Adriana
สมบัติล้ำค่าที่สองแคว้นต่างแย่งชิงได้สูญหายไป แต่ทว่าเสี้ยวหนึ่งแห่งพลังอำนาจนั้น กลับแฝงเร้นอยู่ในตัวหญิงสาว ผู้ซึ่งถูกตราหน้าว่าเป็นสายลับของศัตรู // โรแมนติกแฟนตาซี
Tags: โรแมนติกแฟนตาซี,แฟนตาซี,กรีกโบราณ,รัก,การเมือง

ตอน: บทที่ 12

การที่จู่ๆ ก็ถูกเรียกให้เข้าเฝ้าเจ้าชายรัชทายาทเป็นครั้งแรกในชีวิต อาจเป็นเรื่องน่าปลาบปลื้มใจสำหรับหลายคน รวมถึงตัวอาเดรียน่าด้วย แต่นางคงจะรู้สึกดีกว่านี้มากหากไม่มีประโยคที่ว่า บุคคลน่าสงสัยว่าอาจเป็นสายลับของศัตรูคอยเป็นชนักติดหลังอยู่ แม้จะมีมีรอพส์คอยเดินตามประกบทำหน้าที่ผู้คุ้มกันภัยตามหน้าที่คอยบอกว่าเจ้าชายรัชทายาทพระทัยดีและอยู่ฝ่ายเดียวกับราชครูไบอัส หากแต่ความรู้สึกหวาดระแวงไม่ปลอดภัยกลับผุดพุ่งขึ้นมาอยู่ที่คอของอาเดรียน่าอยู่ตลอดเวลา

“อาเดรียน่าเพคะ”หญิงสาวรายงานตัว พลางย่อกายลงนั่งคุกเข่าต่อเบื้องพระพักตร์ พระองค์สง่างามสมกับมีเชื้อสายของราชวงศ์ แต่สิ่งที่ทำให้นางขุ่นเคืองเล็กน้อยในใจพร้อมด้วยความสงสัย ว่าเหตุใดพระองค์จึงได้รูปงามน้อยกว่าเสนาบดีกลาโหมที่เพียงสามัญชนทั่วไปล่ะ


ทรงเป็นถึงเจ้าชายนะ! เจ้าชายต้องรูปงามกว่าใครในแผ่นดินสิ!


“ข้ารู้ว่าเจ้ารู้สึกไม่ดีที่ถูกข้าเรียกให้เข้าพบกะทันหัน แต่ก็ไม่มีอะไรมาก แค่อยากคุยกับเจ้านิดหน่อย”รับสั่งด้วยสุรเสียงทุ้มกังวาน ในขณะที่โอษฐ์หยักหนาแย้มสลวยน้อยๆ อย่างแสดงชัดถึงความเป็นมิตร มิได้ตั้งแง่กับหญิงสาวที่นั่งก้มหน้านิ่ง “แต่ความจริงข้าก็แค่มานั่งฟังเท่านั้น เพราะคนที่จะคุยกับเจ้าคือราชครูไบอัสต่างหาก”


อาเดรียน่าเงยหน้าขึ้นมองราชครูที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะทรงงานตัวใหญ่ ซึ่งในขณะนั้นเองนัยน์ตาของนางก็แลเลยไปปะทะเข้ากับชายสูงวัยอีกคนที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า แม้ริ้วรอยบนใบหน้าจะบ่งชัดว่าผ่านโลกมานานหลายปีไล่เลี่ยกับเสนาบดีลาร์โก้ แต่ท่วงท่าการยืนนิ่งหลังตรงและร่างกายใหญ่โตกำยำนั้นก็บอกได้ดีเช่นกัน ว่าชายผู้นี้ต้องเคยเป็นทหารมาก่อน อาเดรียน่ามั่นใจ ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะสวมชุดสำหรับขุนนางชั้นผู้ใหญ่ยศสูงศักดิ์ก็ตาม บวกกับลักษณะท่าทางและใบหน้านิ่งๆ นั้น ทำให้บรรยากาศรอบตัวเขาคล้ายคลึงกับเสนาบดีกลาโหมอย่างน่าประหลาด จะต่างก็เพียงแค่ชายผู้นี้ดูน่าเกรงขามและเยือกเย็นมากกว่า โดยเฉพาะดวงตาคู่สีฟ้าน้ำทะเลนั่น ที่สามารถกดดันคุกคามและสยบผู้อื่นได้ดี โดยที่ไม่ต้องเอ่ยวาจาเชือดเฉือนหรือดุใส่เลยแม้แต่นิดเดียว


“...มีช่วงเวลาที่หายไปจากความทรงจำของเจ้าบ้างไหม”


คำถามของราชครูไบอัสดึงให้อาเดรียน่าเงยหน้าขึ้นสบตาเขา พลางนึกไปถึงครั้งที่ตนต้องตอบคำถามนั้นกับมีรอพส์


“ไม่...ข้าปกติดี อีกอย่างเวทหุ่นเชิดนั่น...”


“ไม่ๆ ข้าไม่ได้หมายถึงเวทหุ่นเชิด สิ่งนั้นทำอันตรายเจ้าไม่ได้อีกแล้ว แต่ที่ถามคือหมายถึงร่างกาย ความคิดและสติของเจ้าเอง”ราชครูแย้งและอธิบายไปพร้อมกัน “แน่ใจนะว่าไม่มีช่วงเวลาหรือเหตุการณ์อะไรที่เจ้าจำไม่ได้ หรือรู้สึกว่างเปล่าบ้างไหม”


อาเดรียน่าครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนส่ายหน้าปฏิเสธย้ำอย่างหนักแน่น “ข้าจำกิจวัตรในแต่ละวันของตัวเองได้ดี”นางตอบ ก่อนจะรู้สึกสะดุดเข้ากับบางอย่างจนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ท่านคิดว่าจะเกิดเรื่องไม่ชอบมาพากลขึ้นกับข้าอย่างนั้นหรือ บางเรื่องที่ข้า...อาจกระทำการบางอย่างโดยไม่รู้ตัว...หรือเจ้าค่ะ”


“ข้าว่าบอกให้นางรู้ตัวไปตรงๆ ดีกว่านะ ระดับสติปัญญาเป็นถึงแพทย์หลวงได้ เรื่องแค่นี้คงไม่ทำให้นางตื่นกลัวจนขาดสติหรอก”


อาเดรียน่าหันไปมองชายสูงวัยที่อยู่ใกล้ราชครูไบอัสอีกครั้ง แม้ดวงตาคู่สีฟ้าน้ำทะเลนั่นจะนิ่งสงบเหมือนเคย หากแต่นางมั่นใจว่ามีประกายของความพึงพอใจบางอย่างอยู่ด้วย แต่พอใจในเรื่องใดนั้น นางไม่อาจล่วงรู้ได้


“ข้าเห็นด้วยกับบารอนมิลานิออน”


รับสั่งนั้นทำให้หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเจ้าชายรัชทายาทอย่างลืมตัว ก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนนัยน์ตาอันเบิกกว้างไปยังผู้ที่ถูกเรียกว่าบารอนมิลานิออน ซึ่งในเวลานั้น อาเดรียน่าก็สามารถหาคำตอบให้ตนเองได้ทันทีว่าเพราะเหตุใดบรรยากาศรอบตัวเขาจึงได้คล้ายคลึงกับเสนาบดีกลาโหมนัก โดยเฉพาะดวงตาคู่สีฟ้าน้ำทะเลนั่น


“ท่านบารอนมิลานิออนเคยทำหน้าที่เสนาบดีกลาโหม ก่อนเกษียณตัวเองออกไปเป็นที่ปรึกษาองค์กษัตริย์ และท่านก็เป็นบิดาของท่านเทเลอัสด้วยเจ้าค่ะ”


คำพูดของมิลันโธดังกึกก้องอยู่ในหัวของอาเดรียน่า ซึ่งทำให้หญิงสาวตื่นตกใจราวกับเห็นดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์ลอยอยู่คู่กันบนท้องฟ้ายามค่ำคืน


“ดูท่าทางเจ้าคงรู้แล้วว่าข้าเป็นใคร”บารอนมิลานิออนพูด มุมปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าใบหน้าสวยหวานของหญิงสาวกำลังมองตาค้างอย่างตื่นตะลึงจนน่าขันมาทางเขา


เมื่อกว่าสิบปีก่อน ใครต่อใครต่างมีสีหน้าท่าทางเช่นนี้ยามรู้ว่าเทเลอัสเป็นลูกชายผู้สืบทอดสกุลต่อจากเขา แต่หลายปีต่อมาทุกอย่างกลับตาลปัตรเสียอย่างนั้น ดูท่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคงสร้างวีรกรรมไว้เยอะ มากกว่าที่ตนได้ยินหรือมีโอกาสได้พบเห็นกับตาตัวเองเสียแล้ว


พอถูกทักเช่นนั้นอาเดรียน่าจึงต้องรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เพราะดูจากสายตาขบขันของคนรอบข้าง นางคงเผลอตกใจออกนอกหน้ามากไปหน่อย


“เอ้า! บอกก็ได้”


ราชครูไบอัสเอ่ยด้วยน้ำเสียไม่ทุกข์ร้อน จนคนนั่งคุกเข่าเกร็งรอฟังคำตอบ ชักเริ่มสงสัยว่านี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยราวกับรอยแผลถูกเล็บข่วนหรือเปล่า แต่ถ้าหากเป็นเช่นนั้นแล้ว เจ้าชายรัชทายาทจะมาประทับฟังด้วยทำไมกัน


“ตลอดระยะเวลากว่าสองเดือนที่ผ่านมา เจ้ารู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับตัวเองบ้างไหม...อย่างเช่นรู้สึกมึนงง เสียววูบราวกับหล่นจากที่สูง หรือรู้สึกเหมือน...ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ทั้งที่ตอนนั้นเวลานั้น มีแค่ตัวเจ้าเอง ไม่มีใครอื่น”


ครั้งแรกที่ได้ยินอาเดรียน่าไม่อาจเข้าใจคำถามเหล่านั้นได้เลย แต่พอราชครูไบอัสเอ่ยประโยคสุดท้ายนั่น ความกระจ่างก็ฉายชัดในห้วงความคิดของหญิงสาวได้ทันที


“ท่านกำลัง...หมายถึง...องค์เทพธิดา”อาเดรียน่าเอ่ยเสียวแผ่วราวกระซิบ และเมื่อแต่ละคนในห้องต่างนิ่งงันไม่ตอบรับ นั่นยิ่งเป็นการตอบรับความคิดของหญิงสาวว่าถูกต้องอย่างที่สุด “ข้าไม่เคย...เป็นแบบนั้น หากไม่นับตอนที่ถูกเวทหุ่นเชิด”


“แสดงว่าดวงจิตเทพธิดายังไม่ฟื้นคืนสติ ยังคงหลับใหลอยู่ในตัวนาง”มหาเสนาบดีลาร์โก้เอ่ยเป็นครั้งแรก พยักหน้าตามคำพูดตนช้าๆ


“ไม่ใช่หลับใหล”ราชครูผู้รอบรู้แย้ง หันมามองใบหน้าของหญิงสาวราวกับจะค้นลึกเข้าไปยังตับไตไส้พุงและกระแสเลือดของนาง “แต่จำศีลต่างหาก แล้วคงเป็นการพักฟื้นเพื่อให้ดวงจิตกลับมาเข้มแข็งดังเดิม หลังจากที่ได้รับความกระทบกระเทือนไปหลายต่อหลายครั้ง”


บารอนมิลานิออนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย กล่าวที่เล่นทีจริง “และในหลายครั้งที่ว่า ดูเหมือนเทเลอัสจะมีส่วนอยู่ด้วยบ่อยครั้งเลยสินะ”


“แน่นอน”


ราชครูรับคำ และหากอาเดรียน่าไม่ได้ตาฝาดหรือคิดไปเอง นางเห็นมุมโอษฐ์เจ้าชายรัชทายาทยกขึ้นเล็กน้อยราวกับขบขัน ก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับเรื่องของตน


“หากดวงจิตเทพธิดากลับมาแข็งแกร่งดังเดิม ข้าจะมีอาการดั่งที่ท่านราชครูไต่ถามใช่หรือไหมเจ้าค่ะ”


ราชครูไบอัสพยักหน้ารับ “หลักๆ ก็ประมาณนั้น”


และนี่เป็นอีกครั้งที่อาเดรียน่าไม่ได้รู้สึกไปเอง ว่าคำตอบนั้นช่างรวบรัดตัดความมากเกินไปจนดูน่าสงสัย แล้วคนอย่างนางก็ไม่เคยยอมปล่อยให้เรื่องของตัวเองผ่านไปโดยยังมีข้อกังขาเสียด้วย


“แล้ว...ที่ไม่ใช่เรื่องหลักๆ ล่ะเจ้าค่ะ”


พระขนงของเจ้าชายรัชทายาทเลิกขึ้นสูงเล็กน้อย ด้วยคาดไม่ถึงว่าหญิงสาวจะเอ่ยถามเช่นนั้น เช่นเดียวกับเสนาบดีลาร์โก้ทีมีท่าทางแปลกใจไม่น้อย แม้แต่คนที่ยืนหน้านิ่งมาตลอดอย่างบารอนมิลานิออนยังมีประกายวิบวับ แสดงออกถึงความพึงพอใจอย่างไม่คิดปิดบัง


ปฏิกิริยาของผู้คนรอบตัวไม่ได้น่าห่วงกังวล ยกเว้นราชครูไบอัสที่ทำหน้าราวกับกำลังอมยาขมไว้ในปาก


หรือว่าข้าไม่สมควรถาม ไม่สิ...นี่มันเกี่ยวข้องกับชีวิตข้านะ -- อาเดรียน่าคิดในใจ หาเหตุผลให้กับตนเองได้สำเร็จ


“ข้าเตือนท่านแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าระดับสติปัญญาของนางน่ะยอดเยี่ยมขนาดไหน”


ราชครูไบอัสกลอกตาไปมาอย่างเบื่อหน่ายกับคำกล่าวของบารอนมิลานิออน ก่อนจะเอ่ยต่อราวกับไม่เคยโดนขัดคอว่า


“หากดวงจิตเทพธิดากลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง นางอาจจะใช้ร่างเจ้า...เป็นบางครั้งคราว”


เมื่อได้ยินคำตอบนั้น เจ้าของร่างที่ว่าเบิกนัยน์ตากว้างอย่างคาดไม่ถึง ร่างกายนิ่งงันไปชั่วขณะราวกับถูกสาปให้กลายเป็นหิน


“ข้ารู้ว่าเจ้าตกใจมาก แต่เชื่อเถอะว่านี่ไม่ใช่เรื่องน่าวิตก หนำซ้ำอาจส่งผลดีกับตัวเจ้าเอง เพราะถึงแม้พลังอำนาจจะไม่ได้ฟื้นคืน แต่เทพธิดาก็สามารถช่วยให้เจ้ารอดปลอดภัยในบางกรณีที่เจอเรื่องไม่คาดฝัน”ราชครูกล่าว นัยน์ตาคู่สีเงินขุ่นมัวจับจ้องหญิงสาวอย่างจริงจัง ประหนึ่งจะสื่อว่าสิ่งที่ตนพูดเป็นความจริงทุกประการ


“แต่เพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน ดีกว่ามาตามแก้ไข ข้าคิดว่า...”สรุเสียงทุ้มเนิบช้าของเจ้าชายดังขึ้นอีกครั้ง ขณะทอดพระเนตรไปยังหญิงสาว “เจ้าต้องฝึกเอาตัวรอดไว้บ้าง”


หัวคิ้วเรียวโค้งขมวดเข้าหากันเล็กน้อยยามได้ยินรับสั่งนั้น ซึ่งเจ้าชายมิได้ขยายความต่อให้หญิงสาวได้เข้าใจอะไรเพิ่มมากขึ้นเลยสักนิด และจะว่าไป อาเดรียน่าไม่คิดคัดค้านความคิดนี้ เมื่อนางเองก็ไม่ชอบความรู้สึกประหนึ่งว่าตนนั้นอ่อนแอจนต้องเป็นภาระให้กับผู้อื่น แต่ถึงกระนั้นก็เถอะ จะให้นางฝึกอย่างไรล่ะ


“มีรอพส์”


“พ่ะย่ะค่ะ”ชายหนุ่มที่ยืนนิ่งอยู่ด้านหลังอาเดรียน่ามาโดยตลอดขานรับ ก้มต้มลงเล็กน้อยเตรียมรับดำรัส


“หัวหน้าเจ้าไปไหน พักนี้ข้าไม่เห็นเขาเลย ยิ่งกว่าเมื่อก่อนอีก”


“ท่านเสนาฯ บอกแค่ว่าจะออกไปนอกเมืองหลวงกระหม่อม”มีรอพส์ตอบ “สั่งไว้เพียงแค่ให้กระหม่อมคอยคุ้มกันอาเดรียน่าพ่ะย่ะค่ะ”หรือที่ถูกก็คือ จับตาดูให้ดี อย่าให้คาดสายตาเด็ดขาด


“ไม่เป็นไร ข้าก็พอรู้ว่าเทเลอัสงานยุ่ง แต่ถ้ากลับมาเมื่อไรบอกให้เขามาพบข้าด้วย”พระองค์รับสั่งกับมีรอพส์ที่ขานรับก้มตัวลงรับดำรัสอีกครั้ง ก่อนจะหันองค์กลับไปยังหญิงสาวที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าพระพักตร์ “ในฐานะตัวแทนองค์กษัตริย์แห่งเซเพรัส ข้าให้คำมั่นสัญญาว่าเจ้าจะปลอดภัย และท้ายที่สุดเมื่อเรื่องราวครั้งนี้จบลงด้วยดี ข้าจะให้กองทหารเกรียติยศไปส่งเจ้าให้ถึงหน้าประตูบ้านเลย”


ขณะก้มหน้าถวายความเคารพ อาเดรียน่ามั่นใจว่ารับสั่งนั้นไม่ได้หมายถึงนางเพียงคนเดียว แต่รวมไปถึงทุกคนที่อยู่ในห้องทรงอักษร เป็นดั่งคำประกาศิตจากพระองค์ ว่างานนี้ต้องสำเร็จเท่านั้น ห้ามพลาดอย่างเด็ดขาด




****************************



กาแฟเย็นIcedcoffee
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 พ.ค. 2557, 11:16:49 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 พ.ค. 2557, 11:16:49 น.

จำนวนการเข้าชม : 789





<< บทที่ 11   บทที่ 13 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account