Adriana
สมบัติล้ำค่าที่สองแคว้นต่างแย่งชิงได้สูญหายไป แต่ทว่าเสี้ยวหนึ่งแห่งพลังอำนาจนั้น กลับแฝงเร้นอยู่ในตัวหญิงสาว ผู้ซึ่งถูกตราหน้าว่าเป็นสายลับของศัตรู // โรแมนติกแฟนตาซี
Tags: โรแมนติกแฟนตาซี,แฟนตาซี,กรีกโบราณ,รัก,การเมือง
ตอน: บทที่ 8
ซาลาคลอสวิ่งออกมาจากห้องพักของเทเลอัส ท่ามกลางสายตางุนงงของทหารยามที่อยู่ประจำการตามสถานที่ต่างๆ ภายในเขตพระราชฐานวังหลวง หลังจากตั้งสติได้และเห็นเทเลอัสพรวดพราดออกไปจากห้อง ซาลาคลอสจึงออกวิ่งตามหลังมาอย่างรวดเร็ว แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาหรือเสียงฝีเท้าที่ย่ำไปบนพื้นหญ้าของเทเลอัสเลยสักนิด ทำให้เขาต้องคาดเดาเอาเองว่าสมควรจะไปต่อยังทิศทางใด ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากเย็น เพราะหากคิดตามเหตุผลและท่าทีของเทเลอัสแล้ว สถานที่เดียวที่ต้องมุ่งหน้าไปก็คือบ้านของท่านหัวหน้าคณะแพทย์หลวง
ไม่นานหลังจากนั้น เท้าทั้งสองของซาลาคลอสมีอันต้องหยุดชะงักลงอย่างกะทันหัน ขณะที่ดวงตากำลังจ้องมองร่างของคนสองคนที่กำลังยืนประจันหน้ากันอยู่ภายใต้แสงจันทร์ ซึ่งทำให้ซาลาคลอสถึงกับอ้าปากค้างด้วยความสงสัยและงุนงง
“เอ่อ คือว่า...นี่มันเกิด...อะไรขึ้น”
“เจ้าอยู่ตรงนั้นล่ะซาลาคลอส ไม่ต้องเข้ามา ข้าจัดการเอง”
“จัดการ!?”ซาลาคลอสถลึงตามองเทเลอัสที่ยืนหันหลังให้ตน กับอาเดรียน่าที่ยืนนิ่ง ใบหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ คำพูดนั้นไม่ได้ช่วยให้ความสงสัยของเขาพบกับความกระจ่างเลยสักนิด และดูเหมือนทั้งเทเลอัสและอาเดรียน่าก็ไม่ต้องการอธิบายเพิ่มเติมกับเขาด้วย
นัยน์ตาสีน้ำทะเลของเทเลอัสจับจ้องไปยังร่างของหญิงสาวที่เขาเห็นนางเล็ดลอดปีนออกมาจากหน้าต่างห้องนอนของตนเอง และใช้สันมือข้างขวาฟาดลงไปบนต้นคอของลูกน้องรายหนึ่งของเทเลอัสซึ่งรับหน้าที่อยู่เวรรอบตัวบ้านของโอโดวาคาร์ แรงฟาดนั้นรุนแรงมากพอที่จะส่งผู้ชายตัวโตๆ คนหนึ่งให้หมดสติไปได้ในทันที
“กลับไปนอนซะ แล้วข้าจะแกล้งทำเป็นปิดหูปิดตาให้ข้างหนึ่ง”เทเลอัสบอกกับหญิงสาวที่ส่ายหน้าปฏิเสธช้าๆ
“ข้าต้องไป”อาเดรียน่าเอ่ยเสียงแผ่วเนิบช้า สีหน้ายังคงราบเรียบไร้อารมณ์เช่นเคย “ต้องไป”
“ทำไม”
“ราชครูบาซิลสั่ง”
คิ้วของเทเลอัสเลิกสูงขึ้นข้างเล็กน้อย “ไหนว่าไม่เคยรู้จักกันไง”สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงความเงียบและสีหน้าที่ยังคงว่างเปล่า ชายหนุ่มจึงถามต่อ “แล้วทำไมต้องเชื่อ”
“ข้าต้องไป”
“แต่ข้าไม่ให้ไป อย่าลืมสิว่าเจ้ายังเป็นนักโทษของข้า”
ความเงียบในยามดึกเริ่มแผ่ขยายตัวออกเป็นวงกว้างเมื่อการสนทนาหยุดลง ร่างของคนทั้งสองหยุดนิ่งไม่ไหวติงราวกับรูปสลักหิน จะมีก็แต่เพียงซาลาคลอสที่หันซ้ายหันขวาพยายามกระเสือกกระสนหาคำตอบให้ตัวเอง
แล้วก็เป็นฝ่ายหญิงสาวที่เอ่ยทำลายความเงียบ “หลีกไปให้พ้นทาง”
“ขอปฏิเสธ”เทเลอัสตัดบท “และข้าจะพาเจ้ากลับไปนอนด้วย”
อาเดรียน่าเริ่มขยับตัวพร้อมพูดเสียงหวานแผ่ว “งั้นก็จง...ตายซะ”
ซาลาคลอสอุทานเสียงหลง ขณะมองร่างของเทเลอัสและอาเดรียน่าพุ่งเข้าใส่กัน การต่อสู้ที่ไม่น่าเกิดขึ้นได้ก็เริ่มต้น
“สรุปว่าที่ท่านหัวหน้าพูดมาตลอดคือเรื่องที่ถูกต้อง นางเป็นสายลับของกอรินธ์ ใช่ไหม! ท่านหัวหน้าราชองครักษ์”
ซาลาคลอสหันไปมองมีรอพส์ที่โผล่มาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ และกำลังยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความตกใจมึนงง เช่นเดียวกันกับตน
“สารภาพตามตรง ตอนนี้ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องไหนจริงเรื่องไหนเท็จ”ซาลาคลอสตอบ ก่อนหันไปยังการต่อสู้ที่ตนถูกห้ามไม่ให้เข้าไปยุ่ง
เทเลอัสเบี่ยงตัวหลบฝ่ามือของอาเดรียน่าที่พุ่งเข้ามาได้อย่างฉิวเฉียด พร้อมทั้งใช้มือของตนปัดป้องการโจมตีที่ต่อเนื่องมาอีกชุดใหญ่ จนเมื่อเห็นโอกาสเขาจึงขยับเท้าไปด้านข้าง ก่อนพลิกไปอยู่ด้านหลังของหญิงสาว แล้วสอดแขนของตัวเองเพื่อตรึงไหล่บางเอาไว้ แต่อาเดรียน่ากลับดิ้นหลุดอย่างง่ายดาย โดยการย่อตัวลงพร้อมกับดันตัวลอดใต้ขาของเทเลอัสที่ถูกกระชากตาม จนร่างกายสูงใหญ่นั้นเสียการควบคุม ก่อนจะถูกเหวี่ยงจนแผ่นหลังกระแทกเข้ากับพื้นดินอย่างแรง
“นางไม่ใช่แค่ผู้หญิงอ่อนแอไร้พิษสงแล้วล่ะ สู้เก่งกว่าข้าอีก”มีรอพส์เอ่ยอย่างตื่นตกใจ กลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอ พลางเหลือบมองซาลาคลอสเพื่อขอความเห็น แต่สิ่งที่ได้พบคือใบหน้าของหัวหน้าราชองครักษ์ที่กำลังยืนยิ้มกริ่ม ขณะพูดขึ้นอย่างร่าเริงไม่เข้ากับสถานการณ์ว่า
“ที่ผ่านมาเจ้าเคยเห็นเทเลอัสโดนผู้หญิงจับทุ่มแบบนี้เหรอ ดูและจดจำใส่สมองไว้เลยนะมีรอพส์ เพราะชั่วทั้งชีวิตนี้เจ้าอาจไม่ได้เห็นภาพหายากเช่นนี้อีกแล้วก็ได้”
จบคำพูดชวนอึ้งนั้น มีรอพส์ได้แต่มองตาค้าง ก่อนจะค่อยๆ หันไปมองการต่อสู่ที่ยังคงดำเนินต่อไป
พลัก!
คราวนี้ร่างบางที่ถูกจับกระแทกหน้าคว่ำลงพื้น ไหล่ขวาถูกมือหนากดไว้ขณะที่มือซ้ายถูกจับไพล่หลัง แรงที่ถูกส่งมานั้นมากมายจนอาจทำให้กระดูกคนตัวเล็กกว่าแหลกคามือ แต่หญิงสาวกลับไม่สนใจ พยายามดิ้นรนสุดฤทธิ์จนเทเลอัสต้องเป็นฝ่ายผ่อนแรงเสียเอง ด้วยเกรงจะส่งผลกระทบต่อดวงจิตเทพธิดาในร่างของหญิงสาว
“ตั้งสติแล้วเลิกบ้าเสียที!”ชายหนุ่มพูดเสียงกร้าว ดึงร่างของอาเดรียน่าให้ลุกขึ้นยืนแต่ยังคงจับไว้มั่น “ข้าไม่ได้ใจดีเหมือนลุงของข้ากับราชครูไบอัสหรอกนะ”
จบคำเตือนกลับกลายเป็นร่างสูงใหญ่ที่ถูกเตะกวาดข้อเท้าจนล้มหงายหลัง ในขณะที่อาเดรียน่าหลุดพ้นจากพันธนาการได้สำเร็จ
“ฮา.... ไม่คิดว่าจะได้เห็นเป็นครั้งที่สองเร็วขนาดนี้ บุญตาแท้ๆ”ซาลาคลอสว่า ดวงตาลุกวาวเป็นประกายวิบวับอย่างเห็นเป็นเรื่องสนุก ต่างจากลูกน้องคนสนิทของสหายที่ตอนนี้ยืนทำสีหน้าราวกับกำลังกลืนยาขมลงคอ
“ท่านคิดว่าคราวนี้...”มีรอพส์หันไปถาม ท่าทางสับสนคิดไม่ตก “ราชครูไบอัสจะหน้าแตกยับไหมขอรับ เพราะตลอดเวลาเขา --”
“มีรอพส์ระวัง!”
เสียงร้องเตือนของเทเลอัสทำให้สองคนดูข้างสนามต้องหันกลับไปมอง ซึ่งเป็นเสี้ยววินาทีเดียวกับที่ร่างของอาเดรียน่าทิ้งโค้งลงจากเบื้องบน แขนข้างขวาเอื้อมจนสุดและกระชากด้ามดาบออกจากตัวฝักที่เกี่ยวอยู่กับเข็มขัดของมีรอพส์ ซึ่งผู้เป็นเจ้าของถูกซาลาคลอสเหวี่ยงกระชากไปให้พ้นรัศมีการวาดวงดาบที่หมายจะปลิดชีวิตของพวกเขาได้อย่างฉิวเฉียด และก็เป็นเทเลอัสที่เข้ามาขวางไว้ ดาบสองเล่มจึงเข้าปะทะกัน
“ถ้ายังไม่เลิกอาละวาด ข้าจะเอาจริงล่ะนะ”
“หลีกไป!”หญิงสาวกระชากเสียงกลับ
เทเลอัสถอนหายใจ ดูท่าแล้วยังไงก็คงจะพูดกันไม่รู้เรื่อง “ถ้าอย่างนั้น...”เขาเกริ่น ปรายตามองตามเนื้อตัวของหญิงสาวที่เขามั่นใจว่า พรุ่งนี้เช้าคงได้มีรอยฟกซ้ำแทบจะทั่วทั้งตัว “ข้าคงต้องทุบเจ้าแรงๆ สักที”
แต่ฝ่ายชิงรุกลับเป็นอาเดรียน่าที่แทงทะลุแนวป้องกันจนปลายดาบพุ่งตรงอย่างมุ่งร้าย เกือบถึงบริเวณลิ้นปี่ของเทเลอัส หากแต่วินาที่ต่อมาดาบกลับพลาดเป้าหมายอย่างน่าเหลือเชื่อ นั่นเพราะเทเลอัสก้าวถอยหลังหนีได้อย่างรวดเร็ว พร้อมกับตวัดดาบของตนเพื่อเหวี่ยงดาบของหญิงสาวออก แล้วบีบบังคับให้อาเดรียน่าต้องถอยร่นกลายเป็นฝ่ายตั้งรับ เมื่อสบโอกาสจึงเบี่ยงตัวก้าวเท้าไปด้านหลัง ก่อนจะใช้สันฝ่ามือซ้ายฟาดลงไปบนต้นคอของอาเดรียน่าอย่างแรง จนซาลาคลอสและมีรอพส์ถึงกับสะดุ้งตาม
“ตั้งใจจะให้สลบหรือให้คอหักกันแน่”
มีรอพส์ว่า ยกมือขึ้นนวดต้นคออย่างนึกหวาดเสียว แต่แล้วก็ต้องตะลึงตาค้างอีกครั้ง เมื่อร่างของหญิงสาวที่น่าจะสลบไปเพราะถูกฟาดอย่างแรงกลับหันมาโจมตีใส่เทเลอัสได้อีกอย่างน่าอัศจรรย์
เทเลอัสเริ่มลุกไล่อย่างรุนแรงและรวดเร็วกว่าเดิม ไม่นานนักดาบในมือของอาเดรียน่าก็ลอยเคว้งห่างออกไป หญิงสาวพยายามจะสู้ต่อ แต่เทเลอัสไม่ยอมเปิดโอกาสให้ เขาพุ่งเข้าประชิดตัวพร้อมกับมือซ้ายซึ่งยกขึ้นจับไปที่ขมับแล้วผลักอย่างแรง จนร่างบางล้มหงายหลัง
ในช่วงเวลานั้น แสงสีขาวได้สว่างวาบขึ้นบนใบหน้างามอยู่ครู่สั้นๆ เมื่อแสงนั้นหายไป ก็เหลือเพียงแต่ร่างของอาเดรียน่าที่นอนหมดสติอยู่บนพื้น
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
ภายในบ้านของโอโดวาคาร์ หลายคนกำลังรอฟังข่าวอย่างกระวนกระวาย จนเมื่อเห็นเทเลอัสอุ้มร่างที่สลบไสลของอาเดรียน่ากลับเข้ามา ความตื่นตกใจก็เข้ามาแทนที่ สารพัดคำถามดังสะท้อนไปมาอยู่ในอากาศจนฟังไม่ได้ศัพท์ แต่ถึงจะฟังรู้เรื่องเทเลอัสก็ยังไม่มีอารมณ์จะตอบในตอนนี้
“ในเมื่อยังไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร หมดหน้าที่ของเจ้าแล้ว เดี๋ยวลุงจะให้แพทย์หลวงที่เป็นผู้หญิงจัดการต่อ”
เทเลอัสที่เพิ่งวางร่างของอาเดรียน่าลงบนเตียงในห้องนอนของนาง หันมามองผู้เป็นลุง “ตอนนี้ไม่ใช่หน้าที่ของพวกแพทย์หลวง”
คำพูดนั้นทำเอาบรรดาแพทย์หลวงที่เป็นหญิงสาวสองคนหยุดชะงัก ในขณะที่ดวงตาของโอโดวาคาร์เบิกกว้างจนเกือบถลน “อย่าบอกนะว่าเจ้าจะปลุกนางขึ้นมาสอบปากคำตอนนี้”
“ถ้าได้แบบนั้นก็ดี”
“เทเลอัส!”โอโดวาคาร์ตะโกนลั่นบ้านอย่างเหลือทน แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยต่อก็ถูกหลานชายชิงแทรกตัดบท
“แต่นางไม่มีทางฟื้นขึ้นมาในสองสามชั่วโมงนี้แน่ ที่สำคัญก็คือ ตอนนี้ไม่ใช่หน้าที่ของพวกแพทย์หลวง”
“ใช่สิ! นางได้รับบาดเจ็บกลับมา หนำซ้ำยังสลบไสลไม่ได้สติ”โอโดวาคาร์ยังยืนยันค้านเสียงแข็ง “หากไม่ใช่หน้าที่ของแพทย์หลวงแล้วจะเป็นหน้าที่ของใครกันเล่า”
“หน้าที่ของข้าเอง”เทเลอัสตอบเสียงเย็น ดวงตาเรียบเฉยไร้อารมณ์จนดูน่าขนลุก “ข้ารู้ว่านางเป็นอะไร ควรจะแก้ไขอย่างไร และมีเพียงข้าเท่านั้นที่ทำได้ ในขณะที่แพทย์หลวงทำไม่ได้”เขาเน้นประโยคหลัง จ้องมองโอโดวาคาร์ที่ดูเหมือนจะรับรู้ได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับหญิงสาว แล้วจึงหันไปคุยกับซาลาคลอส “ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า อาจจะหนักไปสักหน่อย แต่ตอนนี้ --”
“ข้ารู้แล้วน่า ทำส่วนของเจ้าไป ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”ซาลาคลอสที่เข้าใจสถานการณ์ต่างๆ ได้ดีบอก ก่อนจะเดินออกไปจากห้องในทันที
“ส่วนเจ้า”เทเลอัสหันไปสั่งกับมีรอพส์ต่อทันที “ตราบใดที่ข้ายังไม่ได้ออกไปจากห้องนี้ ห้ามให้ใครเข้ามาเด็ดขาด ต่อให้เป็นองค์กษัตริย์ก็เข้ามาไม่ได้”
มีรอพส์พยักหน้ารับอย่างตื่นๆ และถึงแม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจอะไรมากนัก แต่เมื่อสังเกตจากท่าทีเคร่งเครียดของผู้เป็นหัวหน้า เขาก็พอจะคาดเดาได้ว่าเหตุการณ์ในคืนนี้คงมีเบื้องหลังซับซ้อนมากกว่าที่เห็น และแน่นอนว่าเมื่อถึงพรุ่งนี้เช้า เรื่องนี้คงแพร่กระจายไปทั่วทั้งวังหลวง
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาก่อนหน้านี้ก็ตาม แต่เจ้ารู้ดีใช่ไหมว่าชีวิตของอาเดรียน่าสำคัญมากขนาดไหน
ก็เพราะรู้ไงข้าถึงได้ยั้งมือ
เทเลอัสได้แต่คิดในใจ ก่อนพยักหน้ารับกับโอโดวาคาร์ที่เดินเข้ามาคุยด้วยใกล้ๆ จนเมื่อสัญญาว่าจะพยายามจนสุดความสามารถเพื่อให้หญิงสาวปลอดภัย บรรดาแพทย์หลวงรวมทั้งมิลันโธก็ยอมอพยพออกไปจากห้องแต่โดยดี เทเลอัสจึงเริ่มต้นหน้าที่ของตน
เขาช้อนร่างบางขึ้นมาแล้วจับพลิกให้นอนคว่ำ สองมือจับที่คอเสื้อแล้วฉีกออกลึกไปจนถึงเอว เผยให้เห็นแผ่นหลังขาวเนียน ซึ่งบนนั้นมีรายเส้นสีดำเป็นรูปมนุษย์เพศชายวาดอยู่เต็มแผ่นหลัง ดวงตาสีแดงก่ำที่หรี่ปรือนั้นกำลังพยายามกระเสือกกระสนเพื่อลืมขึ้นอีกครั้ง
“อย่าหวังว่าข้าจะให้โอกาสเป็นครั้งที่สองกับท่านเลย ราชครูแห่งกอรินธ์”
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
อาเดรียน่าลืมตาขึ้นในสายของวันต่อมาอย่างอ่อนเพลียและง่วงงุน รู้สึกราวกับร่างกายกำลังส่งเสียงร้องประท้วงโอดโอยอย่างเจ็บปวด โดยเฉพาะบริเวณหลังต้นคอที่ปวดระบมอย่างไม่ทราบสาเหตุ หญิงสาวครางเบาๆ ค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นกึ่งนั่งกึ่งนอน โดยมีมิลันโธที่คอยงเฝ้าอยู่ไม่ห่างช่วยอีกแรง
“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าค่ะ ยังเจ็บมากไหม”
“อืม...”อาเดรียน่าขานรับเสียงแผ่วผ่านลำคอ เรี่ยวแรงแทบไม่มีเหลือหมดราวกับถูกสูบออกไปจากร่างจนหมด แต่ถึงกระนั้นสมองของนางก็ยังคงทำงานได้ดี จึงรู้สึกสะดุดกับคำถามของสาวใช้ อีกทั้งสังเกตได้ว่าตามเนื้อตัวมีร่องรอยฟกซ้ำหลายที่ เห็นครั้งแรกก็อยากจะตกใจอยู่หรอก แต่สภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวยให้ออกฤทธิ์เอาเสียเลย “เกิดอะไรขึ้น...กับข้าเหรอ”
ใบหน้าของมิลันโธเจื่อนลง ถึงจะเตรียมใจไว้แล้วว่าต้องถูกถามเรื่องนี้เป็นแน่ แต่ก็ไม่คิดว่าหญิงสาวตรงหน้าจะเอ่ยปากเร็วขนาดนี้
“นางอยากรู้อะไร จงเล่าไปตามความจริงทั้งหมด เพราะหากปิดบังแล้วมารับรู้ทีหลัง ข้ามั่นใจอย่างสุดชีวิตว่าคนดีของเจ้าได้อาละวาดจนบ้านแทบแตกแน่”
มิลันโธนึกย้อนไปถึงคำพูดของเสนาบดีกลาโหมที่ย้ำหนักหนาว่าให้ตนพูดความจริง ดังนั้นนางจึงเริ่มต้นถ่ายทอดเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนออกไป ซึ่งตลอดระยะเวลาหลายนาที ใบหน้าที่ซูบซีดของอาเดรียน่านั้นยิ่งขาวซีดลงอย่างน่าวิตก ดวงตาสีเทามีแววตื่นตกใจและหวาดกลัว ริมฝีปากบางสั่นระริกอย่างควบคุมไม่ได้ จนมิลันโธรู้สึกสงสารจับใจ
“หลังจากมั่นใจว่าท่านปลอดภัยแล้ว ท่านเสนาฯ กลาโหมก็กลับไปเจ้าค่ะ”สาวใช้จบการเล่าเรื่องลงในที่สุด
อาเดรียน่ากอดเข่าตัวกลม ใบหน้าซุกต่ำลงในขณะที่ร่างบางสั่นน้อยๆ อย่างขวัญเสีย “ข้าเป็นอะไร ทำไม...ทำไมต้องเป็นข้าอีกแล้ว”เสียงของนางสั่นเครือ รู้สึกขอบตาร้อนผ่าวในขณะที่หยาดน้ำใสๆ พยายามจะไหลออกมา แต่หญิงสาวก็ฝืนไว้อย่างสุดกำลัง เนื่องด้วยรู้ดีว่าน้ำตาจะยิ่งทำให้ตนอ่อนแอลงมากแค่ไหน ซึ่งไม่ได้ส่งผลดีกับตัวเองเลยสักนิด
“ไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ ปลอดภัยแล้ว” มิลันโธต้องรีบเข้ามาโอบประคองพร้อมเอ่ยปลอบ “จะไม่มีใครทำร้ายท่านได้อีก”
“ไม่มีใครตายใช่ไหม ข้าไม่ได้...ฆ่าใคร...ใช่ไหม”
มิลันโธส่ายหน้าให้กับหญิงสาวที่กำลังเขย่ามือของนางอย่างแรง ใบหน้าหวานนั้นเต็มไปด้วยความวิตกกังวลจนแทบคลั่ง
“ไม่ร้ายแรงถึงขั้นนั้นหรอกเจ้าค่ะ มีแค่ทหารไม่กี่รายที่บาดเจ็บเล็กน้อย”
“ซึ่งข้าเป็นคนทำ...ข้าทำเรื่องเลวร้ายเช่นนั้นไปได้ยังไง!”
“เพราะท่านไม่ได้เป็นคนทำไงเจ้าค่ะ”มิลันโธบอกกับหญิงสาวที่ยังคงเอาแต่พร่ำโทษตัวเอง “ถึงข้าจะไม่ค่อยรู้ตื้นลึกหนาบางของเรื่องนี้มากนัก แต่ท่านเสนาฯ กลาโหมฝากให้ข้ามาบอกย้ำกับท่านว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ท่านทำไปโดยไม่รู้ตัว ร่างกายถูกควบคุม เหมือนกับหุ่นไร้ชีวิตที่ถูกเชิด”
ได้ฟังดังนั้นอาเดรียน่าถึงกับหมดแรง ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อยนิดและได้แค่คิดตัดพ้ออยู่ในใจ -- ทำไมต้องเป็นตัวเองอีกจนได้ ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ชีวิตนี้ยังซวยซ้ำซากไม่พออีกหรือยังไง
หญิงสาวก้มหน้างุด มองชายกระโปรงชุดนอนของตัวเองอยู่เนิ่นนานอย่างเหม่อลอย ก่อนจะค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นความงงงันและสงสัยในท้ายที่สุด
“ทำไมข้าถึงใส่ชุดนอนตัวนี้”นางเอ่ยขึ้นช้าๆ ก็เมื่อคืนก่อนจะเข้านอนจำได้ว่าตนใส่ชุดสีฟ้าอ่อน แล้วทำไมถึงได้กลายเป็นสีเขียวจางๆ ไปได้
มิลันโธนั่งตัวแข็งค้างเป็นหินแทบจะทันทีหลังได้ยินคำถามนั้น แทบจะกลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอ ขณะที่ดวงตาคู่งามของหญิงสาวบนเตียงหันมาจับจ้องขอคำตอบ
“แหม...ก็เนื้อตัวท่านขมุขมอมไปหมด มีแต่เศษหญ้าเศษดิน ข้าก็ต้องเช็ดเนื้อเช็ดตัวเปลี่ยนชุดใหม่ให้สิเจ้าค่ะ จะปล่อยให้ท่านนอนไปทั้งที่มอมๆ แบบนั้นไปได้อย่างไร”
สาวใช้บอกความจริงเพียงแค่บางส่วนออกไปเท่านั้น จะให้พูดทั้งหมดออกไปได้อย่างไรว่าเสนาบดีกลาโหมเล่นฉีกเสื้อตัวเก่าออกเพราะต้องช่วยถอนมนต์สะกดที่อยู่กลางแผ่นหลังของหญิงสาว มิลันโธยังจำภาพนั้นได้ติดตา นางถูกเรียกตัวเข้ามาในห้องนี้เพียงลำพังเมื่อใกล้รุ่งสาง และทันทีที่เห็นแผ่นหลังขาวเนียรไร้แพรพรรณปกปิดนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง นางก็หลุดร้องอุทานออกมาเบาๆ อย่างตื่นตกใจ ดวงตาแลเลยไปยังเสนาบดีกลาโหมอย่างสื่อความหมายชัดเจน ทำเอาชายหนุ่มที่มักนิ่งเสมอออกอาการหน้าตึง หันมาส่งนัยน์ตาดุแสนดุ พร้อมทั้งอธิบายถึงที่มาที่ไปทั้งหมด
เพิ่งเคยเห็นท่านเทเลอัสพูดยาวเหยียดจนแทบไม่มีช่องเว้นวรรคก็เมื่อคืนนี้ล่ะ!
ทางด้านอาเดรียน่าที่ไม่ได้ติดใจสงสัยกับคำตอบนั้น กลับไปจมอยู่กับความกังวลใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นมาอีกข้อ เพราะถึงแม้เทเลอัสจะพูดเองก็เถอะว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น นางทำไปโดยไม่รู้สึกตัวและถูกกระทำราวกับเป็นหุ่นเชิด แต่เขาจะยอมเชื่อหรอกหรือว่านางตกเป็นเหยื่อ คนแบบนั้นมีแต่จะเชื่อฝังหัวว่าทั้งหมดนั่นคือแผนการที่แท้จริงของนางล่ะสิไม่ว่า
แล้วแบบนี้มิต้องถูกจับโยนกลับเข้าไปอยู่ในคุกนั่นอีกหรอกเหรอ!
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
“เวทย์หุ่นเชิด!”
ราชครูไบอัสเอ่ยทวนประโยคอย่างตื่นตกใจ หลักจากได้ฟังคำบอกเล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อคืนจากซาลาคลอส โดยมีมหาเสนาบดีลาร์โก้ รวมถึงบิดาของเทเลอัสซึ่งถูกเรียกให้มาเข้าเฝ้าเจ้าชายรัชทายาทให้ห้องทรงอักษรของพระองค์
“ทั้งเล่นแรง เจ้าเล่ห์ แบบนี้ฝีมือราชครูบาซิลแน่นอน”ราชครูไบอัสเอ่ยถึงคู่ปรับตลอดกาล นัยน์ตาสีเทาขุ่นมัวราวกับควันไฟเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธ
“เทเลอัสก็มั่นใจว่าเป็นฝีมือเขา”
เสนาบดีลาร์โก้สะดุ้ง หันมองซาลาคลอสอย่างรวดเร็ว “เช่นนั้นเราก็เท่ากับว่าเราถูกแคว้นกอรินธิ์หยามน่ะสิ หลายครั้งแล้วที่พวกนั้นส่งสายลับเข้ามาสร้างความวุ่นวายภายในเขตวังหลวง ซึ่งทางเราไม่สามารถจับตัวคนเหล่านั้นได้เลย แล้วนี่...เทเลอัสล่ะ หายไปไหน”เขาจบประโยคด้วยคำถาม พลางมองหัวหน้าราชองครักษ์ที่กำลังยิ้มน้อยๆ
“ใช่ว่าเราจะไม่ได้ส่งสายลับเข้าไปในกอรินธิ์หรอกนะ ท่านมหาเสนาฯ ท่านน่าจะรู้ดีว่าเทเลอัสเป็นคนแบบไหน เอ่อ แล้วตอนนี้เขาขอตัวไปพักผ่อนสักหน่อย หมดแรงไปเยอะขอรับ เพราะเมื่อคืนหักโหมเสียจนเกือบค่อนสว่าง”
“ท่านเองก็ด้วยมิใช่รึ”บารอนมิลานิออนเอ่ย มองตรงไปยังซาลาคลอส “ต้องการม่านพลังใหญ่ขนาดนั้น หนำซ้ำยังนานหลายชั่วโมง”
“แค่ใช่เวทย์ป้องกัน ถึงจะนานแต่ก็ไม่เหนื่อยอย่างเทเลอัสที่เป็นผู้ทำลายเวทย์”
บารอนมิลานิออนพยักหน้ารับช้าๆ ก่อนจะแลเลยไปยังเจ้าชายเมสเตอร์ที่ประทับอยู่หลังโต๊ะทรงอักษร พระพักตร์เต็มไปด้วยความห่วงกังวล
“ท่านราชครู”ทรงมีรับสั่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฟังรายงานทั้งหมดของซาลาคลอส “ข้าอยากฟังความเห็นของท่านที่มีต่อหญิงสาวคนนั้น ว่าในตอนนี้ท่านยังเชื่อมั่นในตัวนางเหมือนเดิมหรือเปล่า”
“กระหม่อมแน่ใจมาได้สักพักแล้ว ว่าอาเดรียน่าเป็นเพียงบุคคลธรรมดาที่จับพลัดจับผลูเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องผลึกเทพธิดาโดยบังเอิญ ไม่ใช่สายลับของกอรินธิ์อย่างแน่นอน”ราชครูยังคงยืนยันความคิดเดิมของตนอย่างเชื่อมั่น
“ข้าเองก็ค่อนข้างแน่ใจว่านางไม่ใช่สายลับของกอรินธิ์ แต่...”บารอนมิลานิออนเอ่ยเรื่องที่เขาตั้งข้อสังเกตมานาน เพียงแต่ยังไม่เคยเอ่ยถามเท่านั้น “คนที่ไม่เคยมาเมืองหลวง แต่สามารถเข้ามายังพระราชฐานฝ่ายในได้แบบไม่หลงทิศทาง หนำซ้ำยังมาตอนกลางดึกในคืนที่เกิดเรื่อง และยังอยู่ในจุดที่วุ่นวายที่สุด จนนางกลายเป็นศูนย์กลางของเรื่องนี้ ท่านว่าเรื่องต่างๆ จะประจวบเหมาะแค่คำว่า...บังเอิญรึ”
ราชครูไบอัสถอนหายใจยาว ใช่ว่าเขาจะไม่คิดเสียที่ไหน “นางมีแผนที่”เขาบอกเรื่องที่ได้รับฟังมาจากเทเลอัส “เทเลอัสได้มาจากตัวอาเดรียน่าระหว่างที่กำลังสอบปากคำ นางว่าได้มาจากเพื่อนที่เป็นลูกสาวหัวหน้ากองคาราวานสินค้า ที่นางขออาศัยเดินทางมาด้วยจากเมืองทีจียา”
“แล้วท่านได้ถามเรื่องนี้กับลูกสาวหัวหน้ากองคาราวานหรือเปล่า”
“เทเลอัสส่งลูกน้องไปสืบข่าวเรื่องนี้แล้วขอรับ”ซาลาคลอสเป็นฝ่ายตอบ เพราะรู้ว่าราชครูยังไม่ได้รับรายงานเรื่องนี้จากเทเลอัส “เราทราบแค่ว่าอาเดรียน่าเป็นเพื่อนกับลูกสาวของเขาจริงและขออาศัยมากับกองคาราวานสินค้า ส่วนเรื่องแผนที่ยังไม่ทราบ เพราะไม่เจอตัวลูกสาว”
“ถ้าอย่างนั้นเรื่องที่ว่าบ้านเกิดนางอยู่ที่ทีจียาก็เป็นเรื่องจริง”
“พ่ะย่ะค่ะ”เสนาบดีลาร์โก้ทูลตอบรับสั่งของเจ้าชาย “เทเลอัสสืบเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกๆ เลยทีเดียว อาเดรียน่าเกิดและใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองทีจียามาตลอด รวมทั้งเรื่องที่ว่าทางบ้านของนางรับเลี้ยงเด็กผู้หญิงกำพร้าไว้อีกหนึ่งคน ซึ่งเป็นคนเดียวกันกับที่อาเดรียน่าอ้างว่าได้หายตัวไปจากบ้านมาหลายปีเพราะมาทำงานอยู่ในวังหลวง นางจึงตามมาที่นี่จนเกิดเรื่อง”
“แล้วคนที่นางตามหา...”
“เห็นว่าชื่อซีนาร์พ่ะย่ะค่ะ อาเดรียน่ากำลังพยายามสืบหาจากคนในวังหลวง แต่ก็ยังไม่ได้ข่าวอะไรเพิ่ม เท่าที่รู้ตอนนี้ ยังไม่มีใครคนไหนที่รู้จักซีนาร์”ซาลาคลอสทูลตอบ
เจ้าชายถอนพระทัย เอนองค์พิงพนักเก้าอี้ไม้ที่ทรงประทับอยู่ “ก็เพราะเรื่องราวที่ไม่กระจ่างชัดเช่นนี้อย่างไรเล่า เทเลอัสถึงยังได้ปักใจเชื่อว่านางอาจเป็นสายลับของแคว้นกอรินธิ์ แล้ว...”ทรงทอดพระเนตรไปยังหัวหน้าราชองครักษ์ “ตอนนี้ความเชื่อของเขาที่มีต่ออาเดรียน่า ยังมากเท่าเดิมหรือเปล่า”
คนถูกถามทำสีหน้าครุ่นคิด “เมื่อเช้าเขาบอกว่า ทั้งหมดที่อาเดรียน่ากระทำลงไปเมื่อคืนเกิดจากเวทย์หุ่นเชิด นางไม่มีสติเป็นของตัวเอง รวมถึงไม่รับรู้เลยสักนิดว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง”เขาทูลตอบไปตามที่เทเลอัสพูดไว้เมื่อก่อนรุ่งสาง
“เขาพูดหรือเปล่าว่าไม่ใช่ความผิดของนาง”
“ไม่ได้พูดถึงเลยพ่ะย่ะค่ะ”ซาลาคลอสปฏิเสธ “หลังจากทำลายเวทย์หุ่นเชิด เทเลอัสแค่เรียกสาวใช้มาสั่งว่าให้คอยดูแลอาเดรียน่าอย่างใกล้ชิด และสั่งกับมีรอพส์ให้เพิ่มเวรยามขึ้นอีกสองเท่า แล้วก็ขอตัวกลับไปพักผ่อน”
“กระหม่อมว่าช่วงนี้เจ้าชายอย่าไปรับสั่งถามหรือขอความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องอาเดรียน่าจากเทเลอัสเลยพ่ะย่ะค่ะ”คำพูดของบารอนมิลานิออน เรียกให้ดวงตาทั้งสี่คู่หันมาจับจ้องเขาอย่างงงงัน “สองเดือนที่ผ่านมาเขาทำงานหนักจนแทบไม่ได้พัก โดยเฉพาะสมอง ดังนั้นในตอนนี้กระบวนการคิดเพื่อหาเหตุผลเลยค่อนข้างรวนไปบ้างนิดหน่อย”
ซาลาคลอสแอบยิ้ม นึกชมบารอนมิลานิออนอยู่ในใจ นี่ขนาดไม่ค่อยได้เจอหน้ากันสักเท่าไร ยังดูออกว่าลูกชายกำลังอยู่ในช่วงมีปัญหากับเหตุผลของตัวเอง
แม้จะฟังคำอธิบายนั้น แต่พระพักตร์ของเจ้าชายก็ยังคงมุ่นฉงน เช่นเดียวกับมหาเสนาบดีและราชครู พระองค์นิ่งรอให้บารอนมิลานิออนกล่าวขยายความต่ออยู่ครู่สั้นๆ จนแน่พระทัยแล้วว่าท่านบารอนคงไม่อธิบายต่อ ครั้งจะรบเร้าไปก็ไม่สมควร จึงตัดพระทัย แล้วตรัสถามเรื่องของอาเดรียน่าต่อ
“แล้วเวทย์หุ่นเชิดที่ว่าจะมีผลกระทบต่อร่างกายหรือจิตใจนางในภายภาคหน้าหรือเปล่า”
“เมื่อทำลายเวทย์บทนี้ลงได้ก็จะไม่มีผลใดๆ อีกต่อไปพ่ะย่ะค่ะ”ราชครูทูลตอบ “จากรายงานของคณะแพทย์หลวง ผลตรวจร่างกายของอาเดรียน่านั้นระบุว่าตอนนี้นางแข็งแรงดีทุกประการ”
“แล้วเรื่องดึงดวงจิตเทพธิดา”
“ที่พอจะเป็นไปได้มีอยู่สองถึงสามวิธี ซึ่งกระหม่อมต้องขอเวลาคิดไตร่ตรองให้รอบคอบอีกสักนิด เพราะหากผิดพลาด ดวงจิตเทพธิดาอาจจะหลุดลอยไร้ที่สถิต”
พระขนงเจ้าชายขมวดมุ่นทันที “ไหนท่านเคยบอกว่าถ้าเกิดความผิดพลาด ดวงจิตเทพธิดาอาจดับสูญ”
“ในตอนแรกกระหม่อมเองก็เข้าใจเช่นนั้น แต่ตลอดสองเดือนที่ผ่านมาหลังค้นคว้าข้อมูลมาศึกษาอย่างละเอียดอีกครั้ง จึงได้พบข้อเท็จจริงที่น่าตกใจอยู่หลายข้อพ่ะย่ะค่ะ”ราชครูทูลตอบ “ดวงจิตเทพธิดาผูกพันอยู่กับพันธะสัญญาที่ว่าจะขอเป็นข้ารับใช้เทพนูร์ แต่ทว่าเมื่อหลายพันปีก่อนผู้เป็นนายอย่างเทพนูร์ได้สิ้นลงในสงครามเทวฑูตไปเสียก่อน จึงยังไม่ได้ปลอดปล่อยพันธะนั้น”
“เพราะสาเหตุนี้ ดวงจิตของเทพธิดาถึงต้องติดแหง็กอยู่อย่างนี้ ไปสู่ชาติภพใหม่ไม่ได้ ดับสูญก็ไม่ได้...อย่างนั้นเหรอท่านราชครู”มหาเสนาบดีร้องถาม ดวงตาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายพนักหน้ารับตอบกลับมา
“ถึงแม้กายทิพย์จะสูญสลายไปแล้ว แต่ดวงจิตก็ยังต้องอยู่รับใช้ทายาทสายตรงของเทพนูร์ต่อไป หนทางเดียวที่จะไปสู่ชาติภพใหม่หรือกลับไปสู่ดินแดนของทวยเทพ คือต้องรอให้เทพนูร์กลับมาจุติใหม่และกล่าวปลดปล่อยพันธะสัญญานั้น”
ต้องทนอยู่อย่างเปลี่ยวเหงา เบื่อหน่ายต่อโลกและผู้คน แม้อยากตายก็ตายไม่ได้ -- ซาลาคลอสลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพียงแค่คิดเขาก็อึดอัดจนแทบบ้า แล้วเทพธิดาที่ต้องอยู่มาหลายพันปีนั่นเล่า ป่านนี้ไม่กลายเป็นเทพเฉยชาไร้ความรู้สึกไปแล้วรึ
“หลุดลอย...ไร้ที่สถิต”บารอนมิลานิออนเอ่ย หลังจากที่คิดทบทวนคำพูดประโยคนั้นอย่างสงสัยอยู่นาน “ดวงจิตเทพธิดาไม่สามารถอาศัยอยู่ในร่างกายมนุษย์หรือผลึกแก้วได้อีกแล้วรึ”เขามองราชครูไบอัสเพื่อขอคำตอบ
“ถ้าเป็นร่างของมนุษย์ล่ะก็ คนๆ นั้นต้องมีคุณสมบัติเหมือนกับอาเดรียน่า”
“ยังไง”ท่านบารอนถามต่อ
ราชครูถอนหายใจ “บอกตามตรงว่าข้าก็ไม่รู้”เสียงร้องอุทานอย่างงุนงงดังขึ้นทันทีหลังได้ยินคำตอบนั้น “เรื่องนี้คงมีแต่องค์เทพธิดาเท่านั้นที่จะตอบได้ ส่วนเรื่องผลึกแก้วนั้นจะต้องสร้างให้เหมือนกับของเดิมซึ่งไม่ใช่เรื่องยาก แต่ข้อสำคัญอยู่ที่ขั้นตอนสุดท้ายที่ต้องอัญเชิญพลังของเทพองค์ใดองค์หนึ่งในคณะเทพแฟงกอร์นเพื่อปิดผนึก หากทำไม่สำเร็จ ดวงจิตเทพธิดาก็จะไม่สามารถสถิตอยู่กับผลึก กลายเป็นจิตวิญญาณเทพเร่ร่อนไร้พลังอำนาจ และอาเดรียน่าอาจจะต้องตายด้วย”
ภายในห้องทรงอักษรเงียบงันลงแทบจะทันทีหลังจบคำพูดของราชครูไบอัส จนกระทั่งครู่ใหญ่ต่อมา เมื่อซาลาคลอสเอ่ยคำถามขึ้นอีกครั้ง
“แล้วทางแคว้นกอรินธ์จะรู้เรื่องนี้ไหมขอรับ”เขามองราชครูที่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ในขณะที่พระพักตร์ของเจ้าชายรัชทายาทเรียบตึงจนน่าหวั่นเกรง
“เรารู้อะไรทางนั้นก็น่าจะรู้เช่นกัน”
ทรงรับสั่ง และทุกคนก็เข้าใจถึงความหมายนั่นได้ดี เนื่องด้วยแต่เดิมเซเพรัสและกอรินธ์คือแคว้นเดียวกัน แต่มาแบ่งแยกออกด้วยสงครามเมื่อหลายร้อยปีก่อน แต่ผลึกเทพธิดายังคงอยู่กับแคว้นเซเพรัส นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แคว้นกอรินธ์ก็ตั้งหน้าตั้งตาแย่งชิงผลึกเทพธิดาไปให้ได้ ด้วยคิดว่าพวกเขาก็มีสิทธิ์ในสิ่งวิเศษนี้เช่นกัน
“โชคดีที่ผลึกเทพธิดาถูกถอดออกจากคทาของเทพไอซีสก่อนจะตกทอดมายังมนุษย์ ไม่อย่างนั้นล่ะก็...”ท่านราชครูจบประโยคด้วยใบหน้านิ่วคิ้วขมวด ส่ายศีรษะไปมาช้าๆ
“ราชครู”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าเข้าใจนะว่าท่านต้องการศึกษาข้อมูลให้ละเอียดรอบคอบมากยิ่งขึ้น แต่ท่านช่วยเร่งสักหน่อยจะได้ไหม”เจ้าชายเมสเตอร์รับสั่ง พระเนตรอันเคร่งเครียดนั้นจับจ้องไปยังราชครูไบอัส ที่หัวคิ้วกำลังขมวดเข้าหากันเล็กน้อย “ข้ากลัวใจกษัตริย์กอรินธ์ เพราะเขาไม่ใช่คนที่มีความอดทนสูงกับความผิดหวังซ้ำซาก ยิ่งปล่อยให้เวลาผ่านไปนาน อาเดรียน่าจะยิ่งไม่ปลอดภัย -- ท่านเข้าใจดีใช่ไหม”
ราชครูโน้มศีรษะลงต่ำรับคำสั่งนั้นอย่างไม่มีทางเลือก พลางอดคิดไม่ได้ว่าหากจะต้องเร่งกำหนดการจากที่เคยตั้งใจไว้ เห็นทีคราวนี้คงจะเหนื่อยหนักเอาการ และคนที่รับหน้าที่สำคัญที่สุดก็คงหนีไม่พ้นเสนาบดีกลาโหมเช่นเคย
******************************
ไม่นานหลังจากนั้น เท้าทั้งสองของซาลาคลอสมีอันต้องหยุดชะงักลงอย่างกะทันหัน ขณะที่ดวงตากำลังจ้องมองร่างของคนสองคนที่กำลังยืนประจันหน้ากันอยู่ภายใต้แสงจันทร์ ซึ่งทำให้ซาลาคลอสถึงกับอ้าปากค้างด้วยความสงสัยและงุนงง
“เอ่อ คือว่า...นี่มันเกิด...อะไรขึ้น”
“เจ้าอยู่ตรงนั้นล่ะซาลาคลอส ไม่ต้องเข้ามา ข้าจัดการเอง”
“จัดการ!?”ซาลาคลอสถลึงตามองเทเลอัสที่ยืนหันหลังให้ตน กับอาเดรียน่าที่ยืนนิ่ง ใบหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ คำพูดนั้นไม่ได้ช่วยให้ความสงสัยของเขาพบกับความกระจ่างเลยสักนิด และดูเหมือนทั้งเทเลอัสและอาเดรียน่าก็ไม่ต้องการอธิบายเพิ่มเติมกับเขาด้วย
นัยน์ตาสีน้ำทะเลของเทเลอัสจับจ้องไปยังร่างของหญิงสาวที่เขาเห็นนางเล็ดลอดปีนออกมาจากหน้าต่างห้องนอนของตนเอง และใช้สันมือข้างขวาฟาดลงไปบนต้นคอของลูกน้องรายหนึ่งของเทเลอัสซึ่งรับหน้าที่อยู่เวรรอบตัวบ้านของโอโดวาคาร์ แรงฟาดนั้นรุนแรงมากพอที่จะส่งผู้ชายตัวโตๆ คนหนึ่งให้หมดสติไปได้ในทันที
“กลับไปนอนซะ แล้วข้าจะแกล้งทำเป็นปิดหูปิดตาให้ข้างหนึ่ง”เทเลอัสบอกกับหญิงสาวที่ส่ายหน้าปฏิเสธช้าๆ
“ข้าต้องไป”อาเดรียน่าเอ่ยเสียงแผ่วเนิบช้า สีหน้ายังคงราบเรียบไร้อารมณ์เช่นเคย “ต้องไป”
“ทำไม”
“ราชครูบาซิลสั่ง”
คิ้วของเทเลอัสเลิกสูงขึ้นข้างเล็กน้อย “ไหนว่าไม่เคยรู้จักกันไง”สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงความเงียบและสีหน้าที่ยังคงว่างเปล่า ชายหนุ่มจึงถามต่อ “แล้วทำไมต้องเชื่อ”
“ข้าต้องไป”
“แต่ข้าไม่ให้ไป อย่าลืมสิว่าเจ้ายังเป็นนักโทษของข้า”
ความเงียบในยามดึกเริ่มแผ่ขยายตัวออกเป็นวงกว้างเมื่อการสนทนาหยุดลง ร่างของคนทั้งสองหยุดนิ่งไม่ไหวติงราวกับรูปสลักหิน จะมีก็แต่เพียงซาลาคลอสที่หันซ้ายหันขวาพยายามกระเสือกกระสนหาคำตอบให้ตัวเอง
แล้วก็เป็นฝ่ายหญิงสาวที่เอ่ยทำลายความเงียบ “หลีกไปให้พ้นทาง”
“ขอปฏิเสธ”เทเลอัสตัดบท “และข้าจะพาเจ้ากลับไปนอนด้วย”
อาเดรียน่าเริ่มขยับตัวพร้อมพูดเสียงหวานแผ่ว “งั้นก็จง...ตายซะ”
ซาลาคลอสอุทานเสียงหลง ขณะมองร่างของเทเลอัสและอาเดรียน่าพุ่งเข้าใส่กัน การต่อสู้ที่ไม่น่าเกิดขึ้นได้ก็เริ่มต้น
“สรุปว่าที่ท่านหัวหน้าพูดมาตลอดคือเรื่องที่ถูกต้อง นางเป็นสายลับของกอรินธ์ ใช่ไหม! ท่านหัวหน้าราชองครักษ์”
ซาลาคลอสหันไปมองมีรอพส์ที่โผล่มาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ และกำลังยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความตกใจมึนงง เช่นเดียวกันกับตน
“สารภาพตามตรง ตอนนี้ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องไหนจริงเรื่องไหนเท็จ”ซาลาคลอสตอบ ก่อนหันไปยังการต่อสู้ที่ตนถูกห้ามไม่ให้เข้าไปยุ่ง
เทเลอัสเบี่ยงตัวหลบฝ่ามือของอาเดรียน่าที่พุ่งเข้ามาได้อย่างฉิวเฉียด พร้อมทั้งใช้มือของตนปัดป้องการโจมตีที่ต่อเนื่องมาอีกชุดใหญ่ จนเมื่อเห็นโอกาสเขาจึงขยับเท้าไปด้านข้าง ก่อนพลิกไปอยู่ด้านหลังของหญิงสาว แล้วสอดแขนของตัวเองเพื่อตรึงไหล่บางเอาไว้ แต่อาเดรียน่ากลับดิ้นหลุดอย่างง่ายดาย โดยการย่อตัวลงพร้อมกับดันตัวลอดใต้ขาของเทเลอัสที่ถูกกระชากตาม จนร่างกายสูงใหญ่นั้นเสียการควบคุม ก่อนจะถูกเหวี่ยงจนแผ่นหลังกระแทกเข้ากับพื้นดินอย่างแรง
“นางไม่ใช่แค่ผู้หญิงอ่อนแอไร้พิษสงแล้วล่ะ สู้เก่งกว่าข้าอีก”มีรอพส์เอ่ยอย่างตื่นตกใจ กลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอ พลางเหลือบมองซาลาคลอสเพื่อขอความเห็น แต่สิ่งที่ได้พบคือใบหน้าของหัวหน้าราชองครักษ์ที่กำลังยืนยิ้มกริ่ม ขณะพูดขึ้นอย่างร่าเริงไม่เข้ากับสถานการณ์ว่า
“ที่ผ่านมาเจ้าเคยเห็นเทเลอัสโดนผู้หญิงจับทุ่มแบบนี้เหรอ ดูและจดจำใส่สมองไว้เลยนะมีรอพส์ เพราะชั่วทั้งชีวิตนี้เจ้าอาจไม่ได้เห็นภาพหายากเช่นนี้อีกแล้วก็ได้”
จบคำพูดชวนอึ้งนั้น มีรอพส์ได้แต่มองตาค้าง ก่อนจะค่อยๆ หันไปมองการต่อสู่ที่ยังคงดำเนินต่อไป
พลัก!
คราวนี้ร่างบางที่ถูกจับกระแทกหน้าคว่ำลงพื้น ไหล่ขวาถูกมือหนากดไว้ขณะที่มือซ้ายถูกจับไพล่หลัง แรงที่ถูกส่งมานั้นมากมายจนอาจทำให้กระดูกคนตัวเล็กกว่าแหลกคามือ แต่หญิงสาวกลับไม่สนใจ พยายามดิ้นรนสุดฤทธิ์จนเทเลอัสต้องเป็นฝ่ายผ่อนแรงเสียเอง ด้วยเกรงจะส่งผลกระทบต่อดวงจิตเทพธิดาในร่างของหญิงสาว
“ตั้งสติแล้วเลิกบ้าเสียที!”ชายหนุ่มพูดเสียงกร้าว ดึงร่างของอาเดรียน่าให้ลุกขึ้นยืนแต่ยังคงจับไว้มั่น “ข้าไม่ได้ใจดีเหมือนลุงของข้ากับราชครูไบอัสหรอกนะ”
จบคำเตือนกลับกลายเป็นร่างสูงใหญ่ที่ถูกเตะกวาดข้อเท้าจนล้มหงายหลัง ในขณะที่อาเดรียน่าหลุดพ้นจากพันธนาการได้สำเร็จ
“ฮา.... ไม่คิดว่าจะได้เห็นเป็นครั้งที่สองเร็วขนาดนี้ บุญตาแท้ๆ”ซาลาคลอสว่า ดวงตาลุกวาวเป็นประกายวิบวับอย่างเห็นเป็นเรื่องสนุก ต่างจากลูกน้องคนสนิทของสหายที่ตอนนี้ยืนทำสีหน้าราวกับกำลังกลืนยาขมลงคอ
“ท่านคิดว่าคราวนี้...”มีรอพส์หันไปถาม ท่าทางสับสนคิดไม่ตก “ราชครูไบอัสจะหน้าแตกยับไหมขอรับ เพราะตลอดเวลาเขา --”
“มีรอพส์ระวัง!”
เสียงร้องเตือนของเทเลอัสทำให้สองคนดูข้างสนามต้องหันกลับไปมอง ซึ่งเป็นเสี้ยววินาทีเดียวกับที่ร่างของอาเดรียน่าทิ้งโค้งลงจากเบื้องบน แขนข้างขวาเอื้อมจนสุดและกระชากด้ามดาบออกจากตัวฝักที่เกี่ยวอยู่กับเข็มขัดของมีรอพส์ ซึ่งผู้เป็นเจ้าของถูกซาลาคลอสเหวี่ยงกระชากไปให้พ้นรัศมีการวาดวงดาบที่หมายจะปลิดชีวิตของพวกเขาได้อย่างฉิวเฉียด และก็เป็นเทเลอัสที่เข้ามาขวางไว้ ดาบสองเล่มจึงเข้าปะทะกัน
“ถ้ายังไม่เลิกอาละวาด ข้าจะเอาจริงล่ะนะ”
“หลีกไป!”หญิงสาวกระชากเสียงกลับ
เทเลอัสถอนหายใจ ดูท่าแล้วยังไงก็คงจะพูดกันไม่รู้เรื่อง “ถ้าอย่างนั้น...”เขาเกริ่น ปรายตามองตามเนื้อตัวของหญิงสาวที่เขามั่นใจว่า พรุ่งนี้เช้าคงได้มีรอยฟกซ้ำแทบจะทั่วทั้งตัว “ข้าคงต้องทุบเจ้าแรงๆ สักที”
แต่ฝ่ายชิงรุกลับเป็นอาเดรียน่าที่แทงทะลุแนวป้องกันจนปลายดาบพุ่งตรงอย่างมุ่งร้าย เกือบถึงบริเวณลิ้นปี่ของเทเลอัส หากแต่วินาที่ต่อมาดาบกลับพลาดเป้าหมายอย่างน่าเหลือเชื่อ นั่นเพราะเทเลอัสก้าวถอยหลังหนีได้อย่างรวดเร็ว พร้อมกับตวัดดาบของตนเพื่อเหวี่ยงดาบของหญิงสาวออก แล้วบีบบังคับให้อาเดรียน่าต้องถอยร่นกลายเป็นฝ่ายตั้งรับ เมื่อสบโอกาสจึงเบี่ยงตัวก้าวเท้าไปด้านหลัง ก่อนจะใช้สันฝ่ามือซ้ายฟาดลงไปบนต้นคอของอาเดรียน่าอย่างแรง จนซาลาคลอสและมีรอพส์ถึงกับสะดุ้งตาม
“ตั้งใจจะให้สลบหรือให้คอหักกันแน่”
มีรอพส์ว่า ยกมือขึ้นนวดต้นคออย่างนึกหวาดเสียว แต่แล้วก็ต้องตะลึงตาค้างอีกครั้ง เมื่อร่างของหญิงสาวที่น่าจะสลบไปเพราะถูกฟาดอย่างแรงกลับหันมาโจมตีใส่เทเลอัสได้อีกอย่างน่าอัศจรรย์
เทเลอัสเริ่มลุกไล่อย่างรุนแรงและรวดเร็วกว่าเดิม ไม่นานนักดาบในมือของอาเดรียน่าก็ลอยเคว้งห่างออกไป หญิงสาวพยายามจะสู้ต่อ แต่เทเลอัสไม่ยอมเปิดโอกาสให้ เขาพุ่งเข้าประชิดตัวพร้อมกับมือซ้ายซึ่งยกขึ้นจับไปที่ขมับแล้วผลักอย่างแรง จนร่างบางล้มหงายหลัง
ในช่วงเวลานั้น แสงสีขาวได้สว่างวาบขึ้นบนใบหน้างามอยู่ครู่สั้นๆ เมื่อแสงนั้นหายไป ก็เหลือเพียงแต่ร่างของอาเดรียน่าที่นอนหมดสติอยู่บนพื้น
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
ภายในบ้านของโอโดวาคาร์ หลายคนกำลังรอฟังข่าวอย่างกระวนกระวาย จนเมื่อเห็นเทเลอัสอุ้มร่างที่สลบไสลของอาเดรียน่ากลับเข้ามา ความตื่นตกใจก็เข้ามาแทนที่ สารพัดคำถามดังสะท้อนไปมาอยู่ในอากาศจนฟังไม่ได้ศัพท์ แต่ถึงจะฟังรู้เรื่องเทเลอัสก็ยังไม่มีอารมณ์จะตอบในตอนนี้
“ในเมื่อยังไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร หมดหน้าที่ของเจ้าแล้ว เดี๋ยวลุงจะให้แพทย์หลวงที่เป็นผู้หญิงจัดการต่อ”
เทเลอัสที่เพิ่งวางร่างของอาเดรียน่าลงบนเตียงในห้องนอนของนาง หันมามองผู้เป็นลุง “ตอนนี้ไม่ใช่หน้าที่ของพวกแพทย์หลวง”
คำพูดนั้นทำเอาบรรดาแพทย์หลวงที่เป็นหญิงสาวสองคนหยุดชะงัก ในขณะที่ดวงตาของโอโดวาคาร์เบิกกว้างจนเกือบถลน “อย่าบอกนะว่าเจ้าจะปลุกนางขึ้นมาสอบปากคำตอนนี้”
“ถ้าได้แบบนั้นก็ดี”
“เทเลอัส!”โอโดวาคาร์ตะโกนลั่นบ้านอย่างเหลือทน แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยต่อก็ถูกหลานชายชิงแทรกตัดบท
“แต่นางไม่มีทางฟื้นขึ้นมาในสองสามชั่วโมงนี้แน่ ที่สำคัญก็คือ ตอนนี้ไม่ใช่หน้าที่ของพวกแพทย์หลวง”
“ใช่สิ! นางได้รับบาดเจ็บกลับมา หนำซ้ำยังสลบไสลไม่ได้สติ”โอโดวาคาร์ยังยืนยันค้านเสียงแข็ง “หากไม่ใช่หน้าที่ของแพทย์หลวงแล้วจะเป็นหน้าที่ของใครกันเล่า”
“หน้าที่ของข้าเอง”เทเลอัสตอบเสียงเย็น ดวงตาเรียบเฉยไร้อารมณ์จนดูน่าขนลุก “ข้ารู้ว่านางเป็นอะไร ควรจะแก้ไขอย่างไร และมีเพียงข้าเท่านั้นที่ทำได้ ในขณะที่แพทย์หลวงทำไม่ได้”เขาเน้นประโยคหลัง จ้องมองโอโดวาคาร์ที่ดูเหมือนจะรับรู้ได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับหญิงสาว แล้วจึงหันไปคุยกับซาลาคลอส “ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า อาจจะหนักไปสักหน่อย แต่ตอนนี้ --”
“ข้ารู้แล้วน่า ทำส่วนของเจ้าไป ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”ซาลาคลอสที่เข้าใจสถานการณ์ต่างๆ ได้ดีบอก ก่อนจะเดินออกไปจากห้องในทันที
“ส่วนเจ้า”เทเลอัสหันไปสั่งกับมีรอพส์ต่อทันที “ตราบใดที่ข้ายังไม่ได้ออกไปจากห้องนี้ ห้ามให้ใครเข้ามาเด็ดขาด ต่อให้เป็นองค์กษัตริย์ก็เข้ามาไม่ได้”
มีรอพส์พยักหน้ารับอย่างตื่นๆ และถึงแม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจอะไรมากนัก แต่เมื่อสังเกตจากท่าทีเคร่งเครียดของผู้เป็นหัวหน้า เขาก็พอจะคาดเดาได้ว่าเหตุการณ์ในคืนนี้คงมีเบื้องหลังซับซ้อนมากกว่าที่เห็น และแน่นอนว่าเมื่อถึงพรุ่งนี้เช้า เรื่องนี้คงแพร่กระจายไปทั่วทั้งวังหลวง
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาก่อนหน้านี้ก็ตาม แต่เจ้ารู้ดีใช่ไหมว่าชีวิตของอาเดรียน่าสำคัญมากขนาดไหน
ก็เพราะรู้ไงข้าถึงได้ยั้งมือ
เทเลอัสได้แต่คิดในใจ ก่อนพยักหน้ารับกับโอโดวาคาร์ที่เดินเข้ามาคุยด้วยใกล้ๆ จนเมื่อสัญญาว่าจะพยายามจนสุดความสามารถเพื่อให้หญิงสาวปลอดภัย บรรดาแพทย์หลวงรวมทั้งมิลันโธก็ยอมอพยพออกไปจากห้องแต่โดยดี เทเลอัสจึงเริ่มต้นหน้าที่ของตน
เขาช้อนร่างบางขึ้นมาแล้วจับพลิกให้นอนคว่ำ สองมือจับที่คอเสื้อแล้วฉีกออกลึกไปจนถึงเอว เผยให้เห็นแผ่นหลังขาวเนียน ซึ่งบนนั้นมีรายเส้นสีดำเป็นรูปมนุษย์เพศชายวาดอยู่เต็มแผ่นหลัง ดวงตาสีแดงก่ำที่หรี่ปรือนั้นกำลังพยายามกระเสือกกระสนเพื่อลืมขึ้นอีกครั้ง
“อย่าหวังว่าข้าจะให้โอกาสเป็นครั้งที่สองกับท่านเลย ราชครูแห่งกอรินธ์”
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
อาเดรียน่าลืมตาขึ้นในสายของวันต่อมาอย่างอ่อนเพลียและง่วงงุน รู้สึกราวกับร่างกายกำลังส่งเสียงร้องประท้วงโอดโอยอย่างเจ็บปวด โดยเฉพาะบริเวณหลังต้นคอที่ปวดระบมอย่างไม่ทราบสาเหตุ หญิงสาวครางเบาๆ ค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นกึ่งนั่งกึ่งนอน โดยมีมิลันโธที่คอยงเฝ้าอยู่ไม่ห่างช่วยอีกแรง
“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าค่ะ ยังเจ็บมากไหม”
“อืม...”อาเดรียน่าขานรับเสียงแผ่วผ่านลำคอ เรี่ยวแรงแทบไม่มีเหลือหมดราวกับถูกสูบออกไปจากร่างจนหมด แต่ถึงกระนั้นสมองของนางก็ยังคงทำงานได้ดี จึงรู้สึกสะดุดกับคำถามของสาวใช้ อีกทั้งสังเกตได้ว่าตามเนื้อตัวมีร่องรอยฟกซ้ำหลายที่ เห็นครั้งแรกก็อยากจะตกใจอยู่หรอก แต่สภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวยให้ออกฤทธิ์เอาเสียเลย “เกิดอะไรขึ้น...กับข้าเหรอ”
ใบหน้าของมิลันโธเจื่อนลง ถึงจะเตรียมใจไว้แล้วว่าต้องถูกถามเรื่องนี้เป็นแน่ แต่ก็ไม่คิดว่าหญิงสาวตรงหน้าจะเอ่ยปากเร็วขนาดนี้
“นางอยากรู้อะไร จงเล่าไปตามความจริงทั้งหมด เพราะหากปิดบังแล้วมารับรู้ทีหลัง ข้ามั่นใจอย่างสุดชีวิตว่าคนดีของเจ้าได้อาละวาดจนบ้านแทบแตกแน่”
มิลันโธนึกย้อนไปถึงคำพูดของเสนาบดีกลาโหมที่ย้ำหนักหนาว่าให้ตนพูดความจริง ดังนั้นนางจึงเริ่มต้นถ่ายทอดเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนออกไป ซึ่งตลอดระยะเวลาหลายนาที ใบหน้าที่ซูบซีดของอาเดรียน่านั้นยิ่งขาวซีดลงอย่างน่าวิตก ดวงตาสีเทามีแววตื่นตกใจและหวาดกลัว ริมฝีปากบางสั่นระริกอย่างควบคุมไม่ได้ จนมิลันโธรู้สึกสงสารจับใจ
“หลังจากมั่นใจว่าท่านปลอดภัยแล้ว ท่านเสนาฯ กลาโหมก็กลับไปเจ้าค่ะ”สาวใช้จบการเล่าเรื่องลงในที่สุด
อาเดรียน่ากอดเข่าตัวกลม ใบหน้าซุกต่ำลงในขณะที่ร่างบางสั่นน้อยๆ อย่างขวัญเสีย “ข้าเป็นอะไร ทำไม...ทำไมต้องเป็นข้าอีกแล้ว”เสียงของนางสั่นเครือ รู้สึกขอบตาร้อนผ่าวในขณะที่หยาดน้ำใสๆ พยายามจะไหลออกมา แต่หญิงสาวก็ฝืนไว้อย่างสุดกำลัง เนื่องด้วยรู้ดีว่าน้ำตาจะยิ่งทำให้ตนอ่อนแอลงมากแค่ไหน ซึ่งไม่ได้ส่งผลดีกับตัวเองเลยสักนิด
“ไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ ปลอดภัยแล้ว” มิลันโธต้องรีบเข้ามาโอบประคองพร้อมเอ่ยปลอบ “จะไม่มีใครทำร้ายท่านได้อีก”
“ไม่มีใครตายใช่ไหม ข้าไม่ได้...ฆ่าใคร...ใช่ไหม”
มิลันโธส่ายหน้าให้กับหญิงสาวที่กำลังเขย่ามือของนางอย่างแรง ใบหน้าหวานนั้นเต็มไปด้วยความวิตกกังวลจนแทบคลั่ง
“ไม่ร้ายแรงถึงขั้นนั้นหรอกเจ้าค่ะ มีแค่ทหารไม่กี่รายที่บาดเจ็บเล็กน้อย”
“ซึ่งข้าเป็นคนทำ...ข้าทำเรื่องเลวร้ายเช่นนั้นไปได้ยังไง!”
“เพราะท่านไม่ได้เป็นคนทำไงเจ้าค่ะ”มิลันโธบอกกับหญิงสาวที่ยังคงเอาแต่พร่ำโทษตัวเอง “ถึงข้าจะไม่ค่อยรู้ตื้นลึกหนาบางของเรื่องนี้มากนัก แต่ท่านเสนาฯ กลาโหมฝากให้ข้ามาบอกย้ำกับท่านว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ท่านทำไปโดยไม่รู้ตัว ร่างกายถูกควบคุม เหมือนกับหุ่นไร้ชีวิตที่ถูกเชิด”
ได้ฟังดังนั้นอาเดรียน่าถึงกับหมดแรง ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อยนิดและได้แค่คิดตัดพ้ออยู่ในใจ -- ทำไมต้องเป็นตัวเองอีกจนได้ ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ชีวิตนี้ยังซวยซ้ำซากไม่พออีกหรือยังไง
หญิงสาวก้มหน้างุด มองชายกระโปรงชุดนอนของตัวเองอยู่เนิ่นนานอย่างเหม่อลอย ก่อนจะค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นความงงงันและสงสัยในท้ายที่สุด
“ทำไมข้าถึงใส่ชุดนอนตัวนี้”นางเอ่ยขึ้นช้าๆ ก็เมื่อคืนก่อนจะเข้านอนจำได้ว่าตนใส่ชุดสีฟ้าอ่อน แล้วทำไมถึงได้กลายเป็นสีเขียวจางๆ ไปได้
มิลันโธนั่งตัวแข็งค้างเป็นหินแทบจะทันทีหลังได้ยินคำถามนั้น แทบจะกลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอ ขณะที่ดวงตาคู่งามของหญิงสาวบนเตียงหันมาจับจ้องขอคำตอบ
“แหม...ก็เนื้อตัวท่านขมุขมอมไปหมด มีแต่เศษหญ้าเศษดิน ข้าก็ต้องเช็ดเนื้อเช็ดตัวเปลี่ยนชุดใหม่ให้สิเจ้าค่ะ จะปล่อยให้ท่านนอนไปทั้งที่มอมๆ แบบนั้นไปได้อย่างไร”
สาวใช้บอกความจริงเพียงแค่บางส่วนออกไปเท่านั้น จะให้พูดทั้งหมดออกไปได้อย่างไรว่าเสนาบดีกลาโหมเล่นฉีกเสื้อตัวเก่าออกเพราะต้องช่วยถอนมนต์สะกดที่อยู่กลางแผ่นหลังของหญิงสาว มิลันโธยังจำภาพนั้นได้ติดตา นางถูกเรียกตัวเข้ามาในห้องนี้เพียงลำพังเมื่อใกล้รุ่งสาง และทันทีที่เห็นแผ่นหลังขาวเนียรไร้แพรพรรณปกปิดนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง นางก็หลุดร้องอุทานออกมาเบาๆ อย่างตื่นตกใจ ดวงตาแลเลยไปยังเสนาบดีกลาโหมอย่างสื่อความหมายชัดเจน ทำเอาชายหนุ่มที่มักนิ่งเสมอออกอาการหน้าตึง หันมาส่งนัยน์ตาดุแสนดุ พร้อมทั้งอธิบายถึงที่มาที่ไปทั้งหมด
เพิ่งเคยเห็นท่านเทเลอัสพูดยาวเหยียดจนแทบไม่มีช่องเว้นวรรคก็เมื่อคืนนี้ล่ะ!
ทางด้านอาเดรียน่าที่ไม่ได้ติดใจสงสัยกับคำตอบนั้น กลับไปจมอยู่กับความกังวลใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นมาอีกข้อ เพราะถึงแม้เทเลอัสจะพูดเองก็เถอะว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น นางทำไปโดยไม่รู้สึกตัวและถูกกระทำราวกับเป็นหุ่นเชิด แต่เขาจะยอมเชื่อหรอกหรือว่านางตกเป็นเหยื่อ คนแบบนั้นมีแต่จะเชื่อฝังหัวว่าทั้งหมดนั่นคือแผนการที่แท้จริงของนางล่ะสิไม่ว่า
แล้วแบบนี้มิต้องถูกจับโยนกลับเข้าไปอยู่ในคุกนั่นอีกหรอกเหรอ!
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
“เวทย์หุ่นเชิด!”
ราชครูไบอัสเอ่ยทวนประโยคอย่างตื่นตกใจ หลักจากได้ฟังคำบอกเล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อคืนจากซาลาคลอส โดยมีมหาเสนาบดีลาร์โก้ รวมถึงบิดาของเทเลอัสซึ่งถูกเรียกให้มาเข้าเฝ้าเจ้าชายรัชทายาทให้ห้องทรงอักษรของพระองค์
“ทั้งเล่นแรง เจ้าเล่ห์ แบบนี้ฝีมือราชครูบาซิลแน่นอน”ราชครูไบอัสเอ่ยถึงคู่ปรับตลอดกาล นัยน์ตาสีเทาขุ่นมัวราวกับควันไฟเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธ
“เทเลอัสก็มั่นใจว่าเป็นฝีมือเขา”
เสนาบดีลาร์โก้สะดุ้ง หันมองซาลาคลอสอย่างรวดเร็ว “เช่นนั้นเราก็เท่ากับว่าเราถูกแคว้นกอรินธิ์หยามน่ะสิ หลายครั้งแล้วที่พวกนั้นส่งสายลับเข้ามาสร้างความวุ่นวายภายในเขตวังหลวง ซึ่งทางเราไม่สามารถจับตัวคนเหล่านั้นได้เลย แล้วนี่...เทเลอัสล่ะ หายไปไหน”เขาจบประโยคด้วยคำถาม พลางมองหัวหน้าราชองครักษ์ที่กำลังยิ้มน้อยๆ
“ใช่ว่าเราจะไม่ได้ส่งสายลับเข้าไปในกอรินธิ์หรอกนะ ท่านมหาเสนาฯ ท่านน่าจะรู้ดีว่าเทเลอัสเป็นคนแบบไหน เอ่อ แล้วตอนนี้เขาขอตัวไปพักผ่อนสักหน่อย หมดแรงไปเยอะขอรับ เพราะเมื่อคืนหักโหมเสียจนเกือบค่อนสว่าง”
“ท่านเองก็ด้วยมิใช่รึ”บารอนมิลานิออนเอ่ย มองตรงไปยังซาลาคลอส “ต้องการม่านพลังใหญ่ขนาดนั้น หนำซ้ำยังนานหลายชั่วโมง”
“แค่ใช่เวทย์ป้องกัน ถึงจะนานแต่ก็ไม่เหนื่อยอย่างเทเลอัสที่เป็นผู้ทำลายเวทย์”
บารอนมิลานิออนพยักหน้ารับช้าๆ ก่อนจะแลเลยไปยังเจ้าชายเมสเตอร์ที่ประทับอยู่หลังโต๊ะทรงอักษร พระพักตร์เต็มไปด้วยความห่วงกังวล
“ท่านราชครู”ทรงมีรับสั่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฟังรายงานทั้งหมดของซาลาคลอส “ข้าอยากฟังความเห็นของท่านที่มีต่อหญิงสาวคนนั้น ว่าในตอนนี้ท่านยังเชื่อมั่นในตัวนางเหมือนเดิมหรือเปล่า”
“กระหม่อมแน่ใจมาได้สักพักแล้ว ว่าอาเดรียน่าเป็นเพียงบุคคลธรรมดาที่จับพลัดจับผลูเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องผลึกเทพธิดาโดยบังเอิญ ไม่ใช่สายลับของกอรินธิ์อย่างแน่นอน”ราชครูยังคงยืนยันความคิดเดิมของตนอย่างเชื่อมั่น
“ข้าเองก็ค่อนข้างแน่ใจว่านางไม่ใช่สายลับของกอรินธิ์ แต่...”บารอนมิลานิออนเอ่ยเรื่องที่เขาตั้งข้อสังเกตมานาน เพียงแต่ยังไม่เคยเอ่ยถามเท่านั้น “คนที่ไม่เคยมาเมืองหลวง แต่สามารถเข้ามายังพระราชฐานฝ่ายในได้แบบไม่หลงทิศทาง หนำซ้ำยังมาตอนกลางดึกในคืนที่เกิดเรื่อง และยังอยู่ในจุดที่วุ่นวายที่สุด จนนางกลายเป็นศูนย์กลางของเรื่องนี้ ท่านว่าเรื่องต่างๆ จะประจวบเหมาะแค่คำว่า...บังเอิญรึ”
ราชครูไบอัสถอนหายใจยาว ใช่ว่าเขาจะไม่คิดเสียที่ไหน “นางมีแผนที่”เขาบอกเรื่องที่ได้รับฟังมาจากเทเลอัส “เทเลอัสได้มาจากตัวอาเดรียน่าระหว่างที่กำลังสอบปากคำ นางว่าได้มาจากเพื่อนที่เป็นลูกสาวหัวหน้ากองคาราวานสินค้า ที่นางขออาศัยเดินทางมาด้วยจากเมืองทีจียา”
“แล้วท่านได้ถามเรื่องนี้กับลูกสาวหัวหน้ากองคาราวานหรือเปล่า”
“เทเลอัสส่งลูกน้องไปสืบข่าวเรื่องนี้แล้วขอรับ”ซาลาคลอสเป็นฝ่ายตอบ เพราะรู้ว่าราชครูยังไม่ได้รับรายงานเรื่องนี้จากเทเลอัส “เราทราบแค่ว่าอาเดรียน่าเป็นเพื่อนกับลูกสาวของเขาจริงและขออาศัยมากับกองคาราวานสินค้า ส่วนเรื่องแผนที่ยังไม่ทราบ เพราะไม่เจอตัวลูกสาว”
“ถ้าอย่างนั้นเรื่องที่ว่าบ้านเกิดนางอยู่ที่ทีจียาก็เป็นเรื่องจริง”
“พ่ะย่ะค่ะ”เสนาบดีลาร์โก้ทูลตอบรับสั่งของเจ้าชาย “เทเลอัสสืบเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกๆ เลยทีเดียว อาเดรียน่าเกิดและใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองทีจียามาตลอด รวมทั้งเรื่องที่ว่าทางบ้านของนางรับเลี้ยงเด็กผู้หญิงกำพร้าไว้อีกหนึ่งคน ซึ่งเป็นคนเดียวกันกับที่อาเดรียน่าอ้างว่าได้หายตัวไปจากบ้านมาหลายปีเพราะมาทำงานอยู่ในวังหลวง นางจึงตามมาที่นี่จนเกิดเรื่อง”
“แล้วคนที่นางตามหา...”
“เห็นว่าชื่อซีนาร์พ่ะย่ะค่ะ อาเดรียน่ากำลังพยายามสืบหาจากคนในวังหลวง แต่ก็ยังไม่ได้ข่าวอะไรเพิ่ม เท่าที่รู้ตอนนี้ ยังไม่มีใครคนไหนที่รู้จักซีนาร์”ซาลาคลอสทูลตอบ
เจ้าชายถอนพระทัย เอนองค์พิงพนักเก้าอี้ไม้ที่ทรงประทับอยู่ “ก็เพราะเรื่องราวที่ไม่กระจ่างชัดเช่นนี้อย่างไรเล่า เทเลอัสถึงยังได้ปักใจเชื่อว่านางอาจเป็นสายลับของแคว้นกอรินธิ์ แล้ว...”ทรงทอดพระเนตรไปยังหัวหน้าราชองครักษ์ “ตอนนี้ความเชื่อของเขาที่มีต่ออาเดรียน่า ยังมากเท่าเดิมหรือเปล่า”
คนถูกถามทำสีหน้าครุ่นคิด “เมื่อเช้าเขาบอกว่า ทั้งหมดที่อาเดรียน่ากระทำลงไปเมื่อคืนเกิดจากเวทย์หุ่นเชิด นางไม่มีสติเป็นของตัวเอง รวมถึงไม่รับรู้เลยสักนิดว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง”เขาทูลตอบไปตามที่เทเลอัสพูดไว้เมื่อก่อนรุ่งสาง
“เขาพูดหรือเปล่าว่าไม่ใช่ความผิดของนาง”
“ไม่ได้พูดถึงเลยพ่ะย่ะค่ะ”ซาลาคลอสปฏิเสธ “หลังจากทำลายเวทย์หุ่นเชิด เทเลอัสแค่เรียกสาวใช้มาสั่งว่าให้คอยดูแลอาเดรียน่าอย่างใกล้ชิด และสั่งกับมีรอพส์ให้เพิ่มเวรยามขึ้นอีกสองเท่า แล้วก็ขอตัวกลับไปพักผ่อน”
“กระหม่อมว่าช่วงนี้เจ้าชายอย่าไปรับสั่งถามหรือขอความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องอาเดรียน่าจากเทเลอัสเลยพ่ะย่ะค่ะ”คำพูดของบารอนมิลานิออน เรียกให้ดวงตาทั้งสี่คู่หันมาจับจ้องเขาอย่างงงงัน “สองเดือนที่ผ่านมาเขาทำงานหนักจนแทบไม่ได้พัก โดยเฉพาะสมอง ดังนั้นในตอนนี้กระบวนการคิดเพื่อหาเหตุผลเลยค่อนข้างรวนไปบ้างนิดหน่อย”
ซาลาคลอสแอบยิ้ม นึกชมบารอนมิลานิออนอยู่ในใจ นี่ขนาดไม่ค่อยได้เจอหน้ากันสักเท่าไร ยังดูออกว่าลูกชายกำลังอยู่ในช่วงมีปัญหากับเหตุผลของตัวเอง
แม้จะฟังคำอธิบายนั้น แต่พระพักตร์ของเจ้าชายก็ยังคงมุ่นฉงน เช่นเดียวกับมหาเสนาบดีและราชครู พระองค์นิ่งรอให้บารอนมิลานิออนกล่าวขยายความต่ออยู่ครู่สั้นๆ จนแน่พระทัยแล้วว่าท่านบารอนคงไม่อธิบายต่อ ครั้งจะรบเร้าไปก็ไม่สมควร จึงตัดพระทัย แล้วตรัสถามเรื่องของอาเดรียน่าต่อ
“แล้วเวทย์หุ่นเชิดที่ว่าจะมีผลกระทบต่อร่างกายหรือจิตใจนางในภายภาคหน้าหรือเปล่า”
“เมื่อทำลายเวทย์บทนี้ลงได้ก็จะไม่มีผลใดๆ อีกต่อไปพ่ะย่ะค่ะ”ราชครูทูลตอบ “จากรายงานของคณะแพทย์หลวง ผลตรวจร่างกายของอาเดรียน่านั้นระบุว่าตอนนี้นางแข็งแรงดีทุกประการ”
“แล้วเรื่องดึงดวงจิตเทพธิดา”
“ที่พอจะเป็นไปได้มีอยู่สองถึงสามวิธี ซึ่งกระหม่อมต้องขอเวลาคิดไตร่ตรองให้รอบคอบอีกสักนิด เพราะหากผิดพลาด ดวงจิตเทพธิดาอาจจะหลุดลอยไร้ที่สถิต”
พระขนงเจ้าชายขมวดมุ่นทันที “ไหนท่านเคยบอกว่าถ้าเกิดความผิดพลาด ดวงจิตเทพธิดาอาจดับสูญ”
“ในตอนแรกกระหม่อมเองก็เข้าใจเช่นนั้น แต่ตลอดสองเดือนที่ผ่านมาหลังค้นคว้าข้อมูลมาศึกษาอย่างละเอียดอีกครั้ง จึงได้พบข้อเท็จจริงที่น่าตกใจอยู่หลายข้อพ่ะย่ะค่ะ”ราชครูทูลตอบ “ดวงจิตเทพธิดาผูกพันอยู่กับพันธะสัญญาที่ว่าจะขอเป็นข้ารับใช้เทพนูร์ แต่ทว่าเมื่อหลายพันปีก่อนผู้เป็นนายอย่างเทพนูร์ได้สิ้นลงในสงครามเทวฑูตไปเสียก่อน จึงยังไม่ได้ปลอดปล่อยพันธะนั้น”
“เพราะสาเหตุนี้ ดวงจิตของเทพธิดาถึงต้องติดแหง็กอยู่อย่างนี้ ไปสู่ชาติภพใหม่ไม่ได้ ดับสูญก็ไม่ได้...อย่างนั้นเหรอท่านราชครู”มหาเสนาบดีร้องถาม ดวงตาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายพนักหน้ารับตอบกลับมา
“ถึงแม้กายทิพย์จะสูญสลายไปแล้ว แต่ดวงจิตก็ยังต้องอยู่รับใช้ทายาทสายตรงของเทพนูร์ต่อไป หนทางเดียวที่จะไปสู่ชาติภพใหม่หรือกลับไปสู่ดินแดนของทวยเทพ คือต้องรอให้เทพนูร์กลับมาจุติใหม่และกล่าวปลดปล่อยพันธะสัญญานั้น”
ต้องทนอยู่อย่างเปลี่ยวเหงา เบื่อหน่ายต่อโลกและผู้คน แม้อยากตายก็ตายไม่ได้ -- ซาลาคลอสลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพียงแค่คิดเขาก็อึดอัดจนแทบบ้า แล้วเทพธิดาที่ต้องอยู่มาหลายพันปีนั่นเล่า ป่านนี้ไม่กลายเป็นเทพเฉยชาไร้ความรู้สึกไปแล้วรึ
“หลุดลอย...ไร้ที่สถิต”บารอนมิลานิออนเอ่ย หลังจากที่คิดทบทวนคำพูดประโยคนั้นอย่างสงสัยอยู่นาน “ดวงจิตเทพธิดาไม่สามารถอาศัยอยู่ในร่างกายมนุษย์หรือผลึกแก้วได้อีกแล้วรึ”เขามองราชครูไบอัสเพื่อขอคำตอบ
“ถ้าเป็นร่างของมนุษย์ล่ะก็ คนๆ นั้นต้องมีคุณสมบัติเหมือนกับอาเดรียน่า”
“ยังไง”ท่านบารอนถามต่อ
ราชครูถอนหายใจ “บอกตามตรงว่าข้าก็ไม่รู้”เสียงร้องอุทานอย่างงุนงงดังขึ้นทันทีหลังได้ยินคำตอบนั้น “เรื่องนี้คงมีแต่องค์เทพธิดาเท่านั้นที่จะตอบได้ ส่วนเรื่องผลึกแก้วนั้นจะต้องสร้างให้เหมือนกับของเดิมซึ่งไม่ใช่เรื่องยาก แต่ข้อสำคัญอยู่ที่ขั้นตอนสุดท้ายที่ต้องอัญเชิญพลังของเทพองค์ใดองค์หนึ่งในคณะเทพแฟงกอร์นเพื่อปิดผนึก หากทำไม่สำเร็จ ดวงจิตเทพธิดาก็จะไม่สามารถสถิตอยู่กับผลึก กลายเป็นจิตวิญญาณเทพเร่ร่อนไร้พลังอำนาจ และอาเดรียน่าอาจจะต้องตายด้วย”
ภายในห้องทรงอักษรเงียบงันลงแทบจะทันทีหลังจบคำพูดของราชครูไบอัส จนกระทั่งครู่ใหญ่ต่อมา เมื่อซาลาคลอสเอ่ยคำถามขึ้นอีกครั้ง
“แล้วทางแคว้นกอรินธ์จะรู้เรื่องนี้ไหมขอรับ”เขามองราชครูที่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ในขณะที่พระพักตร์ของเจ้าชายรัชทายาทเรียบตึงจนน่าหวั่นเกรง
“เรารู้อะไรทางนั้นก็น่าจะรู้เช่นกัน”
ทรงรับสั่ง และทุกคนก็เข้าใจถึงความหมายนั่นได้ดี เนื่องด้วยแต่เดิมเซเพรัสและกอรินธ์คือแคว้นเดียวกัน แต่มาแบ่งแยกออกด้วยสงครามเมื่อหลายร้อยปีก่อน แต่ผลึกเทพธิดายังคงอยู่กับแคว้นเซเพรัส นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แคว้นกอรินธ์ก็ตั้งหน้าตั้งตาแย่งชิงผลึกเทพธิดาไปให้ได้ ด้วยคิดว่าพวกเขาก็มีสิทธิ์ในสิ่งวิเศษนี้เช่นกัน
“โชคดีที่ผลึกเทพธิดาถูกถอดออกจากคทาของเทพไอซีสก่อนจะตกทอดมายังมนุษย์ ไม่อย่างนั้นล่ะก็...”ท่านราชครูจบประโยคด้วยใบหน้านิ่วคิ้วขมวด ส่ายศีรษะไปมาช้าๆ
“ราชครู”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าเข้าใจนะว่าท่านต้องการศึกษาข้อมูลให้ละเอียดรอบคอบมากยิ่งขึ้น แต่ท่านช่วยเร่งสักหน่อยจะได้ไหม”เจ้าชายเมสเตอร์รับสั่ง พระเนตรอันเคร่งเครียดนั้นจับจ้องไปยังราชครูไบอัส ที่หัวคิ้วกำลังขมวดเข้าหากันเล็กน้อย “ข้ากลัวใจกษัตริย์กอรินธ์ เพราะเขาไม่ใช่คนที่มีความอดทนสูงกับความผิดหวังซ้ำซาก ยิ่งปล่อยให้เวลาผ่านไปนาน อาเดรียน่าจะยิ่งไม่ปลอดภัย -- ท่านเข้าใจดีใช่ไหม”
ราชครูโน้มศีรษะลงต่ำรับคำสั่งนั้นอย่างไม่มีทางเลือก พลางอดคิดไม่ได้ว่าหากจะต้องเร่งกำหนดการจากที่เคยตั้งใจไว้ เห็นทีคราวนี้คงจะเหนื่อยหนักเอาการ และคนที่รับหน้าที่สำคัญที่สุดก็คงหนีไม่พ้นเสนาบดีกลาโหมเช่นเคย
******************************
กาแฟเย็นIcedcoffee
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 เม.ย. 2557, 21:17:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 เม.ย. 2557, 21:17:16 น.
จำนวนการเข้าชม : 895
<< บทที่ 7 | บทที่ 9 >> |