สาปเล่ห์สิเน่หา
เรื่องราวของสองธิดาชาวฮาง ที่เดิมพันหัวใจด้วยชายหนุ่มแห่งหมู่บ้านแม่นาง

ใคร...จะได้ครอบครองความรัก
ใคร...จะได้หัวใจของชายคนนั้น
แล้ว...
ใคร...จะเจ็บปวดที่สุดกับรักครั้งนี้

Tags: ความรัก ความแค้น แรงริษยา การแย่งชิง เล่ห์ มนตรา

ตอน: ตอนที่ ๒ สมบัติพันปี!!!

ตอนที่ ๒

“ครั้งนี้มันจะเหลวอีกไหมครับอาจารย์”

หนึ่งในจำนวนผู้ร่วมคณะสำรวจหันไปทางดอกเตอร์ชีวิณที่นั่งทำหน้าเคร่งมองแผนที่โบราณอยู่ในเต็นท์กลางป่าใหญ่

ดอกเตอร์ชีวิณ สินธุคา นักโบราณคดีหนุ่ม พื้นเพเป็นชาวจังหวัดน่านโดยกำเนิดเขาปรารถนาที่จะฟื้นฟูเมืองน่านซึ่งเป็นเมืองเก่าให้เป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและยังมีความเชื่อในเรื่องเมืองโบราณที่สาบสูญรอการค้นหา หลังจากเรียนจบ ภารกิจหลักในการกลับสู่บ้านเกิดก็คือการขุดค้นหาเศษซากของเมืองโบราณในลุ่มน้ำน่านตอนบน กระทั่งเขาได้ค้นพบกับสมบัติของชาติอีกชิ้นหนึ่งที่บ่งบอกว่านอกจากวรนครเมืองเก่าน่านที่ดอยภูคาแล้ว ก่อนหน้านั้นยังมีหลักฐานว่าพื้นที่ในแถบถิ่นดินแดนนี้ยังมีอีกเมืองหนึ่งที่ตั้งมาก่อนหลายเมือง เมืองที่เคยปรากฏความรุ่งเรืองในยุคกว่าพันห้าร้อยปีที่ผ่านมา นั่นก็คือเมืองฮาง

ดอกเตอร์ชีวิณเขียนโครงการเพื่อขอทุนในการสำรวจค้นหา เขาต้องนำเสนอหลักฐานข้อมูลที่มีอยู่น้อยนิด ทว่าทำให้น่าสนใจจนกระทั่งทางกรมศิลปากรยอมให้ทุน แล้วจึงนำคณะสำรวจเดินทางสู่พื้นที่ซึ่งสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นที่ตั้งของเวียงฮางในอดีต เวียงฮางที่เคยเป็นเพียงนิทานปรำปราเล่าขานกันมาเนิ่นนาน เพื่อพิสูจน์ให้โลกได้รับรู้ว่าที่นี่เคยมีอยู่จริง

“มันจะต้องไม่เหลวสิ อาจารย์เชื่อว่าอีกไม่นานพวกเราจะต้องพบเจอกับหลักฐานบางอย่างที่บอกถึงความเป็นเวียงฮางอย่างแน่นอน” ดอกเตอร์หนุ่มเอ่ยพร้อมเงยหน้าขึ้นมองอิทธิพล...อาสาสมัครหนุ่มจากรั้วมหาวิทยาลัยชื่อดังซึ่งขอร่วมเดินทางมาสำรวจในครั้งนี้ด้วย

“คราวที่เราเข้าสำรวจที่อำเภอแม่จริมกับอำเภอเวียงสาเราก็เหลวมาครั้งหนึ่งแล้วนะครับ” อิทธิพลว่า

ความตั้งใจคราวแรกซึ่งเหมือนว่ามันจะแรงกล้า ไปไหนไปกันบุกป่าฝ่าฟันไม่เกี่ยง ทว่าเวลานี้พลังใจที่มีมันกลับลดถดถอยไปมากหลังจากที่งานค้นหาล้มเหลวมาแล้วถึงสองครั้ง ครั้งแรกที่อำเภอแม่จริม เพื่อนอาสาสมัครหญิงเป็นไข้ป่ากลับมาเกือบเอาชีวิตไม่รอด ส่วนครั้งที่สองก็ไม่พบอะไร นอกจากหินเก่าๆ ในเขตป่าแถบชายแดนอำเภอเวียงสาและอำเภอสองของจังหวัดแพร่เท่านั้น แล้วครั้งนี้ล่ะ เข้าป่ามาลึกจนเกือบจะข้ามเขตแดนไปยังอีกจังหวัดหนึ่งแล้วทุกอย่างก็ยังคงเดิม

“ทำงานกับอาจารย์ก็ต้องอดทนสิ ดูอย่างรุ่นพี่ของเธอพวกเขายังขยันตั้งใจกัน ถึงมันจะเหลวสักกี่ครั้งแต่เธอรู้ไหมเมื่อความสำเร็จเดินทางมาถึง นายจะรับรู้ถึงความหอมหวานของมัน ภาคภูมิใจเมื่อสิ่งที่เราการค้นพบถูกจารึกลงหน้าประวัติศาสตร์ อดทนเอานะ อีกนิดเดียวเท่านั้น อย่าลืมถึงความตั้งใจของเธอในคราวแรกสิ” ดอกเตอร์ชีวิณวางมือลงบนบ่าของอาสาสมัครหนุ่มมือใหม่อย่างให้กำลังใจ

อิทธิพลนึกย้อนไปถึงประกายแสงอันแรงกล้าของความฝันตนเอง ใช่...เขาลืมมันไปได้อย่างไร เขาลืมความฝันที่อยากจะค้นหาเมืองโบราณสมบัติของชาติและเป็นหนึ่งในจำนวนนักโบราณคดีที่ค้นพบสมบัติอันล้ำค่าได้อย่างไรกัน ...แล้วไฟฝันที่กำลังจะมอดดับ ก็ค่อยๆ กระพือขึ้นมาทีละน้อยด้วยกำลังใจของดอกเตอร์ชีวิณผู้ที่มีความฝันเดียวกัน

“อาจารย์ครับอาจารย์” ชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งมาหาดอกเตอร์ชีวิณด้วยรอยยิ้มดีใจ “เจอแล้วครับ เจอแล้ว”

เสียงหนึ่งที่บ่งบอกถึงความดีใจ ร้องเรียกขานดังมาให้ได้ยินถึงในเต็นท์พัก ทั้งอาจารย์และศิษย์หนุ่มต่างมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ

“เจออะไรกาว” ดอกเตอร์ชีวิณถึงกับลุกจากเก้าอี้ผ้าใบ ด้วยความรู้สึกตื่นเต้นอันเกิดจากความหวังที่ถูกจุดประกายขึ้น

“เจอภาพเขียนบนผนังในถ้ำที่เราสำรวจกันครับ เป็นภาพวาดเก่าๆ คล้ายวิถีชีวิตของคนสมัยก่อนฮะอาจารย์”

“ไหน นำไปสิ”

ทั้งสามออกจากเต็นท์เดินตามกันไปยังผาหินสูงเสียดฟ้าจนต้องแหงนคอตั้งบ่ามอง มีเพียงกลุ่มไม้เล็กๆ เท่านั้นที่ขึ้นอยู่หรอมแหรม กลุ่มหินที่พวกเขาเดินตรงไปนั้นเป็นกลุ่มหินที่เพิ่งถล่มลงมาจากการกัดเซาะของน้ำฝนเมื่อหนึ่งเดือนก่อน วางเกะกะขวางเส้นทางผ่านเข้าไปยังผาสูง ที่ปรากฏให้เห็นเป็นปากถ้ำเล็กๆ อยู่เบื้องหน้า

ทั้งสามเดินติดตามกันเข้าไปในถ้ำซึ่งมีแต่กลุ่มหินวางระเกะระกะลงไปภายใน สัมผัสถึงความเย็นและความอับชื้นกับกลิ่นมูลค้างคาวจนต้องยกมือขึ้นปิดจมูก กวินฉายไฟไปด้านหน้านำทางดอกเตอร์ชีวิณเข้าไปตามช่องทางอย่างระมัดระวัง กว่าสองร้อยเมตรก็พบกลุ่มอาสาสมัครอีกจำนวนหนึ่งยืนออกันอยู่ แสงตะเกียงให้ความสว่างมากพอที่จะมองเห็นรอบๆ ถ้ำแห่งนั้นโดยไม่ต้องเดินสะดุด

“ไหนก้อย นายกาวบอกว่าเจอภาพเขียนหรือ มันอยู่ตรงไหน” ชีวิณหันไปทางหญิงสาวอีกคนผู้ทำหน้าที่คุมกลุ่มคนสำรวจในถ้ำชั่วคราวแทนดอกเตอร์หนุ่มที่ออกไปพักผ่อนและหาข้อมูลด้านนอกถ้ำ

“ใช่ค่ะอาจารย์ ตรงนี้ค่ะ เป็นกลุ่มภาพเล็กๆ จนพวกเราเกือบจะมองข้าม ก้อยไม่รู้ว่าเป็นภาพอะไร เขียนในสมัยไหน”

ดอกเตอร์หนุ่มไม่พูดอะไรต่อ เขาเดินตรงดิ่งไปหากลุ่มคนที่หลีกทางเป็นช่อง ไฟฉายในมือส่องไปยังภาพวาดหรือตัวอักษรที่ขีดเขียนด้วยหินสีหรืออะไรบางอย่างเป็นภาพวิถีชีวิตของคนกลุ่มหนึ่งอย่างสนใจ

“ไม่ใช่ถูกเขียนขึ้นใหม่อย่างแน่นอน” เขาว่าแล้วมองต่อ ทั้งไล้มือไปตามผนังอย่างตื่นเต้น “ไม่ใช่ภาพเขียนสีด้วย แต่เป็นภาพแกะสลักลงบนเนื้อหิน”

“ว่าไงนะครับอาจารย์ ไม่ใช่ภาพเขียนสีหรอกหรือครับ” อิทธิพลเอ่ยถามด้วยความรู้สึกตื่นเต้นไม่แพ้กัน ทั้งใช้มือลูบไล้ภาพที่ปรากฏบนผนังนั้นบ้าง

“เท่าที่ดูเทคนิคการแกะสลักคล้ายที่ปราสาทนครวัดหรือไม่ก็ในปราสาทศรีเทพที่เพชรบูรณ์ แต่ลายสลักคล้ายวัฒนธรรมทางจีนตอนใต้มากกว่าเขมร เหมือนจะเป็นภาพขบวนแห่อะไรสักอย่าง”

“เก่าแก่มากเลยค่ะอาจารย์ ถ้าเป็นอย่างที่อาจารย์คาดคะเน ภาพนี้ก็น่าจะอยู่ในช่วง...”

“ช่วงพุทธศตวรรษที่ สิบเอ็ดถึงสิบหกหรืออาจจะมากกว่านั้น” ดอกเตอร์ชีวิณเอ่ย ทั้งลูบไล้ฝ่ามือไปตามแผ่นภาพที่ปรากฏจนทั่ว กระทั่งสัมผัสเข้ากับปุ่มหินหนึ่ง ทั้งกดน้ำหนักลงไปบนนั้นอย่างไม่ตั้งใจ

ครืด ด ด

เสียงประหนึ่งบางสิ่งบางอย่างลากกับพื้นถ้ำยืดยาว ชายหนุ่มชะงักหันไปมองทุกคนที่อยู่ในนั้นแล้วร้องเตือน

“ทุกคน เพื่อความปลอดภัยอาจารย์ขอให้พวกเธอออกจากถ้ำนี้ไปก่อน”

“แล้วอาจารย์ล่ะคะ” สาวก้อยถามด้วยความเป็นห่วง ในขณะที่คนอื่นๆ ต่างทยอยออกจากถ้ำหลังได้ยินเสียงผิดปกติและคำเตือน

“อาจารย์จะรอสังเกตการสักพัก”

“ถ้าอย่างนั้นให้ผมอยู่ด้วยครับ” กวินว่าแล้วขยับเข้าไปใกล้อาจารย์

“ก้อยด้วยค่ะ”

“ตามใจ แต่ต้องระวังตัวให้มาก ถ้ำนี้ถูกเปิดเพราะฝน ถึงจะเป็นถ้ำเก่าแต่เราก็ไม่รู้ว่ามันจะพังทลายลงมาเหมือนหินผาข้างนอกหรือ
เปล่า”

“ครับอาจารย์ เราสองคนจะระวัง” กวินเอ่ยรับปากด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

ได้ข้อสรุปทั้งสามจึงหันไปสนใจกับปุ่มหินที่ดอกเตอร์ชีวิณเพิ่งจับจนทำให้เกิดเสียงดังเมื่อสักครู่ เขาวางมือลงบนปุ่มหินนั้นอีกครั้งแล้วลงน้ำหนักมือกดลงไปใหม่

ครืด ด ด

คราวนี้ชัดเจน เสียงครืดนั้นดังจากการกดมือลงบนปุ่มหินที่ขยับยุบเข้าไปภายใน

ครืด ด ด

“อาจารย์ ระวังครับ”

กวินคว้าแขนของดอกเตอร์ชีวิณเอาไว้ได้ทันก่อนที่อีกฝ่ายจะถูกชนด้วยแท่งหินขนาดใหญ่เลื่อนออกจากผนังมาตรงหน้า พวกเขาถอยห่างอย่างตะลึงซึ่งถ้าในนั้นสว่างพอที่จะให้เห็นสีหน้าของแต่ละคนก็จะรู้ว่าบนใบหน้าของพวกเขาซีดสนิทไร้เลือดฝาดเพราะความตกใจ

พอแท่งหินนั้นเคลื่อนออกจากผนังจนหมดแผ่นลมหอบใหญ่ก็โกรกกันออกมาจากช่องที่หินเพิ่งออกมา พร้อมกับกลุ่มฝุ่นผงเศษหินเศษดินปลิวว่อนเข้าตาจนแสบ

สายลมอื้ออึงอยู่ราวสองนาทีทุกอย่างก็สงบ ทั้งดอกเตอร์ชีวิณ ก้อยและกวิน ซึ่งพากันถอยห่างไปจนชิดกับผนังถ้ำอีกด้านและยกมือขึ้นปิดหูปิดตาต่างเปิดหน้าขึ้นมอง

“นี่มันอะไรกัน...”

ก้อยอุทาน เมื่อภายในถ้ำนั้นไม่ได้มืดมิด เพราะมีแสงสว่างส่องลอดมาจากช่องขนาดคนหนึ่งคนเดินลอดได้สบายซึ่งเกิดจากการเคลื่อนของแท่งแผ่นหินใหญ่

“โอ...วิศวกรรมของคนโบราณ โอ...” ดอกเตอร์ชีวิณอุทานด้วยความรู้สึกทึ่งและยินดี เช่นเดียวกันกับกวินที่จุดยิ้มให้กับการค้นพบครั้งใหม่ของกลุ่มคณะ

“เหมือนสุสานในพีรามิดที่ประเทศอียิปต์หรือไม่ก็สุสานของจิ๋นซีฮ่องเต้ในจีนเลยนะครับอาจารย์”

“อย่าพูดอะไรมากเลย เราไปดูข้างในกันเถอะ” ดอกเตอร์ชีวิณปราม ก่อนจะเดินนำชายหญิงทั้งสองตรงไปยังช่องว่างซึ่งภายในมีถ้ำอีกแห่งหนึ่งซ่อนตัวอยู่

เกิดประกายสว่างวาบประหนึ่งใครกำลังนำกระจกมาส่องสะท้อนแสงอาทิตย์ดึงสายตาทั้งสามคู่ไปยังแท่นหินด้านในสุดของโถงถ้ำ

“คล้ายแท่นพิธีอะไรสักอย่าง” ดอกเตอร์ชีวิณว่า ก่อนจะนำชายหนุ่มกับหญิงสาวเข้าไปด้านในแล้วตรงไปยังแท่นหินประหลาดนั่น

“เหมือนเป็นห้องลับเลยนะคะ”

“ใช่ เหมือนห้องลับ โอ...อาจารย์ครับ หรือว่าเราจะพบขุมสมบัติของคนโบราณเข้าให้แล้ว” กวินว่าพร้อมกับเบิกตาโตสำรวจไปรอบถ้ำ

เหนือขึ้นไปสูงลิบจนต้องแหงนคอตั้งบ่าเป็นช่องลมขนาดเล็กมีกลุ่มต้นไม้ขึ้นอยู่หรอมแหรม ส่วนด้านล่างไล่เรื่อยลงมามีกลุ่มไม้พุ่มเล็กๆ ออกอยู่ตามแง่งหิน ต่ำจนระดับสายตามีอัจกลับเล็กๆ ซ่อนตัวอยู่ตามช่องหินนับสิบ

พึ่บ!

เสียงประหนึ่งร่มกระตุกกางอย่างแรงก่อนดวงไฟบนแท่นหน้าวัตถุประหลาดสองดวง พร้อมกลิ่นหอมคล้ายกำยานจะโชยตามลม

“นั่นครับอาจารย์” กวินชี้ไปยังจุดที่ก่อแสงสว่างบอกดอกเตอร์ชีวิณและสาวก้อยให้มองตามอย่างตะลึง

“ไปดูกันเถอะค่ะ”

ก้อยชวน แล้วเดินตามนายชีวิณที่ออกเดินนำตรงไปยังแท่นปริศนา ทั้งสามเบิกตามองอย่างอัศจรรย์ใจกับบางสิ่งบางอย่างที่วางนิ่งสนิทบนนั้น วัตถุที่มีกลุ่มฝุ่นผงเกาะหนาเตอะ ใยแมงมุมพันระโยง วัตถุที่ไม่กลายสภาพเป็นฟอสซิลทั้งๆที่คงอยู่มาเนิ่นนานนับพันปี

“เหมือนพิณหรือไม่ก็กระจับปี่เลยนะครับอาจารย์” กวินเปรย กะด้วยสายตาวัตถุตรงหน้าท่าจะเป็นบรรพบุรุษของเครื่องดนตรีที่เขาว่าเมื่อสักครู่

“คล้ายกู่เจิงเหมือนกันนะ”

“แต่อาจารย์ว่าไม่ใช่ทั้งสามอย่าง”

“ซึงหรือคะ” ก้อยถามอีก ขยับตามนายชีวิณที่เอื้อมมือปัดเส้นไยเหนียวขาวของแมงมุมและฝุ่นออก

----

พลันนั้น!! ภายนอกถ้ำ...

ท้องฟ้าเหนือขุนเขาใหญ่กลับมืดทะมึน กลุ่มนักสำรวจและนักโบราณคดีคนอื่นต่างแหงนเงยขึ้นมองความผิดปกติที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้น หลายคนมองเข้าไปยังจุดที่เพิ่งจากมาอย่างเป็นห่วงทั้งสามคนซึ่งยังอยู่ในถ้ำ

“จะเอายังไงดี อาจารย์ นายกาวกับยายก้อยยังอยู่ในนั้น นี่ฝนก็ดูท่าจะตกลงมาด้วย”

“นั่นสิ จะมีใครอาสาเข้าไปดูไหม”

บัดดลลมหอบใหญ่ก็พัดเคลื่อนผ่านอย่างแรง พร้อมหูหลายคู่สดับยินเสียงดนตรีสวรรค์ดังลอยมากับสายลม

ตึง...เตรง ง ง

“บรื๋อออ... ใครจะเข้าไปก็ตามสบายนะ ฉันขอบายล่ะ เสียงดนตรีมาจากไหนก็ไม่รู้กลางป่ากลางเขาแบบนี้ ได้ยินแล้วขนลุก” อีก
คนในกลุ่มนั้นเอ่ย ทั้งถอยกรูดออกจากบริเวณ

“เอ้ยจะไปไหน...”

“ไม่อยู่แล้ว...ดนตรีผีชัดๆ”

เห็นคนแรกวิ่งแยกจากกลุ่มกลับไปยังที่พัก คนอื่นๆ จึงวิ่งตามด้วยลักษณาการเดียวกัน...

----

ภายในถ้ำสามร่างต่างยืนนิ่งตะลึงหลังอาจารย์หนุ่มยกวัตถุชิ้นนั้นซึ่งทำจากไม้ขนาดใหญ่ทั้งท่อนผ่าครึ่งเจาะคว้านไส้ในคล้ายท้องกระดูกงูเรือ อีกชิ้นขนาดเล็กกว่าต่อส่วนยาวราวศอก ด้านบนขึงด้วยเส้นโลหะ บอกลักษณะว่าเป็นเครื่องดีด ที่อัศจรรย์ไปกว่านั้นมอดไม้ต่างไม่เจาะให้วัตถุชิ้นนั้นเสียหาย

“จะใช่เตหน่าของปกาเกอะญอหรือเปล่าคะอาจารย์” ก้อยว่าอีก เพราะไม่ว่าอะไรเธอก็ทายไม่ถูกสักที

“ไม่น่าจะใช่ เตหน่าเป็นอีกแบบหนึ่ง”

นายชีวิณพลิกดูวัตถุชิ้นเหมาะมือนั้นแล้วถือโอกาสกรายนิ้วลงบนเส้นโลหะประหนึ่งหมายใจให้เกิดเสียงเพลง

เตรง ง ง

ครืด ด ด

ผนังถ้ำโดยรอบเริ่มเกิดปฏิกิริยาอีกครั้ง ก่อนจะมีกลุ่มหินก้อนเล็กก้อนใหญ่ร่วงกราวลงมา

“ผมว่าเรารีบออกจากที่นี่กันเถอะครับอาจารย์”

ไม่ต้องให้เตือนซ้ำสองทั้งสามร่างก็ถลาออกจากตรงนั้นไปอย่างรวดเร็ว นายชีวิณมิวายคว้าเครื่องดนตรีชิ้นนั้นติดมืออกมาด้วย

----

สายฝนร่วงหล่นราวฟ้าเท เช่นเดียวกับสายลมแรงที่พัดจนเต็นท์ไหวเพยิบ ประหนึ่งเกิดอาเพศขึ้นบนลานเขาสูงลูกนั้น!

“อาจารย์จะเอายังไงต่อไปครับฝนตกแบบนี้การทำงานของพวกเราคงไปต่อไม่ได้แน่” เด็กหนุ่มคนหนึ่งขอความเห็น

“ผมว่าพวกเรารีบลงเขากันก่อนที่มันจะเทลงมามากว่านี้เถอะครับ ประเดี๋ยวผมจะติดต่อชาวบ้านให้เอารถมารับ” อีกคนเสริมเพราะเห็นว่าถ้าอยู่นานเต็นท์อาจจะปลิวไปกับลมหอบใหญ่ได้ แล้วเครื่องไม้เครื่องมือที่เป็นแผงอิเล็กทรอนิกส์ก็อาจจะเสียหาย

“รอสักครู่ก่อน ถ้าสักสี่โมงมันยังไม่หยุดเราค่อยอพยพกลับ” ดอกเตอร์ชีวิณเงยหน้ามองฟ้ากว้างที่มัวสลัวไปด้วยเม็ดฝน

เขาถอนใจก่อนจะมองกลับมายังท่อนไม้ที่มีเส้นโลหะขึงอยู่ด้านบนประหนึ่งเครื่องสายของดนตรีไทย ทว่าความไม่เหมือนกับเครื่องดีดชิ้นใดยิ่งทำให้ชายหนุ่มนึกงง

หรือนี่จะเป็นเครื่องดนตรีโบราณ...ต้นตระกูลของเครื่องสายของไทย

ถึงนั่นก็เถอะ มันน่าจะเสียหายจากระยะเวลาที่ล่วงผ่านมาบ้าง แต่นี่ทุกอย่างยังครบพร้อมสมบูรณ์ราวสวรรค์สรรเสกให้มุ้งแก้วครอบเอาไว้อีกทีหนึ่ง

อีกด้านกวินและก้อยบอกกล่าวถึงเหตุการณ์ภายในถ้ำกับความอลังการของความคิดบรรพบุรุษที่สร้างถ้ำซ้อนถ้ำโดยใช้แท่งหินแผ่นใหญ่เป็นกลไกเปิดเชื่อมหากัน

“นี่แสดงว่าชาวบ้านคนอื่นๆ หรือแม้แต่ใครในโลกนี้ต่างไม่รู้ว่าในถ้ำนั่นมีถ้ำอีกถ้ำซ่อนอยู่” หญิงสาวคนหนึ่งยกมือขึ้นทาบอกยามสดับฟังคนบรรยายถึงความแปลกประหลาดและงามวิจิตรไม่แม้กับกลไกจุดอัจกลับหน้าแท่นพิธี

“เหมือนว่ากู่เจิงหรืออะไรนั่นที่อาจารย์ได้มาน่ะเป็นวัตถุบูชาสินะ”

“ใช่ เพราะจากที่ดูแล้วคืออยู่บนแท่น มีอัจกลับสองอันตั้งอยู่เหมือนเทียน ยังไม่พอตรงกลางยังมีกระถางดินเผามีทรายอยู่ข้างในคล้ายกระถางธูป”

“ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะเป็นของบูชาเทพหรือผีบรรพบุรุษ”

“สมมติว่านี่เป็นศิลปะของชาวฮางจริงๆ ก็ต้องเป็นการบูชาผีมากกว่าเทพ เพราะสมัยนั้นตามประวัติศาสตร์ที่พอจะทราบกันมาชาว
ฮางเป็นชนเผ่าหนึ่งที่อพยพลงมาทางตอนใต้สู่ดินแดนน่านเจ้า น่าจะอยู่ในยุคสมัยราวพุทธศตวรรษที่สิบหรือสิบเอ็ด”

“ร่วมสมัยกับทวารวดีเลยหรือ” อีกคนถาม

“น่าจะประมาณนั้นหรือมากกว่านั้น”

“แปลก ถ้าเป็นแบบนั้นจริงทำไมไม้ถึงไม่ผุพังบ้างล่ะ หรือไม่มันอาจจะเพิ่งถูกสร้างเพื่อตบตาพวกเราราวปีสองปีนี้ก็ได้”

“หรือไม่ก็ทายางไม้หรือสารเคมีบางอย่างที่พวกมดมอดหรือแมลงไม่สามารถเจาะได้”

“ถ้าอย่างนั้นภูมิปัญญาของคนสมัยก่อนก็เยี่ยมมากสิ” ก้อยว่าอย่างนึกทึ่ง “เพราะถ้าเป็นแบบนั้นจริง มันก็น่าทึ่งมากเลยนะ”

ขณะที่ทั้งหมดกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่นั้นบรรยากาศเบื้องนอกยิ่งอึมครึ้ม หมู่ไม้ใหญ่น้อยโบกโยกตามแรงลมประหนึ่งพายุร้ายจะถล่มพื้นที่แห่งนั้นให้ราบคาบ

เวลานั้น!

เปรี๊ยะ เปรี้ยง!!

ยอดไม้ไม่ห่างจากเต็นท์หักโค่น เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นหวั่นไหว กลุ่มบรรดาหญิงสาวยกมือขึ้นปิดหูปิดตากรีดเสียงร้องแข่งกัน

--โปรดติดตามตอนต่อไป---



ไวกูณฐ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 พ.ค. 2557, 19:47:59 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 พ.ค. 2557, 19:47:59 น.

จำนวนการเข้าชม : 1096





<< ตอนที่ ๑ สัญญาณรักลวง   ตอนที่ ๓ นิมิตมายา >>
ทองหลาง 20 พ.ค. 2557, 20:06:37 น.
ลึกลับจริงๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account