Adriana
สมบัติล้ำค่าที่สองแคว้นต่างแย่งชิงได้สูญหายไป แต่ทว่าเสี้ยวหนึ่งแห่งพลังอำนาจนั้น กลับแฝงเร้นอยู่ในตัวหญิงสาว ผู้ซึ่งถูกตราหน้าว่าเป็นสายลับของศัตรู // โรแมนติกแฟนตาซี
Tags: โรแมนติกแฟนตาซี,แฟนตาซี,กรีกโบราณ,รัก,การเมือง

ตอน: บทที่ 13

เป็นเวลาเนิ่นนานแล้วที่กษัตริย์แห่งกอรินธ์นั่งประทับอยู่บนเก้าอี้สีขาวกลางอุทยานส่วนพระองค์ ตั้งแต่บ่ายที่แสงแดดแรงกล้า ล่วงเลยไปจนเย็นย่ำที่ดวงอาทิตย์ลอยเลื่อนต่ำลงย้อมท้องฟ้าเป็นสีส้มจ้างๆ ดวงเนตรสีนิลทอดมองไปยังเบื้องหน้า ขณะทรงวางข้อพระบาทไขว้กันไว้หลวมๆ พระองค์แทบไม่ขยับวรกายจนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าดังแว่วข้ามาใกล้

“ถึงข้าจะใจร้ายแต่ก็ไม่คิดฆ่าใครอย่างไร้เหตุผล นั่นหมายความว่าข้ามีเหตุผลมากพอที่จะฆ่า เทเลอัส”รับสั่งอย่างเรียบสงบราวกับกำลังชวยคุยเรื่อบรรยากาศในช่วงอาทิตย์ตกดิน “หลายครั้งที่ข้าคิดว่าจบ แต่เขากลับทำทุกอย่างพัง มันน่าหงุดหงิดนะ”พระองค์ปรายพระเนตรไปยังร่างของราชครูบาซิลที่ก้มศีรษะลงเล็กน้อย สองมือประสานกันอยู่ด้านหน้าหลวมๆ


องค์ประมุขของเขากำลังกริ้วหนัก --นั่นคือสิ่งที่ราชครูบาซิลรับรู้ได้ชัดเจนยามนี้ ด้วยท่าทางลักษณะเช่นนั้น ไม่จำเป็นต้องอาละวาดสั่งลงโทษหรือตะโกนโหวกเหวกเสียงดัง แค่ทรงทำดั่งเช่นตอนนี้ บรรดาข้าราชบริพารทุกคนก็รู้ดีว่าหายนะกำลังมาเยือน


“อย่าให้ข้าต้องลงมือเอง”


รับสั่งนั้นทำให้ราชครูต้องก้มศีรษะลงต่ำกว่าเดิม รู้สึกว่าอากาศรอบตัวอบอ้าวขึ้นทันใด


ห้ามพลาดอีกเด็ดขาด


นั่นคือความหมายที่แท้จริงของรับสั่งนั้น กษัตริย์กอรินธ์ไม่ใช่คนพระทัยเย็น และสิ่งที่ทรงรังเกียจมากที่สุดคือความพ่ายแพ้ ขายหน้า หากมีใครทำให้พระองค์ผิดหวังกับเรื่องเหล่านี้บ่อยครั้ง โอกาสชะตาขาดจะเพิ่มขึ้นสูงจนน่าหวั่นวิตก ไม่เว้นแม้แต่กระทั่งตัวราชครูบาซิล


“ทีนี้บอกข้ามาสิ...ว่าเจ้าจะลงมืออีกเมื่อไร ราชครูของข้า”พระองค์ตรัสด้วยสุรเสียงที่เยียบเย็น


“ไม่ใช่เร็ววันนี้แน่กระหม่อม เราต้องรอ”


“เมื่อไร”


“เมื่อพวกนั้นเริ่มเคลื่อนไหว”ราชครูตอบ เงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์ขององค์ประมุข ที่ตอนนี้พระขนงเลิกขึ้นสูงเล็กน้อยเพื่อเร่งให้ตนอธิบายต่อ “หากบุกเข้าวังหลวงเซเพรัสอีกครั้งก็เท่ากับเราฆ่าตัวตาย เพราะเทเลอัสคงตั้งท่ารับมือหนักกว่าเดิม และกระหม่อมมั่นใจว่าครั้งนี้เขาจะจับกุมหรือสังหารคนของเราได้สำเร็จแน่ ดังนั้นสิ่งที่เราสมควรทำที่สุดในตอนนี้คือรอพ่ะย่ะค่ะ”


กษัตริย์ถอนพระทัยเสียงดัง นัยน์เนตรบ่งชัดว่าไม่พอพระทัยและไม่เห็นด้วยกับวิธีนี้เลย


“เจ้าก็รู้ ว่านอกเหนือจากคำว่าแพ้ข้ายังเกลียดคำอื่นอีก หนึ่งในนั้นคือคำว่ารอ”


ราชครูค้อมศีรษะลงอีกครั้ง “กระหม่อมทราบดีพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท แต่สถานการณ์ในตอนนี้เราต้องเป็นฝ่ายรอเท่านั้น”


“ทำไม!”รับสั่งถามด้วยสุรเสียงห้วนสั้นอย่างเหลือจะอดทน


“เราต้องนิ่งรอเพื่อให้ราชครูไบอัสเคลื่อนไหวกระหม่อม”


“เจ้าแน่ใจ?”พระองค์ตรัสถามอย่างเคลือบแคลง “หากเปรียบเทียบสถานการณ์ของทั้งสองแคว้น ฝ่ายเราสิที่ต้องเร่งรีบลงมือ ไม่เช่นนั้นเราจะเสียเปรียบ เช่นนั้นแล้วเหตุใดข้าจึงต้องรอ...เพื่อเพิ่มโอกาสแพ้ให้ตัวเอง อย่างนั้นรึ!”


“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ”ราชครูทูลตอบอย่างใจเย็น “จริงอยู่ที่ว่าหากเปรียบเทียบกันแล้วฝ่ายเราเสียเปรียบ แต่ที่ผ่านมาเราเป็นฝ่ายรุกโจมตีมาตลอด ในแต่ละครั้งก็สร้างความโกลาหลไว้มากมาย กระหม่อมเชื่อว่าความวุ่นวายเหล่านั้นกำลังเริ่มบั่นทอนความรู้สึกมั่นคงให้กับแคว้นเซเพรัสอย่างช้าๆ จนในที่สุดพวกเขาจะเป็นฝ่ายเคลื่อนไหว ด้วยเกรงว่าหากมัวแต่ตั้งรับหรือชักช้าอาจพลาดให้กับแคว้นของเรา ซึ่งกระหม่อมว่าคนต้นคิดแผนการทั้งหมดครั้งนี้ คงหนีไม่พ้นราชครูไบอัสแน่นอน”


ดวงเนตรขององค์กษัตริย์หรี่เล็กลงเมื่อได้รับฟังคำกล่าวนั้น “ทุกครั้งที่ราชครูไบอัสเป็นต้นคิดแผนการ ผู้ที่ลงมือปฏิบัติคือเทเลอัส แล้วนั่นไม่เท่ากับว่าการรอคอยครั้งนี้จะยิ่งยากลำบากสำหรับเราอย่างนั้นรึ”


“แน่นอนกระหม่อม เพราะนั่นคือสิ่งที่ราชครูไบอัสคิด ถึงเขากับเทเลอัสจะคัดแย้งเรื่องความคิดในหลายต่อหลายครั้ง แต่คนที่ราชครูไบอัสไว้ใจและนับถือมากที่สุดคนหนึ่งก็คือเทเลอัส และแน่นอนว่าเมื่อทั้งสองร่วมมือกันงานของเราจะยิ่งยากลำบาก แต่พวกเขาจะพลาด... เพราะเขาไม่รู้เรื่องที่เรารู้”ใบหน้ายาวรีขาวจนเกือบซีดนั้นราบเรียบนิ่งเฉย หากแต่นัยน์ตากับพราวระยับด้วยเล่ห์กลชั้นเชิง “สุดท้ายคนที่ลำบากจะไม่ใช่พวกเรา กระหม่อมแทบจะมองเห็นภาพราชครูไบอัสหัวเสียจนดิ้นพล่านเลยทีเดียว”


พระพักร์ที่เคยเฉยเมยของกษัตริย์กอรินธ์แปรเปลี่ยนไปอย่างพึงพอพระทัย “ท่านพูดจนข้าอยากเห็นภาพนั้นเหลือเกิน”มุมโอษฐ์กระตุกขึ้น แต่นัยน์เนตรยังคงน่าหวาดหวั่นเช่นเดิม “หากท่านมั่นใจหนักหนาข้าคงต้องรอดูผลงาน และครั้งนี้หวังว่าท่านคงไม่ตอบแทนความเชื่อใจของข้าด้วยคำว่าพลาดอีกหรอกนะ”


ราชครูบาลซิลคุกเข่าลง ศีรษะก้มต่ำขณะเอ่ยให้คำมั่นกับองค์ประมุขของตน “กระหม่อมขอสัญญาด้วยชีวิต ว่าจะไม่ทำให้ฝ่าบาททรงผิดหวัง”



~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~



เสียงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายดังขึ้น ก่อนเจ้าของร่างสูงจะค่อยๆ ย่อกายลงนั่งบนพื้นหญ้า เอนหลังพิงต้นไม้ใหญ่พลบแสงแดดในยามบ่ายของต้นฤดูร้อน นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลค่อยๆ ปิดลงตาม ดูผิวเผินราวกับกำลังหลับพักผ่อน หากแต่ความเป็นจริงในสมองนั้นยังคงทำงานอยู่ตลอดเวลา เรื่องราวมากมายยังคงวนเวียนเข้าออกไม่หยุดหย่อนและดูท่าทางจะหนักขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเรื่องล่าสุดที่เพิ่งได้รับคำสั่งมา


“เฮ้อ!”


เสียงถอนหายใจหนักกว่าครั้งแรกดังขึ้นอีก แต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะติดอารมณ์เสียจนเปลือกตาที่เพิ่งปิดสนิทลงได้ไม่นานต้องเปิดขึ้นอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้


“ข้ารู้ว่าเจ้าลำบากใจ แต่ข้าก็มองไม่เห็นว่าจะมีใครเหมาะสมมากไปกว่าเจ้าแล้วจริงๆนะ เทเลอัส”


รับสั่งของเจ้าชายรัชทายาทยังคงแจ่มชัดอยู่ในโสตประสาทของเทเลอัส ทันทีที่กลับมาถึงวังหลวง เขาก็ถูกตามตัวให้ไปเข้าเฝ้า ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา เทเลอัสเจอเหตุการณ์เช่นนี้บ่อยครั้งจนชินชา อีกอย่างก็ถือเป็นหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติอยู่แล้ว แต่พระประสงค์ของเจ้าชายรัชทายาทที่มีรับสั่งกับเขานี่สิ พระองค์ดูออกว่าเขาลำบากใจและทรงรู้อีกเช่นกันว่าไม่มีใครเหมาะสมมากไปกว่าเขาอีกแล้ว ถึงจะไม่เต็มใจ ไม่พอใจ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกัน


“เจ้าชายดักทางออกเจ้าไว้ทุกทางเลยเชียวล่ะ ทรงพระปรีชาจริงๆ”


เสียงเยาะเย้ยถากถางของซาลาคลอสที่ถูกเรียกให้เข้าเฝ้าด้วยเช่นกัน คอยตามตอกย้ำว่าเขาไม่มีหนทางหลุดพ้นไปจากเรื่องนี้ได้เลย และเหมือนสหายสนิทจะบอกแฝงความนัยน์มาด้วยว่า ให้เขาก้มหน้าก้มตาทำตามพระประสงค์ของเจ้าชายรัชทายาทเสียเถอะ


“รู้ไหมว่าการถอนหายใจหนึ่งครั้งจะทำให้คนเราแก่ลงหนึ่งปี และที่สำคัญ มันทำให้คนรอบข้างรู้สึกหดหู่ตามไปด้วย”


เทเลอัสเงยหน้ามองโอโดวาร์คาที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ ครั้งพอหยุดยืนอยู่ตรงหน้า ผู้เป็นลุงก็เสริมขึ้นอีกว่า


“และเจ้าคงไม่ลืมไปหรอกนะว่าที่นี่คือโรงคนป่วย มานั่งถอนหายใจทิ้งเรี่ยราด คนเจ็บคนป่วยจะพลอยอาการกำเริบก็เพราะเจ้า”


เทเลอัสมองซ้ายขวาจนทั่ว ก่อนเงยหน้าขึ้นไปยังผู้เป็นลุงที่ยังคงยืนปักหลักอยู่ที่เดิม “ท่านลุงพูดว่าการถอนหายใจของข้าทำให้คนรอบข้างรู้สึกหดหู่ไปด้วย”


“ถูกต้อง ข้าพูดแบบนั้น”


“ถ้าเช่นนั้นข้าก็ไม่ต้องกังวลอะไรมากมาย เพราะตอนนี้รอบตัวข้ามีแค่ท่านลุงคนเดียว”


โอโดวาร์คารู้สึกได้ทันทีว่าเส้นเลือดที่ขมับตนอูมเป่งขึ้นเล็กน้อยทันทีที่ได้ยินประโยคกวนโสตประสาทของหลานชาย จนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซวกลับอย่างนึกหมั่นไส้


“แล้วมานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้ หรือจะมาแลกเวรกับมีรอพส์ คอยคุ้มกันอาเดรียน่า”


“ข้าไม่ได้ว่างขนาดนั้น”เทเลอัสสวนกลับ ปรายตามองผู้เป็นลุงที่กำลังยืนกระหยิ่มยิ้มย่องด้วยความพึงพอใจ “คนดีของท่านลุงอยู่ที่ไหน”


คำถามนั้นเล่นเอารอยยิ้มบนใบหน้าของโอโดวาร์คาหายไปในบัดดล และแทนที่ด้วยความงุนงงระคนแปลกใจ เมื่อจู่ๆ เทเลอัสก็เปลี่ยนเรื่องเสียอย่างนั้น “ที่เจ้าถาม ใช่อาเดรียน่าหรือเปล่า”


“แล้วจะเป็นใครไปได้ล่ะ”


คราวนี้เป็นโอโดวาร์คาบ้างที่ต้องถอนหายใจหนักๆ อย่างเบื่อหน่ายแกมเอือมระอา “ข้าไม่เข้าใจเจ้าจริงๆ ว่าทำถึงไม่เรียกชื่อนางดีๆ จะเรียกประชดเหน็บแนมไปทำไมกัน”


“เปล่าเลย”เทเลอัสปฏิเสธหน้าตาย “นางเป็นคนดี ไม่ใช่นักโทษ... ไม่ว่าใครๆ ก็พูดกันเช่นนั้น ดังนั้นการที่ข้าจะเรียกนางว่าคนดี ก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องแปลก”


ชายชราได้แต่นึกปลงอยู่ในใจ เลือกที่จะเป็นฝ่ายยอมแพ้ เพราะหากยังขืนดึงดันต่อไป โอกาสที่จะถูกก่อกวนจนประสาตเสียดูท่าจะมีสูงจนน่ากลัว


“อาเดรียน่าอยู่ที่หออภิบาล กำลังรักษาพวกทหารที่เป็นลูกน้องเจ้านั่นล่ะ”เขาบอก พลางพยักพเยิดหน้าไปยังอาหารหลังใหญ่สีขาวสะอาดตา ที่อยู่ไม่ห่างออกไปมากนัก”


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~


“แผลถูกไฟลวกพวกนี้ต้องใช้เวลาในการรักษานานกว่าปกติทั่วไป ต้องรักษาความสะอาดให้ดี อย่าให้ถูกเหงื่อ ถูกฝุ่นหรือน้ำ ต้องล้างแผลทำความสะอาดบ่อยๆ”


“อ้าว สั่งแบบนี้แล้วจะให้ข้าทำอย่างไรล่ะท่านหมอ”


อาเดรียน่าที่กำลังสาละวนอยู่กับการทำความสะอาดแผลไฟลวกบนท่อนแขนของนายทหารร่างท้วมรายหนึ่งจำต้องละจากงานของตน เงยหน้าขึ้นมองคนเจ็บที่เพิ่งส่งประโยคประท้วงกลับมาพร้อมด้วยสีหน้างงงันขัดใจ


“ทำไมเหรอ”หญิงสาวจำเป็นต้องถามกลับ ด้วยตนก็งุนงงกับท่าทีนั้นเช่นกัน


“ก็ท่านส่งให้ข้ารักษาความสะอาด ล้างแผลบ่อยๆ แต่ไม่ให้ถูกน้ำ! แล้วแบบนี้ข้าจะล้างแผลได้ยังไงกันล่ะ!”


หากไม่ติดว่าตนกำลังปฏิบัติหน้าที่ทำตัวเป็นแพทย์หลวงผู้น่านับถือ อาเดรียน่าคงได้หลุดหัวเราะกับคำถามนั้นไปแล้ว


“พูดแบบนี้แสดงว่าตลอดสองสามวันที่มานอนรักษาตัวอยู่ที่นี่ เจ้าไม่เคยสังเกตเลยอย่างนั้นสินะ ว่าท่านหมอเขารักษาเจ้าอย่างไรบ้าง”


คราวนี้หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองมีรอพส์ที่ยืนอยู่อีกฝากของเตียงคนเจ็บ ฟังจากน้ำเสียงและสีหน้า นั้น บ่งชัดว่าชายหนุ่มเองก็พยายามเก็บกลั้นเสียงหัวเราะของตนเช่นกัน


“เออ คือ...”นายทหารผู้นั้นยิ้มแหย ก้มศีรษะลงต่ำเล็กน้อย “ก็...ไม่ค่อยได้สังเกตน่ะขอรับ”


“มัวแต่มองอย่างอื่นล่ะสิ”


มีรอพส์เอ่ยอย่างรู้ทัน พลางส่งสายตาคาดโทษไปยังลูกน้องที่ก้มศีรษะอีกครั้งพร้อมเอ่ยคำขอโทษอย่างรวดเร็ว เห็นแล้วก็ได้แต่ปลงอนิจจัง เขาเองก็เป็นผู้ชาย ย่อมเข้าใจดีว่าการมีหญิงสาวหน้าตาสะสวยมาคอยทำหน้าที่ประคบประหงมระหว่างเจ็บป่วยน่ะ มันน่าปลาบปลื้มแค่ไหน แต่ที่ต้องเตือนกันบ้างเพราะบรรดาลูกน้องของเขาต่างแสดงออกนอกหน้าจนเกิดควร และที่สำคัญ... ถ้าท่านหัวหน้าเทเลอัสมาเห็นเข้าล่ะก็ คงได้โดนหางรางวัลอะไรเข้าสักอย่างบ้างล่ะ


ยังไม่ทันจะสิ้นความคิดของตน มีรอพส์ก็ต้องสะดุ้งเฮือก ดวงตาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยขณะมองไปยังประตูทางเข้า ซึ่งตอนนี้ท่านเสนาบดีกลาโหมกำลังหยุดยืนอยู่ ใบหน้าคมเข้มนั้นนิ่งเสียจนมีรอพส์นึกหวาดว่าผู้เป็นหัวหน้าอาจจะมายืนอยู่ได้ครู่ใหญ่แล้ว ซึ่งคงนานมากพอจะเห็นหรือได้ยินอะไรต่อมิอะไรที่ไม่น่าจะได้รับรู้


ได้แต่หวังว่างานนี้เขาคงไม่โดนหางรางวัลที่ว่านั่นด้วยหรอกนะ


ท่าทางที่เหมือนอยากจะมุดเตียงคนไข้หนีอย่างกระทันของมีรอพส์ ทำให้อาเดรียน่าอดสงสัยไม่ได้ และทันทีที่เบนสายตามองตามไป หญิงสาวก็ได้พบกับต้นเหตุซึ่งกำลังเดินเข้ามาหยุดอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลตนนัก


ทั้งชีวิตทำหน้าตาอารมณ์อื่นไม่เป็นแล้วรึยังไง


อาเดรียน่าต่อว่าในใจเมื่อเห็นสีหน้าบอกบุญไม่รับของเสนาบดีกลาโหม พลางรอบถอนหายใจเบาๆ แล้วหันกลับมาจัดการเก็บข้าวของบนเตียงคนเจ็บ


“ขอรบกวนเวลางานสักครู่ ข้ามีธุระสำคัญจะคุยด้วย”


พอได้ยินคำพูดนั้นหญิงสาวก็ยกถาดสีเงินที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ทำแผลไว้ในอ้อมแขน แล้วเอ่ยกับมีรอพส์ “ถ้าอย่างนั้นข้าไปรอที่ห้องปรุงยานะ”พูดจบก็ลุกขึ้น เตรียมสาวเท้าออกไปจากหออภิบาล หากแต่ยังไม่ทันได้ขยับก้าวเดิน เสียงทุ้มของเสนาบดีกลาโหมก็ดังขัดขึ้นก่อน


“ข้าพูดกับเจ้า ไม่ใช่มีรอพส์”


ไม่เพียงแค่มีรอพส์หรือคนไข้รอบห้องที่พากันกะพริบตาปริบๆ อย่างเกินความคาดหมาย แต่หญิงสาวผู้ถูกเรียกรั้งไว้นั้นหยุดยืนค้างนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนค่อยๆ หันกลับไปมองด้วยสีหน้างงงันคาดไม่ถึง


“กับข้าเหรอ”หล่อนถาม มองเสนาบดีกลาโหมที่ยังคงทำหน้าตายเช่นเดิมราวกับว่าเขาเห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดา มิได้น่าแปลกประหลาดตรงไหน


“ออกไปคุยกันข้างนอก”เทเลอัสบอกทิ้งท้ายแล้วเดินกลับออกไป โดยไม่คิดจะอธิบายเหตุผลใดให้กับหญิงสาว ที่ยังยืนค้างอยู่กลางห้องเลยสักนิด


ผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อเริ่มเรียกสติตัวเองกลับมาได้ อาเดรียน่าก็หันขวับไปหาตัวช่วยทันที


“มีรอพส์!”


“ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่”มีรอพส์ชิงพูดเสียก่อน ยิ้มขำสีหน้าท่าทางของหญิงสาว “ไม่ต้องกังวลหรอกน่า ท่านหัวหน้าไม่จับเจ้าขังคุกหลวงอีกแน่ๆ”


“แต่ว่า...”


“ถ้าคิดจะทำ ท่านหัวหน้าคงสั่งทหารให้ลากตัวเจ้าออกไปแล้ว ไม่มีทางเดินมาบอกว่ามีธุระจะคุยด้วยแล้วเดินออกไปรอก่อนแบบนี้หรอก”ชายหนุ่มอธิบายให้คู่สนทนาฟัง พลางยิ้มกว้างอีกเล็กน้อย “ปกติข้าเห็นเจ้าเถียงท่านหัวหน้าคอเป็นเอ็น ทำไมวันนี้ถึงได้หงอนักล่ะ”


หญิงสาวเบ้หน้าหนี ถอนหายใจแผ่วยาวกับคำหยอกเย้านั้น “เจ้าลองมาเป็นข้าดูสิ -- ไม่เคยเข้าใจว่าทำไมต้องมาเจอเรื่องเล่านี้ ยืนยันหนักแน่นว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่สุดท้ายก็ลุกขึ้นมาทำร้ายคนอื่น ถึงจะบอกว่าข้าทำไปเพราะถูกร่ายเวทใส่ แต่...เหตุผลเหล่านี้ก็มากพอที่เขาจะสั่งขังข้าได้อีก” แล้วไหนจะเรื่องที่ขอให้เสนาบดีกลาโหมช่วยอีกล่ะ อาเดรียน่าคิดในใจ หากนางเชิดหน้าเถียงใส่ฉอดๆ เหมือนเมื่อก่อน มีหวังงานนี้ไม่ใช่แค่ถูกจับขังคุก แม้แต่เรื่องตามหาตัวซีย์น่าก็คงจะพังทลายอย่างไม่เหลือความหวังอีกต่อไป


มีรอพส์ยกสองมือขึ้นกอดอก เอ่ยย้ำอีกครั้งอย่างหนักแน่นให้กำลังใจ “เอาเป็นว่าตอนนี้เจ้าไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ แค่รีบออกไปพบท่านหัวหน้าก็พอ เพราะถ้าปล่อยไห้รอนานไปกว่านี้ ข้าว่าไม่ดีแน่ๆ”



************************************



กาแฟเย็นIcedcoffee
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 พ.ค. 2557, 11:17:15 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 พ.ค. 2557, 11:21:13 น.

จำนวนการเข้าชม : 795





<< บทที่ 12   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account