ในเงาฝันปลายตะวัน
พรนับพัน ชีวิตของเธอจะมีตาอยู่ในทุกๆ ที่ แม้กระทั่งวันที่ตาจากไป หลายๆ สิ่งที่เธอทำก็ยังอยู่ในเงาของ 'ตะวัน' ผู้เป็นตาไม่เคยเปลี่ยน

และเพราะนิสัยที่เอาแต่ใจ โมโหร้าย ไม่สนใครหน้าไหนของพรนับพัน ชีวิตวันๆ หนึ่งเดินออกไปไหนไม่ได้ไกล หากมีเรื่องเข้ามาหาเจ้าหล่อนพร้อมพุ่งชน และนั่นเองทำให้รอบข้างกังวลและอยากจับเธอเปลี่ยนแปลง

ทิวากร ไม่รู้ว่าเขาโชคดี หรือโชคร้ายที่ได้รับหน้าที่จัดการเปลี่ยนมนุษย์ถ้ำ ให้ออกสู่สังคมได้อย่างปกติ แต่ดูเหมือนว่าคนที่ใครมองว่าโชคร้าย กลับเต็มใจรับสภาพ อ้าแขนรับมนุษย์ถ้ำคนนี้ซะด้วย
Tags: มนุษย์ถ้ำ โรแมนติก อมยิ้ม

ตอน: บทที่ 12 : ระเบิดลง

บทที่ 12

รายการเปิดใจทางช่องฟรีทีวีเลขน้อยเป็นรายการสดที่จะเชิญดารามาเพื่อสัมภาษณ์ โดยมีพิธีกรปากจัดอย่างสาวร่างท้วมเอื้องกมลเป็นคนดำเนินรายการ วันนี้แขกพิเศษที่เชิญมาก็คือลูกชายเจ้าของค่ายหนังใหญ่อย่างคุณกรดิษฐ์ แสงไฟจัดส่องไปยังตำแหน่งคนพูด ฉากจัดง่ายๆ เป็นสวนหย่อมย่อมๆ ในรายการ มีจักรยานจอดอยู่ข้างหน้าต่างบานน้อยที่ถูกจัดฉากขึ้นมา

เพลงประจำรายการดำเนินขึ้นในจังหวะน่าตื่นเต้น สาวชุดเดรสไซส์ใหญ่สีเหลืองสดเดินออกมาบนส้นเข็ม ผมหยิกปล่อยลงระข้างแก้ม ขณะที่หน้าตายิ้มแย้มเป็นประกายแต่เริ่ม

เอื้องกมลสวัสดีนำเข้าสู่รายการ เกริ่นด้วยการพูดถึงกระแสสังคมที่ทำให้ได้คิวด่วนเพื่อเชิญแขกมาแก้ข่าว ให้สังคมได้รับรู้ความจริง

“อยากรู้ความจริงกันแล้วใช่ไหมคะ เราไปเจอกับเขากันเลยดีกว่าค่ะ คุณกรดิษฐ์ค่า”

เสียงปรบมือจากหน้าม้าของรายการดังต้อนรับ ผู้เข้าชมได้รับฟังผู้ชายคนหนึ่งแก้ตัวหน้าไม่อาย และตั้งใจโยนความผิดให้คนอื่นอย่างหน้าด้านๆ ในขณะที่ตัวเองลอยตัวสบาย พรนับพันนั่งไขว่ห้างกอดอกอยู่ในเงามืด หลังตากล้อง และคนดูไปอีก ดูผ่านจอมอนิเตอร์ หน้าตารังเกียจการกระทำของผู้ชายในหน้าจอขึ้นมาจนนึกอยากกระโดดใส่แล้วรัวกำปั้นไม่ยั้ง

“ภรรยาของผมเขาจะนอกใจ เลยชอบมาขอหย่า ผมไม่เห็นด้วย ผมพยายามประคับประคองความรักของเราไว้นะครับ”

“อย่างนั้นเหรอคะ น่าเห็นใจคุณกรดิษฐ์มากเลยค่ะ เราให้เวลาคุณกรดิษฐ์ได้ปรับอารมณ์ ช่วงหน้าเราจะมาเจาะลึกให้มากขึ้นกันค่ะ” เอื้องกมลรักษาสีหน้าไว้อย่างดีเยี่ยม ไม่กระโตกกระตากขณะพูดตัดรายการ

พรนับพันจับมือเย็นเฉียบของน้ำหนาวที่นั่งอยู่ข้างๆ ไว้ราวกับให้กำลังใจ ก่อนจะนำไปวางไว้บนมือผู้ชายที่ยืนอยู่ไม่ไกล

“ฝากพาคุณหนาวไปทีนะคะ คุณเอื้องส่งสัญญาณมาแล้ว”

ทิวากรรับหน้าที่ต่อ เป็นคนเดินนำน้ำหนาวออกไป พรนับพันมองตามพลางยิ้ม เธอคืนอิสรภาพให้กับน้ำหนาว และมันต้องสำเร็จ

เสียงเอะอะโวยวายของกรดิษฐ์ที่ทำเป็นน้ำตาร่วงไม่กี่นาทีก่อนหน้าเป็นพยาน เขาด่าทอรายการเสียๆ หายๆ และไม่สงวนท่าที พร้อมจะเข้ามาทำร้ายร่างกายน้ำหนาว

พรนับพันลุกขึ้นหันหลังเดินออกไปเงียบๆ มุมปากเกิดรอยยิ้มขึ้น เรื่องครั้งนี้เธอจบลงให้อย่างสวยงาม รายการที่กรดิษฐ์คิดว่าตัดเข้าโฆษณาถูกขอร้องให้ยืดเวลาออกไปในช่วงนี้ โดยมีเอื้องกมล และแม่ของน้ำหนาวคุณน้ำทิพย์เป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการร่วมมือกระชากหน้ากากชายชั่ว

ภาพผู้ชายโมโหร้ายจึงถ่ายทอดสู่สายตาคนทั้งประเทศ กฎหมายอาจจะทำอะไรไม่ได้ แต่สังคมพร้อมจะเหยียบเขาให้จมดิน พรนับพันดีใจกับแผนการที่ผ่านไปอย่างราบรื่น หรือแม้แต่ความจริงที่เธอขอให้ดนพไปสืบ ทางนั้นก็ส่งข้อมูลทั้งหมดมาให้ก่อนที่เธอจะออกจากบ้านด้วยซ้ำ

‘นายดำรงเป็นเลขาของคุณนายจรัสศรี ทำทุกอย่างที่คุณนายสั่ง ส่วนเรื่องที่คุณถามว่าจดทะเบียนแล้วหรือยัง ดีใจด้วย คุณยังโสดสนิท’

มันจบลงแล้ว เรื่องระหว่างเธอกับทิวากร จบไปพร้อมๆ กับชีวิตคู่ของน้ำหนาวและกรดิษฐ์ หากทิวากรจะกลับมารักกับน้ำหนาว เธอเองจะพูดต่อหน้าทั้งสองอย่างยินดี

‘พวกคุณเหมาะสมกันยิ่งกว่าฉัน’

พรนับพันนั่งเหม่อบริเวณป้ายรถเมล์ มองความวุ่นวายในเมืองใหญ่พลางถอนหายใจ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดไปหาคนไกลต่างแดน หนึ่งดารายังคงทำสถิติในการรับโทรศัพท์รวดเร็วตั้งแต่สัญญาณแรก

“สวัสดีเพื่อนรัก”

“คิดถึงเธอจัง ตอนนี้ฉันอยากมีเพื่อนคุย”

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

คนเพิ่งรู้ความจริงที่ทิวากรโกหกแสร้งหัวเราะเสียงสดใส ไม่อยากให้เพื่อนต้องมาเสียเวลาคิดเรื่องเธอจนไม่เป็นอันเรียน “คิดถึงอยากโทรหาไม่ได้หรือไง”

“แหม แกพูดคิดถึงแล้วแปลกจริง เหงาก็ไปซบอกคุณทิวโน่น สงสัยคุณทิวไม่ว่าง มาๆ ฉันจะปลอบแกเอง”

“ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น ฉันแกร่งจะตาย รถสิบล้อชนก็ไม่ตายหรอก”

“เชื่อ”

พรนับพันมองรถบิ๊กไบท์คันโตที่แล่นมาจอด ผู้ชายสวมเสื้อแจ็กเก็ตสีดำ กางเกงยีนส์ บนศีรษะมีหมวกกันน็อกหนาสีน้ำตาลเข้ม กระจกดำเลื่อนเปิดขึ้น ดวงตาสีดำขลับ มีแววดุกำลังส่งประกายยิ้มมาให้

“คุยกับยัยนึ่งอยู่เหรอ”

พรนับพันที่กำลังสนทนาอยู่กับหนึ่งดาราเอียงคอมองคนตรงหน้า คุ้นสรรพนามนั้นก่อนจะยิ้มแต้ “ดำนัก”

“ลาวาสิลาวา แล้วนี่จะไปไหน ทำไมออกมาคนเดียว”

“หนึ่งขอยืมกิ๊กแกพาตะลอนหน่อยนะ” พรนับพันกล่าวกลั้วหัวเราะได้ยินเพื่อนด่า โวยวายมาก็ยิ่งขำ ส่วนตัวเองกระโดดขึ้นนั่งที่เบาะหลัง แบมือขอหมวกกันน็อกอีกอันมาสวมโดยที่อีกฝ่ายยังงงไม่หาย

“จะไปไหน กลับบ้านไหม”

“ไปเรื่อยๆ นั่นแหละ อยากให้จอดตรงไหนเดี๋ยวจอด”

“จ่ายค่าน้ำมันด้วยนะ”

พรนับพัน และหนึ่งดาราที่ได้ยินทุกบทสนทนาโพล่งออกมาพร้อมกัน ก่อนจะขำกับความใจตรงกันโดยไม่ได้นัดหมาย

“ไอ้งก!”


ทิวากรส่งหลักฐานที่จ้างคนตามชีวิตนักเที่ยวอย่างกรดิษฐ์ซึ่งบรรจุเรียบร้อยในซองเอกสารมาให้กับผู้ชายที่กำลังโกรธหน้าดำหน้าแดง แต่ยังมีสติควบคุมอาการได้มากกว่าผู้เป็นลูก

“แกหมายความว่าไง” หลังจากเกิดเรื่องทางหน้าจอทีวี กว่าจะแก้ไขอะไรได้ทัน พฤติกรรมแย่ๆ ของลูกชายก็ถูกแฉหมดเปลือก รายการเปิดใจฉลาดที่พอเกิดเรื่องจนเสร็จรีบตัดเข้าโฆษณา ในระยะเวลาไม่ถึงสามนาที คำมากมาย และอาการของกรดิษฐ์ก็แก้ไขอะไรไม่ได้อีก ตอนนี้ต้องให้คนคุมตัวคนเดือดทะลุปรอทอยู่ข้างนอก

“ผมยังมีหลักฐานก็อปปี้อีกหลายชุดนะครับ และมันจะมีประโยชน์ในศาลมาก”

“ฉันจะให้ลูกหย่า เลิกแล้วต่อกันได้ใช่ไหม”

ทิวากรไม่ต้องการให้เรื่องจบง่ายขนาดนั้น คนอย่างกรดิษฐ์ควรได้รับบทลงโทษมากกว่านี้ แต่น้ำหนาวเป็นเจ้าของเรื่อง เขาจึงให้น้ำหนาวเป็นคนตัดสินใจ

“ค่ะ แค่หย่าก็พอ ดิฉันไม่เรียกร้องค่าเลี้ยงดูอะไรทั้งนั้น หย่าขาดจากกัน แล้วอย่าได้มาระราน มาให้ฉันเห็นหน้าอีก ทำให้เหมือนตายจากกันไปเลยทำได้ไหมคะ”

“ฉันจะมั่นใจได้ยังไงว่าไอ้หลักฐานพวกนี้จะไม่ถูกแพร่ออกไป”

“ผมจะส่งมอบหลักฐานทั้งหมดให้กับท่าน หากว่าท่านจะยอมให้คุณกรดิษฐ์มาหย่าเดี๋ยวนี้ แต่ถ้าคุณกรดิษฐ์ยังไม่เลิกรังควาน ผมก็พร้อมจะเอาข้อมูลลับของลูกชายท่านเผยแพร่นะครับ” พนักงานเขตในชุดสีกากีที่ยืนอยู่เบื้องหลังทิวากรเตรียมพร้อมในการทำเรื่องครั้งนี้ เมื่อถูกบีบ คนไม่มีทางเลือกจึงได้แต่เรียกลูกชายเข้ามา ฝ่ายนั้นตั้งท่าจะเข้ามาทำร้ายน้ำหนาวอีก แต่ถูกฝ่ามือของพ่อตบฉาดเสียงดัง

“แกทำฉันอับอาย ยังจะมาทำตัวเป็นมนุษย์ไรประโยชน์อีก จัดการหย่าซะ ฉันเองก็ไม่อยากเห็นหน้าเมียเก่าแกอีกเหมือนกัน อย่าให้ฉันรู้นะว่าแกยังไประรานเขา เตรียมเก็บของไปอยู่ต่างประเทศได้เลย”

กรดิษฐ์จ้องทิวากรและน้ำหนาวด้วยความคั่งแค้น แค้นที่ถูกพ่อฝากรอยมือบนหน้าทั้งที่ตลอดชีวิตไม่เคยขัดใจเขา แต่วันนี้สายตาของพ่อเอาจริง กรดิษฐ์ได้แต่ส่งความแค้นผ่านทางสายตา โดยทำอะไรไม่ได้อีก เพราะในคืนนั้นเขาก็โดนพ่อบังเกิดเกล้าพาบินไปยังต่างประเทศ ส่งคนไปคุมความประพฤติอย่างแน่นหนา ทำอะไรอย่างที่เคยทำไม่ได้อีกต่อไป


พรนับพันหลังจากนั่งมอเตอร์ไซค์มาทั้งเมืองจนเบื่อ เธอจึงขอให้ดนพพาไปยังบาร์ที่ไหนก็ได้สักที่หนึ่ง สารถีของเธอไม่ถามอะไรมากความ พาเธอไปจอดยังหน้าโรงแรมแห่งหนึ่ง จอดรถยังไม่ทันเอาขาตั้งลง พรนับพันก็กระโดดลงเดินไปข้างใน ตามป้ายร้านบาร์และร้านอาหาร

บอกพนักงานว่ามาสองคน พร้อมกับสั่งเครื่องดื่มมึนเมามาทุกชนิดที่ร้านนี้มี พรนับพันดื่มน้ำสีหวานที่ทำให้คอร้อนผ่าวเข้าไปด้วยความรู้สึกอยากจะลืมบางสิ่ง โทรศัพท์ของเธอถูกปิดไปตั้งแต่ขึ้นว่าทิวากรโทรมาในครั้งแรก

“รอแบกฉันกลับด้วย”

พรนับพันไม่ท้าให้ดนพดื่ม เพราะว่าอีกฝ่ายจะต้องทำหน้าที่สารถีพาเธอกลับ อดีตมนุษย์คอทองแดงที่ชอบดื่มเวลาเครียดถูกวิญญาณสิงร่างอีกครั้ง พรนับพันจะเป็นแบบนี้เสมอเวลาที่ไม่อยากเล่าปัญหาให้ใครฟัง เธอเป็นแบบนี้ครั้งล่าสุด ก็ตอนที่ลงจากภูกระดึง งานของตา เธอไปร่วมแค่วันเผา กับวันสวดวันสุดท้าย วันที่เหลือเธอเลือกจะใช้แอลกอฮอล์พวกนี้เพื่อให้ลืมความทุกข์ใจ

มันทำได้แค่ชั่วคราว เพราะพอตื่นความจริงก็ยังกระหน่ำลงมาทำร้าย และพ่วงด้วยอาการปวดหัวราวกับโลกระเบิด ไหนจะยังการต่อว่าจากพ่อแม่

ครั้งนี้พ่อแม่ไม่อยู่ เธอคงเบาหูไปได้วัน แค่ช่วงสั้นๆ ให้เธอลืมว่าทิวากรหลอกเธอ เท่านั้นจะได้ไหม

“แถวนี้ไม่ไกลจากบ้านผม เดี๋ยวไปเปลี่ยนรถมาแล้วกัน มอเตอร์ไซค์กับคนเมานั่งซ้อน ไม่น่าปลอดภัยหรอก เกิดคุณเป็นอะไรขึ้นมา เดี๋ยวยัยนึ่งมาเอาเรื่อง”

“ไปเถอะ ฉันอยู่ได้”

พรนับพันก้มหน้าลงแตะแก้วใสอีกครั้ง จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าใบหน้าหลังหมวกกันน็อกของดนพเป็นอย่างไร แก้วใบที่เจ็ดถูกจับชิดริมฝีปาก เพลงเศร้าสากลที่เปิดคลอขับบรรยากาศในใจของพรนับพันให้ตกต่ำถึงขีดสุด

“มาคนเดียวเหรอครับ”

“อย่ามายุ่ง” คนที่อยากอยู่คนเดียวตอบฟังชัดใส่ผู้ชายร่างล่ำ กล้ามยักษ์ ถึงจะแต่งตัวดูดีพรนับพันก็ไม่สนใจ เธอคงเข็ดไปอีกนาน

“ทะเลาะกับแฟนมาเหรอครับ”

“เป็นสำนักข่าวไหนล่ะ” รอยยิ้มยียวนแกมเยาะของพรนับพันกวนประสาทสายตาคนที่มองได้เสมอ “หน้าตาแบบนี้อย่าได้เจ๋อมาเจรจากับฉัน ไปให้พ้น”

“มารยาทห่วยจัง หน้าตาก็น่ารักดี แต่ทำหน้าไม่รับแขก ปากแบบนี้อีก” มือของชายแปลกหน้าเริ่มคืบคลานมาจับแก้มใสที่ขึ้นสีแดงจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ พรนับพันชะงัก กำแก้วเข้าหากันแน่นด้วยความโกรธเท่าทวี “เท่าไหร่”

เพล้ง... แก้วบรรจุน้ำสีอำพันแตกละเอียดใส่ศีรษะกลมของชายแปลกหน้าที่บังอาจมาดูถูกเธอ พรนับพันตั้งใจจะลุกหนี แต่ก็ถูกคว้ามือไว้จนตัวปลิว ใบหน้าอาบเลือดจ้องแทบถลน สายตาโกรธคละหื่นกระหายทำให้ขนคอพรนับพันลุกชัน เท้าพยายามปัดป่าย แต่ความแข็งแรงของเธอต่อสู้อะไรอีกฝ่ายไม่ได้

“ไอ้หน้าตัวเมีย” พรนับพันใช้มืออีกข้างที่ว่างหยิบแก้วสองใบขึ้นมาก่อนฟาดใส่หน้าซ้ำอีกสองที ร่างของเธอจึงเป็นอิสระ หญิงสาวทรุดร่างลงนั่งกองกับพื้นหมดแรง ฟังเสียงโหยหวนของคู่กรณีที่กำลังกุมแผนบริเวณศีรษะ

พนักงานที่เห็นเหตุการณ์หน้าเผือดสี เธอได้ยินใครคนหนึ่งสั่งให้โทรเรียกรถพยาบาล มีพนักงานมาช่วยพยุงเธอให้ลุกขึ้นยืน หลายคนมารุมล้อม และพูดในประโยคทำนองเดียวกัน

“พวกเราจะเป็นพยานให้คุณพราวด์เองนะคะ คุณทิวรู้เรื่องต้องเอาเรื่องผู้ชายคนนั้นแน่”

“เกิดอะไรขึ้น” ดนพมาถึงก็พุ่งตรงมายังจุดที่พรนับพันนั่งเหม่อ กับผู้ชายที่หน้าเผือดสี ซับเลือดอีกมุมของร้าน

“อย่าโทรบอกใครนะ” พรนับพันสั่งเสียงห้วน ร่างกายไร้จิตใจขณะที่ลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับตำรวจ “ฉันเป็นคนฟาดแก้วไปบนหัวชายคนนั้นเองค่ะ”


“แน่ใจว่าไหวแน่นะ”

ดนพอยู่คอยจนกระทั่งตำรวจปล่อยตัวพรนับพันออกมาหลังจากเสียค่าปรับที่ไปทำร้ายร่างกายของคู่กรณี จะถือว่าป้องกันตัวก็ไมได้ เพราะพรนับพันยังไม่ได้รับบาดเจ็บที่ส่วนไหน จึงถือเป็นการทำร้ายโดยเจตนา แต่อีกฝ่ายที่จะลวนลามพรนับพันก็ได้รับโทษเช่นกัน แต่พรนับพันทำไว้แค่ลงบันทึกคดี ไม่อยากให้เรื่องบานปลายมากกว่านี้

ดนพเคลื่อนรถมาจอดยังหน้าคอนโดของทิวากร พรนับพันแม้จะไม่ได้แสดงอาการเมา แต่สภาพจิตใจอันไม่ปกติก็แสดงออกมาทางการกระทำ

“ไม่กลับบ้านล่ะ จะมาหาเขาทำไม ผมนึกว่าคุณมีปัญหากับแฟนซะอีก”

“เขาไม่ใช่แฟนฉัน” พรนับพันลงจากรถสปอร์ต ดวงตานิ่งสงบ “ฉันแค่จะมาเก็บของ”

“ถึงผมจะไม่ค่อยรู้เรื่องละเอียดอ่อนพวกนี้ แต่จะทำอะไรก็อย่าใช้อารมณ์นักนะ ผู้ชายเขาอาจไม่พูด ไม่แสดงออกเท่าไหร่ แต่หัวใจเขาอาจจะคิดก็ได้”

“โกยคำพูดพวกนั้นไปบอกให้ยัยนึ่งฟังเถอะ วันนี้ขอบคุณมากนะ” ประตูรถถูกปิดเสียงดัง พรนับพันมองรถกระทั่งถอยออกไปหายไปจากสายตา เธอรู้ว่าหนึ่งดาราคงเค้นคอดนพให้เล่าความจริงทั้งหมด ก็ดีเพราะวันนี้เธอไม่มีแรงไปเล่าเรื่องให้ใครฟังอีก

พรนับพันพาตัวขึ้นไปยังคอนโดของดนพอย่างเคยชิน โชคดีที่การ์ดและกุญแจยังคงใช้ได้อยู่ ภาพในห้องมืดสนิท และไม่มีคนอยู่ แม้ว่ามันจะน่าดีใจและเป็นประโยชน์ต่อเธอ แต่การพบว่าทิวากรไม่ได้กลับมาที่ห้องในเวลาตีหนึ่งแบบนี้

เขาไปอยู่ที่ไหน ทำอะไรกับใคร ก็คงจะอยู่กับน้ำหนาว

นักเขียนสาวเม้มปากแน่น เดินขึ้นไปยังเตียงชั้นสอง เปิดลิ้นชักเพื่อหยิบสมุดที่มีบันทึกของตาอยู่ แต่เวลานี้เธอพบแต่ความว่างเปล่า พรนับพันโกรธกระทั่งกระชากลิ้นชักจนหลุด แล้วขว้างมันทิ้งเทกระจาดของลงไปบนเตียง

“คุณเอาไปซ่อนไว้ที่ไหน”

อีกหลายที่ถูกค้น และถูกโยนกระจัดกระจาย พรนับพันนึกสะใจที่ได้ทำแบบนี้ หัวใจของเธออยากจะจับเขาโยนลงจากตึกให้รู้แล้วรู้รอดโทษฐานหลอกลวงเธอด้วยซ้ำ แต่ในเมื่อตัวไม่อยู่ เธอก็จะทำกับของ โซฟาถูกพลิกคว่ำ น้ำในตู้เย็นถูกนำมาราดบนพื้นพรมให้เสียหาย และแฉะ จักรยานที่เคยทำเธอเจ็บเข่า และทำให้เธอโดนทิวากรทิ้งโดนเตะล้อ เอาเท้าเขี่ยให้โซ่มันหย่อนยานตกร่อง ก่อนจะวางนอนบนพื้น จัดการล้มโต๊ะใส่ของใส่จักรยานอีกชั้น พรนับพันไปหยุดยืนหน้ากรอบรูปถ่ายที่เธอออกปากว่าไม่อนุญาตให้ติดปัดลงพื้นจนกรอบแตกกระจาย ด้านหลังกรอบไม้ สมุดที่เธอตามหาและเคยอ่านไปแล้วถูกซ่อนอยู่ พรนับพันหยิบขึ้นมาดูมือสั่น กอดแนบอก และเริ่มเบะปาก ก่อนจะร่ำไห้

“พราวด์คิดถึงตา ไม่มีผู้ชายคนไหนดีเท่าตาเลย ไม่มีสักคน”

พรนับพันสูดน้ำมูกเสียงดัง ช่างเสื้อผ้า ของใช้ที่เธอเคยมีที่นี่สิ เธอได้ของที่ต้องการ และจะไป ทิ้งซากอนุสรณ์แห่งการทำลายล้างของเธอไว้ให้ทิวากรได้หลอนในวีรกรรมของเธอ

จงจำไว้คนอย่างพรนับพันไม่ใช่บุคคลที่ใครจะมาหลอกให้ได้ง่ายๆ

และพรุ่งนี้เธอจะยิ้มแย้มให้กับวันสดใส ชีวิตโสดๆ ไม่มีพันธะผูกมัดไม่ว่ากับใครทั้งนั้น ยิ่งนึกพรนับพันก็ยิ่งรู้สึกว่าน้ำตามันยิ่งไหล ทำไม ภาพดีๆ ของทิวากรถึงยังไม่ยอมหายไปสักที

แต่เธอต้องรู้ เรื่องของเธอกับเขา มันไม่เคยเริ่มขึ้น ไม่เคยเลยสักครั้ง และหากมันเริ่มด้วยการเปลี่ยนแปลงตัวเอง ภารกิจครั้งนี้ก็คงล้มเหลว สมุดถูกชิง และเธอได้ทำลายฐานที่มั่นเขา ให้รู้ว่าคนอย่างพรนับพัน เปลี่ยนแปลงไม่ได้


เธอหายไป ติดต่อไม่ได้

หลังจากที่น้ำหนาวจัดการสะสางปัญหาเรื้อรังได้เสร็จสิ้นบริบูรณ์ น้ำหนาวก็ถือโอกาสย้ายกลับไปบ้านของตัวเอง และปรับความเข้าใจกับมารดาได้สำเร็จ ทิวากรก็นึกถึงคนที่ชิ่งหนีออกมาก่อน เขาไม่รู้ว่าพรนับพันหายไปไหนจึงไม่ได้ไปร่วมฉลองกับน้ำหนาว โทรหานับพันพรรายนั้นก็บอกว่าพรนับพันส่งข้อความมาบอกว่าจะไม่กลับ

แล้วเมื่อชั่วโมงที่แล้ว ทิวากรก็พบว่ามีคนโพสต์รูปความวุ่นวายที่พรนับพันเจอในบาร์แห่งหนึ่ง โดยนาถเป็นคนส่งข่าวมาให้ เขาตรงดิ่งไปที่สถานีตำรวจกลัวว่าเจ้าหล่อนจะขวัญเสีย หรือนึกอยากลุกขึ้นมาทำร้ายใครอีก แต่ภาพที่พรนับพันมีชายแปลกหน้า ดวงตาคมดุ ผมสกินเฮด ยืนเป็นยักษ์ประจำตัวอยู่ข้างหลังทำให้เขาไม่นึกอยากแสดงตัว เขาอยากจับสังเกตพรนับพัน แต่ไม่พบอะไรผิดสังเกต นอกจากการให้สัมภาษณ์ที่เจ้าตัวยังใช้หน้ารอยยิ้มกวนประสาทใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ

ถึงจะไม่มีการถึงเนื้อถึงตัว แต่พรนับพันกลับคุยกับผู้ชายคนนั้นได้อย่างปกติ ไม่มีการแสดงออกถึงความไม่ชอบขี้หน้า ที่สำคัญคือให้ฝ่ายนั้นมาส่งถึงคอนโดของเขา ทิวากรรู้สึกว่าตัวเขานั้นยิ่งกว่ารู้สึกว่าโดนรองเท้าของหนุ่มสกินเฮดเหยียบหน้าเอา

ไม่ว่าคนๆ นั้นเป็นใคร ทิวากรก็รู้สึกไม่พอใจที่ได้เห็น พรนับพันจงใจปิดการติดต่อ ไม่มีบอกกล่าว เกิดเรื่องขนาดนี้พรนับพันกลับไม่ยอมคิดถึงเขา

ทิวากรเดินตามร่างที่เดินมั่นคงมายังห้องเขา โดยไม่รู้ตัวว่าถูกตาม ทิวากรตั้งใจจะเดินตามเข้าไป แต่กลัวว่าอีกฝ่ายจะไหวตัวทัน จึงยืนรออยู่แค่หน้าห้อง ไม่ถึงยี่สิบนาทีประตูห้องเปิดออกอีกครั้ง ภาพผู้หญิงคนหนึ่งกำลังร้องไห้จนตาบวม และจ้องเขาอย่างตกตะลึงซ้อนทับกับภาพเมื่อสามปีก่อน

“คุณพราวด์ เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม ใครทำอะไรบอกผมสิ”

นิ้วชี้จิ้มแรงๆ ไปบนอกซ้ายของเขา ทิวากรยกมือขึ้นมาจับไว้แต่ถูกสะบัดออกอย่างแรง พรนับพันแค่นยิ้ม “ทุกอย่างมันจบแล้ว”

“อะไรจบ” ทิวากรยืนขวาง ไม่ยอมให้พรนับพันเดินฝ่าออกมาง่ายๆ “เราต้องคุยกัน” แต่พอจะสัมผัสตัวเพื่อดันให้กลับเข้าไปในห้อง วิญญาณแม่เสือจอมดุก็ตวัดเล็บลงมาบนท่อนแขนอย่างแม่นยำ เลือดไหลซิบ

“ไม่มีอะไรต้องคุย หลีกไป ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณ อย่าได้แตะต้องตัวฉันด้วย ฉันหวง” พรนับพันยิ้มมุมปากท้าทาย ไม่สนว่าจะสร้างความงุนงงกับผู้ฟังมากแค่ไหน พรนับพันเดินไปเคาะประตูห้องของรุจีและชวินเมื่ออีกฝ่ายเปิดประตูต้อนรับเธอก็ออกปากขอนอนด้วยหนึ่งคืน เมินการมีอยู่ของทิวากรโดยไม่แลแม้แต่หางตา

ทิวากรรู้สึกสับสนกับการกระทำของพรนับพัน เขาเปิดประตูเข้ามาในห้อง คิดว่าพรุ่งนี้เช้าหากไม่ได้คุยกับพรนับพันให้รู้เรื่อง เขาจะยอมให้เธอข่วนเขาให้ลายทั้งตัว แต่ภาพประติมากรรมจากจิตรกรผู้ทำลายล้างหยุดเท้าเขาไว้ ทิวากรเดินต่อมา ก้าวไม่ทันระวังเผลอลื่นล้มก้นจ้ำเบ้ากับพื้นเจ็บหนักเพราะบนพื้นมีน้ำเปียกนอง เขาลุกขึ้นยืนคราวนี้ระวังตัวมากขึ้น เปิดไฟให้สว่าง ทีนี้ความจริงปรากฏชัด เมื่อกระดาษถูกแปะต่อกันไว้จนมีขนาดหนึ่งคูณสองเมตรบนกระจกบานใหญ่ที่ปกติจะถูกปิดด้วยผ้าม่าน แต่ครั้งนี้ผ้าม่านถูกเก็บ สเปรย์สีแดงในห้องพ่นข้อความตัวโตๆ แค่สองคำ

‘ฉันโสด!’

เขาควรจะเชื่อว่าความลับไม่มีในโลก ทิวากรยกมือบีบนวดขมับ เห็นชะตากรรมเงาหัวตัวเองหายอยู่รำไร

งานนี้ เข้าอย่างจัง!!! ห้องของเขาคงเป็นสิ่งแรกที่ระเบิดนามว่าพรนับพันลงใส่


คนโสดทำอะไรก็ไม่ผิด พรนับพันไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเคยนึกใส่ใจว่าตัวเองจะโสดไหมิ จะมีใครมาจีบหรือเปล่า กระทั่งชีวิตในถ้ำของเธอเปลี่ยนไป เขาพาเธอมาสู่สังคมกว้าง อาจจะกว้างถึงกับเป็นที่รู้จักของใครต่อใครไม่น้อย มาวันนี้คำว่าโสดจึงมีผลต่อจิตใจเธอมาก

ตอนที่จดทะเบียนคราวนั้น เธอคิดแค่ว่าเพื่อจะได้เคียงข้างทิวากรในยามที่มีปัญหา ไม่เคยนึกเสียดาย แต่ในเมื่อเขาไม่เห็นค่าก็ช่างปะไร

พรนับพันลุกขึ้นมา รู้สึกอยากเรียนรู้อะไรในชีวิตให้มากขึ้น จะได้เลิกคิดถึงทิวากร เธอตื่นมาเรียนวิธีการทอดไข่เจียวให้ฟูไม่อมน้ำมันได้สำเร็จ

คนที่ไม่เคยตื่นมาตักบาตรทำบุญตอนเช้า ก็ลุกมาหน้าตาง่วง ผมยุ่ง ไหว้พระเป็นเพื่อนกับรุจี และชวินก่อนที่เขาจะออกไปทำงานต่อ

“ขอบคุณนะคะน้ารุจี ฉันรู้สึกดีขึ้นมากเลยค่ะ” พรนับพันกอดถาดเดินเข้าไปในลิฟต์กับรุจี การได้พูดคุยเรื่องอื่นที่ไกลตัวทำให้ไม่ต้องคิดมาก “จำไม่ได้แล้วว่าเข้าวัดครั้งล่าสุดเมื่อไหร่”

“การทำบุญมันทำให้จิตใจเราสงบขึ้นค่ะ เราได้ให้ ได้อยู่ในศีลในธรรม ไม่ไหลไปตามโลก ไม่ให้ความรู้สึกวิ่งนำความคิด”

พรนับพันยิ้มแหย สิ่งที่เธอทำได้ยากคือการข่มอารมณ์ ความร้ายกาจของเธอเกิดจากอีคิวต่ำ หากมีอะไรจุด หรือมายุ่ง ก็พร้อมเป็นระเบิดเวลา แต่หากไม่มีใครมายุ่ง เธอก็พร้อมฝังตัวเองลงในโลกส่วนตัว ตัดขาดจากโลก และหายตัวไปจากคนรู้จักได้นานเป็นเดือนๆ

ประตูลิฟต์เปิด ภาพผู้ชายที่พรนับพันไม่อยากพบเจอที่สุดยืนนิ่งรออยู่หน้าประตูห้องของรุจี พรนับพันชะงักไปนิด แต่รีบปรับสติ ในใจไม่คิดวิ่งหนี ร้องไห้อย่างนังบ้าทำลายล้างเมื่อวานนี้อีกเด็ดขาด พรนับพันจึงยืดไหล่ คอตั้ง หน้าเชิด

“สวัสดีครับน้ารุจี” ทิวากรยกมือไหว้ผู้อาวุโสกว่า

“มาทานมื้อเช้าด้วยกันสิคะ”

“ขอบคุณครับ วันนี้ขอผมฝากท้องสักวัน” ทิวากรพยายามยิ้มเผื่อแผ่ไปยังพรนับพัน แต่อีกฝ่ายจ้องตอบกลับ และยกมุมปากขึ้นเยาะ เดินตามรุจีเข้าห้อง ปล่อยให้ทิวากรเดินคอตกตามมา สภาพผู้ชายรู้สึกผิดคนหนึ่งทำให้เธอสาแก่ใจอย่างบอกไม่ถูก

“วันนี้หนูพราวด์ทอดไข่เจียวเองเลยนะคะ แล้วก็เป็นลูกมือน้า” กับข้าวน่าทานหลายเมนูถูกลำเลียงมาจากในครัว พรนับพันเป็นคนขอจัดการยก และเตรียมจานเอง โดยให้รุจีนั่งรอกับแขก ที่วันนี้แค่เห็นหน้าเธอก็รู้สึกความสงบจากการทำบุญโดนกวนให้ขุ่น

ข้าวสวยสามจานจัดวางตามตำแหน่งคนนั่ง พรนับพันนั่งลงตรงข้ามกับทิวากร บทสนทนาก่อนหน้ายุติ เมื่อรุจีเปิดมื้ออาหารด้วยการเริ่มตักแกงจืด พรนับพันจึงเริ่มตักบ้าง แต่ดูเหมือนมือของเธอจะช้ากว่าคนตรงข้ามที่ขันอาสาตักไข่เจียวเหลืองกรอบมาให้ทั้งที่ยังไม่ได้เอ่ยปากขอ

“มีมือตักเองได้ ไม่ต้องตักให้อีก” พรนับพันพูดลอยๆ

ทิวากรยิ้มเจื่อนกับคนกลางอย่างรุจีซึ่งไม่รับรู้อะไร และเขาคงไม่กล้าไปหย่อนมือให้อาหารมื้อนี้แย่ขึ้น

“ไข่เจียวเจ็บแล้วจำ แกงจืดอดีตไม่หวนคืน และหมูทอดกระเทียมเลี้ยงส่ง อร่อยถูกปากไหมคะ”

“ค่อกๆๆ” บทสนทนาถูกโยงออกไปไกล แต่เมื่อเริ่มเก็บจาน พรนับพันก็พูดในสิ่งที่ยิ่งกว่าลูกดอกพุ่งใส่ ลับหลังรุจีที่ขอตัวไปถักไหมพรม จึงไม่ได้อยู่ฟังเมนูอาหารสุดแปลก และทิ่มแทงใจนี้ เล่นเอาเขาสำลักน้ำที่กำลังดื่ม

“คุณพราวด์ผมขอโทษ” ท่าทีสำนึกผิด ดวงตาละห้อย “ผมขอรับผิดทุกอย่าง”

“อย่างนั้นก็ล้างจานนี่ให้หมด” พรนับพันผละจากอ่างล้างจาน

“ให้อภัยใช่ไหม”

รอยยิ้มมีความหวังของผู้ชายขี้โกหกในสายตาพรนับพันช่างเป็นอะไรที่น่าทำลาย “ไม่!” คำเดียวก็ทำให้นัยน์ตาเขาหม่น

“ผมต้องทำยังไง ผมรู้ว่าผิด ผมขอโทษ เรามาแต่งงานกันจริงๆ เถอะ ผมจะให้พ่อแม่ไปสู่ขอคุณ”

“ไม่!” พรนับพันยังคงมั่นคงในหลักคิดของตัวเอง “ฉันไม่ชอบทำผิดซ้ำซาก หวังว่าคุณจะเข้าใจ”

“พราวด์จ๊ะ โทรศัพท์หนูดังจ้ะ” เสียงของรุจียุติการอ้อนวอนขอคืนดีของทิวากร

พรนับพันหัวเราะเยาะใส่อาการคอตกของทิวากร รู้สึกเป็นต่ออย่างบอกไม่ถูก เธอโกรธที่เขาบังอาจโกหก เสียใจขนาดไปดื่มแอลกอฮอล์ โชคดีที่ยังคุมสติได้ รู้ว่าอาการของทิวากรจะเหมือนแมวเหมียวไร้เขี้ยวเล็บ เธอจัดการมองเขาเป็นแบบนี้ แก้เธอโกรธไปได้ หนึ่งในสิบส่วนเชียวล่ะ

หญิงสาวไปหยิบโทรศัพท์ที่เปิดเสียงไว้ เบอร์ขึ้นชื่อนับพันพร “พี่เอง”

แต่เสียงสะอื้นดังมาตามสาย ใจคนฟังหล่นวูบ

“ตอนแฟร์ออกมาจากโรงพยาบาล มีคนจะทำร้ายแฟร์ แต่คุณทองภูมาช่วยไว้ เลยรับมีดแทน”


ไอ้คนเลวเฮงซวยนั่นมันใคร พรนับพันนึกอยากจะฆ่าคนขึ้นมาติดหมัด เธอไม่ต้องสงสัยให้มาก เพราะอีกครั้งที่ข้อความอันน่ารังเกียจเข้ามาในโทรศัพท์

‘ครั้งหน้าจะเป็นเธอ ฉันขอเตือน’

จากความตั้งใจแรกที่จะมาคนเดียว เพราะไอ้ข้อความในโทรศัพท์บ้าอันเดียวเธอถึงบ้าดึงทิวากรเข้ามา เธอไม่ใช่คนขี้กลัว และการทำครั้งนี้ก็เพื่อล่อให้มันออกมาจากกระดอง

“ขอให้จำไว้ว่าทุกเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นมันมีสาเหตุจากคุณ” พรนับพันกล่าวน้ำตาคลอ ในชีวิตเธอสูญเสียตาอันเป็นที่รักไปแล้ว เธอจะไม่ยอมเสียครอบครัว หรือเพื่อนสนิทไปอีก “ครั้งหน้ามันจะถึงคิวฉันสักที ถ้าคุณรู้ว่าใคร ฝากบอกด้วยว่าฉันรออยู่”

ทั้งสองเดินเพื่อเข้าไปในโรงพยาบาล ทิวากรสัมผัสได้ถึงความกราดเกรี้ยวโกรธาจากพรนับพัน ความอัดอั้นอยู่ในกำมือ ตอนก่อนจะออกมาจากห้องมีข้อความหนึ่งดังขึ้น หลังจากนั้นเขาก็ม่ได้ยินเสียงของเธออีกนอกจากสั่งให้มาที่โรงพยาบาล กระทั่งรถจอด เธอจึงโพล่งความในใจออกมา

“หมายความว่าไง”

“ฉันอยากเป็นข่าว” พรนับพันลากแขนทิวากรให้เดินไปในโรงพยาบาลพร้อมกัน แต่อีกฝ่ายยังคงขืนตัวทิวากรเริ่มแปลความหมายจากประโยคที่พรนับพันพูดมา

“ผมจะปกป้องคุณ แต่ไม่ใช่ว่าคุณทำเพื่อประชด ทำทั้งๆ ที่หัวใจของคุณไม่ได้รู้สึกอะไรด้วย ผมไม่ยอมเด็ดขาด”

“แล้วคุณรู้สึกอะไรกับฉันหรือไง” พรนับพันเหยียดยิ้ม จับมือเขาไว้แน่นขึ้น แต่ความอบอุ่นหายไป “คุณจะหมดประโยชน์ในวันที่ฉันจบเกมนี้ได้ ฉันจะทำให้มันกระอักเลือด เจ็บหนัก แล้ววันนั้นฉันจะทิ้งคุณ”

“คุณพูดถึงใคร”

“มัน เป็นใครสักคนที่ฉันยังไม่รู้”

พรนับพันเบือนหน้ากล่าวทั้งน้ำตา พบว่าถึงแม้แฟร์จะบอกว่าไม่เป็นไร แต่สภาพผมเผ้ายุ่ง เสื้อมีรอยขาดแม้จะสวมเสื้อกาวน์ทับไว้แล้วก็ตาม เธอชูแขนกว้างรอให้น้องสาววิ่งมากอด ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีสำหรับเธอนับพันพรก็ยังเป็นน้องสาวตัวน้อยของเธอไม่มีเปลี่ยน

“พี่ขอโทษ มันเป็นความผิดของพี่เอง”

นับพันพรที่เป็นผู้เสียหายกลายเป็นคนปลอบ พรนับพันแม้จะไม่สะอึกสะอื้น แต่มือที่จิกเกร็ง ก็บ่งบอกถึงความนึกคิดในใจ พรนับพันอารมณ์ร้าย โกรธง่าย และแค้นแรง

“แฟร์ไม่เป็นอะไรแล้วพี่พราวด์ ไม่เป็นอะไรจริงๆ”

“มันทำอะไรแฟร์บ้าง จับมันได้ไหม” พรนับพันยิ่งโกรธเมื่อนับพันพรยังคงส่ายหน้า

“คุณทิวคะดูแลพี่พราวด์ทีนะคะ แฟร์ขอไปดูอาการคุณทองภูก่อน อยู่อย่างนี้เฉยๆ แฟร์ร้อนใจ”

นับพันพรพยักหน้าให้ทิวากร และเดินไปเปลี่ยนชุดเพื่อเข้าห้องผ่าตัด ทิวากรกลับมาสนใจผู้หญิงเจ้าอารมณ์ พรนับพันใช้หลังมือป้ายน้ำตา กระทั่งแห้งสนิท หน้าตาเคร่งเครียด ปราศจากรอยยิ้ม แววตาครุ่นคิดเพียงคนเดียว ไม่ยอมปริปาก

“คุณพราวน์ คุณช่วยอธิบายให้ผมฟังได้ไหม ผมคิดว่าผมพอจะแก้ไขมันได้ ถ้าคุณเล่าให้ผมฟังให้หมด ว่านี่มันเรื่องอะไร”

“แค่ช่วยอยู่ข้างๆ ฉันได้ไหม ฉันต้องการคุณ” เธอได้มืออุ่นตามคำขอ แต่ครั้งนี้ที่ใจเต้นผิดจังหวะ ส่วนหนึ่งมาจากการตื่นเต้น และรอคอย ยิ่งทิวากรอยู่ข้างเธอ

มันต้องออกมาอีกแน่...คนสารเลว

..................................................................................

คุณ konhin คนๆ นั้นอาจจะยังไม่เปิดเผยตัว เอ๊ะ

คุณ yimyum ตอนทิวโดนกระทำเยอะค่ะ น่าสงสารออก

คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ น่าจับนางไปเจอนายกลางในจำแลงไหมคะ ตีกันตายแน่ๆ ฮ่าๆๆ งานงอกใส่ทิวแล้วล่ะค่ะ

คุณ Sukhumvit66 แอบสะดุ้งเบาๆ อุต๊ะ รออ่านต่อไปนะคะ ^_^

คุณ mhengjhy ไว้อาลัยให้พี่ทิวห้าวินาทีค่ะ

ขอบคุณทุกความเห็น ทุกไลค์ และนักอ่านเงาทุกท่านค่า ติชมกันได้เต็มที่ค่ะ ยินดีรับฟัง ^_^



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 มี.ค. 2557, 15:33:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 มี.ค. 2557, 15:33:44 น.

จำนวนการเข้าชม : 1651





<< บทที่ 11 : การท้าทาย   บทที่ 13 : ผู้ต้องสงสัย >>
yimyum 18 มี.ค. 2557, 16:28:30 น.
เอิ่ม........


konhin 18 มี.ค. 2557, 16:40:49 น.
คนใกล้ตัวแน่ๆ น้องสาวคนนั้นหรือเปล่าน้อออ


นักอ่านเหนียวหนึบ 18 มี.ค. 2557, 18:37:48 น.
5555 ขำค้าง ชอบชื่อเมนูอาหารมั่กๆๆ
(เค้ากำลังซีเรียส!!!) แหะๆๆ


Sukhumvit66 18 มี.ค. 2557, 23:33:56 น.
แหม่..อาหารแต่ละเมนู o_O!!!!


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account