทั้งหมด…
ลุงเป็นเพียงผู้คอยดูแลให้มันยังคงเดิม…และทำตามเจตนารมย์ของพ่อของหนู…
ลุงขอแสดงความยินดีแทนพ่อของหนูด้วยนะซาเนีย…

ลุงเชื่อว่าถ้าพ่อของหนูได้อยู่กับหนูในวันนี้ เขาก็คงดีใจและมีความสุขไม่น้อย…
ที่คนที่เขารักทั้งสองคนได้เป็นคู่ชีวิตกัน…”

ซาเนียถึงกับร่ำไห้สะอื้นกับสิ่งล้ำค่าที่บิดาของเธอได้เหลือเอาไว้ให้…

แม้บ้านและความทรงจำอันแสนอบอุ่นของเธอจะถูกคนร้ายเผาจนไม่หลงเหลือ
เศษซากอะไรแล้วก็ตาม แต่ที่นี่ คือที่ที่พ่อของเธอตั้งใจทำออกมาให้เธอ
และที่นี่ก็มีสิ่งล้ำค่าสำหรับเธอ พ่อของเธอเก็บสิ่งมีค่าและความทรงจำล้ำค่าทั้งหมด
สำหรับเธอเอาไว้ที่นี่ ที่ที่ไม่มีใครจะเข้ามาทำลายมันได้

แล้วพ่อก็ได้ซ่อนสิ่งเหล่านี้เอาไว้อย่างดี พ่อทำทุกอย่างเพื่อเธอ…

…เธออยากบอกให้พ่อรู้ว่าเธอรักพ่อแค่ไหน…และซึ้งใจแค่ไหนกับสิ่งที่ท่าน
ได้เฝ้าเพียรพยายามทำเพื่อเธอมาตลอด…

“กุมพลเตรียมทุกอย่างเอาไว้ราวกับรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวของเขาบ้าง
หากเขาไม่อยู่แล้ว…และราวกับรู้ว่าตัวเขาเองก็คงจะอยู่ได้ไม่นานนัก…

เขาเป็นนักวางแผนที่เก่งและเป็นนักคาดการณ์ที่มีความเป็นเลิศ…”

บันลือกล่าวกับซาเนียและลูบหัวหญิงสาวเบาๆด้วยความเอ็นดู…
นี่คือสิ่งมีค่าสำหรับกุมพลที่ได้ฝากฝังเอาไว้ให้เขาดูแล…

“ต่อจากนี้ไป…ลุงคงต้องฝากหนูไว้กับเจ้าปราณให้เขาดูแลหนูต่อไปนะซาเนีย…
และลุงก็ขอฝากให้หนูคอยดูแลเขาด้วย…เขาคือลูกชายคนนึงที่ลุงรักและเป็นห่วง”

พูดจบบันลือก็หันไปทางเวนไตย แล้ววางมือลงบนบ่า

ที่ผ่านมาเวนไตยเป็นคนเดียวที่รู้ว่าผู้ที่คอยอยู่เบื้องหลังการดูแลซาเนียมาตลอด
ก็คือผู้ชายตรงหน้าเขา…

ทุกก้าวของซาเนียไม่เคยรอดไปจากการมองเห็นของบุคคลผู้นี้เลย…

ที่เขาแน่ใจก็คือ สร้อยคอเส้นนั้นของซาเนีย ที่ซาเนียบอกว่าพ่อของเธอเป็นคนมอบให้นั้น
แท้จริงแล้วในนั้นได้ติดตั้งเครื่องติดตามเอาไว้

ซึ่งคนที่รู้เรื่องนี้มีเพียงแค่พ่อของซาเนียผู้ล่วงลับไปแล้วกับชายตรงหน้าของเขาเท่านั้น…
สิ่งที่ทำให้เขารู้ก็คือ เหตุการล่าสุดที่ซาเนียพยายามจะขึ้นไปบนที่ทำการของเขา
บนอาคารสูง ครั้งนั้นเองที่ชายตรงหน้าของเขารีบบอกให้เขาไปดักทางซาเนียไว้
พร้อมบอกพิกัดได้แม่นยำราวกับตาเห็น…

ทั้งๆที่ครั้งนึงนายหญิงแพรวาเคยให้สร้อยคอพร้อมเครื่องติดตามกับซาเนียไว้
ตอนเธอขอไปเที่ยวที่ญี่ปุ่นจนเกิดเรื่องเกิดราว
เขาจึงได้ตามไปช่วยไว้ได้ทันด้วยความร่วมมือร่วมใจของนายหัวรัง

แต่เพราะสร้อยคอเส้นนั้นซาเนียทราบว่ามีเครื่องติดตามอยู่
เธอจึงได้ทิ้งมันไว้เมื่อไม่อยากให้มีใครคอยติดตามได้

ผิดกับสร้อยคอของลุงกุมพลที่หญิงสาวจะเก็บรักษาไว้อย่างดี
โดยไม่เคยรู้ว่ามีเครื่องติดตามอยู่ด้วย
จึงมีแค่คนเดียวที่เก็บปากเงียบและเฝ้าดูการก้าวเดินของซาเนียอยู่ไกลๆ
แต่ไม่เคยคลาดสายตา ซึ่งคนๆนั้นก็คือพ่อบุญธรรมผู้มีจิตใจเมตตาของเขา

มีเพียงแค่ผู้นี้เท่านั้นที่คอยดูแลซาเนียอยู่เบื้องหลังอย่างห่วงๆ…

“พ่อฝากซาเนียด้วยนะปราณ…”

“ครับพ่อ…ผมจะดูแลเธอให้ดีที่สุดเท่าที่ความสามารถผมจะทำได้ครับ”
เวนไตยพยักหน้ารับด้วยแววตามาดมั่น…แล้วหันไปสบตากับซาเนีย
ยกมือขวาของหญิงสาวมากุมเอาไว้ ความอบอุ่นแผ่ซานเข้าสู่หัวใจน้อยๆของหญิงสาว
ที่รู้แล้วว่าเธอสามารถทิ้งกายให้ใครปกป้อง…แล้วควรฝากใจให้ใครดูแล…

“ซาเนียขอบคุณคุณลุงมากๆนะคะสำหรับทุกอย่างที่ทำเพื่อพ่อ ทำเพื่อซาเนีย…”

หญิงสาวเดินเข้าไปสวมกอดชายสูงวัยอย่างไม่อายด้วยความรัก
และยิ่งรักขึ้นกว่าเดิมเมื่อได้รับรู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาใครคอยอยู่ดูแลเธอ
ในตอนที่ชีวิตเธอไม่มีพ่อคอยดูแล…

“ซาเนียจะดูแลสิ่งมีค่าของคุณลุงด้วยความสามารถทั้งหมดที่ซาเนียมีค่ะ…”

บันลือจึงจับมือของเวนไตยกับซาเนียแล้วนำมือของทั้งสองมารวบเอาไว้ในมือของเขา
ขณะกล่าวอวยพรว่า

“จงดูแลกันและกันภายใต้บทบัญญัติจากพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ขอให้พระเจ้า
ทรงทำให้ชีวิตคู่ของทั้งสองมีความผาสุข มีศิริมงคลทั้งโลกนี้และโลกหน้า…
ได้เป็นคู่ครองที่อยู่บนหนทางของพระองค์ ได้เป็นบ่าวท่ีพระองค์ทรงรัก
ทั้งในโลกนี้และโลกหน้าด้วยเถิด…อามีน…”ทั้งสองจึงรับพรด้วยการกล่าวคำว่า

“อามีน (ขอพระเจ้าทรงรับในสิ่งที่ขอด้วยเถิด)…”

บันลือจึงหันมาทางแพรวา รังสิมันต์ สิ้นรัก แล้วพยักเพยิด
ก่อนจะขอตัว ปล่อยให้คู่บ่าวสาวได้อยู่ด้วยกัน…

ทว่าก่อนไป แพรวา รังสิมันต์และสิ้นรักได้หันมาอวยพรให้คู่บ่าวสาว…
โดยรังสิมันต์ทิ้งท้ายกับเวนไตยไว้ว่า…

“เสาหลักของความรักก็คือความซื่อสัตย์ต่อกันและความเชื่อใจกันและกัน…
ขอให้รักษาสิ่งนี้เอาไว้ให้มั่น เพราะนี่คือบทเรียนที่คู่ของเราได้รับมาแล้ว…”

รังสิมันต์กล่าวขณะวาดมือรอบเอวสิ้นรักเอาไว้ ส่วนลูกน้อยตอนนี้
แพรวาซึ่งเป็นย่ากำลังอุ้มอยู่…

“ขอบคุณครับนายหัว…”

“พี่ขอให้ทั้งสองประสบความสำเร็จในชีวิตคู่นะคะ ฝากน้องชายของพี่ด้วยนะซาเนีย”

สิ้นรักหันไปยิ้มให้กับซาเนียและเวนไตยด้วยแววตาอ่อนโยน…

“ขอบคุณค่ะ/ขอบคุณครับพี่สาว…”เวนไตยออกแววเขินนิดนึงเมื่อต้องเรียกคนตรงหน้า
ซึ่งเป็นลูกสาวแท้ๆของพ่อบุญธรรมว่าพี่สาว เนื่องจากเขาถนัดเรียกว่าคุณหนูมาตลอด…

“พี่พร้อมจะเป็นที่ปรึกษาของเธอเสมอนะครูครุฑ…กลับไปหาพี่ได้เสมอเมื่อเธอต้องการ…”

สิ้นรักกล่าวประโยคนี้เสร็จก็อดไม่ได้ที่จะหันไปทางบิดา
ผู้เป็นต้นฉบับของประโยคดังกล่าว…ทำให้เห็นรอยยิ้มของบิดาที่ส่งมาให้อย่างอ่อนโยน

“พี่ก็เช่นกันนะซาเนีย…ยังไงก็อย่าลืมพี่ชายคนนี้ล่ะ…”
รังสิมันต์กล่าวกับซาเนียอย่างเอื้ออาทร

“ค่ะพี่รัง…ขอบคุณนะคะที่ช่วยให้ซาเนียมีวันดีๆแบบนี้…”
ซาเนียยิ้มให้รังสิมันต์ผู้ที่คอยช่วยเหลือเธอ ดูแลเธออีกคนนึง…

“เห็นลูกหลานรักใคร่ปรองดองกันอย่างนี้…ค่อยอุ่นใจหน่อย…เนอะนายบันเนอะ…”

แพรวาอดยิ้มไม่ได้กับภาพความสัมพันธ์อันดีระหว่างญาติพี่น้องที่มีต่อกันและกัน
จนต้องหันไปพูดกับอดีตคนที่เธอเคยแอบรักหรืออดีตศัตรูเก่าอย่างบันลือ

อีกฝ่ายไม่ได้กล่าวคำใดออกมานอกจากรอยยิ้มที่บ่งบอกได้ถึงความสุขใจ…






“ฉันอยากจะขอบคุณนายเหลือเกินนายบัน และก็อยากจะขอโทษนายกับทุกๆเรื่อง
ที่ฉันเคยคิดและทำไม่ดีกับนายเอาไว้ด้วย…”แพรวากล่าวเมื่อทุกคนภายในบ้าน
ที่คงหลับกันไปหมดแล้ว เหลือเพียงเธอกับอีกคนที่ยังนั่งอยู่ตรงกองไฟ
ที่ทุกคนก่อขึ้นแล้วนั่งล้อมวงกันตรงหาดทรายขาว จนสุดท้ายเหลือคนชราสองคนเอาไว้…

“ใช่เธอคนเดียวที่เคยทำผิด ฉันเองก็เคยทำพลาดมาเยอะเหมือนกัน…
ฉันเองก็ต้องขอโทษเธอเช่นกันนะแพรวา…และต้องขอบใจเธอที่ทำให้ลูกสาวของฉัน
กลับมามีแม่อีกครั้ง…เพราะแม่คือสิ่งที่เขาปรารถนามาตลอด…”

แพรวายิ้มออกมาแล้วถอนหายใจราวกับสิ่งที่หนักแน่นอยู่ในอกได้ถูกยกออกไป

“ฉันเคยคิดจะเกลียดลูกสาวของนาย แต่ก็เกลียดไม่ลง ฉันไม่เคยเกลียด
ลูกสาวคนเดียวของนายได้จริงๆสักครั้งเดียว…อาจเป็นเพราะสายสัมพันธ์…
ฉันคิดว่าเช่นนั้นนะ…”แพรวาใช้ไม้ขีดเขียนชื่อสามีไปบนผืินทราย
ขณะกล่าวต่อไปว่า

“ฉันขอชมว่านายเลี้ยงลูกได้น่ารักมาก…ขนาดลูกชายของฉัน
ทำให้เจ็บปวดขนาดไหนก็ไม่เคยคิดจะทอดทิ้งไป ฉันนับถือน้ำใจของลูกสาวนายนะ
มันคือสิ่งที่คนอย่างฉันไม่เคยทำได้เลย…เพราะฉันเป็นผู้หญิงที่ยังไม่ยอมมั่นใจ
และเชื่อใจสามีตัวเองอย่างที่ลูกสาวของนายทำได้และยังคงทำอยู่…
รติคงจะภูมิใจในตัวนายและตัวลูกสาวของนายไม่น้อยแน่ๆถ้าเขาได้รู้ได้เห็น…”

บันลือยิ้มบางขณะมองไปบนผืนทรายตรงหน้าแพรวา…

“คนที่รัก ต่อให้รักมากเท่าไหร่ มันก็ไม่เท่ากับคนที่ใช่หรอกแพรวา…
เพราะคนที่ใช่น่ะ มันเป็นได้มากกว่ารัก…และคนๆนั้นย่อมทำให้เรารู้สึกได้
ถึงความรู้สึกพอ…”แพรวาหันมามองคนพูดทันที บันลือยิ้มแล้วกล่าวต่อไป…

“เธอคือคนที่ใช่สำหรับนาลันธ์…นั่นคือสิ่งที่เขาเคยยืนยันกับฉัน…
ขอให้เธอมั่นใจเถอะ…ฉันรู้จักนาลันธ์ดี…และเขาเองก็คงจะมีความสุขไม่น้อย
ที่เห็นลูกชายทั้งสองของเขาเติบโตมาเป็นคนดี…และเธอคือแม่ที่เก่งนะ…
เพราะเลี้ยงลูกชายทั้งสองคนให้ได้ดิบได้ดี เป็นคนดีมีศีลธรรมด้วยกับสองมือแม่…”

บันลือหยุดนิดนึงก่อนจะพูดต่อไปอีกว่า…

“นาลันธ์คือนักวางแผนที่มีสติอยู่เสมอ เขารู้ดีว่าคนแบบไหนที่ใช่สำหรับเขา
และผู้หญิงแบบไหนที่เหมาะจะมาเป็นแม่ของลูกของเขา…
หญิงแกร่งและเก่งอย่างเธอเท่านั้นที่จะอยู่เคียงบ่่าเคียงไหล่กับเขาได้…”
แพรวาเริ่มถอนใจออกมา

“แต่สิ่งที่ฉันอยากจะบอกกับเธอจริงๆก็คือ…ไม่ว่านาลันธ์จะรู้สึกอย่างไรกันแน่นั้น
มันมีความสำคัญมากกว่าเธอรู้สึกอย่างไรต่อเขาหรือคิดอย่างไรต่อเขากันแน่
อย่างนั้นหรือ…แค่เธอรู้ตัวเธอ สิ่งที่คนอื่นเขาคิดมันก็เป็นสิทธิ์ของเขา
เขาจะคิดอย่างไรก็ช่างเขา ใยเราจะต้องไปวุ่นจิต คิดไปต่างๆนาๆ
เขาจะรักจะเกลียดก็ให้ปล่อยเขาไป…เราจะเอาอะไรมากมายในความไม่แน่นอน…

เพราะสุดท้ายไม่ว่าอย่างไรแล้วมันก็แค่นี้…ไม่มีอะไรแน่นอนบนกิเลสตัณหา…
หากเธอปล่อยวางมันลง เธอก็จะเข้าใจว่า…ไม่มีใครหรือสิ่งใดจะทำร้ายเธอ
ให้บาดเจ็บสาหัสได้เลย นอกจากตัวเธอจะยอมให้ตัวเองเจ็บ…

นาลันธ์ตายไปแล้วแต่เธอยังคงเจ็บปวดและยังคงยึดติดอยู่กับความคิดของเธอ
ที่คิดต่อเขาอยู่ โดยไม่ยอมปล่อยให้มันเป็นเรื่องของคนที่ตายไปแล้ว
คนที่จะเจ็บปวดจริงๆจึงเป็นเธอ และฉันไม่อยากเห็นเธอเจ็บปวดไปจนตาย…”

แพรวาระบายยิ้มออกมา มันเกิดจากความรู้สึกถึงความเบาในหัวใจ…
เพราะใจเธอที่ไม่ยอมปล่อยนี่เอง…
ถึงทำให้ความรู้สึกที่คิดว่าได้หายไปแล้วมันยังคงจับอยู่โดยไม่รู้ตัว…

“ขอบใจนายอีกครั้งนะที่ทำให้ฉันเข้าใจชีวิต…นายทำให้ฉันรู้จักคำว่าปล่อยได้จริงๆสักที…
นายคือมิตรแท้…เพราะนายคือคนที่กล้าบอกกล้าเตือนฉันอย่างจริงใจ…”

แพรวายิ้มให้บันลือด้วยความรู้สึกขอบคุณจากส่วนลึก

อย่างน้อยคืนนี้ ม่านหมอกที่เคยปกคลุมหัวใจเธอที่เธอเคยคิดว่ามันได้เบาบางลงแล้ว
ตอนนี้หมอกดังกล่าวได้สลายไปเมื่อแสงสว่างได้สาดเข้ามาปกคลุมแทนที่…

“แล้วเรื่องนั้น…นายไม่คิดจะบอกลูกสาวของนายหน่อยเหรอ…เขาจะคิดอย่างไร
หากเขารู้ภายหลัง…”บันลือส่ายหน้า

“ที่ฉันไม่บอก ไม่ใช่เพราะความกลัว…แต่ฉันรู้ว่าบอกไปก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด

ชีวิตจะสั้นหรือยาวไปกว่านี้ มันไม่ได้มีค่ากับฉันมากไปกว่า
การที่ฉันได้เห็นรอยยิ้มของลูกสาวในทุกๆวันที่เจอหน้าเขา…
ฉันไม่อยากให้รอยยิ้มของเขาต้องจางลงเพราะรู้ว่าพ่อของตัวเอง
อาจมีเวลาอยู่กับเขาน้อยลง

ซึ่งจริงๆแล้วนะแพรวา เราเองก็ไม่มีใครจะรู้เวลาชีวิตของตัวเอง
ตอนที่ฉันป่วยด้วยโรคนี้อยู่ ซึ่งน่าจะตายก่อนคนอื่นๆที่ยังปกติดี
แต่เธอรู้มั้ยว่า ตอนนี้คนที่ดูปกติดีกว่าฉันเขาได้ล่วงหน้าฉันไปไม่รู้กี่คนต่อกี่คนแล้ว…”

แพรวาพยักหน้าเห็นด้วยกับถ้อยคำนั้น

“นับว่านี่คือความโชคดีของฉันนะแพรวา ที่มีโอกาสได้รู้ว่า
ตัวเองมีเวลาเหลือไม่มากเท่าไหร่แล้ว ต่างจากอีกหลายๆคนที่ยังคงเพลิดเพลิน
กับการกอบโกย กับการหลอกลวง กับการช่วงชิง กับการหลงระเริงในอำนาจวาสนา
หลงกับความรู้ความสามารถและของนอกกายกันอยู่…”

แพรวาไม่ขัด ซ้ำยังเห็นด้วย…

“ถูกของนาย…ฉันเองก็ใช่ว่าจะรู้เวลาชีวิตของตัวเอง…
เผลอๆอาจจะเป็นอีกสองนาทีต่อจากนี้หรืออาจจะเป็นพรุ่งนี้ มะรืนนี้ก็ไม่แน่…”
แพรวาถอนใจ บันลือเองก็ลอบถอนใจยาวก่อนจะหันไปมองท้องทะเลสีดำมืดสนิท…

“ตอนนี้สิ่งที่ฉันต้องการจะเก็บไว้ ไม่ใช่ของนอกกาย ไม่ใช่แม้แต่ชีวิตตัวเอง
แต่ฉันอยากอยู่สร้างความทรงจำดีๆให้คนบนโลกนี้ต่อไปเรื่อยๆ
จนกว่าจะถึงเวลาที่ต้องไปจริงๆ…อยากจะเก็บเกี่ยวเวลาที่มีอยู่ให้เป็นเวลาที่ดี
และควรค่าแก่การจดจำ…ก็แค่นั้นเองแพรวา…โดยเฉพาะรอยยิ้มของลูกสาว
ฉันอยากเห็นมันไปจนวินาทีสุดท้ายของชีวิตด้วยซ้ำไป…ฉันไม่อยากเห็นเขา
ร้องไห้คร่่ำครวญต่อสิ่งใดอีก…อยากให้เขาเข้าใจว่านี่คือความจริง…คือสัจธรรม
ที่ไม่ใช่แค่ฉันที่ต้องเผชิญ แต่ทุกคนโดยเฉพาะตัวเขาเองก็ต้องเผชิญกับมัน…
ฉันไม่อยากให้เขากลัวกับมัน แต่อยากให้เขาระลึกถึงมันอยู่เสมอเพื่อที่จะได้รู้ว่า
ควรใช้ชีวิตอย่างไร…ฉันอยากให้เขาเข้มแข็งพอที่จะเผชิญหน้ากับความจริงนี้ได้”

แพรวาพยักหน้าเข้าใจในทุกสิ่งที่อีกฝ่ายพยายามบอกกับเธอ…

“ถ้าฉันเป็นนาย ฉันก็คงจะทำอย่างนาย…ว่าไปนายกับฉัน เราก็ต่างเดินทาง
มาอย่างยาวไกลเหมือนกันนะ…นี่ก็คงเข้าล่วงยามสนธยาแล้วล่ะสิ…
แต่ทำไมฉันถึงได้รู้สึกว่า…ยังมีอะไรอีกมากมายที่ยังไม่ได้ทำล่ะนายบัน…”

บันลือหัวเราะเบาๆในลำคอกับถ้อยคำนั้น เนื่องจากตัวเขาเองก็รู้สึกไม่แตกต่างกันนัก

“ถ้าเราทุกคนต่างคิดเช่นนี้ คงจะไม่มีใครในโลกที่มัวมานั่งเสียเวลา
กับการคร่ำครวญในสิ่งที่เคยทำผิดพลาดไปแล้ว จนถึงกับอยากกลับไปแก้ไข
ข้อผิดพลาดเหล่านั้นแล้วล่ะแพรวา…เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าการอยากกลับไปแก้ไขอดีต
หรือคร่ำครวญกับมันก็คือเราจะทำอย่างไรกับสิ่งที่เรายังไม่ได้ทำมากกว่า…
และเราจะใช้ความผิดพลาดในอดีตของเราให้มีค่าสำหรับเราในวันนี้อย่างไร…”

แพรวาถูกใจกับถ้อยคำดังกล่าวนี้นัก ยิ่งพูดยิ่งคุยกับคนๆนี้แล้วรู้สึกเพลิดเพลิน
จนลืมหลับนอนไปเลย…

“ฉันควรจะหาเวลามานั่งคุยกับนายให้มากกว่านี้แล้วล่ะ…จะได้รู้สึกว่าตัวเอง
เป็นวัยรุ่นที่มีสิ่งที่อยากจะทำอีกมากมาย ไม่ใช่หญิงชราที่สิ้นหวังและหมดไฟ…”

“อายุมันเป็นเพียงตัวเลขนะแพรวา…แต่สิ่งที่จะบอกว่าเราแก่ชราแล้วหรือไม่นั้น
มันอยู่ที่ความคิด…เราจะยังไม่แก่ หากว่าไฟฝันของเรายังคงลุกโชตช่วง…
และพร้อมที่จะทำทุกสิ่งให้ดีที่สุดราวกับว่าเรามีวันนี้เป็นวันสุดท้าย…”

แพรวายิ้มกว้างออกมาทันทีกับประโยคท่อนนั้นของบันลือ…
ผู้ที่ไม่ได้มองความตายเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความห่อเหี่ยวหรือความสิ้นหวัง…
แต่ตรงกันข้าม ความตายสำหรับเขานั้นมีประโยชน์…
ก่อเป็นพลัง สร้างความกระตือรือร้นและความหวังให้กับชีวิต…
ซึ่งการได้พูดถึงเรื่องความตายจึงไม่ใช่เรื่องอัปมงคลเลย
ทว่า การได้พูดถึงมัน ระลึกถึงมันอยู่เสมอๆนั้นจะเป็นการเตือนสติตัวเอง
เพื่อให้เราได้อยู่กับความจริง ไม่หลงลืมสัจธรรมข้อนี้…

…และคนที่อยู่กับความจริงจะไม่หลง…


....โปรดติดตามตอนต่อไป....




รอบนี้มีเพลงเพราะๆมาฝากกันด้วยค่ะ

"เพลง กลับมาสักครั้ง"

อยู่ตรงไหน...รู้ไว้มีคนที่ห่วงอยู่...
อยากให้รู้...ฉันรักเธอเช่นเคย...
จากกันไปนานเพียงไหน...ฉันรักเธออย่างเคย
พร้อมจะเอ่ย...เอ่ยคำว่าเข้าใจ...


เจ็บเพียงไหน...ฉันพร้อมยังยอมจะเจ็บกว่า...
เหนื่อยและล้าแค่ไหนในรักใหม่...
กลับมาหาฉันสักครั้ง...ฉันพร้อมจะปลอบใจ
แล้วเมื่อไหร่อยากร้างก็ลากัน...


กลับมาหาสักครั้งถ้าเธอสับสน...
กลับมาค้นพบรักแท้ในรักฉัน...
กลับมาซับน้ำตา มาลืมความไหวหวั่น
ถ่ายเทฝันในคืนวันที่ร้ายแรง

อยู่ตรงไหนรู้ไว้มีคนที่เจ็บกว่า
เหม่อมองฟ้าหารักไปทุกแห่ง
อยู่ตรงไหนคืนมาหา หาฉันยามอ่อนแรง
ฉันจะแบ่ง แบกทุกข์ในใจเธอ…

กลับมาหาฉันสักครั้ง…ฉันพร้อมจะปลอบเธอ
น้ำตาเอ่อ…กับฉันคนเดียวพอ…

ขอตอบความเห็นของนักอ่านจากยกที่แล้วกันค่ะ...


1.คุณKonhin…เอายกที่ 90 มาให้กันแล้วจ้า เหลืออีก 9 ยกแว้วววววว
ขอบคุณมากๆนะคะสำหรับกำลังใจอุ่นๆ เรื่องนักต่อนั้นยังปล่อยไปไม่ได้ค่ะ
คงต้องมาดูว่านกต่อที่ว่าจะมีประโยชน์หรือโทษภัยในภายหลังกันแน่ค่ะ…

2.คุณแว่นใส…พ่อบันไม่สบายมาได้พักใหญ่ๆแล้วค่ะ หมอกานต์กับน้ำร้อย
จึงต้องกลับมาดูแลอย่างใกล้ชิดที่เกาะชิงชัง…ขอบคุณมากๆค่ะที่ยังอยู่ส่งกำลังใจ
ให้กันจนถึงยกนี้เลย…

3.คุณตุ๊งแช่…ยกนี้ก็นำความคืบหน้าและความหวานอมเปรี้ยวของอีกคู่
มาให้ชมกันด้วยค่ะ…คงจะเหลือคู่พี่เพลิงกับพี่ตามแล้วล่ะค่ะ…
เพราะว่าทั้งสองยังไม่ได้ลั่นระฆังเลย…ไม่รู้นักอ่านจะลืมทั้งคู่ไปแล้วรึยัง
แต่เต่าโยไม่ได้ลืมนะคะ ตั้งใจจะนำมาเคี่ยวให้หวานเข้มข้นในตอนท้้ายๆกันค่ะ

4.คุณใบบัวน่ารัก…ใช่แล้วค่ะ…เพราะความไม่มั่นใจ ไม่เชื่อใจต่อกัน
ก็เลยทำให้เรื่องมันยาวววววว…เฮะๆ…อีกอย่างเรื่องนี้มีหลายคู่เหลือเกิน…
กว่าแต่ละคู่จะรู้ใจ เข้าใจกัน เรื่องมันก็เลยล่วงเลยข้ามพ้นปีแล้วปีเล่าน่ะจ๊ะ
ขอบคุณนะคะสำหรับกำลังใจและการติดตาม…

5.คุณgoldensun…ยกนี้ปั่นมาให้กันแบบไม่ทิ้งห่างกับยกก่อนหน้านัก…
เพราะเต่าโยกำลังของขึ้นพอดี…เฮะๆ…ขอบคุณนะคะสำหรับกำลังใจดีๆ
และการติดตามมาตลอด…

6.คุณsupayalak…ขอบคุณค่ะสำหรับกำลังใจและความคิดถึง…
อาจเป็นได้ว่าโยรู้สึกตะหงิดๆว่ามีคนคิดถึงอยู่…เฮะๆๆ…
ดีใจมากๆค่ะที่รู้ว่านักอ่านยังคงไม่ลืมกัน…

7.คุณPat…ขอบคุณค่ะสำหรับรอยยิ้มที่ส่งมาให้เป็นกำลังใจ…
และขอบคุณสำหรับการติดตามมาตลอดด้วยค่ะ…

8.คุณaom…ดีใจที่ยังได้รับกำลังใจจากคุณaomอยู่เหมือนเดิมค่ะ
นำยกที่ 90 มาให้แบบไม่ทิ้งห่างกันเหมือนที่ผ่านมา…เฮะๆ…
มีอะไรติชมกันได้ค่ะ….


สุดท้าย…ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่เข้ามาอ่านและยังคงติดตามผลงาน
ของเต่าโยค่ะ…

และนักอ่านท่านใดที่กำลังคิดถึงหมอดานีสกับน้ำค้าง…
รออีกนิดนึงนะคะ เพราะช่วงนี้เต่าโยกำลังเร่งๆปั่นคานน้อย คอยรักอยู่
เนื่องจากคานน้อยนั้น ดองมานานข้ามผ่านพ้นมาหลายปีเหลือเกิน…เฮะๆ

รักษาสุขภาพนะคะ

ด้วยรักและคิดถึง

เต่าโย



















yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 มี.ค. 2557, 14:34:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 มี.ค. 2557, 14:34:27 น.

จำนวนการเข้าชม : 2718





<< ยกที่ 89 เด็ดปีกมโนราห์ (100%)   ยกที่ 91 ตะวันตกดิน >>
goldensun 15 มี.ค. 2557, 18:49:01 น.
ชอบจัง ตอนนี้ มีคำสอน แง่คิดดีๆ ในการดำเนินชีวิตเพียบเลย ขอบคุณมากค่ะ
เห็นด้วย ว่าสิ้นรักโดนพี่รังทำร้ายจิตใจมากเหลือเกิน แต่ความรัก การให้อภัย ก็มีให้พี่รังไม่สิ้นสุดเหมือนกัน
ดีใจกับทุกคู่ที่สมหวังค่ะ และชื่นชมกับความเข้มแข็งของพ่อบันลือด้วย


ใบบัวน่ารัก 15 มี.ค. 2557, 19:16:01 น.
นายหัวคะ เอออ. ยังมีแรงมีน้ำยาอีกหรือคะ แก่แล้วนะคะ
หนูสิ้นก็แก่แล้ว ท้องลาย นมยานแล้วนะ
ไม่มีแรงเบ่งแล้ว
จัดไปให้คู่อื่นเถอะ


แว่นใส 15 มี.ค. 2557, 21:29:29 น.
ได้เวลาเอาคืนแล้วนะ


supayalak 15 มี.ค. 2557, 23:49:02 น.
สุขสมหวังไปอีกคู่เนอะ อ่านตอนนี้แล้วให้ปลงยังไงไม่รู้อ่ะ คนเราในวัยเด็กสุขที่สุดโดยไม่ต้องกังวลกับสิ่งใด วัยหนุ่มสาวก็มีสุขในอีกมุมที่คนเราทุกคนพึงมี สุดท้ายความสุขในวัยชราที่ได้มองเห็นลูกหลานที่เรามองเค้าเติบโตขึ้นมาและทำให้เรามีความสุขและยิ้มได้ สุขก็สุข เศร้าก็เศร้านะตอนเนี่ย


konhin 16 มี.ค. 2557, 05:37:45 น.
ว้าวววววว อ่านแล้วอิ่มใจ


aom 16 มี.ค. 2557, 07:14:41 น.
อ่านแล้วได้ข้อคิดดีๆเยอะเลย ขอบคุณไรเตอร์ค่ะ


น้ำตาหัวใจ 16 มี.ค. 2557, 11:56:11 น.
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ อ่านแล้วอิ่มอกอิ่มใจ


Littlewitch 18 เม.ย. 2557, 01:35:34 น.
สุขสันต์วันสงกรานต์นะค่ะ นานเลยกว่าจะได้อ่าน ตั้งแต่ต้นปีงานเยอะค่ะ ห่างหายการอ่านออนไลน์ไปบ้าง แวะมาคราวนี้ได้อ่านและ คนเขียนแฮปปี้ คนอ่านก็มีความสุขนะค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account