Adriana
สมบัติล้ำค่าที่สองแคว้นต่างแย่งชิงได้สูญหายไป แต่ทว่าเสี้ยวหนึ่งแห่งพลังอำนาจนั้น กลับแฝงเร้นอยู่ในตัวหญิงสาว ผู้ซึ่งถูกตราหน้าว่าเป็นสายลับของศัตรู // โรแมนติกแฟนตาซี
Tags: โรแมนติกแฟนตาซี,แฟนตาซี,กรีกโบราณ,รัก,การเมือง

ตอน: บทที่ 3

ยามเช้าในอีกหลายวันต่อมา ร่างกายของอาเดรียน่าเริ่มกลับมาเป็นปกติแข็งแรงดั่งเดิม รอยแผลฟกช้ำตามเนื้อตัวลบเลือนจนแทบไม่เหลือร่องรอยแผลเป็น ซึ่งต้องยกความดีความชอบให้กับท่านหัวหน้าคณะแพทย์หลวง ที่ฝีมือในการรักษาเก่งกาจหาใครเทียบเคียงได้ยาก ทุกๆ วัน เขาจะกลับเข้ามาเยี่ยมเยียนพร้อมทั้งหอบตัวยามากมายมาเต็มถาด ซึ่งบรรดาผู้ช่วยพากันหอบตามมา ภายในห้องพักจึงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม ซึ่งทำให้จิตใจของอาเดรียน่าคลายความวิตกกังวลลงไปได้จนเกือบหมดสิ้น จะหลงเหลือก็เพียงแต่ความหงุดหงิดหมางใจกับเสนาบดีกลาโหม ซึ่งขยันโผล่หน้ามาคอยจับจ้องด้วยสายตาราวกับเพชฌฆาตรอประหารนักโทษ

ก็แน่ล่ะสิ -- ความจริงเราก็เป็นแค่นักโทษที่เขาจับมาได้

อาเดรียน่าตอบประชดตัวเองอยู่ในใจขณะจ้องตอบชายหนุ่มซึ่งนั่งนิ่งทำหน้าเย็นชาอยู่กลางสวนอย่างไม่เกรงกลัว และที่กล้าทำเช่นนั้น ก็ไม่ใช่ว่าเพราะมีทั้งราชครู หัวหน้าคณะเสนาบดี หรือโอโดวาคาร์คอยเป็นโล่คุ้มกันภัย แต่เพราะความชิงชังที่มีต่อชายหนุ่ม จนอาเดรียน่ามั่นใจว่าชั่วทั้งชีวิตนี้นางคงไม่มีทางเกลียดใครได้มากเท่าเขา ดังนั้น เรื่องที่จะให้ทำตัวนิ่งเฉย ไม่โต้ตอบ คงแทบเป็นไปไม่ได้ ถึงแม้ในส่วนลึกของจิตใจจะคอยย้ำเตือนอยู่เสมอ ว่าผู้ชายคนนี้ สามารถลงมือสังหารนางได้ในชั่วพริบตาก็ตาม

“ข้ารู้ว่าท่านไม่ชอบ แต่อยากให้ท่านเข้าใจ ท่านเสนาฯ กลาโหมก็เพียงแค่ทำไปตามหน้าที่”

อาเดรียน่าเงยหน้าขึ้นมองมิลันโธ สาวใช้วัยสี่สิบ ซึ่งท่านราชครูได้ส่งมาให้คอยดูแลนางด้วยแววตาที่บ่งบอกว่าขัดเคืองใจกับคำกล่าวนั้นอย่างที่สุด

มิลันโธยิ้มน้อยๆ ส่ายหน้าอย่างนึกเอ็นดูเมื่อเห็นสีหน้างอง้ำของหญิงสาว

“ทั่วทั้งแคว้นเซเพรัส จะหาใครทุ่มเทกับหน้าที่การงานมากเท่าท่านเสนาฯ แทบจะไม่ได้เลยนะเจ้าค่ะ”

“เขาบ้างานแล้วอย่างไร? เกี่ยวอะไรกับการตามจองเวรกับข้าด้วย”

“ข้ากำลังอธิบายอยู่นี่ไงเล่าเจ้าค่ะ”มิลันโธกล่าวอย่างอ่อนอกอ่อนใจ “ทุกเรื่องเกี่ยวกับตัวท่านคือหน้าที่ที่ท่านเสนาฯ ต้องรับผิดชอบ ข้ามั่นใจว่าหากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้แล้ว ท่านเสนาฯ จะไม่มีทางปฎิบัติตัวกับหญิงสาวอย่างท่าน ด้วยกิริยาเคร่งครึมดุดันเป็นแน่”

อาเดรียน่าส่งเสียงประชดประชันอย่างไม่เห็นด้วย แล้วหันกลับไปก้มๆ เงยๆ อ่านสรรพคุณตัวยามากมาย ที่โอโดวาคาร์กำชับเป็นนักหนาว่าให้ท่องจำให้ขึ้นใจ ก่อนจะลงมือทำหน้าที่แพทย์หลวง โดยทิ้งให้มิลันโธยืนทำสีหน้าปั้นยากอยู่เบื้องหลัง

“ท่านเกลียดท่านเสนาฯ มากหรือเจ้าค่ะ”มิลันโธเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่นิ่งเงียบไปครูใหญ่

“จะให้ข้าเทิดทูนคนที่ล่ามโซ่ทรมานข้าจนเกือบตายอยู่ในคุกอันมืดมิดอย่างนั้นหรอกหรือ!” อาเดรียน่าถามย้อนกลับอย่างมีอารมณ์ ดวงตาเป็นประกายกล้าด้วยความเกลียดชังจับใจ ”ไม่ว่าเหตุผลใดจะเป็นสาเหตุให้เขากระทำการเช่นนั้น ก็มิใช่ข้ออ้างที่ดูดีสำหรับข้า เขาคือปีศาจที่โหดเหี้ยม ซึ่งข้าจะไม่มีวันให้อภัยเด็ดขาด!”

มิลันโธส่ายหน้าไปมาช้าๆ “สำหรับหญิงสาวส่วนใหญ่ในวังหลวง ท่านเสนาฯ หาใช่ปีศาจ แต่ท่านเปรียบดั่ง --”

“เรื่องแรกที่ข้าอยากจะขอร้องเจ้านะ มิลันโธ เลิกพูดเรื่องผู้ชายคนนั้นเสียทีเถอะ”อาเดรียน่าเอ่ยแทรกขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน “แค่ต้องทนเห็นหน้าเขาวันละห้าเวลาก็แทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว ไหนจะพวกทหารที่คอยตามเฝ้าข้าตอนกลางคืนราวกับข้าเป็นนักโทษ -- ใช่แล้ว ข้าคือนักโทษ! เพียงแต่คุกที่คุมขังไม่ไช่ลูกเกรงเหล็กก็เท่านั้น”หญิงสาวลงท้ายอย่างขมขื่น พลางเหลือบตาขึ้นมองเทเลอัสที่นั่งอยู่กลางสวน ด้านหน้าโรงคนป่วยอีกครั้ง

มิลันโธยอมทำตามคำขอนั้นแต่โดยดี นางสงบปากสงบคำและแทบไม่เอ่ยคำพูดใดอีก จนกระทั่งล่วงเลยไปจนเย็นย่ำ เมื่อดวงตะวันลับลา ทั้งสองเดินทางออกจากโรงคนป่วยซึ่งอยู่นอกเขตพระราชฐานไม่ไกลนัก โดยมีทหารสองนายที่เปลี่ยนเวรมาคอยเฝ้าติดตามอาเดรียน่า แทนเทเลอัสซึ่งดูเหมือนจะต้องกลับไปสะสางงานของตน ทั้งหมดตรงกลับไปยังบ้านพักของโอโดวาคาร์ซึ่งอยู่ภายในวังหลวง ที่บัดนี้ภายในห้องโถงกลาง โต๊ะตัวกลมพรั่งพร้อมไปด้วยอาหารมื้อเย็น

หลังจากล้างมือจนสะอาดสะอ้าน อาเดรียน่าจึงนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเก่าถัดไปจากเก้าอี้ของโอโดวาคาร์กับผู้ช่วยในคณะแพทย์หลวงที่ชื่อว่าโบกัส เรื่องราวสนทนาบนโต๊ะอาหารยังคงวนเวียนอยู่กับการรักษาอาการเจ็บปวยเล็กๆ น้อยๆ และการประคบประหงมเหล่าทหารที่ดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการปะทะกับกลุ่มสายลับของแคว้นกอรินธ์ ที่ลักลอบเข้ามาโจมตีภายในเขตพระราชฐานของเซเพรัสเมื่อสองอาทิตย์ก่อน ซึ่งทำให้หญิงสาวรู้สึกอึดอัดใจที่ต้องรับรู้ข้อมูลเหล่านั้น ถึงแม้หลายครั้งจะเป็นเพียงแค่การพูดคุยธรรมดา แต่สำหรับอาเดรียน่า สิ่งเหล่านี้เปรียบดั่งสารกระตุ้นทรงประสิทธิภาพ ที่ทำให้ภาพความทรงจำอันเลวร้ายภายในคุกนั้นปรากฏขึ้นอย่างแจ่มชัด หลายครั้งหลายคราที่ร่างของนางสั่นสะท้าน ลมหายใจติดขัดราวกับคนใกล้ขาดใจตาย แม้ในระยะหลังผลข้างเคียงเริ่มจะลดลง แต่ความหวาดหวั่นในจิตใจก็ยังไม่ได้รับการลบล้างออกให้หมดสิ้น เนื่องด้วยเสนาบดีกลาโหมผู้ดื้อรั้น ยังคงเฝ้าติดตามพฤติกรรมของนางอย่างใกล้ชิด ตามที่เขาได้เคยลั่นวาจาไว้ และมักโผล่หน้ามาคอยจับผิดพร้อมกับใช้สายตาข่มขู่นางทุกครั้งไป แต่หากเมื่อใดที่มีงานยุ่งจนไม่อาจปลีกตัวมาได้ เขาก็จะสั่งบรรดานายทหารร่างหนาสูงใหญ่มาคอยทำหน้าที่แทน

“ได้ข่าวว่าท่านเสนาฯ กลาโหมจะเดินทางไปชายแดนหรือขอรับ”

สัญญาณการรับรู้ของอาเดรียน่าตื่นตัวขึ้นในทันทีเมื่อได้ยินประโยคนั้น

ที่แท้ก็จะไปชายแดนนี่เอง ไปหลายๆ วันเลย หรือถ้าให้ดี ไม่ต้องกลับมาเลยก็ได้ -- หญิงสาวคิดในใจ พลางกระหยิ่มยิ้มย่องกับตัวเอง คว้าขนมปังมาทาเนย ตักสเต็กปลามารับประทานอีกชิ้น รู้สึกเจริญหาอารขึ้นมาในทันที

“ปกติเทเลอัสก็งานยุ่งจนแทบไม่มีเวลาสังสรรค์กับใครอยู่แล้ว ยิ่งเกิดเรื่องผลึกเทพธิดาก็ยิ่งยุ่งไปกันใหญ่ ที่สำคัญเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับราชครูแคว้นกอรินธ์ด้วย กว่าจะตามสะสางได้คงได้มีทหารเจ็บอีกเป็นเบือ”โอโดวาคาร์บ่น ใบหน้าเริ่มงอเมื่อนึกถึงงานหนักที่อาจกำลังรออยู่ในอนาคต



“ราชครูของกอรินธ์ร้ายกาจมากเลยเหรอมิลันโธ”อาเดรียน่าเอ่ยถามสาวใช้ หลังกลับเข้ามาอยู่ภายในห้องนอนของตนเองแล้ว “ท่าทางท่านโอโดวาคาร์เครียดมากตอนที่เอ่ยถึงเขา”

“ข้าเองก็ไม่รู้อะไรมากนักหรอกเจ้าค่ะ ทราบแต่ว่าเขาใช้เวทมนตร์ได้ และเป็นคนเจ้าเล่ห์แสนร้ายกาจ เพียงเท่านี้ก็นับว่าเป็นคนที่อันตรายมากแล้ว”มิลันโธตอบ ขณะที่มือยังคงสาละวนอยู่กับการปัดกวาดเตียงนอนให้เรียบร้อย “ว่ากันว่าเขาเป็นศัตรูคู่แค้นกับท่าราชครูของแคว้นเรา”

อาเดรียน่าพยักหน้ารับตามคำกล่าวนั้นช้าๆ “ข้าเองก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้างเหมือนกัน – แล้วท่านราชครูไบอัสล่ะ ใช้เวทมนตร์ได้หรือเปล่า”

“เรื่องนั้นข้าไม่รู้หรอกเจ้าค่ะ เพราะท่านราชครูไม่เคยใช้เวทมนตร์ให้ใครเห็นเลยสักที”มิลันโธว่า “แต่ท่านเป็นคนฉลาดและมีความรู้มากมาย ฝ่ายกอรินธ์ก็เห็นว่าท่านคือศัตรูคนสำคัญเช่นกัน ข้าคิดว่าท่านน่าจะช่ำชองเรื่องเวทมนตร์บ้างพอตัวเจ้าค่ะ”

“แล้วคนเก่งคนดีของเจ้าล่ะ เขาแน่ขนาดไหน”

ในครั้งแรกที่ได้ยินคำพูดนั้น มิลันโธขมวดคิ้วด้วยความงงงัน ก่อนจะค่อยๆคลายสีหน้ากระจ่าง เมื่อรับรู้ว่าคำถามประชดประชันนั้นเจาะจงถึงใคร

“ท่านต้องฉลาดรอบคอบอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นคงขึ้นเป็นเสนาบดีกลาโหมตั้งแต่ยังหนุ่มไม่ได้ -- จริงๆ นะเจ้าค่ะ!”สาวใช้ยืนยันหนักแน่นเมื่อได้ยินเสียงบ่นงึมงำอย่างไม่เชื่อถือของนายสาว “ข้าเคยเห็นท่านเสนาฯ กลาโหมจับดาบต่อสู้มาหลายครั้ง ท่านเก่งมาก ส่วนเรื่องเวทมนตร์ข้าไม่เคยเห็น แต่ได้ยินพวกทหารพูดกันบ่อย”

อาเดรียน่าหันกลับไปมอง ท่าทางตื่นตัวทันทีที่จะรับฟัง “ทำไมเหรอ”นางส่งคำถามเร่งเร้า

“พวกเขาบอกว่าท่านเสนาฯ เชี่ยวชาญเรื่องเวทมนตร์”มิลันโธเล่าต่อด้วยเสียงกระซิบ ท่าทางระแวดระวังราวกับเอ่ยเรื่องต้องห้ามร้ายแรง “เสกคนให้กลายเป็นกบได้ด้วยเจ้าค่ะ”

อาเดรียน่าผงะด้วยความตกใจ พลางคิดว่าต่อไปนี้ต้องเพิ่มความระมัดระวังทุกครั้งที่ต้องพบเจอกับผู้ชายคนนั้นให้มากขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว

เช้าวันต่อมา อาเดรียน่าตื่นนอนมาพร้อมกับอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรงราวกับคนเป็นไข้ นางถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายขณะนึกย้อนกลับไปยังความฝัน ภาพใบหน้าที่แสนเย็นชาและดวงตาคู่สีฟ้าไร้ความปราณีของเสนาบดีกลาโหม กลับมาตามหลอกหลอนอีกครั้ง ถึงแม้เขาจะไม่ได้เอื้อนเอ่ยประโยคใดๆ หรือแม้แต่กระทำการโหดร้ายทารุณ แต่ท่าที่นิ่งเฉยในความฝันนั้นก็สามารถสร้างความหวาดหวั่นได้มากจนเกินพอ

“ต่อให้ต้องการฉีกเนื้อหนังข้าเป็นชิ้นๆ เขาก็ไม่มีทางทำได้หรอก!”

อาเดรียน่าบอกกับตัวเองผ่านกระจกเงาบานใหญ่ที่อยู่ภายในห้องนอน แต่เมื่อมองกลับขึ้นมาพบกับแววตาเวทนาของตัวเองที่สะท้อนกลับมา แรงกดดันหนักอึ้งก็ตรงเข้าเกาะกุมจิตใจอีกครั้ง หากไม่ใช่เพราะดวงจิตเทพธิดาสถิตอยู่ในร่าง นางคงถูกสังหารด้วยคมดาบไปนานแล้ว

“ทำไมเช้านี้หน้าตาถึงดูอิดโรยนัก ไม่สบายอีกแล้วรึ”เสนาบดีลาร์โลที่แวะมาทักทายอาเดรียน่าถึงโรงคนป่วยเอ่ยถาม

หญิงสาวส่ายหน้าปฏิเสธ “เปล่าเจ้าค่ะ ข้าสบายดี ขอบคุณท่านเสนาฯ ที่เป็นห่วง”

“หรือใครทำให้เจ้าไม่สบายใจ! แต่...เทเลอัสก็เดินทางไปชายแดนแล้วนี่นา ไม่น่าจะมีใครอื่นอีกแล้วนะ”

“จะอยู่ใกล้หรือไกลก็ไม่ต่างกันนักหรอก -- เอ่อ ข้าหมายถึง...คือว่า...”อาเดรียน่าซึ่งเผลอพาดพิงไปถึงบุคคลที่สาม พูดตะกุกตะกักไม่เต็มปาก ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อไม่สามารถหาทางออกได้ “ข้าทำใจญาติดีกับเขาไม่ได้ เหมือนกับที่เขาไม่มีทางเห็นว่าข้าคือผู้ที่ถูกกล่าวหาโดยไร้ความผิด”

“ข้ามั่นใจว่าเจ้าต้องเคยได้ยินประโยคนี้มามากกว่าหนึ่งครั้ง แต่ข้าก็ยังอยากจะบอกอีกว่า ความจริงแล้วเทเลอัสเป็นคนที่มีจิตใจดี”มหาเสนาบดีกล่าว “คบกันไปนานๆ ก็จะเข้าใจเอง”

“ข้าคงไม่มีวันเข้าใจได้ เพราะข้าไม่ต้องการคบหาสมาคมกับเขา”อาเดรียน่าเอ่ยกลับอย่างรวดเร็วอย่างไม่ลังเล “ข้ายอมแลกกับทุกสิ่งทุกอย่าง หากจะช่วยให้ไม่ต้องเจอะเจอกับเขาอีก”

มหาเสนาบดีหัวเราะเบาๆ แววตาที่มองกลับมานั้นเต็มไปด้วยประกายขบขัน

“ในที่สุดข้าก็เจอคนที่หัวรั้นกว่าเทเลอัสเข้าจนได้”

เขาพูดกลั้วหัวเราะ ซึ่งทำให้คิ้วเรียวโค้งของหญิงสาวขมวดมุ่นทันที

“ท่านว่าข้าเหรอเจ้าค่ะ”

“ไม่ได้ว่า แค่เปรียบเทียบให้ฟัง”ลาร์โก้แก้ไขความเข้าใจนั้นให้ถูกต้อง “มั่วแต่ไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบจนข้าเกือบลืมเรื่องสำคัญไปแล้วไหมล่ะ”

อาเดรียน่าหันกลับมามอง สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ ซึ่งทำให้อีกฝ่ายกล่าวต่อทันทีว่า

“โอโดวาคาร์อาจเคยบอกเจ้าแล้ว หรือหากยังก็ขอให้เจ้ารับรู้ไว้ว่า ภายในวังหลวง สถานที่บางที่เป็นเขตหวงห้าม”

“อย่างเช่นที่ไหนบ้างล่ะ”หญิงสาวเอ่ยถามทันที

“ตำหนักของเหล่าเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง อุทยานหลวงส่วนพระองค์ วิหารเทพธิดา และบริเวณอาณาเขตของทหารราชองครักษ์ รวมทั้งทหารที่อยู่ในความรับผิดชอบของเทเลอัสด้วย”

ใบหน้างามแสดงชัดถึงความไม่เข้าใจ “เขา – ข้าหมายถึงเสนาฯ กลาโหม -- เขาไม่ได้ดูแลเกี่ยวกับเรื่องทหารทั้งหมดของเซเพรัสหรอกหรือเจ้าค่ะ”

“เปล่า”ลาร์โก้ปฏิเสธ “หากเป็นทหารโดยทั่วไปจะขึ้นตรงต่อเทเลอัส แต่หากขึ้นชื่อว่าทหารราชองครักษ์ ซึ่งหน้าที่โดยตรงของพวกเขาคือปกป้ององค์กษัตร์และพระราชินีอย่างใกล้ชิด ทหารเหล่านี้จะอยู่ในความรับผิดชอบของซาลาคอส เขาเป็นหัวหน้ารราชองครักษ์”

“แล้วนิสัยเขา เอ่อ...เป็นยังไงบ้าง”อาเดรียน่าถามด้วยความสนใจ

“ซาลาคอสเป็นคนอัธยาศัยดี คุยสนุก”มหาเสนาบดีตอบ พลางมองหญิงสาวที่กำลังแย้มรอยยิ้มกริ่ม “มีอะไรอย่างนั้นเหรอ”

“ข้ากำลังคิดว่าหากเป็นจริงดังที่ท่านบอก หัวหน้าราชองครักษ์ก็เป็นคนน่าคบหาด้วยมากคนหนึ่ง นิสัยเขาต้องแตกต่างกับเสนาฯ กลาโหมราวท้องฟ้ากับหุบเหวลึก”

มหาเสนาบดีหัวเราะเสียงดังกับคำอธิบายเหล่านั้น” ถึงแม้ซาลาคอสจะเป็นคนใจดีและชอบพูดคุยชวนหัว แต่เวลาที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ เขาก็ไม่ได้แตกต่างไปจากเทเลอัสหรอกนะ”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แต่ข้ามั่นใจว่าหัวหน้าราชองครักษ์น่าคบค้าสมาคมกว่าเสนาบดีกลาโหม”อาเดรียน่ากล่าวย้ำความคิดของตน ก่อนที่จะนึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ “เขตหวงห้ามอย่างตำหนักหรืออุทยานหลวง ข้าพอเข้าใจว่านั่นคือสถานที่พักผ่อนส่วนพระองค์ คนทั่วไปไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่งย่าม แต่อาณาบริเวณของพวกทหาร ทำไมต้องห้ามด้วย ทั้งที่ความจริงน่าจะเป็นสถานที่เปิดที่ใครๆ ก็สามารถเข้าไปได้”

“คนอื่นน่ะใช่ แต่เจ้าไม่ควร”

นัยน์ตาของหญิงสาวหรี่เล็กลง พร้อมกับท่าทีที่ต้องการคำอธิบายเพิ่มเติม

“เห็นได้ชัดว่าโอโดวาคาร์ยังไม่ได้คุยเรื่องนี้กับเจ้า”น้ำเสียงของลาร์โก้เริ่มกลับมาเคร่งเครียดอีกครั้ง “ฐานะของเจ้าต่อแคว้นเซเพรัสยังคงคลุมเครือและยังไม่ได้รับการยืนยันอย่างสมบรูณ์ว่าไร้ข้อกล่าวหา ดังนั้นพวกทหารทั้งหมดจึงคอยจับตามองเจ้าอย่างระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา -- เทเลอัสทำไปเพื่อความปลอดภัยของบ้านเมือง ในขณะที่ซาลาคอสทำเพื่อปกป้ององค์กษัตร์และพระราชินี”

“และพวกท่านที่เหลือก็ปฏิบัติต่อข้าเพียงเพื่อหวังรักษาดวงจิตเทพธิดาไว้ วันหน้าหากข้าหมดประโยชน์ก็คงเขี่ยไปให้เสนาฯ กลาโหมเชือดทิ้ง!”อาเดรียน่าพูด มือทั้งสองข้างกำแน่นจนสั่น “แท้จริงแล้วข้าคือนักโทษ ไม่ใช่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ ข้าควรต้องท่องจำให้ขึ้นใจมากกว่านี้!”

ลาร์โก้เริ่มมีสีหน้าลำบากใจ ยืนกระสับกระส่ายอยู่นานกว่าจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“ข้าพอเข้าใจว่าเจ้ารู้สึกแย่มากๆ แต่ขอให้อดทนไว้ เวลาจะช่วยเปิดเผยปริศนาทุกอย่างออกมาเอง -- อดทน อย่าเพิ่งท้อถอย หรือหลบหลีหนีหน้า เพราะหากทำเช่นนั้น ตัวเจ้าจะถูกตราหน้าว่าเป็นศัตรูของแผ่นดินเซเพรัสตลอดไป”

“เรื่องหนีข้าไม่มีวันทำแน่”หญิงสาวเชิดหน้าขึ้นอย่างท้าทาย “ข้าจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าข้าไม่เคยคิดทรยศต่อแผ่นดินเกิด”

“หลายคนเชื่อใจเจ้า รวมทั้งข้ากับท่านราชครูด้วย”มหาเสนาบดียิ้ม “หวังว่าเรื่องซาลาคอสที่เล่าให้ฟังคงไม่กลายเป็นต้นเหตุให้เจ้าชังน้ำหน้าเขาหรอกนะ”

อาเดรียน่าหน้างอ “ทำไมข้าต้องทำอะไรเช่นนั้นด้วย ท่านอย่ากล่าวหาลอยๆ สิ”

“ก็แค่พูดดักคอไว้ เพราะคนใจดีอย่างซาลาคอสน่ะ เวลาดุขึ้นมาก็สูสีกับเทเลอัสเลยเชียวล่ะ”เสนาบดีว่า

“ท่านเสนาฯ ข้าขอถามเรื่องนึงจะได้ไหม”

“หากข้าปฏิเสธคงถูกเจ้าหมายหัวอีกคน”มหาเสนาบดีกล่าวอย่างรู้ทันกับหญิงสาวที่ยิ้มกริ่มตอบกลับมา “ถามมาเถอะ แต่ข้าจะสามารถตอบได้หรือเปล่านั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง”

“แค่ข้อสงสัยธรรมดาทั่ว ไม่ทำให้ท่านลำบากใจหรอกเจ้าค่ะ”หญิงสาวพูดเสียงหวานใส ชะเง้อมองสองนายทหารหน้าเดิมซึ่งยังคงตามติดนางทุกฝีก้าว ก่อนจะหันกลับมาเอ่ยคำถามด้วยเสียงกระซิบกับเสนาบดี “หัวหน้าราชองครักษ์กับสนาฯ กลาโหม พวกเขา เอ่อ...เข้ากันได้ดีหรือเปล่าเจ้าค่ะ”

นัยน์ตาของมหาเสนาบดีเต็มไปด้วยความแปลกใจ คิ้วหนาเลิกขึ้นสูงอย่างไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำถามนั้น

“หากเจ้าหมายถึงเรื่องบาดหมางหรือความเห็นที่ไม่ค่อยตรงกันล่ะก็ เรื่องเช่นนั้นก็พอมีอยู่บ้าง แต่ทั้งหมดนั้นมาจากหน้าที่การงานที่อาจมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว -- ข้ารู้จักซาลาคอสกับเทเลอัสมาตั้งแต่พวกเขายังเป็นเด็ก ไม่เคยเห็นมีเรื่องผิดใจใหญ่โตกันเสียที แต่ถ้าเรื่องรักเพื่อนจนตายแทนกันได้ล่ะก็ เห็นบ่อยอยู่เหมือนกัน”

ถึงคราวที่นัยน์ตาของหญิงสาวเต็มไปด้วยความแปลกใจสงสัยบ้าง ซึ่งทำให้อีกฝ่ายต้องกล่าวเสริมต่อไปว่า

“เทเลอัสกับซาลาคอสเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก เอ่อ รวมทั้งนิค แม่ทัพหัวเมืองทิศเหนือที่ติดกับชายแดนแคว้นกอรินธ์นั่นด้วย”

อาเดรียน่าสงเสียงฮึกฮัดด้วยความขัดเคืองใจ ใบหน้างอง้ำ “ไหนท่านว่าหัวหน้าราชองครักษ์ดีหนักหนา!”

“ใช่สิ! เขาเป็นคนดี”มหาเสนาบดีลาร์โก้ย้ำหนักแน่น

“แล้วคนดีจะเป็นเพื่อนรักเพื่อนสนิทกับผู้ชายป่าเถื่อนโหดร้ายแบบนั้นได้อย่างไร แล้วที่ว่าแม่ทัพหัวเมืองทิศเหนือ ใช่แทบชายแดนที่เสนาฯ กลาโหมเดินทางไปหรือเปล่าเจ้าค่ะ”

“ใช่”มหาเสนาบดีพยักหน้ารับด้วยท่าทางตื่นๆ กับคำพูดอันยาวเหยียดจนแทบไม่เว้นช่วงหายใจของหญิงสาว “เทเลอัสเดินทางไปหานิค ส่วนเรื่องที่พวกเขาเป็นเพื่อนสนิทกันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือไม่ควร – มิตรภาพน่ะ ไม่แบ่งแยกอุปนิสัย ฐานะ ศัตรู หรือข้ออ้างใดๆ ไม่เคยได้ยินรึ ที่เขาพูดกันว่า มิตรภาพไม่มีพรมแดน”

อาเดรียน่ายืนนิ่งเงียบสงบปากสงบคำ เนื่องด้วยยอมรับในเหตุผลที่เสนาบดีกล่าวมา

“หากมัวแต่ตั้งข้อรังเกียจ อ้างเหตุผลหรือไม่ยอมเปิดใจให้กว้าง เราก็จะไม่มีเพื่อน -- เจ้ายังเยาว์นัก อาเดรียน่า ในขณะที่โลกใบนี้กว้างใหญ่ ดังนั้นจงเปิดตาเปิดใจให้กว้าง เมื่อนั้นเจ้าจะมองเห็นและรู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของโลกใบนี้ได้มากขึ้น”

อาเดรียน่าพยักหน้ารับช้าๆ กับคำตักเตือนที่นางรับรู้ได้ถึงความจริงใจและหวังดีของมหาเสนาบดี

“ขอบคุณท่านมาก ข้าจะจดจำใส่ใจไว้เสมอ”



~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~



ณ ค่ายทหารชายแดนทิศตะวันตก ทหารหลายร้อยนายคอยทำหน้าที่ผลัดเปลี่ยนเวรยามอย่างเคร่ดครัด โดยเฉพาะในยามค่ำคืนเช่นนี้ ซึ่งมีแต่ความมืดครอบคลุมไปทั่วทั้งท้องฟ้ากับความเงียงงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงจากหมู่แมกไม้และเหล่าสรพพสัตว์ จะมีก็แต่เพียงเสียงแตกลั่นจากกองไฟ และเสียงฝีเท้าย่ำผ่านไปมาของทหารที่คอยสอดส่องป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ด้วยยามนี้ แคว้นกอรินธ์ซึ่งสงวนท่าทีมาอย่างช้านาน ได้ประกาศตัวชัดแจ้งว่าต้องการรุกรานแผ่นดินเซเพรัส และในการโจมตีครั้งแรก เซเพรัสก็ต้องสูญเสียผลึกเทพธิดาไปอย่างน่าคับแค้นใจ ดังนั้นพื้นที่แทบชายแดนทั้งหมดที่ติดต่อกับแคว้นกอรินธ์ จึงต้องเพิ่มกำลังทหารและมั่นตรวจตรามากยิ่งขึ้นเป็นเท่าตัว รวมทั้งบส่องสุมกำลังพลเพื่อรอรับคำสั่งบุกโจมตี ซึ่งพวกหทารคาดเดากันว่าอาจมีขึ้นในอีกไม่ช้า เนื่องด้วยตอนนี้ ท่านเสนาบดีกลาโหมเดินทางมาสังเกตการณ์และสำรวจพื้นที่ชายแดนแทบนี้จนถ้วนทั่วแล้ว

ผ้าหน้ากระโจมใหญ่ถูกตวัดเปิดออก ส่งผลให้นัยน์ตาของผู้ที่พักอยู่ข้างใน เหลือบมองไปยังร่างสูงของผู้มาเยือนในยามค่ำอยู่เพียงชั่วครู่ ก่อนจะกลับไปสนใจกับรายงานที่อ่านค้าง ในขณะที่ผู้มาเยือนก้าวเข้ามานั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตัวหนาหน้าโต๊ะทำงาน ใบหน้ากร้านกรำแดดกรำฝนออกจะอยู่ในอารมณ์ขุ่นมั่ว ขณะที่ดวงหน้าของอีกฝ่ายยังคงสงบ

“นานทีปีหนเจ้าจะท่อสังขารมาหาข้าถึงชายแดน ยังไม่ทันได้ก๊งเหล้าก็จะชิงกลับวังหลวงเสียแล้วเหรอ”แม่ทัพผู้ดูแลชายแดนแทบทิศเหนือเอ่ยต่อว่า จ้องเขม็งไปยังสหายที่ยังคงสนใจรายงายที่ได้มาจากสายลับ

“ข้าไม่ได้บอกว่าจะมาก๊งเหล้า”เทเลอัสบอก พลางยื่นกระดาษจ่อกับตะเกียงบนโต๊ะ เปลวไฟสว่างวาบเผาพลาญแหล่งข่าว ซึ่งบัดนี้ถูกถ่ายทอดไว้ในความทรงจำของเขาแล้ว “เสร็จงานแล้วก็ต้องรีบกลับ ทิ้งตัวอันตรายไว้ที่วังหลวง ไม่อยากละสายตานานนัก”

นิคส่งเสียงรับรู้ผ่านลำคอเบาๆ ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “สวยออกซะขนาดนั้น เป็นข้าก็ไม่อยากละสายตาเช่นกัน”

ปากกาขนนกที่กำลังจุ่มลงกระปุกน้ำหมึกหยุดค้างอยู่กลางอากาศ เสนาบดีกลาโหมค่อยๆ หันมองมายังสหายด้วยสีหน้าและแววตาเฉยชาจนน่ากลัว

“ม้าเร็วส่งจดหมายจากซาลาคอสมาให้ข้าเมื่อเช้าวานก่อน”นิคว่า

“แล้วเขาสาธยายเรื่องโกหกอะไรให้เจ้าฟังอีกล่ะ”

นิคหัวเราะกับคำประชดประชันนั้น “อ้าว ตกลงว่าแม่สายลับสาวคนนั้นขี้เหร่หรอกรึ เอ...หรือว่าจะขี้เหร่เฉพาะในตาสายเจ้า”

เทเลอัสถอนหายใจ เลือกที่จะเงียบมากกว่าโต้ตอบ เลยทำให้อีกฝ่ายต้องกลับลำกลางทาง วกเข้าเรื่องงาน

“เท่าที่ข้ารู้มา เห็นจะมีก็แต่เจ้าที่ยังสงสัยในตัวนางอยู่ ที่สำคัญ ทางราชครูยังเข้าข้างนางด้วย เช่นนี้แล้วเจ้าจะทำอย่างไร เทเลอัส”

“ก็ทำอย่างที่เห็นว่าสมควรต้องทำ”เทเลอัสตอบ มือยังคงง่วนอยู่กับการเขียนจดหมาย

“อย่างนี้เจ้าก็ต้องมีเรื่องขัดคอกับท่านราชครูอีกแล้วสิ”

เทเลอัสเพียงแค่หยักไหล่ตอบกลับมาเท่านั้น

“แล้วเรื่องราชครูแห่งกอรินธ์ล่ะ ได้ข่าวบ้างหรือเปล่า”น้ำเสียงสบายๆ ของนิคเปลี่ยนไปทันทีที่เอ่ยถึงศัตรูตัวฉกาจของแผ่นดินเกิด

“เขายังทำตัวได้เงียบเชียบเช่นเดิม -- ยิ่งเงียบเท่าไรก็ยิ่งน่ากลัวเท่านั้น”เทเลอัสตอบ “ข้ามั่นใจว่าเขาต้องหาทางมาชิงตัวผู้หญิงคนนั้นไปแน่ๆ ไม่ว่านางจะเป็นสายลับของกอรินธ์หรือไม่ก็ตาม”

นิคมีสีหน้างุนงง “ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น -- หากไม่มีผลประโยชน์คุ้มค่าพอ คนอย่างราชครูแห่งกอรินธ์ไม่มีทางเห็นความสำคัญของชีวิตใครหรอก หรือที่ข้ารู้มาเป็นข้อมูลลวง”

เทเลอัสถอนหายใจ วางปากกาขนนกในมือ “ที่เจ้ารู้มาน่ะไม่ผิดหรอก แล้วชีวิตของผู้หญิงคนนั้นก็มีค่าต่อเขามาก...มากอย่างที่ข้ากล้าพูดว่า ต่อให้แลกกับชีวิตของผู้อื่นอีกนับร้อย ก็คุ้มค่าที่สุดสำหรับเขา”

“หากเจ้าจะกรุณานะ เทเลอัส ช่วยอธิบายเรื่องลับลมคมในให้ข้ารู้บ้างจะได้ไหม อย่างน้อยก็ขอรู้เรื่องที่ทำให้ข้าต้องระเห็ดออกจากเมืองมานอนกลางดินกินกลางทรายอยู่อย่างนี้”

“อย่างกับว่าปกติเจ้าชอบนอนอยู่บนฝูกกอดลูกอดเมียจนรุ่งเช้า”เทเลอัสย้อน ซึ่งทำให้นิคส่งเสียงคำรามเบาๆ ผ่านลำคอ “บอกตรงๆ ว่าอยากรู้ ก็จบ”

“ปากเจ้านี่คมขึ้นทุกวัน มีใครบอกบ้างหรือเปล่า”

เทเลอัสแกล้งทำสีหน้าครุ่นคิด “ยังไม่เคยได้ยินว่ามีใครชมแบบนี้เสียที”

นิคยืดหลังตรงราวกับว่าจะขยายร่างให้ใหญ่ขึ้น “เลิกพูดกวนประสาทข้าเสียที! ตกลงจะบอกหรือไม่บอก”

“เรื่องนี้จะเป็นความลับ หากราชครูของกอรินธ์ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย -- เขารู้ทุกอย่าง และพวกเราก็ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อป้องกันภัยและ...ปกป้อง”เทเลอัสกล่าวลงท้ายประโยคหลังอย่างไม่เต็มใจนัก “คาดว่าเจ้าคงรู้แล้ว ว่าผลึกเทพธิดาแตกสลายไปแล้ว”

นิคพยักหน้ารับ “สองวันหลังพวกกอรินธ์บุกเข้าวังหลวง ม้าเร็วก็ส่งข่าวมาบอก”

“จุดสำคัญที่สุดอยู่ตรงนั้น หลังจากผลึกเทพธิดาแตก พลังอำนาจทั้งหมดพุ่งเข้าไปยังร่างของราชครูของกอรินธ์ ในขณะที่ดวงจิตเทพธิดาไปสถิตอยู่ในร่างของผู้หญิงคนนั้น แล้วตั้งแต่นั้นมา ท่านราชครูไบอัสของเราก็เฝ้าประคบประหงมแม่สายลับนั่นราวกับไข่ในหิน”

“เข้าใจล่ะ -- แต่ท่านราชครูก็ทำถูกต้องแล้ว -- ข้าหมายถึงเรื่องการคุ้มกันผู้หญิงคนนั้นจากอันตรายที่อาจเกิดขึ้น”นิครีบพูดอธิบาย เมื่อเห็นสีหน้าคัดค้านของเพื่อน

“ถึงอย่างไรนางก็ยังขึ้นชื่อว่านักโทษ”เทเลอัสว่า “ไม่สมควรให้การปฎิบัติราวกับเป็นเจ้าหญิงเช่นนั้น”

“ท่านอาจแสร้งทำให้นางตายใจ”

“ทำให้ทหารอย่างพวกเราลำบากแทบตายมากกว่า”

นิคยิ้ม “ดูท่า...เจ้าจะจงเกลียดจงชังผู้หญิงคนนั้นเสียเหลือเกิน”

“ข้าไม่ไว้ใจ ยิ่งทำตัวน่าสงสารมากเท่าไรยิ่งน่ากลัว”เทเลอัสพูด พลางนึกย้อนกลับไปยังเหตการณ์เมื่อราวสองปีก่อน ซึ่งเป็นวันที่ทำให้ซาลาคอสตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อการถูกตัดศีรษะออกจากบ่า “หากวันนั้นข้าพลาด ซาลาคอสถูกประหารแน่ แล้วยังจะกล้าส่งเรื่องไม่เป็นเรื่องมาบอกเจ้าอีก ไม่รู้จักเข็ด!”เขาถอนหายใจยาว

“ไม่ใช่ไม่รู้จักเข็ด แต่ซาลาคอสไม่ใช่คนที่เคร่งเครียดกับชีวิตมากเกินไปต่างหาก”

เทเลอัสเหลือบมองด้วยสายตารู้เท่าทัน ซึ่งทำให้อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ ตอบกลับมาอย่างอารมณ์ดี

“ข้ายังไม่ได้ออกปากว่าเลยนะ อย่าร้อนตัวนักซี่”

เทเลอัสถอนหายใจอีกครั้ง

“แล้วพรุ่งนี้จะออกเดินทางตอนไหน จะได้ให้ทหารออกตรวจเส้นทางไว้คร่าวๆ”นิคเปลี่ยนเรื่องคุย

“ก่อนรุ่งสางสักชั่วโมง”

“เร็วขนาดนั้น”นิดพูดด้วยความตกใจเล็กน้อย “รอให้สว่างไม่ดีกว่าเหรอ เดินทางมาคนเดียวก็เสี่ยงมากพอแล้ว ตอนนี้สถานการณ์ยิ่งไม่น่าไว้ใจอยู่ด้วย”

เทเลอัสส่ายหน้า “ข้าต้องรีบกลับ ชักช้าไม่ได้ ส่วนเรื่องอันตราย เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่ยอมตายหรือพลาดท่าให้กับศัตรูง่ายๆ หรอก”

“ตามใจแล้วกัน”

“ฝากขุนม้าด้วย”

นิคลุกขึ้นยืน แกล้งเอ่ยเสียงจริงจัง “ขอรับ ท่านเสนาบดีกลาโหม”



***************************************

เพิ่งเคยลงนิยายที่นี่ครั้งแรก มาแบบมึนๆ งงๆ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ ^^



กาแฟเย็นIcedcoffee
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 เม.ย. 2557, 13:23:09 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 เม.ย. 2557, 13:23:09 น.

จำนวนการเข้าชม : 908





<< บทที่ 2   บทที่ 4 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account