Fortune Teller พยากรณ์เสี่ยงรัก
เรื่องราวของหมอดูสาวผู้มีสัมผัสพิเศษทำให้ดูหมอแม่นเหลือเชื่อ ใครๆ ก็อยากมาดูหมอกับเธอ แต่เธอไม่เคย รู้จนกระทั่งวันนี้ว่า...สัมผัสพิเศษที่เธอมีนั้น รวมไปถึงการมองเห็น "เขา" วิญญาณดาราหนุ่มสุดฮอตที่หายตัวไปจากวงการอย่างเป็นปริศนา บ้างก็ว่าเขาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต บ้างก็ว่าเขาป่วยหนัก แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง

เธอ...จึงเป็นความหวังสุดท้ายของเขา แต่เรื่องมันไม่ง่าย เพราะหมอดูสุดแม่นกลับกลัวผีจับใจ



Tags: รัก, โรแมนติก, หวาน, ซัสเปนส์

ตอน: บทที่ ๑

ทางเดินที่ตัดผ่านสวนหย่อมอันเป็นพื้นที่สีเขียวซึ่งอยู่ระหว่างตึกอำนวยการและตึกอายุรกรรมของโรงพยาบาลนั้น ค่อนข้างเงียบสงบเพราะผู้คนส่วนมากนิยมใช้ทางเดินภายในตัวอาคารที่เชื่อมถึงกันเสียมากกว่า กระนั้นกลับทำให้คนที่เดินแกมวิ่งอยู่นั้นพึงพอใจเพราะเร่งฝีเท้าได้ดังใจ แถมสีเขียวของพรรณพฤกษ์นานาในสวนหย่อมแห่งนี้ก็ยังสบายตากว่าการได้เห็นคนเจ็บคนป่วยมากกว่าเป็นไหนๆ

กลิ่นหอมจัดของดอกไม้ชนิดหนึ่งกรุ่นกำจายตั้งแต่ย่างเท้าเข้ามาในสวน เจนศิลป์ไม่แน่ใจนักว่าเป็นกลิ่นของดอกไม้ชนิดใด ด้วยมิใช่ผู้ที่สันทัดเรื่องดอกไม้ กระนั้นกลิ่นหอมของมันก็ชวนรื่นรมย์ยิ่ง ทำให้คนที่กำลังรีบเพราะจวนถึงเวลานัดอยู่รอมร่อ ผ่อนฝีเท้าลงและมองหาที่มาของกลิ่นดังกล่าว

นั่นเอง! เธอจึงได้เห็นว่าฝั่งขวามือมีเก้าอี้เหล็กตัวยาวตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งที่ปลายกิ่งทุกกิ่งออกดอกสีขาวพราวพร่าง กลิ่นหอมมาจากตรงนั้น หากสายตาที่เพ่งพิศชื่นชมดอกไม้ของหญิงสาวกลับสะดุดเมื่อพบว่าบนเก้าอี้เหล็กมีร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งอยู่ เขากำลังมองมาที่เธอเช่นกัน เจนศิลป์สะดุ้งหันขวับกลับมาเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะหาว่าเธอไปมองอะไร แต่อดสะกิดใจอะไรบางอย่างมิได้

ผู้ชายคนนั้นรูปร่างสูงใหญ่ ล่ำสันแข็งแรง จนแลเห็นว่าใต้เนื้อผ้ายืดสีขาวนั้นคือแผงอกกำยำ ใบหน้าคมเข้มประกอบด้วยคิ้วคางจมูกที่รับกันอย่างพอดีกับริมฝีปากบางแต่ได้รูป และดวงตาคมปลาบคู่นั้น

ดวงตาคู่ที่ทำให้เจนศิลป์รู้สึกเหมือนกับว่าฝ่ายนั้นอ่านความคิดของเธอออกกระนั้น

แต่สิ่งที่สะกิดใจเธอ มิใช่การที่รู้สึกว่าเขาอ่านความคิดของเธอออก แต่กลับเป็นหน้าตาของเขาต่างหาก เจนศิลป์คุ้นหน้าผู้ชายคนนี้เหลือเกินทั้งที่มั่นใจว่าเธอไม่รู้จักเขาแน่

หญิงสาวแอบชำเลืองมองเขาอีกครั้งแต่ต้องหันกลับโดยเร็วเมื่อพบว่า เขายังคงมองมาที่เธอไม่วางตา เจนศิลป์เร่งฝีเท้าเมื่อเห็นว่าเกือบจะถึงทางเข้าตึกอายุรกรรมแล้ว ทันทีที่ผลักประตูเข้ามาในอาคาร หญิงสาวก็ถอนใจเฮือกอย่างโล่งอก น่าแปลกที่สายตาคู่นั้นทำให้เธออึดอัดได้ถึงเพียงนี้

ก่อนประตูจะปิดกลิ่นหอมหวานของดอกไม้สีขาวก็พรูเข้ามาพร้อมสายลมผ่านช่องว่างระหว่างประตูที่เหลือเพียงน้อยนิด กลิ่นหวานรื่นสะกิดความทรงจำที่เกือบลืมเลือนได้พอดิบพอดี

กลิ่นนี้...กลิ่นดอกแก้ว กลิ่นดอกไม้ที่พ่อปลูกไว้หน้าบ้านอย่างไร

ความทรงจำแต่วันวานค่อยกระจ่างชัดขึ้นมาอีกครั้ง ถึงเรื่องราวยามที่เธอยังเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็กกระจ้อย ตอนเย็นหลังจากที่บรรดาแขกเหรื่อซึ่งเจนศิลป์มารู้ในภายหลังว่าเป็นลูกค้าที่มาให้พ่อของเธอดูหมอให้กลับกันหมดแล้ว พ่อมักจะชวนเธอลงสวน ขณะที่พ่อรดน้ำพรวนดินดูแลต้นไม้ เธอก็วิ่งเล่นเก็บใบไม้ใบหญ้าไปเรื่อย แล้วใต้ต้นแก้วนี่แหละที่พ่อชอบปูเสื่อไว้ให้เธอนอนเล่น ต้นแก้วที่พ่อปลูกต้นโตสูงใหญ่ไม่แพ้ต้นที่เธอเห็นเมื่อครู่ ยามใดที่ฝนลงเม็ดโปรยปรายความชุ่มชื่นลงมาสู่ผืนดิน หลังจากนั้นไม่นานนัก ต้นแก้วก็จะผลิดอกสีขาวเป็นช่อๆ จนเต็มทั้งต้น ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วทั้งบริเวณ ใครต่อใครที่เดินผ่านมักทักอยู่เสมอ

ต้นแก้วต้นนั้นยังอยู่ เพียงแต่เธอเองต่างหากที่มิได้อยู่ชื่นชม นับแต่จากบ้านจากพ่อเพื่อเข้ามาเรียนต่อในเมืองกรุงและได้กลับบ้านเพียงปีละสองครั้งตอนปิดเทอม บางครั้งโชคดีก็ทันได้เห็นตอนดอกแก้วบานเต็มต้น แต่เมื่อเรียนจบและทำงาน จนกระทั่งจับผลัดจับผลูกลายมาเป็นหมอดูตามรอยพ่อ เธอก็ยิ่งหาเวลาว่างได้น้อยลงทุกที ดีเท่าไรแล้วที่ยังพอหาวันหยุดในแต่ละอาทิตย์ได้บ้าง

เจนศิลป์สืบต่องานของพ่อมาได้สามปี ตอนแรกมันเริ่มมาจากความไม่ตั้งใจ หญิงสาวมีความสามารถในการดูไพ่ยิปซี หรือที่เรียกกันอีกอย่างว่า ไพ่ทาโรต์ เพื่อนฝูงที่รู้จักสนิทสนมต่างก็รู้กิตติศัพท์และมักมาขอให้เธอดูไพ่เพื่อทำนายโชคชะตา จากปากของเพื่อนคนหนึ่งไปสู่อีกคน...ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดเธอก็ตัดสินลาออกจากงานเพื่อมาเป็นหมอดูอย่างเต็มตัวเมื่อต้องตกงานเพราะผลกระทบเศรษฐกิจ

นอกจากความสามารถในการอ่านและตีความไพ่ทาโรต์แล้ว เธอยังมีความสามารถพิเศษอีกอย่าง ที่เรียกได้ว่าเป็นพรสวรรค์ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด พรสวรรค์ที่พ่อของเธอเฝ้าบอกให้เธอใช้มันเพื่อช่วยเหลือนำทางคนที่ทุกข์ร้อน และนั่นก็เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้เธอก้าวเข้ามารับสืบทอดงานของพ่อ

เป็นหมอดู...ที่พึ่งทางใจของคนที่ใจมีทุกข์

เจนศิลป์มาโรงพยาบาลในวันนี้ก็เพราะมีนัดกับลูกค้ารายหนึ่ง บังเอิญที่ลูกค้ารายนี้เป็นผู้ป่วยที่ต้องนอนโรงพยาบาล ทำให้เธอต้องย้ายสถานที่ดูหมอจากที่ประจำซึ่งเป็นร้านขายของใช้น่ารักๆ ที่เธอลงทุนกับเพื่อนสนิทเปิดขึ้นมาหลังจากตกงานได้ไม่นาน

หญิงสาวไม่อยากใช้บ้านเป็นสถานที่ดูหมอเหมือนอย่างพ่อ เพราะรู้สึกว่าทำให้ขาดความเป็นส่วนตัวไป แต่ถึงอย่างนั้นความเป็นส่วนตัวของเธอก็ไม่เหลืออยู่ดีเมื่อต้องอาศัยอยู่กับป้า...พี่สาวแท้ๆ ของพ่อ ที่ชอบจัดแจงหาชายหนุ่มมาให้เธอดูตัว

ป้าสุรีย์เป็นม่าย ทั้งยังไม่มีลูก เมื่อหลานสาวเพียงคนเดียวเข้ามาเรียนต่อในเมืองกรุง จึงดูแลเป็นอย่างดี และเพราะความห่วงใยนี่เอง ป้าสุรีย์จึงคอยมองหาชายหนุ่มที่ดีในสายตาของนางมาให้หลานสาวได้ทำความรู้จัก เรียกง่ายๆ ก็ให้มา ‘ดูตัว’ นั่นแหละ แม้จะรู้สึกไม่สะดวกใจอยู่บ้างแต่เธอก็พยายามมองถึงความเป็นห่วงที่ผู้เป็นป้ามีให้ แต่ความอดทนของเจนศิลป์สิ้นสุดเมื่อป้าสุรีย์แนะนำชายหนุ่มคนใหม่ให้รู้จัก

ไม่สิ! อายุอย่างเสี่ยแจ็ค...เป็นลุงเธอได้กระมัง!

หญิงสาวก้าวเข้าลิฟต์เป็นคนแรก ทำให้เธอต้องเข้าไปยืนด้านในสุด

“รบกวนกดชั้นสิบสองให้ด้วยค่ะ” เธอร้องบอกคนที่ยืนด้านหน้า “ขอบคุณค่ะ”

ประตูลิฟต์กำลังจะปิด แต่เสียงร้องจากด้านนอกทำให้คนที่กดหมายเลขชั้นให้เจนศิลป์กดปุ่มให้ประตูเปิดอีกครั้ง เจนศิลป์มองผู้หญิงวัยกลางคนที่เดินแกมวิ่งมาเข้าลิฟต์ ในมือหิ้วถุงของเยี่ยมเต็มทั้งสองมือแวบหนึ่งก่อนจะก้มหน้า เธอจึงไม่เห็นว่ามีชายหนุ่มร่างสูงอีกคนก้าวตามเข้ามาอย่างรวดเร็วก่อนประตูลิฟต์จะปิด

ความคิดของหญิงสาวยังวนเวียนอยู่ที่ตาเสี่ยร่างอ้วนพุงกลม ต้นเหตุที่ทำให้ต้องหนีจากบ้านป้า มาเช่าบ้านอยู่ลำพัง จะว่าไป...ก็ต้องขอบคุณเสี่ยแจ็คอยู่เหมือนกัน ที่ทำให้เธอได้ออกมาใช้ชีวิตอย่างที่ฝันไว้ แม้การอยู่กับป้าจะสะดวกสบายทุกอย่าง แต่ลึกๆ เธอก็อยากออกมาอยู่เอง อีกอย่าง...บ้านป้าสุรีย์อยู่ไกลเหลือเกิน กว่าจะเดินทางไปกลับแต่ละที ทั้งเหนื่อยและเสียเวลา

กระทั่งยืนอยู่ได้พักหนึ่ง หญิงสาวจึงเงยหน้าเพื่อมองว่าลิฟต์ขึ้นไปถึงชั้นไหนแล้ว สายตาจึงสบเข้ากับดวงตาคมคู่หนึ่ง หญิงสาวสะดุ้งในใจเมื่อจดจำได้ว่าเขาเป็นคนเดียวกับที่เธอเจอในสวน เจนศิลป์รีบหลบตา พอดีกับลิฟต์หยุดที่ชั้นสิบสอง เธอรีบขอทางคนที่ยืนข้างหน้าเพื่อก้าวออกมาจากลิฟต์ทันทีที่ประตูเปิดโดยไม่เหลียวไปมองชายหนุ่มคนนั้นแม้แต่น้อย เมื่อออกมาแล้วก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก สายตาคมคู่นั้นทำให้เธออึดอัดได้อย่างประหลาด เขามองเหมือนคนที่คาดหวังอะไรสักอย่างจากเธอ...น่ากลัว!

ดวงตาคู่นั้นติดตรึงอยู่ในห้วงความคิดของเธออย่างยากที่จะสลัดหลุด

เจนศิลป์ข่มใจให้หยุดคิดถึงเรื่องอื่นเมื่อดูนาฬิกาแล้วพบว่าจวนเจียนจะถึงเวลานัดแล้ว เธอไม่ชอบผิดนัดใคร โดยเฉพาะกับลูกค้า

ลูกค้ารายนี้เป็นหญิงชราวัยหกสิบเศษที่ทำให้เจนศิลป์อดนึกถึงผู้เป็นป้ามิได้ และยิ่งสงสัยว่าคนแก่ทุกคนจะเป็นเหมือนกันอย่างนี้หรือไม่...

เห็นลูกเห็นหลานเป็นโสดยังไม่แต่งงานก็กังวลห่วงใย

หญิงชรารายนี้ยังดีที่ห่วงแล้วก็แค่ดูหมอดูดวงให้ลูก แต่ป้าของเธอนี่สิ...ห่วงแล้วก็จัดการหาคู่ให้หลานเสียเลย ไม่ถามสักคำว่า...เธออยากจะแต่งหรือเปล่า

เจนศิลป์ก็เหมือนผู้หญิงทั่วไปที่คิดฝันและอยากแต่งงาน อยากมีชีวิตคู่ เพียงแต่เมื่อยังไม่พบคนที่ใช่ เธอก็ไม่ได้เดือดร้อนหรือรู้สึกกระวนกระวายอะไร หญิงสาวยังรู้สึกสนุกกับชีวิต เธอมีงาน มีอาชีพที่แม้บางคนจะมองว่าหลักลอย ไม่มั่นคง แต่เธอก็มีความสุข นอกจากงานดูไพ่ยิปซี เธอก็ยังมีกิจการเล็กๆ ที่ร่วมหุ้นกับเพื่อน เป็นร้านขายข้าวของเครื่องใช้จุกจิก ของแต่งบ้านทั้งของเก่า และของใหม่ผลิตเลียนแบบของเก่า

แล้วไหนจะคอลัมน์ดูไพ่ยิปซีที่เธอรับเขียนให้กับนิตยสารรายปักษ์ฉบับหนึ่ง กับรายการวิทยุที่เธอจัดทุกวันอาทิตย์อีก แค่นี้ชีวิตของเจนศิลป์ก็ยุ่งวุ่นวายแทบหาเวลาพักไม่ได้แล้ว

เธอกำลังสนุกกับงาน จึงยังไม่คิดเรื่องมีแฟน!

โชคดีที่พ่อเข้าใจและไม่เคยถามถึงเรื่องนี้ นอกจากครั้งเดียวที่ท่านพูดเหมือนเปรยๆ ว่า...

‘เดี๋ยวถึงเวลา มันก็มา ไอ้คู่ของเอ็งน่ะ เมื่อถึงต้อนนั้นเอ็งก็เตรียมรับมือให้ดีเหอะ’



เจนศิลป์เคาะประตูห้องพักผู้ป่วยก่อนเปิดอย่างเบามือที่สุดด้วยเกรงจะรบกวนคนป่วย ห้องพักดังกล่าวเป็นห้องพิเศษจึงกว้างขวางน่าสบาย ดูคล้ายห้องพักในโรงแรมมากกว่าโรงพยาบาล ก็แน่ล่ะ...นี่มันโรงพยาบาลเอกชนนี่นา ทั้งลูกค้าของเธอก็มีศักดิ์เป็นถึงคุณหญิงภรรยานายทหารยศนายพลผู้หนึ่ง

คนป่วยไม่ได้หลับอย่างที่เธอนึกกลัว ทว่านอนดูโทรทัศน์อยู่อย่างสบายอารมณ์ ท่าทางไม่เหมือนคนที่ต้องมานอนโรงพยาบาลนัก

“มาแล้วเหรอหนูเจน มาสิ...เข้ามานั่งตรงนี้”

คุณหญิงชี้มาที่เก้าอี้ซึ่งเดิมน่าจะวางคู่กับโต๊ะรับประทานอาหารขนาดเล็กตรงมุมห้อง เจนศิลป์ไหว้ก่อนลงนั่งตามที่คุณหญิงเชื้อเชิญ เธอมองไปรอบห้องแต่ไม่ยักเห็นใคร

“ไม่มีใครหรอก ฉันเพิ่งให้เด็กกลับบ้านไปเมื่อกี้” คุณหญิงบอกเหมือนรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ “แต่เดี๋ยวเที่ยงๆ ก็คงกลับมากันแล้ว"

“อ๋อ ค่ะ งั้นเราเริ่มกันเลยไหมคะ คุณหญิง”

หญิงสาวถามพลางเปิดกระเป๋าหยิบข้าวของอุปกรณ์ออกมาตระเตรียม

“ดีสิ ฉันอยากดูให้เสร็จก่อนลูกสาวจะมา ขืนรู้ว่าฉันเรียกหนูเจนมาดูหมอเรื่องเขา จะโกรธเอาอีก” คำพูดนั้นบอกให้รู้ว่า คุณหญิงคงเคยมีคดีกับลูกสาวมาก่อน “แต่ทำไงได้ล่ะ คนเป็นแม่ก็ห่วงลูกเป็นธรรมดา ลูกสาวฉันอายุไม่ใช่น้อย น่าจะมากกว่าหนูเจนอีกล่ะมั้ง จนป่านนี้ก็ยังไม่ยอมมีแฟน”

“คุณหญิงวางใจเถอะ ลูกสาวคุณหญิงได้แต่งงานแน่ๆ ค่ะ เชื่อเจน”

หมอดูสาวบอกอย่างมั่นใจเมื่อเธอเห็นภาพงานมงคลแวบผ่านเข้ามา สตรีสูงวัยถึงกับขยับกายจากท่าเอนพิงหมอนมานั่งหลังตรงแน่ว ท่าทางตื่นเต้น ถามซ้ำด้วยความดีใจ

“จริงนะ หนู”

“จริงค่ะ” หญิงสาวยิ้มพลางลุกขึ้นยืน เลื่อนโต๊ะปรับระดับสำหรับให้ผู้ป่วยทานข้าวมาใกล้ๆ เพื่อปูผ้ากำมะหยี่เตรียมพื้นที่ในการทำงาน ทว่ามีเสียงเคาะประตูดังขัดขึ้นเสียก่อน ทั้งเธอและคนป่วยหันไปมอง จึงเห็นชายหนุ่มในเสื้อกาวน์มาพร้อมกับพยาบาล

“สวัสดีครับคุณหญิง ขอหมอตรวจหน่อยนะครับ วันนี้คุณหญิงรู้สึกยังไงมั่งครับ”

ระหว่างที่ถามนั้น แพทย์กับพยาบาลก็เข้ามาตรวจวัดไข้ วัดความดัน และพูดคุยกับคนป่วยอีกหลายคำ เจนศิลป์จึงเบี่ยงกายหลีกทางให้แต่โดยดี เธอมายืนข้างโซฟาเงียบๆ แต่แล้วประตูก็เปิดออกอีกครั้ง คราวนี้มีร่างสตรีสาวแต่งเนื้อแต่งตัวงดงามในชุดสูทสีน้ำตาลอ่อนเดินเข้ามา เจนศิลป์ยิ้มให้ตามมารยาทเมื่อฝ่ายนั้นหันมามองเธอเหมือนแปลกใจ แต่ครู่เดียวก็หันเหความสนใจไปยังแพทย์และพยาบาลที่กำลังตรวจและซักถามอาการคนป่วย

เมื่อผู้มาใหม่เดินไปที่เตียงคนไข้ เจนศิลป์จึงได้เห็นว่ามีใครอีกคนยืนอยู่ตรงมุมหลังประตูพอดี

ผู้ชายที่เธอพบในสวน!

เขาคนนั้นยืนนิ่งมองตรงมาที่เธอ แววตามีประกายบางอย่างระคนกันระหว่างตื่นเต้น แปลกใจ และความรู้สึกบางอย่างที่เธออ่านไม่ออก ทว่าเธอมิได้สนใจอยากรู้ว่าเขาคิดอะไร สิ่งที่อยู่ในใจตอนนี้คือ...

เขาเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร ในเมื่อเธอแน่ใจว่าสตรีสาวผู้ซึ่งน่าจะเป็นลูกสาวของคนป่วยเปิดประตูเข้ามาเพียงคนเดียว!

หรือว่า...เขายืนตรงนั้นนานแล้ว อาจจะตามแพทย์กับพยาบาลเข้ามา...

กระนั้นอีกใจก็แย้งเบาๆ ว่าไม่ใช่ เธอเพิ่งจะเห็นเขาเมื่อครู่ หลังจากที่บุตรีคุณหญิงเดินเข้ามานั่นแหละ

ช่างเถิด! เจนศิลป์บอกตนเองพลางหันหลังให้คนที่ยืนหลังประตู กระนั้นก็ยังรู้สึกได้ตลอดเวลาว่ามีสายตาของเขามองมา เธอพยายามอดทนอย่างเต็มที่ทั้งที่อึดอัดจนแทบระเบิด ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในสถานที่ซึ่งต้องระมัดระวังการใช้เสียง และมีคนอื่นอยู่ด้วยล่ะก็...ฮึ่ม!

เรียวคิ้วที่ขมวดมุ่นอย่างหงุดหงิดคลายลงกะทันหันเมื่อแพทย์และพยาบาลตรวจคนไข้เสร็จและกำลังพากันเดินออกจากห้อง เธอยิ้มให้ทั้งสองพลางมองตาม ดีใจลึกๆ ว่าจะได้เริ่มงานเสียที แวบหนึ่งภาพคนที่ยืนหลังประตูผ่านเข้ามาเธอจึงค่อยๆ ชำเลืองไปทางที่เขายืน ทว่ากลับต้องแปลกใจเมื่อพบว่า...

นอกจากแพทย์และพยาบาลที่กำลังจะออกจากห้องแล้ว ตรงหลังประตูไม่มีวี่แววของใครสักคน!

เจนศิลป์เสียวสันหลังวาบขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

เธอแน่ใจว่าไม่ได้ตาฝาด เมื่อครู่เธอเห็นเขายืนตรงนั้นแน่ๆ



ล็อกกุญแจประตูรั้วแล้ว เจนศิลป์ก็หันมามองบ้านหลังน้อยที่เธอเพิ่งจะย้ายเข้ามาอยู่ได้เพียงสองวัน ในบ้านยังมีข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ของเธอกองระเกะระกะ เพราะเจ้าของบ้านยังไม่มีเวลาจัดให้เข้าที่เสียที นอกจากงานที่ร้านแล้ว เธอก็ติดนัดดูหมอให้ลูกค้าจนอาทิตย์ลับฟ้า กลับบ้านไม่ต่ำกว่าสามทุ่มทุกวัน ไม่น่าเชื่อว่างานที่เคยคิดว่าจะทำเป็นเพียงงานอดิเรก จะกลับกลายมาเป็นงานที่ทำเงินให้เธอเป็นกอบเป็นกำ เลี้ยงชีพได้อย่างสบาย แม้หลายคนจะแสดงความกังขาเมื่อรู้ว่าเธอมีอาชีพเป็น...หมอดู ก็ตามที

นี่ก็เป็นอีกสาเหตุที่ป้าสุรีย์เพียรพยายามหาคู่ให้เธออยู่เรื่อย นางมองว่า หมอดูไม่ใช่อาชีพที่ยั่งยืน มั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นผู้หญิง!

บ้านหลังเล็กขนาดสองห้องนอนนี้แม้จะค่อนข้างเก่า แต่ก็น่าอยู่ไม่น้อย เจนศิลป์ตัดสินใจออกมาเช่าบ้านอยู่เพียงลำพังหลังจากที่อดทนกับพฤติกรรมของเสี่ยแจ็คไม่ไหว ต่อหน้าป้าสุรีย์ก็ทำท่าเป็นผู้ใหญ่ใจดี น่านับถือ แต่พอลับหลังล่ะก็มือไม้เป็นหนวดปลาหมึก เผลอเป็นไม่ได้ต้องถึงเนื้อถึงตัวตลอด โดนเธอเล่นกลับไปเจ็บๆ หลายครั้ง ก็ยังไม่เข็ด หญิงสาวไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเสี่ยตัณหากลับนั่นเป่ามนต์คาถาอะไรใส่ป้าของเธอ ถึงได้เชื่อลมปากมันนัก ถึงขนาดหว่านล้อมให้เธอเห็นใจเสี่ยพุงพลุ้ยนั่นแล้วยอมแต่งงานกับมัน!

แต่งงานกับตาแก่อายุคราวพ่อของเธอเนี่ยนะ!

เกือบแล้ว...เจนศิลป์เกือบย้อนผู้เป็นป้าไปแล้วเชียว...ถ้ามันดีนัก ทำไมป้าไม่แต่งกับมันเองล่ะ!

หากที่เธอทำคือเก็บปากเงียบ แล้วหาบ้านเช่าไปพร้อมกับการเจรจากับพ่อเพื่อขอออกมาอยู่ลำพัง หญิงสาวรู้ถ้าพ่อยอมละก็ สิบป้าสุรีย์ก็ขวางไม่ได้

ความจริงหญิงสาวอยากจะออกมาอยู่คนเดียวนานแล้ว เพราะบ้านป้าอยู่แถบสมุทรปราการขณะที่ร้านของเธออยู่ที่ตลาดนัดจตุจักร ไปกลับแต่ละทีใช้เวลาเดินทางไม่น้อย ยิ่งวันไหนรถติดกว่าจะถึงบ้านก็แทบสลบเหมือด

แต่ที่ยังลังเลไม่ย้ายเสียที ก็เพราะรู้ว่าพ่ออยากให้เธออยู่กับป้ามากกว่า ก็เพราะความห่วงใยที่พ่อมีต่อพี่สาวนั่นเอง ดังนั้นจะว่าไป การที่ตาเสี่ยพุงพลุ้ยมาทำก้อร่อก้อติกกับเธอ จึงทำให้เธอใช้เป็นข้ออ้างในการย้ายบ้านได้เป็นอย่างดี

เมื่อได้ฟังพ่อแทบล้มโต๊ะ จะขับรถมากรุงเทพฯ ให้ได้ เจนศิลป์ต้องหว่านล้อมต่างๆ นานา กว่าพ่อจะสงบ เธอก็หอบแฮ่ก แต่ก็นับว่าคุ้มค่าเพราะในที่สุดเธอก็ได้มายืนตรงนี้...

หญิงสาวไขกุญแจแล้วเปิดประตูซึ่งเป็นบานเลื่อนกระจกออก ภายในกว้างขวาง ทว่ายังรกตาด้วยกล่องเล็กกล่องน้อยใส่บรรดาข้าวของเครื่องใช้ที่เธอหอบมาด้วย เห็นแล้วเธอก็ถอนหายใจออกมาอีกหนึ่งเฮือก เหนื่อยตั้งแต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร

สุดท้ายก็เดินไปยกกล่องหนังสือหนึ่งในหลายกล่อง ที่ตั้งใจจะเอาขึ้นชั้นหนังสือในห้องทำงานที่อยู่บนชั้นสอง ทว่าเมื่อออกแรงยก ก็ต้องนิ่วหน้ากับความหนักของมัน เจนศิลป์สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดก่อนออกแรงยกกล่องอีกครั้ง

สำเร็จ! กระนั้นเธอก็ต้องพักเมื่อขึ้นบันไดมาได้เพียงครึ่งทาง ทั้งที่บันไดก็ไม่ได้สูงชัน พอรู้สึกว่าค่อยบรรเทาความเมื่อยล้า เธอก็กัดฟันจนกระทั่งถึงห้องทำงาน ห้องเล็กๆ ที่หญิงสาวใช้เป็นห้องทำงานนั้น เป็นส่วนหนึ่งของห้องนอนนั่นเอง ทว่ามีผนังกั้นเป็นสัดส่วนซึ่งเธอเดาว่าเดิมคงจะใช้เป็นห้องแต่งตัววางตู้เสื้อผ้าและโต๊ะเครื่องแป้ง แต่เจนศิลป์ชอบที่ห้องนี้มีหน้าต่างบานกว้างสองบาน แสงผ่านเข้ามาได้เต็มที่ เธอจึงดัดแปลงมาเป็นห้องทำงานเสียเลย อย่างน้อยเวลาทำงานดึกๆ ง่วงเมื่อไรก็เดินเข้าไปนอนได้ทันที

หญิงสาววางกล่องลงบนพื้น หน้าชั้นหนังสือขนาดความสูงราวสองเมตรที่วางชิดกำแพงฝั่งตรงข้ามกับหน้าต่าง แล้วก็ทรุดนั่งบนเก้าอี้หมุนอย่างอ่อนแรง ยิ่งเมื่อนึกว่ายังมีกล่องหนังสืออีกหลายกล่องนอนรออยู่ข้างล่าง ก็แทบจะถอดใจ รู้อย่างนี้ไม่เกรงใจลูกน้องที่พ่อส่งมาหรอก

นอกจากพ่อจะเป็นหมอดูมีชื่อที่มีลูกศิษย์ลูกหามากมายแล้ว ยังมีตำแหน่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน จึงมีลูกน้องที่พอจะเรียกใช้ให้มาช่วยยามลูกสาวย้ายบ้านได้

เสียงหอบหายใจของเจนศิลป์ดังท่ามกลางความเงียบ

ใช่สิ! ก็ทั้งบ้านมีเธอคนเดียวนี่นา

หากจู่ๆ เสียงบางอย่างที่ดังแทรกขึ้นมาอย่างแผ่วเบากลับทำให้เธอแทบหยุดหายใจ พร้อมกันนั้นขนก็ลุกกรูเกรียวจนต้องลูบต้นคอแรงๆ ไล่ความรู้สึกหวาดผวาที่กำลังก่อตัวอย่างรวดเร็วออกไป

‘บ้าน่า! ไม่มีอะไรหรอก’

เธอปลอบใจตัวเอง แล้วลุกขึ้นยืน ก้าวลงบันไดหมายจะลงไปขนกล่องหนังสือที่เหลือ หากขาที่กำลังจะก้าวกลับแข็งค้างเมื่อคราวนี้เสียงแว่วแผ่วเบานั้นดังขึ้นอีกครั้ง ดังพอที่จะจับได้ว่าเป็นเสียงละม้ายใครบางคนกำลังหัวเราะ...เยาะเธออยู่ เสียงนั้นดังเพียงแผ่วแต่เหมือนได้ยินอยู่ชิดริมหูนี่เอง

ใกล้...เหมือนยืนติดกันอย่างนั้นแหละ

เธอสงบจิตสงบใจก่อนจะเงี่ยหูฟังอีกครั้ง ทว่ากลับไม่ได้ยินเสียงอะไรมากไปกว่า...ความเงียบ

แล้วความเงียบก็ถูกทำลายด้วยเสียงเพลงเรียกเข้าคุ้นหูจากโทรศัพท์มือถือของเธอ พร้อมกับระบบสั่นสะเทือนที่เธอเปิดไว้ เจนศิลป์สะดุ้งโหยงทั้งตัว ล้วงเจ้าเครื่องมือสื่อสารเล็กบางจากกระเป๋ากางเกงแทบไม่ทัน

“พ่ออะ...เจนตกใจหมด”

เจ้าหล่อนบ่นกระปอดกระแปดเป็นประโยคแรกเมื่อรับสาย ทำเอาคนที่โทรมางงเป็นไก่ตาแตก เลยตีความไปอีกอย่าง

“อะไรของเอ็งวะ นังลูกคนนี้ พ่อโทรมาแค่นี้บอกตกใจ เอ็งตกใจอะไรของเอ็ง หรือว่าเอ็งกำลังทำอะไรไม่ดีไม่งามอยู่...ฮึ? บอกมาเดี๋ยวนี้นะเอ็งอยู่กับใคร ถ้าเห็นท่าไม่ดี พ่อจะยกเลิกข้อตกลงระหว่างเราแล้วให้เอ็งกลับไปอยู่กับป้าเค้าเดี๋ยวนี้”

“โอ๊ย...พ่อก็...หนูอยู่คนเดียว มีใครที่ไหนล่ะ เอะอะไปได้”

ฟังน้ำเสียงลูกสาวแล้ว ปลายสายก็คลี่ยิ้มอ่อนบาง เหตุที่คนเป็นลูกโทรศัพท์มาขอย้ายไปเช่าบ้านอยู่ลำพัง ไม่ใช่เพราะเบื่อที่ป้าคอยแต่จะหาคู่ให้หรอกหรือ ล่าสุดที่ทำให้เจนศิลป์ฟิวส์ขาดหมดความอดทนก็ไอ้เสี่ยตัณหากลับนั่นไง

หนอยแน่! ต่อหน้าคนเป็นป้า...พี่สาวของเขา มันก็ทำท่าเป็นคนดีบอกว่ารักจริงหวังแต่ง พอลับหลังเข้าหน่อยกลับมาทำก้อร่อก้อติก ดีว่าลูกสาวเขามีฝีไม้ฝีมือพอเป็นมวยอยู่บ้าง เลยได้สั่งสอนกันไปพอเบาะๆ

เหตุนี้แหละที่ทำให้เจตน์ใจอ่อน ยอมอนุญาตให้ลูกสาวคนเดียวออกมาเช่าบ้านอยู่เอง แม้จะห่วงแสนห่วง กระนั้นเขาก็เชื่อใจว่าลูกสาวที่เขาเลี้ยงมาเองกับมือ จะรักดีมากกว่าหาเรื่องให้พ่อต้องเสียใจ แต่ความเป็นพ่อก็อดทำให้คิดมากไม่ได้ เมื่อโทรมาแล้วลูกทำท่าตกอกตกใจอย่างนั้น

“แล้วเอ็งตกใจอะไร?”

เจตน์ถามกลับ คนเป็นลูกชะงักไปนิดเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ประหลาดเมื่อครู่ กำลังจะอ้าปากเล่าให้คนเป็นพ่อฟังอยู่แล้ว แต่กลับเปลี่ยนใจในที่สุด เธออาจจะหูฝาดไปเอง ไม่มีอะไรหรอกน่า

พลันที่คิดอย่างนั้น...เสียงหัวเราะแผ่วเบาก็คล้ายจะแว่วมาให้ได้ยิน แม้จะเบากว่าครั้งแรก แต่มันก็ยังชัดเจนอยู่ดี เจนศิลป์ยิ้มแหยเมื่อตอบคำถามของคนเป็นพ่อด้วยน้ำเสียงไม่ดีนัก

“ก็ตกใจเสียงโทรศัพท์สิพ่อ กำลังทำงานเพลินๆ อยู่ๆ มันก็ดัง แถมเครื่องมันสั่นอีก”

“แม่ขวัญอ่อน แล้วนี่เอ็งไปอยู่บ้านเก่าอายุสามสิบสี่สิบปีอย่างนั้นไม่กลัวผีบ้างหรือไงวะ นังเจน”

คำถามของพ่อกลับพาเธอกลับไปยังเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ น้ำเสียงที่ตอบผู้เป็นพ่อจึงแปร่งปร่าจนคนฟังรู้สึก

“ผี เผอ อะไร!”

ทว่าเจตน์เข้าใจไปอีกทาง เพราะเขารู้ดีว่าลูกสาวกลัวผีที่สุด

“เออ ลืมไปว่าเอ็งอยู่คนเดียว เดี๋ยวจะกลัวจนอยู่ไม่ได้ เสียดายค่ามัดจำที่จ่ายไป พ่อพูดเล่น ไม่มีอะไรหรอก”

แต่คำพูดเล่นๆ ของพ่อกลับทำให้เกิดข้อสันนิษฐานขึ้นในใจของเจนศิลป์

หรือ...บ้านนี้จะมีผีสิงอยู่จริงๆ...

ฉับพลันที่เกิดความคิดนี้ เธอก็เย็นวาบตั้งแต่สันหลังขึ้นมาถึงต้นคอ พร้อมกับที่ขนแขนก็ลุกชันจนมองเห็นได้ชัดเจนด้วยสองตา และคราวนี้เสียงหัวเราะดังขึ้น...ชัดเจนกว่าครั้งไหนๆ

ชัด...เหมือนดังอยู่ริมหูนี่เอง...

เจนศิลป์หลับตา ข่มใจก่อนถามพ่อด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า

“พ่อ...ละ แล้ว... ถ้ามันมีจริงๆ ล่ะ...”






นภสร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 พ.ค. 2557, 14:07:19 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 พ.ค. 2557, 14:08:47 น.

จำนวนการเข้าชม : 993





yimyum 1 พ.ค. 2557, 14:38:56 น.
เออ..เห้ย.เจอจริงๆกับตัวเอง 555


ree 1 พ.ค. 2557, 19:14:37 น.
งงๆ ว่าตกงานมาเป็นหมอดู หรือลาออกจากงานมาเป็นหมอดูกันแน่น้อ แถมยังเห็นคนยืนอยู่หลังประตูได้อีก สงสัยมีตาแบบเอ็กเรย์แน่เลย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account