ทิพย์เทวี
เธอลงมาช่วยเหลือผู้มีพระคุณให้พ้นภัย แต่เรื่องดันวุ่นเพราะใช้ฤทธิ์เดชไม่ได้

นางฟ้าเคยเลิศเลอในแดนสรวงกลับไม่ต่างจากวิญญาณง่อยเปลี้ย

ไม่รู้ว่างานนี้นางฟ้าต้องช่วยมนุษย์หรือมนุษย์ต้องช่วยนางฟ้ากันแน่
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 1






บทที่ 1

ความอื้ออึงรอบด้านทำให้สับสน แสงสว่างส่องกระทบจนต้องหลับตาหนักๆ ใครคนหนึ่งจับไหล่เธอเอาไว้ รู้ว่าตัวเองนอนราบลงกับพื้น เสียงผู้ชายไม่คุ้นหูเริ่มดังชัดเจนมากขึ้นทุกที

“รส! ลืมตาสิ...รส ลืมตา คุณได้ยินผมมั้ย”

ใช่... เธอได้ยิน แต่เขาเป็นใคร เสียงไม่คุ้นเลย คงเป็นเจ้าของมือที่จับไหล่และลูบหน้าผากนี่ด้วยกระมัง

“ผมรู้ว่าคุณได้ยินแล้ว ลืมตาเถอะ ได้โปรด”

เสียงอ้อนวอนไม่เท่าลมหายใจเป่ารดแก้มดั่งคำสั่งให้ค่อยๆ ลืมตา ความใกล้ชิดจนใบหน้าเกือบแนบกันไม่ให้ความรู้สึกดีนัก ความพร่ามัวทำให้ต้องเพ่งมอง เห็นไม่ชัดสักเท่าไหร่ รู้เพียงว่ารอบด้านสว่าง เจ้าของเสียงเรียกนั่งอยู่ข้างๆ ทางซ้ายมือของเธอ เขาโน้มตัวและกำลังถอยห่างออกไปนิดหนึ่ง เป็นผู้ชายตัวใหญ่ ผมสีเข้มตัดสั้น ผิวค่อนข้างขาว สวมแว่นตา เหมือนว่ากำลังยิ้มให้

“อย่างนี้สิคนเก่ง เห็นผมชัดมั้ย” ความดีใจแฝงเต็มเปี่ยมในเสียงนั้นที่ได้ยิน

เธอพยายามมอง มอง...จนเห็นชัด หน้าตาของเขาหล่อเหลาพอดู มากกว่านั้นคือความอบอุ่นแอบแฝง อยากยิ้มให้...แต่ก็ไม่รู้จัก แล้วนี่เธอชื่ออะไร มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

“ท่าน... ท่าน...รู้จักข้าพเจ้าฤๅเจ้าข้า” เธอมองอีกฝ่ายนิ่งๆ

เขาดูตกตะลึง แววตาเต็มไปด้วยความสับสน “รส...คุณ คุณจำผมไม่ได้เหรอ ดินทร์ไง...แฟนคุณ แล้วทำไมคุณพูดภาษาลิเกกับผมแบบนี้” ท่าทางของเขาบอกว่าไม่เข้าใจ

อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เป็นเธอแล้วกระมังที่สับสนเสียเอง “ข้าพเจ้า... ข้าพเจ้า...” ยิ่งพูดก็ยิ่งทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจึงพูดถ้อยคำเช่นนี้ออกมา ตกใจยิ่งกว่าเมื่อในหัวไม่มีความทรงจำอะไรเลย “ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้า... ข้าพเจ้า...” แล้วนั่นเธอพูดอะไรออกไป จึงรีบถาม “ท่านมีนามใด แลข้าพเจ้านั้นมีนามใดฤๅเจ้าข้า” ยิ่งพูดก็ยิ่งวิตก ภาษานี้มันออกจากปากของเธอแบบไม่คิดเรียบเรียงด้วยซ้ำ

“คุณรสขา คุณไม่ค่อยสบาย พักนี้เป็นลมบ่อยๆ นี่ก็เพิ่งเป็นลม ดีว่าหัวไม่ฟาดพื้นเหมือนคราวนู้น คุณจำยายแร่มได้ไหมคะ ยายแร่มที่เป็นคนดูแลคุณดินทร์ตั้งแต่เล็กๆ ไงคะ ดูแลบ้านนี้ด้วย คุณยังแซวยายบ่อยๆ เลยว่าจะเอาแรงที่ไหนมาดูแลคุณดินทร์เพราะดื้อไม่เปลี่ยน”

หญิงสาวระแวดระวังกับสิ่งรอบตัว หันไปมองคนพูด หญิงชราวัยประมาณเจ็ดสิบขยับเข้ามาใกล้ กุมมือข้างขวาของเธอไว้ ความเหี่ยวย่นของผิวเนื้อนุ่มนิ่มเป็นเอกลักษณ์แจ่มชัดในความรู้สึก ริ้วรอยบนใบหน้าที่เห็นยิ่งชัดเจนเมื่อยายแร่มยิ้มกว้าง ความหวังบางอย่างฉายชัดในแววตานั้น

เธอได้แต่ส่ายหน้าช้าๆ “มิได้เจ้าข้า” ตอบปฏิเสธด้วยเสียงแผ่วเบาเพราะจำไม่ได้จริงๆ ว่าทั้งสองเป็นใคร

ผู้ชายที่นั่งข้างๆ กุมมือข้างซ้ายของเธอเอาไว้ ยกขึ้นแนบอกไม่ปล่อย “คุณคงเหนื่อย” แล้วมืออีกข้างของเขาประคองแก้มนี้ ไล้หัวแม่มือแผ่วเบาเชื่องช้า แววตามีความห่วงใยไม่ปิดบัง เขาหันไปหายายแร่ม “พักอีกสักหน่อยก็น่าจะดีขึ้นนะครับยาย” แล้วหันมายิ้มให้เธอ “รส...คุณชื่อมธุรส ส่วนผมบดินทร์ เป็นแฟนของคุณ เราอยู่ด้วยกันที่บ้านนี้เกือบสองปีแล้วนะจ๊ะ คุณจำอะไรไม่ได้เลยเหรอ”

มธุรสมองไปรอบๆ รู้เพียงห้องนี้เป็นห้องนอนกึ่งไม้กึ่งปูน กระนั้นก็ค่อยๆ ดึงมือของตัวเองออกมาอย่างไม่น่าเกลียดไปพร้อมกัน ไม่คุ้นนักที่จะให้ผู้ชายจับมือถือแขนแม้เขาจะบอกว่าเป็นแฟนกันก็ตาม มืออีกข้างที่ยายแร่มกุมอยู่ก่อนนี้ก็ไม่ต่าง เธอประสานมือไว้บนอก มองทั้งคู่สลับไปมา

ในใจหวั่นไหวสั่นรัว ภาษาที่พวกเขาพูดเธอเข้าใจดี แต่ใช่ว่าเสแสร้ง ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดตนเองจึงเอ่ยด้วยภาษาพูดที่แตกต่างไปจนน่าฉงน

มธุรสนอนนิ่งเช่นนั้นกว่าครู่หนึ่งจึงค่อยๆ ลุกนั่งโดยไม่รับความช่วยเหลือจากคนทั้งสอง สับสนว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เธอเป็นใคร มาจากไหน อยู่ที่นี่ได้อย่างไร คำพูดของผู้ชายตรงหน้าเชื่อถือได้หรือไม่ ทำไมถึงไม่มีอะไรให้เธอจดจำได้สักนิด

“ท่าน... คุ...คุณ บดินทร์”

“ดินทร์ คุณเรียกผมแบบนั้นเสมอนะรส” เขามองเธอนิ่ง ไม่ละสายตา

ได้แต่พยักหน้าทั้งที่ไม่ค่อยเข้าใจ มธุรสมองตัวเอง เสื้อผ้าของเธอกับยายแร่มก็ไม่แตกต่างกันมากนัก แต่ทำไมเวลาพูดจึงไม่เหมือนกัน ราวกับอยู่คนละยุค มาจากคนละแห่ง “ข้าพเจ้า... มิทราบได้ ว่าเคยเอ่ยถ้อยคำเยี่ยงไรกับท่านเจ้าข้า” ดูเถิด แม้ความคิดจะไม่ติดขัดเหมือนก่อนนี้แต่คำพูดก็เป็นเช่นเดิมจนได้

“อาจเพราะคุณอ่านนิยายมากเกินไป พักตร์อสูรที่คุณชอบยังอยู่ข้างตัวตอนเป็นลม” เขาชี้ไปที่หนังสือเล่มหนาเตอะบนโต๊ะเตี้ยๆ ชิดผนังติดหัวนอนนี้ “ภาษาในนวนิยายเรื่องนี้ก็เหมือนกับคำพูดของคุณตอนนี้ไม่มีผิด ผมพออ่านผ่านๆ ก็เลยรู้บ้าง” เขาขยับมากุมมือเธอเอาไว้ “รส...นี่คุณแกล้งผมใช่ไหม อำกันเล่นหรือเปล่า เล่นแบบนี้ผมไม่สนุกนะ”

เธอส่ายหน้าช้าๆ มองเขาด้วยความรู้สึกหมดหวัง “มิได้เจ้าข้า ข้าพเจ้า... ข้าพเจ้า” แล้วก็ก้มหน้าลง มองมือของตัวเองที่ดึงกลับมา บีบมือราวกับจะเค้นหาคำตอบกับเหตุการณ์ตรงหน้า เธอไม่ได้โกหกเขา แต่จำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ ทำอะไรไม่ถูกเลย นี่มันเกิดอะไรขึ้น

บดินทร์ขยับเข้ามาใกล้ วางมือไว้บนหลังมือของเธอ ตบเบาๆ “ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็หาย เดี๋ยวก็จำได้ คุณเป็นแบบนี้บ้าง...ในบางครั้ง” เขาก้มหน้าคล้ายว่ากำลังคิดอะไรบางอย่าง แต่กลับกอดเธอโดยไม่บอกเสียอย่างนั้น

มธุรสตัวแข็งทื่อ ทำอะไรไม่ถูกขณะหนึ่ง เมื่อตั้งสติได้จึงดิ้นขลุกขลักดันตัวออกมา ไม่โวยวายต่อว่านอกจากมองอีกฝ่ายเงียบๆ

บดินทร์ยิ้มเศร้า “ผมขอโทษ” แววตาของเขาเจือไปด้วยความเจ็บปวดเสียใจแม้จะยิ้มกว้างกลบเกลื่อน “คุณคงตกใจ”

“ขอ...ขออภัยยิ่งนักเจ้าข้า ข้าพเจ้ามิได้รังเกียจท่านดอก เพียง... เพียงแต่มิคุ้นเคย จักให้สนิทสนมย่อมมิงาม ท่านอย่าเสียใจไปเทียวเจ้าข้า” นั่นก็เพราะเธอไม่ได้ต้องการทำร้ายความรู้สึกของเขาจริงๆ แต่จะให้เขากอดก็ไม่สะดวกใจเช่นกัน

“ไม่เป็นไร เรายังมีเวลาอยู่ ค่อยๆ ปรับตัวเดี๋ยวก็จะดีขึ้น เหมือนที่เคยเป็น”

เธอนั่งเงียบเพราะไม่รู้จะเริ่มตรงไหน ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไร นอกจากทบทวนเรื่องราวในชีวิต ทว่าเหมือนกระดาษเปล่าที่ไม่มีอักษรใดๆ สลักลงเป็นหลักฐาน

บดินทร์ยังนั่งอยู่ข้างๆ ยายแร่มนั้นเดินหลังค่อมออกไปนานแล้ว

มธุรสตัดสินใจพูด “ข้าพเจ้า...มิได้รู้จักท่าน แม้นความทรงจำก็หามีสิ่งใดไม่” รั้งรอและมองใบหน้าของบดินทร์ที่มองเธออยู่ก่อนนี้ว่าเขากำลังคิดหรือจะแสดงอาการเช่นไร เมื่อเขาไม่โวยวาย ไม่ทำหน้าดุ เธอจึงพูดต่อ “แม้น...หญิงชราผู้นั้นก็ลืมเลือน มิหลงเหลือเหตุใดให้จดจำได้เจ้าข้า” เธอสารภาพเสียงแผ่ว

เขายิ้มอ่อนโยน “ผมเชื่อว่าคุณจำอะไรไม่ได้ แต่ที่เชื่อยิ่งกว่า...คือคุณต้องรู้สึกว่าเรามีความผูกพันต่อกันแน่นอน” เขาจ้องตา

‘ความผูกพันต่อกัน’ มธุรสมองบดินทร์ คำพูดของเขาเธอพูดทวนในใจ เหมือนมีภาพบางอย่างผุดขึ้นมา ทว่าไม่ทันแจ่มชัดกลับสลายไปรวดเร็วหลงเหลือเพียงความว่างเปล่า มธุรสได้แต่กะพริบตาปริบๆ กับสิ่งที่ปรากฏในเวลาอันสั้น เขาคงไม่ได้หลอกเธอใช่ไหม

“พอนึกอะไรออกบ้างไหมจ๊ะ” เขาจ้องและรอคอยคำตอบ

“ดั่งมี แต่ก็มิได้ปรากฏชัดให้รู้แจ้งแต่อย่างใดเจ้าข้า”

บดินทร์หน้าเจื่อน

มธุรสเสียใจที่เห็นสีหน้าของเขาเช่นนี้ จึงรีบพูด “ขออภัยที่ข้าพเจ้ากล่าววาจาเยี่ยงนี้เจ้าข้า ท่านบดินทร์อย่าได้ถือโทษข้าพเจ้าเลย”

เขาส่ายหน้า ส่งยิ้มให้ “แค่คุณลุกขึ้นมามองผมได้ ผมก็ดีใจที่สุดแล้ว” มือข้างหนึ่งของเขาประคองแก้มเธอ มองด้วยแววตาที่มีความหมายลึกซึ้งก่อนจะก้มหน้าลง “หิวไหม คุณ...ไม่ได้กินอะไรเลย”

มธุรสยิ้มขอบคุณ “มิได้เจ้าข้า” เธอปฏิเสธ ทว่าเสียงโครกครากจากที่ไหนสักแห่งกลับดังประท้วง เธอก้มมองท้องของตนเองและมองหน้าบดินทร์ กะพริบตาปริบๆ กับความขายหน้าที่ไม่ทันตั้งตัว ยิ้มแหยๆ เพราะไม่รู้จะทำอย่างไร

เขาก้มหน้ากลั้นหัวเราะ เก็บอาการได้ระดับหนึ่งจึงมองหน้าเธอโดยมีรอยยิ้มเอ็นดูปรากฏตลอด “เอาเป็นว่าคุณนั่งรออยู่ตรงนี้แหละจ้ะ เดี๋ยวผมกลับมา อย่าลุกเดินไปไหนล่ะ เพิ่งฟื้น เดี๋ยวจะเป็นลมไปอีก” สั่งจบก็ลุกขึ้น มธุรสทำท่าจะลุกตาม แต่บดินทร์ก็หันขวับอย่างรู้ทัน “ห้ามดื้อนะ” สั่งเสียงเข้มกำชับ

มธุรสกระมิดกระเมี้ยนนั่งลงที่เดิม ก้มหน้าเอ่ยรับ “เจ้าข้า” แผ่วเบา แอบมองบดินทร์ที่เดินจากไป น้ำเสียงของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงใยซึ่งเธอรู้สึกถึงได้ชัดเจน แต่ในใจก็มีความคิดว่าจำเป็นหรือที่ต้องฟังคำสั่ง ชีวิตไม่มีสิ่งเหลือใดเป็นเครื่องยืนยันตัวตนจะให้อยู่นิ่งเฉยก็คงแปลกไม่น้อย ไม่ปกติแน่แล้ว

และทันทีที่แผ่นหลังกว้างของเขาพ้นประตู มธุรสขยับตัวลุกขึ้นรวดเร็ว ทว่าเธอกลับหน้ามืดทรุดลงทันใด มือที่ใช้ค้ำกะผิดพลาดจนหน้าคะมำลงมาเพราะแตะโดนขอบที่นอน โชคดีที่ไม่มีเตียงจึงไม่สูงมากนัก แต่นั่นก็ทำให้เจ็บไม่น้อยทีเดียว

หัวใจเธอเต้นแรงราวจะทะลุออกจากอก ค่อยๆ ตะเกียกตะกายลุกนั่งอย่างทุลักทะเล ปวดหัวตุบๆ จนต้องเอามือข้างหนึ่งกุมขมับสลับกับลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ ทั้งยังหลับตา อีกมือหนึ่งวางไว้ตรงตำแหน่งหัวใจ สูดลมหายใจเข้าลึก ไม่รู้ว่าหัวจะปูดจนเห็นชัดหรือเปล่า หากมีเตียงและไม่ใช่ที่นอนวางกับพื้นแบบนี้คงได้เลือดเป็นแน่แท้

เมื่ออาการทุเลามธุรสจึงลืมตาขึ้น มองโดยรอบเชื่องช้า เพิ่งสังเกตว่าตรงส่วนนี้เป็นพื้นไม้ยกสูงกว่าพื้นอีกฝั่งแบบเล่นระดับ รอบห้องตกแต่งเรียบง่ายเน้นไปทางโทนสีขาวกับน้ำตาล เธอรู้ว่าของใช้ต่างๆ ที่เห็นใช้งานอย่างไร เข้าใจวิธีการใช้งาน เช่น หน้าต่างประตูเป็นบานเลื่อน ผ้าม่านแบบสองชั้น ดวงไฟดาวไลท์ เครื่องปรับอากาศ ทุกอย่างรู้จักและใช้เป็น ทว่าความขัดแย้งกับคำพูดของเธอเวลาเอ่ยนี่สิที่ไม่ปกติ หรือเธอจะชอบอ่านนวนิยายจนเก็บมาพร่ำเพ้อเป็นเรื่องเป็นราวอย่างที่บดินทร์บอกจริงๆ กันหนอ

“ทำไมมานั่งตรงนั้นล่ะรส”

มธุรสสะดุ้งตกใจจนหาคำแก้ตัวไม่ทัน มือชี้ไปยังที่นอนประหนึ่งฟ้องว่าถูกเตะออกมา หาใช่เพราะแอบเกเรบดินทร์มองลอดแว่นตาราวกับจับผิด รีบเดินมาหา มธุรสเผลอหยุดหายใจ แผ่นหลังร้อนวาบทันที

“เหตุด้วย... ด้วย...” เธอพูดไม่ออกเสียแล้ว มือยังชี้ไปตรงที่นอนไม่เปลี่ยน รีบยิ้มให้เพราะกลัวถูกจับได้

บดินทร์ย่อกายลง วางถาดอาหารไว้กับพื้นข้างตัว คลานเข่าเข้ามา นั่งในท่าเตรียมกราบอยู่ตรงหน้าเธอในระยะประชิด ยื่นมือมากดแขนของเธอให้แนบลำตัว มือของเขาทั้งสองจับต้นแขนเธอเอาไว้

“ผมรู้ว่าคุณตกใจที่จำอะไรไม่ได้ รู้ว่าคุณอยากพิสูจน์ อยากรู้ความจริง แต่คุณต้องฟังผมนะรส ความจริงคือคุณเป็นแฟนผม เราอยู่ด้วยกันมาตลอดนับแต่คุณหนีตามผมมา คุณรู้ว่ามีบางอย่างแตกต่าง แต่ก็คุ้นเคยในเวลาเดียวกัน”

เธอพยักหน้า แต่ก็ตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน ‘เธอหนีตามเขามา’ นั่นหมายความว่าอย่างไร

บดินทร์เหมือนจะรู้สิ่งที่เธอคิด เขาอธิบาย “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ก็แค่คุณรักผมมากกว่าจะใช้ชีวิตในกรอบที่มีคนตั้งเอาไว้ คุณแค่เลือกจะตามหาผมและอยู่กับผมที่นี่ ใช้เวลาที่มีเหลือทั้งหมดอยู่ด้วยกันก็เท่านั้น”

‘นี่เธอหนีตามผู้ชายมาโดยไม่มีใครรับรู้อย่างนั้นหรือ อะไรจะเก่งกล้าปานนั้น’ คิดแล้วหยุดฉับพลัน เอนตัวมาด้านหลังเล็กน้อยเมื่อบดินทร์จ้องเหมือนจะคุกคาม มือของเขาจับต้นแขนเธอไม่ปล่อย ดวงตานั้นส่อแสดงความหมายบางอย่างที่ไม่อาจล่วงรู้ว่าคืออะไร

“ปกติคุณชอบพูดว่าผมดื้อ แต่จริงๆ แล้วคุณน่ะ...ดื้อยิ่งกว่าผมนะรส” ว่าแล้วก็ชะโงกมาจูบหน้าผากของเธอหนึ่งที

มธุรสตัวแข็งเมื่อเจอการรุกแบบนี้ของบดินทร์จนลืมว่าก่อนหน้านี้คิดเรื่องอะไร

เขายิ้มและขยิบตาให้เมื่อถอยห่าง มองเธอเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาที่สุด “เรายังมีเวลานะ เชื่อผมเถอะ ผมไม่หลอกคุณจริงๆ” เขายืนยัน

นี่เธอจะเชื่อคำพูดของเขาได้อย่างไร เผลอก็กอด เผลอก็หอม ไม่หยุดรุ่มร่ามแบบนี้จะไว้ใจได้จริงหรือ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องปกติ มธุรสได้แต่มองมือทั้งสองของตนเองที่บดินทร์รวบไว้ด้วยกันบนตัก เงยหน้าขึ้นมองเขา แววตาในนัยน์ตาสีดำดูจริงจังและให้สัญญา แต่ก็ใช่ว่าเธอจะต้องยอมเชื่อในสิ่งที่เขาพูดเสมอไป ที่สำคัญกว่านั้นคือ “แม้นท่านมิได้หลอกลวงข้าพเจ้า แต่มือไม้ยาวเช่นนี้ ข้าพเจ้ามิใคร่สะดวกใจนักเจ้าข้า”

บดินทร์ยิ้ม ทำหน้าว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่โต “คนรักกันเขาก็ทำแบบนี้เป็นปกตินั่นแหละ มีที่ไหน...แฟนลืมตาขึ้นมาได้ไม่ดีใจ ไม่กอด ไม่หอม ก็ไม่ใช่คนรักกันแล้ว คุณน่ะจำไม่ได้เองต่างหากว่าเรารักกัน คนเสียหายน่ะคือผมแท้ๆ เสียประโยชน์เต็มๆ แฟนตัวกลับลืมตัวเอง ลืมว่าไม่เคยรัก ไม่รู้จักกันซะอย่างนั้น น่าเจ็บใจน้อยใจไหมล่ะ” เสียงเหมือนงอนแต่สีหน้าจริงจัง

นี่เธอควรจะเชื่อเขาใช่ไหม จะเชื่อได้จริงหรือ ทว่าจะเชื่ออย่างเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็สุดปัญญาอยู่ดี เมื่อทุกอย่างเหมือนจะมีเขาคนเดียวที่เป็นกุญแจไขความลับที่ซ่อนอยู่ ได้แต่หวังว่าความจริงจะเป็นเช่นที่บดินทร์บอก และหวังว่าตัวเองจะจดจำเรื่องราวในอดีตได้ในเร็ววันว่าเป็นใครกันแน่ มาจากไหน เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ เธอจะต้องหาให้เจอจนได้

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -






สุชาคริยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 เม.ย. 2557, 12:18:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 พ.ค. 2557, 15:44:51 น.

จำนวนการเข้าชม : 2350





   บทที่ 2 >>
แล่นแต๊ 27 เม.ย. 2557, 17:27:02 น.
เปิดเรื่องใหม่ได้น่าสนใจเช่นเคย รอติดตามค่ะ


คิมหันตุ์ 27 เม.ย. 2557, 17:42:19 น.
น่าสนใจมากๆค่ะ รอติดตามค่ะ


Sukhumvit66 27 เม.ย. 2557, 20:00:27 น.
น่าอ่านมาก ๆเลยค่ะ....รอ ร๊อ รอ


แว่นใส 27 เม.ย. 2557, 22:14:53 น.
นางฟ้าตามหา แล้วอยู่ไหนนะ


supayalak 27 เม.ย. 2557, 22:23:57 น.
รอตอนต่อไปค้า


นักอ่านเหนียวหนึบ 28 เม.ย. 2557, 11:00:41 น.
น่าสนใจมากค้า ตามๆๆๆๆ


พัชรวลี 21 พ.ค. 2557, 15:05:14 น.
หนูมารอเลยคะ เปิดเรื่องได้น่าสนใจเช่นเคย...พออ่านแล้วก็อยากอ่านอีกคะ ชอบมากเลยคะ


omelate 29 พ.ค. 2557, 21:55:37 น.
คิดถึงไรเตอร์เจ้าค่า อิอ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account